หญิงชายเท่าเทียม

เมื่อคืนนี้ ภรรยาและบุตรชายข้าพเจ้ากลับจากการเดินทางท่องเที่ยว 8 วันในประเทศจีน ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจอย่างมาก เพราะวันแรกที่เดินทางไป ลูกชายข้าพเจ้าเกิดท้องเสียขึ้นมาอย่างรุนแรง ถึงแม้จะได้เตรียมยาแก้ท้องเสีย แก้ปวดท้อง แก้ไข้และยาฆ่าเชื้อไป ก็ยังสร้างความลำบากให้กับภรรยาข้าพเจ้าไม่ใช่น้อย ลูกต้องเข้าสถานพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือในวันที่ 2 ของการเดินทาง ซึ่งกว่าจะหาย ต้องใช้เวลาถึง 3 วัน ภรรยาข้าพเจ้าเฝ้าดูแลลูกจนไม่ได้หลับ ไม่ได้นอนถึง 2 วัน 2 คืน จนเมื่ออาการไข้ของลูกบรรเทาลง ภรรยาข้าพเจ้าจึงได้พักผ่อนบ้าง แต่ในใจก็ยังเฝ้าเป็นห่วงอยู่ไม่หาย ใน 2 วันสุดท้ายของการเดินทางท่องเที่ยว ร่างกายของบุตรชายดีขึ้นอย่างมาก ภรรยาข้าพเจ้าจึงค่อยมีความสุข ข้าพเจ้าเล่ามาถึงตรงนี้ ก็เพื่อที่จะชี้ว่า ผู้หญิงที่เป็นแม่ทุกคน มักทำหน้าที่ของตนได้ดีเสมอ โดยไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด และไม่จำเป็นต้องได้รับคำชม เพราะความสุขของแม่ คือ ลูกอยู่รอด ปลอดภัยจากโรคร้าย โดยไม่มีพยาธิสภาพใดๆ \r\nในครอบครัวหนึ่งๆ ผู้ชายซึ่งทำหน้าที่เป็นพ่อ มักไม่ค่อยมีบทบาทในเบื้องต้นของการดูแลบุตร เพราะผู้หญิงแบกรับบทบาทไปเกือบทั้งหมด นั่นคือ “บทบาทของการตั้งครรภ์” ข้าพเจ้ามักได้ทราบจากคนที่เป็นแม่ว่า แค่‘กำลังใจจากสามี’ก็ถือว่า เพียงพอแล้วสำหรับความเหนื่อยยากอย่างแสนสาหัสจากการตั้งครรภ์และการคลอด \r\nการตั้งครรภ์และการคลอดไม่ใช่เรื่องธรรมดา ที่ใครๆจะมาคิดว่า ‘คงไม่มีปัญหา เพราะนั่นคือธรรมชาติของผู้หญิงที่มีมาเมื่อหลายพันปีก่อน’ หากใครคิดเช่นนั้น ก็ควรคิดเสียใหม่ ดังที่ข้าพเจ้าจะได้เล่าต่อไป\r\nหลายวันที่ผ่านมา ข้าพเจ้าพบเรื่องราวของการตั้งครรภ์และการคลอดที่น่าสนใจของคนไข้ตั้งครรภ์ 3 ราย โดยต้องยอมรับว่า บางทีอาจเป็นเรื่องของกรรมในอดีต…\r\nคุณกิตติมา อายุ 33 ปีตั้งครรภ์ที่ 3 มาฝากครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์ ฝากครรภ์ทั้งหมด 13 ครั้ง สุดท้ายขณะที่ตั้งครรภ์ได้ 38 สัปดาห์ 4 วัน กลับได้รับการตรวจพบว่า ลูกของเธอเสียชีวิตในครรภ์ (Dead fetus in utero) ข้าพเจ้าเริ่มสนใจคนไข้รายนี้ เมื่อสูติแพทย์ท่านหนึ่งขอให้ช่วยตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องของคนไข้รายหนึ่ง เพื่อยืนยันการเสียชีวิตของทารกในครรภ์ ตอนนั้น คุณกิตติมาใบหน้าดูไม่สู้จะดีนักตอนที่ข้าพเจ้าไปตรวจ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า คุณกิตติมารู้เรื่องราวการเสียชีวิตของบุตรเธอหรือยัง!.. แต่ข้าพเจ้าก็ค่อยๆพูดจากับเธอ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตของทารกในครรภ์\r\nข้าพเจ้าถามคุณกิตติมาขณะที่ตรวจอัลตราซาวนด์ว่า“ลูกไม่ดิ้นมากี่วันแล้วครับ?”\r\nคุณกิตติมาเริ่มเล่า “วันเสาร์ (2 วันก่อน) ลูกดิ้นแรงมากและดิ้นตลอดทั้งวันเลย ต่อมา ก็ดิ้นน้อยลง วันอาทิตย์ลูกไม่ดิ้นเลย วันนี้(จันทร์) หนูจึงรีบมาตรวจ ”\r\nข้าพเจ้าทบทวนประวัติการตั้งครรภ์ในอดีตของคุณกิตติมาพร้อมกับซักถามไปด้วยว่า “ลูกคนแรกและคนที่ 2 ของคุณกิตติมา แท้งตอนท้องได้ 2 เดือนเพราะอะไรหรือครับ?”\r\n“ท้องแรกแท้งเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนนั้นหนูยังไม่พร้อม จึงไปทำแท้งที่คลินิกแห่งหนึ่ง ถัดมาอีก 1 ปี หนูตั้งครรภ์อีกด้วยความตั้งใจ แต่คราวนี้แท้งเอง สำหรับครรภ์นี้หนูตั้งครรภ์จนครบกำหนดและกำลังจะคลอดในอีกไม่นาน!…. ไม่น่าเชื่อเลยว่า ลูกจะมาเสียชีวิต น่าเสียดายมาก ” คุณกิตติมาตอบ ด้วยใบหน้าที่เศร้าใจ แสดงว่า เธอได้รับการบอกเล่าเรื่องการเสียชีวิตของลูกมาก่อนแล้ว\r\n“หมอ..เสียใจด้วยจริงๆ เดี๋ยวหมอขอตรวจดูอัลตราซาวนด์หน่อยนะ” ข้าพเจ้าพูดต่อพร้อมกับลงมือตรวจอัลตราซาวนด์ ข้าพเจ้าตรวจพบว่า ‘ศีรษะเด็กและส่วนต่างๆของร่างกายลูกคุณกิตติมานั้นดูไม่แตกต่างกับทารกครบกำหนดปกติทั่วไป ยกเว้นอย่างเดียว คือ ไม่มีการเต้นของหัวใจ จากการคาดคะเน ลูกคุณกิตติมาน่าจะมีน้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัม ส่วนของรกมีการเสื่อมสภาพบ้าง เพราะมีสารแคลเซี่ยมมาเกาะอยู่หลายส่วน แต่น้ำคร่ำมีปริมาณปกติ’ \r\nในบันทึกประวัติการฝากครรภ์ ตอนคุณกิตติมาอายุครรภ์ได้ 10 สัปดาห์ เธอมีผื่นคันขึ้นตามตัวอยู่ 2 – 3 วัน โดยไม่มีไข้ ผื่นเป็นตุ่มเล็กๆ ไม่เป็นตุ่มน้ำใส ตอนนั้นมีการสงสัยว่า ‘คุณกิตติมาจะเป็นหัดเยอรมัน?’ด้วย \r\nเนื่องจากคุณกิตติมามีความกังวลใจอย่างมากว่า ‘ลูกของเธออาจติดเชื้อหัดเยอรมันและมีความพิการแต่กำเนิด เพราะพี่ชายของตัวเธอเองมีความพิการแต่กำเนิดและพี่สาวของเธอสมองช้า(ตามระบุ)’ ข้าพเจ้าที่มีส่วนดูแลตอนนั้น จึงได้แนะนำให้ไปตรวจสภาพทารกเกี่ยวกับความผิดปกติต่างๆที่หน่วยทารกปริกำเนิด แผนกสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งในบันทึกจดหมายชี้แจงจากสูติแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีระบุว่า ‘ได้อธิบายว่า การเจาะน้ำคร่ำจะสามารถทราบความผิดปกติของโครโมโซมเด็ก แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า เด็กจะแข็งแรงหรือเป็นโรคเหมือนพี่สาวพี่ชายของผู้ป่วย ซึ่งการเจาะน้ำคร่ำมีความเสี่ยงที่จะการแท้งบุตรได้ 0.5 – 1% คุณกิตติมาเลือกที่จะไม่เจาะตรวจน้ำคร่ำ’ ตอนที่ส่งคุณกิตติมาไปตรวจที่โรงพยาบาลรามาฯ เธอตั้งครรภ์ได้ 11 สัปดาห์เศษ เมื่อกลับมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจอีกครั้ง เธอมีอายุครรภ์ 17 สัปดาห์ 4 วัน หลังจากนั้น เธอก็มาฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง โดยไม่เคยถูกตรวจพบว่ามีความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนใดๆ\r\n คุณกิตติมาได้รับการเร่งคลอดในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ทราบว่า ‘บุตรเสียชีวิต’ เธอคลอดบุตรหลังจากเร่งคลอดได้ 6 ชั่วโมงแม้ในตอนแรกรับเข้าอยู่ในห้องคลอด ปากมดลูกจะเปิดเพียงแค่ 3 เซนติเมตร ความบาง 70% ทารกคลอดเมื่อเวลา 12 นาฬิกา 30 นาที เป็นเพศหญิง น้ำหนัก 2900 กรัม โดยมีรกหนัก 700 กรัม ซึ่งทารกได้ถูกส่งไปตรวจหาความผิดปกติแต่กำเนิดที่แผนกพยาธิวิทยา แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ \r\nเรื่องราวการเสียชีวิตของบุตรคุณกิตติมา น่าสนใจในแง่ของ‘ธรรมะ’อย่างมาก เพราะว่า ครรภ์แรก คุณกิตติมาได้ทำแท้งโดยตั้งใจ ส่วนครรภ์ที่ 2 ซึ่งตั้งครรภ์โดยตั้งใจ เธอกลับต้องสูญเสียบุตรจากการแท้งตอนอายุครรภ์ 2 เดือน ในครรภ์นี้ เธอตั้งครรภ์จนครบกำหนดแล้ว แต่อาจเป็นด้วย‘กรรมเก่า’ตามมาทัน จึงส่งผลให้ลูกของเธอเสียชีวิตในครรภ์ ดังนั้น จึงถือเป็นข้อคิดเพื่อเตือนใจว่า ‘คู่ชีวิตทุกคู่ โปรดอย่าได้ทำแท้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร มิฉะนั้น อาจเกิดการแท้งในท้องถัดไปอยู่เรื่อยๆเหมือนกับกรณีของคุณกิตติมา จนกว่าจะมีการอโหสิกรรมของวิญญาณที่จะมาเกิดในการตั้งครรภ์ครั้งแรกนั้น’ \r\nถัดมาอีก 1 สัปดาห์ ในวันอังคารที่ข้าพเจ้าอยู่เวร มีคนไข้อีกรายหนึ่งที่น่าสนใจและตกค้างมาจากคืนวันก่อน ชื่อ คุณสะอาด อายุ 23 ปี ครรภ์แรก เธอมีอายุครรภ์ตามบันทึก คือ 34 สัปดาห์ ข้าพเจ้ามาเดินตรวจดูคนไข้ท้องในห้องคลอด โดยให้พยาบาลและแพทย์ฝึกหัดรายงานปัญหาของแต่ละคน ปรากฏว่า‘ไม่มีคนไข้รายใดมีปัญหา’ แต่ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังผ่าตัดคลอดให้กับคนไข้ท้องรายหนึ่งอยู่ สูติแพทย์เวรคืนวันก่อนได้โทรขึ้นมารายงานว่า “พี่ครับ มีคนไข้รายหนึ่งเมื่อคืนที่อายุครรภ์ 34 สัปดาห์ แต่ผมให้ส่งคนไข้มาตรวจอัลตราซาวนด์ที่ห้องตรวจครรภ์ เพราะท้องเล็กมาก ปรากฏว่า ไม่มีน้ำคร่ำเหลืออยู่ในมดลูกเลย(severe oligohydramnios) คนไข้รายนี้สงสัยเป็น IUGR(intrauterine growth retardation: ทารกเติบโตช้าในครรภ์) ” \r\n“ตายแล้ว!” ข้าพเจ้าอุทานพร้อมกับสั่งให้ผ่าตัดคนไข้รายดังกล่าวทันทีต่อจากรายที่กำลังผ่าตัดอยู่ ผลของการผ่าตัด คือ ได้ทารกตัวเล็กออกมา เป็นเพศชาย มีน้ำหนักเพียง 1710 กรัม แข็งแรงดี คะแนนศักยภาพแรกคลอด เท่ากับ10,10 (เต็ม) โดยมีรกหนัก 380 กรัมเท่านั้น จากการทบทวนประวัติของคุณสะอาด พบว่า เธอเป็นโรคความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุ 17 ปี รับประทานยารักษาโรคไม่สม่ำเสมอ ในระหว่างตั้งครรภ์ เธอก็มีความดันโลหิตค่อนข้างสูงเป็นบางครั้งบางคราว แต่ไม่ได้รับการตรวจพิเศษใดๆ ผลสุดท้าย คือ รกมีการเสื่อมสภาพ เลือดจึงไปเลี้ยงทารกน้อยลง ทำให้ทารกมีรูปร่างแคระแกรนและขับถ่ายปัสสาวะออกมาน้อยมาก ส่งผลให้น้ำคร่ำมีปริมาณน้อยไปด้วย(severe oligohydramnios) หากลูกคุณสะอาดถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ผ่าตัดในตอนนั้น อีกไม่นานนัก เด็กคงจะตายจากการถูกร่างกายตนเองกดเบียดสายสะดือ \r\nการผ่าตัดเอาเด็กแคระแกนเหล่านี้(IUGR) ออกมาโดยรีบด่วนในช่วงอายุครรภ์ 32 – 34 สัปดาห์ จึงถือเป็นการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งเด็กจะสามารถอยู่รอดในโลกนี้ได้อย่างสบาย เพราะจริงๆแล้ว เด็กพวกนี้มีอายุมากแล้ว แต่ขาดอาหารเรื้อรัง ทำให้ทารกมีขนาดตัวเล็กแบบสมส่วน ซึ่งเราอาจเรียกเด็กเหล่านี้เล่นๆว่าเป็น “เด็กแก่”[IUGR(intrauterine growth retardation: ทารกเติบโตช้าในครรภ์)] ก็ได้\r\nในคืนวันเดียวกันนั้น มีคนไข้อีกราย ชื่อ คุณอมร อายุ 33 ปี ตั้งครรภ์แรก เธอมาโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉินด้วยเรื่องมีเลือดออกจากช่องคลอดจำนวนมากขณะอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ คุณอมรเคยได้รับการวินิจฉัยว่า มีรกเกาะต่ำ(Placenta previa totalis) และเคยมานอนโรงพยาบาลครั้งหนึ่งด้วยเรื่องตกเลือดตอนอายุครรภ์ 34 สัปดาห์ คราวนี้ คุณอมรได้เข้ามานอนพักที่ห้องคลอดเวลา 2 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ โดยมีการแข็งตัวของมดลูกทุกๆ 6 นาที ข้าพเจ้าเห็นว่า ควรผ่าตัดคลอดฉุกเฉิน(Emergency cesarean section) เพราะขืนรอ มีหวังคนไข้ตกเลือดจนเสียชีวิต แต่ก่อนผ่าตัด ข้าพเจ้าได้สั่งการให้พยาบาลช่วยนำอัลตราซาวนด์มาตรวจดูตำแหน่งรกเกาะในมดลูกเสียก่อน ข้าพเจ้าอธิบายให้แพทย์ฝึกหัดฟังไปด้วยว่า “ เหตุที่เราต้องดูอัลตราซาวนด์ ก็เพราะจะได้รู้ว่า รกเกาะอย่างไร อย่างรายนี้ รกเกาะทางด้านหน้า (anterior) โดยรกส่วนใหญ่เกาะค่อนไปทางด้านขวา ดังนั้นจึงควรผ่าตัดเอาเด็กออกทางด้านซ้ายของมดลูกส่วนล่าง โดยเราจะทะลวงผ่านรกเข้าไปแล้วรีบใช้คีม(Forceps)คีบดึงเด็กออกมาอย่างรวดเร็ว สำหรับการทำคลอดรก เราจะต้องค่อยๆทำ มิฉะนั้น จะทำให้มดลูกส่วนล่างฉีกขาดมากจนต้องตัดมดลูก ” ข้าพเจ้าได้ทำตามแผนการที่วางไว้ทุกประการ ทารกคลอดปลอดภัย เป็นเพศหญิง มีน้ำหนัก 2500 กรัม คะแนนศักยภาพแรกคลอด 9,10 (คะแนนเต็ม 10, 10) แต่ที่วุ่นวาย คือ คุณอมรเสียเลือดอย่างมากเนื่องจากแผลภายในมดลูกส่วนล่างตำแหน่งที่รกเกาะมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดในช่วงแรก ข้าพเจ้าต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการเย็บแผลห้ามเลือด ในที่สุด ก็สามารถหยุดเลือดได้ โดยไม่ต้องตัดมดลูกของคุณอมร ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมคุณอมรในวันรุ่งขึ้น และบอกกับเธอว่า “ หากคุณสามารถผ่าน 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัดไปได้ คุณก็ไม่ต้องถูกตัดมดลูก แต่..ถ้ามีการตกเลือดเมื่อไหร่ คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการตัดมดลูก ” อย่างไรก็ตาม คุณอมรสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตไปได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องสูญเสียมดลูก และกลับบ้านหลังจากนั้นอีก 3 วัน\r\nข้าพเจ้าอยากจะบอกกับทุกท่านว่า เรื่องราวของคนไข้ท้องทั้งสามรายรวมทั้งบุตรในครรภ์ดังกล่าวที่เล่ามา สามารถประยุกต์ได้กับหลักธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าด้วย ‘ชาติ (การเกิด), ชรา(เด็กแก่) และมรณะ(ทารกตายในครรภ์) ซึ่งไม่มีใครหนีพ้นไปได้ ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย’ สำหรับการตั้งครรภ์และการคลอดนั้น ผู้หญิงเป็นผู้แบกภาระไว้เกือบทั้งหมดรวมทั้งการเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต(กรณีของคุณอมร)ด้วย ส่วนผู้ชายก็ทำหน้าที่อื่นตามความเหมาะสม และตามเหตุอันควร หญิงชายจึงมีความหมายด้วยกันทั้งคู่ โดยไม่ควรแบ่งแยกหรือแย่งความดีความชอบ เพราะต่างก็มีส่วนดีด้วยกัน ดังบทกลอนที่ข้าพเจ้าแต่งขึ้นระหว่างถือศีลบวชเนกขัมที่วัดประสพสุขเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา \r\n หญิงชายเท่าเทียม\r\nหญิงชาย มีความหมาย ไม่แตกต่าง \tอาจมีบ้าง รูปร่าง ที่สูงต่ำ\r\nผิวพรรณ ขนดก ผมดำ \t\tคมขำ คมคาย ละม้ายกัน\r\nหญิงชาย มีความหมาย ในศักดิ์ศรี \tสูงส่ง ด้วยความดี ที่สร้างสรรค์\r\nเสมอบุญ บารมี ดวงชีวัน\t\t\tกรรมเท่านั้น กำหนด เป็นกฎเกณฑ์\r\n\tหญิงชาย มีหน้าที่ ตามระบอบ\t\tรับผิดชอบ ดีชั่ว ดุจพิมเสน\r\nใครทำดี ดีได้ ไปตามเวร\t\t\t\tใครไหวเอน ทางชั่ว หมองมัวใจ\r\n\tหญิงชาย เท่าเทียม ความสามารถ\t\tความองอาจ กาจเก่ง การแก้ไข\r\nความสุขุม รอบคอบ กอปรภายใน\t\tยามครวญใคร่ ไตร่ตรอง มองอย่างดี\r\n\tหญิงชาย ไม่มีใคร ควรอยู่เหนือ \t\tเปรียบเหมือนเสือ พึ่งไพร ในวิถี\r\nอันชายหญิง อิงแอบ แนบชีวี\t\t\tก็จะมี ความสุข ทุกคืนวัน\r\n\tหญิงชาย จับมือ ถือความสัตย์ \t\tย่อมอุบัติ พัฒนา ดั่งพาฝัน\r\nเหล่าศัตรู คู่อาฆาต พินาศพลัน\t\t\tความสุขสันต์ มั่นคง ดำรงยืน\r\n\tดังนั้น จึงไม่ควร แยกชายหญิง\t\tทำทุกสิ่ง เทียมเท่า อย่าเฝ้าฝืน\r\nจงร่วมเรียง เคียงบ่า ฝ่าวันคืน\t\t\t สุขสดชื่น รื่นรมย์ สมฤทัย.\r\n&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

มดลูกหลุดโผล่ออกจากช่องคลอด (Procedentia Uteri)

การผ่าตัดผ่านกล้องกรณีมดลูกหลุดโผล่จากช่องคลอด

                ข้าพเจ้าชอบพูดกับตัวเองบ่อยๆว่า ‘ผมเก่งขึ้นทุกวัน ผมพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นตลอดเวลา’ ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้กับตัวเองเสมอ เพราะข้าพเจ้าหมั่นสังเกต จดจำ และเรียนรู้กับสิ่งรอบตัวอย่างมากมาย ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที.. ต่อยอดจากความรู้เดิมที่มี…หลายวันก่อน คุณหมอเอ๋ เพื่อนข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าว่า ‘ค้นพบวิธีการผ่าตัดดึงกลับมดลูกที่หลุดโผล่ออกมาจากช่องคลอดในผู้หญิงสูงวัยแบบใหม่ (Procedentia uteri)  โดยศึกษาจากคลิปวีดีโอในอินเตอร์เนต (www.youtube.com)’ และจะมีการผ่าตัดในวันพฤหัสที่ผ่านมา 2 ราย เมื่อถึงกำหนดนัดหมาย ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางไปยัง รพ.พระนั่งเกล้าตอนเที่ยง เนื่องจาก ตอนเช้า มีการประชุมเรื่องสำคัญ ทำให้ไปไม่ทันในการผ่าตัดคนไข้รายแรก  

                ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ข้าพเจ้าเดินทางไปถึงตอนเที่ยงวันพอดี และรับประทานอาหารร่วมกับอาจารย์และแพทย์ประจำบ้านของ รพ.ราชวิถี หลังจากนั้น..ก็พากันไปเข้าห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าสอบถามประวัติคนไข้จากพยาบาลที่นั่น ประวัติคนไข้น่าสนใจมาก กล่าวคือ เป็นผู้หญิงโสด อายุ 68 ปี มีก้อนยื่นโผล่ออกมาจากช่องคลอดหลายเดือนก่อนและมีปัญหาเรื่องกลั้นปัสสาวะไม่อยู่.. บางครั้งต้องยืนปัสสาวะ..เรื่องนี้มีความน่าสนใจมาก เพราะผู้หญิงโสดมักไม่พบปัญหามดลูกหย่อนและโผล่ออกมาจากช่องคลอด (Procedentia uteri) เนื่องจาก ช่องคลอดไม่เคยถูกขยายจากการคลอดบุตร ..นี่จึงเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ให้ทุกคนได้รู้ว่า หญิงโสด ก็หนีปัญหาเรื่องนี้ไปไม่พ้น..

                ครั้งนี้ ข้าพเจ้าเข้าห้องผ่าตัด ไม่ใช่ในฐานะเป็นหมอผ่าตัดหลัก แต่เป็นเพียงผู้ช่วยผ่าตัด..วันนั้น เป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง ชนิดเลนส์ 3 มิติ คุณหมอทุกคนที่เข้าช่วยและชมการผ่าตัด จึงต้องใส่แว่นตาเฉพาะเพื่อดูภาพจากจอมอนนิเตอร์ให้ชัดเจน แวนตามีเลนส์ที่มีสีออกดำๆ..ทำให้คนอื่นภายนอกมองไม่ออกว่า ผู้ช่วยผ่าตัดกำลังหรี่ตาอยู่หรือเปล่า….การผ่าตัดเป็นไปแบบไม่ยุ่งยาก เริ่มต้นด้วยการเจาะท้องผ่านรูสะดือ และด้านข้างของผนังหน้าท้องอีก 3 รู จากนั้น ก็ใช้กรรไกรที่มีแกนยาวเหมือนตะเกียบ ผ่าตัดเปิดเยื่อบุลำไส้ที่คลุมตัวมดลูกทางด้านล่าง (Posterior aspect of lower uterine segment) ก่อน โดยเลาะแยกเปิดให้เยื่อบุที่คลุมผิวมดลูกด้านล่างออกจากเนื้อมดลูก ให้มีพื้นที่กว้างพอสมควร..จากนั้น ก็หันมาผ่าตัดเปิดแยกเยื่อบุที่คลุมตัวมดลูกทางด้านหน้า (Anterior aspect of lower uterine segment)..เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็ใช้กรรไกรเจาะเป็นช่องหน้าต่าง (Window) ที่แผ่นเนื้อเยื่อด้านข้างของมดลูก ณ บริเวณที่เรียกว่า Broad ligament ทั้งสองข้าง..

ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนสำคัญมาก นั่นคือ การวาง Mess หรือ แผ่นวัสดุพิเศษลักษณะเป็นเยื่อตาข่ายละเอียด โดยตัดเป็นรูปเกือกม้าไว้ก่อนแล้ว วิธีการ คือ หย่อนส่วนขาทั้งสองของตาข่าย คร่อมลงไปในช่องหน้าต่างทั้งสองข้าง (Window) ที่เจาะเตรียมไว้ (Both Adnexa)  แล้วก็จับ ปลายขาด้ายซ้ายของ Mess สอดทะลุข้างใต้ เอ็นที่ชื่อว่า Left sacro iliac ligament ไปโผล่ตรงกลางบริเวณคอมดลูกด้านล่าง..ส่วนปลาย Mess ด้านขวา ก็เพียงสอดวางไว้เฉยๆ.. หลังจากนั้น ก็เอา ส่วนขาของ Mess ทั้งสองข้างมาผูกกัน..เมื่อผูกเรียบร้อย..ก็ใช้กรรไกร ตัดขา mess ส่วนเกินที่ยื่นจากปมออกมา

                ขั้นตอนสำคัญ อีกขั้นตอนหนึ่ง คือ การดึงรั้งมดลูกให้ลอยขึ้น โดยผูกติดกับสายยาวๆคล้ายริบบิ้นที่ทำจาก Mess กับผนังหน้าท้องด้านข้างทั้งสอง (Lateral abdominal wall)…วิธีการ คือ ตัด Mess ออกเป็นเส้นยาวคล้ายริบบิ้น กว้าง 1.5 ซม. และยาวประมาณ 15 เซนติเมตร.. จากนั้น คุณหมอเอ๋ก็ทำการเจาะที่ด้านข้างของผนังหน้าท้อง ด้วย Trocar (5 mm) ณ ตำแหน่งเหนือต่อสันกระดูกที่ชื่อ  Illiac crest ไป 4  เซนติเมตร ..เจาะเป็นช่องที่มีปากทางเข้า ยาวครึ่งเซนติเมตร..ขณะที่ข้าพเจ้าก็ทำการเจาะผนังหน้าท้องทางด้านข้างข้าพเจ้าในทำนองเดียวกัน คุณหมอเอ๋ใช้ตัวปากคีบจับปลายของ ริบบิ้น Mess สอดใส่เข้าไปตามช่องที่เจาะไว้นั้น, แทงทะลุแผ่น sheeth (แผ่นเยื่อพังผืดหนาของผนังหน้าท้อง) และวางตัวอยู่เหนือเยื่อบุลำไส้ (Peritoneum) แล้วแทงลอดสอดแทรกตัวไปกับเยื่อบุช่องท้อง จนไปโผล่ที่เอ็น ชื่อ Sacro-illiact ligament ด้านขวา ..ส่วนข้าพเจ้าก็ใช้ปลายปากคีบดึงส่วนปลายของ ริบบิ้น Mess ต่อจากคุณหมอเอ๋..ดึงปลายริบบิ้น mess จากคุณหมอเอ๋ ให้แทรกตัวไปตามเนื้อเยื่อนอกเยื่อบุช่องท้อง (Peritoneum) ย้อนกลับมาทางข้าพเจ้า จนโผล่ออกทางผนังหน้าท้องด้านซ้าย..จากนั้น ก็รีบใช้ เครื่องมือ Clamp จับปลายริบบิ้น Mess ไว้ เพื่อกันไม่ให้มันหลุดเข้าไปข้างใน..

                เมื่อยึดตัวมดลูกและช่องคลอดด้วยริบบิ้น Mess กับผนังหน้าท้องทั้งสองข้างได้แล้ว คุณหมอเอ๋และข้าพเจ้าก็ตัดปลายริบบิ้น Mess ที่โผล่ออกมาบริเวณผนังหน้าท้องทั้งสองข้างทิ้งไป ปล่อยชายริบบิ้น Messไว้ข้างใต้ผนังหน้าท้อง แล้วเย็บปิดแผลช่องท้องตรงนั้นเสีย  นี่..ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการผ่าตัดเพื่อยึดให้มดลูก ไม่โผล่หลุดออกไปจากช่องคลอด กระบวนการผ่าตัดแบบนี้ ช่วยลดขั้นตอน ในการตัดมดลูกออก และเย็บจับยึดตัวมดลูกกับกระดูสันหลังส่วนปลาย (sacro-colpo pexy)..แบบเดิมไปอย่างมาก…หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ขอตัวออกจากห้องผ่าตัดก่อน เพราะต้องรีบเดินทางไปฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก (IUI = Intrauterine insemination) ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม)..

                ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรีบเดินทางกลับไปทำงาน ก็เกิดปัญหาขึ้นอย่างหนึ่ง คือ เครื่องยนต์ของรถที่จอดไว้ที่ห้างสรรพสินค้าโลตัสแถวนั้น ไม่สามารถทำงานได้ เพราะแบตเตอรี่หมด..ข้าพเจ้าจึงใช้แบตเตอรี่สำรองไฟ ในการติดเครื่องยนต์จากการต่อพ่วง ก็สามารถทำให้เครื่องยนต์ติดได้.. ด้วยความดีใจ ข้าพเจ้ารีบขับเดินทางอย่างรวดเร็ว และถึงโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น ตอนเวลา 4 โมงเย็น.. เมื่อฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกให้คนไข้เสร็จ ก็นั่งแท็กซี่ต่อไปออกตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งที่สองจนถึง 2 ทุ่ม จึงนั่งแท็กซี่กลับมาอยู่เวรที่โรงพยาบาลเอกชนเดิม   

ระหว่างทาง คนขับแท็กซี่เล่าให้ฟังว่า ‘ลูกชายของตนประสบอุบัติเหตุถูกรถจักยานยนต์ที่ขับสวนทางมา เชี่ยวชนจนเอ็นที่นิ้วเท้าข้างซ้ายขาด คุณพ่อของคู่กรณีต่อรองจะจ่ายเพียง 3 ถึง 4 พันบาท.. แกได้โต้ตอบแบบสะใจ คือ ไม่ขอเงินอะไรหรอก ให้เอาจอบมา แล้วให้แกสับลงที่เท้าของคนขี่จักรยานลูกคู่กรณี..แล้วแกจะจ่ายเงินแถมให้ด้วย 3 หมื่นบาท..เพราะค่ารักษาพยาบาลเช่นนี้ ต้องแพงมากอย่างแน่นอน..สุดท้ายคู่กรณียอมจ่ายเงิน 2.5 หมื่นบาท..แต่ค่ารักษาพยาบาลจริง คือ 1.2 แสนบาท โชคดี..ที่บริษัทฯที่ลูกแกทำงานมีประกันหมู่ จึงไม่ต้องเสียเงิน..’ นี่แหละความเป็นจริงของชีวิต..โรคภัยไข้เจ็บในปัจจุบัน..เผาผลาญเงินของผู้ป่วยไปอย่างมาก..หากไม่ระมัดระวังในการประกันความเสี่ยงไว้..มีหวังอับจน..

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น พอออกจากเวร ก่อนจะขับรถกลับบ้าน ก็ต้องพ่วงต่อเชื่อมแบตเตอรี่กับแบตเตอรีสำรองอีกครั้ง..เมื่อข้าพเจ้าขับรถถึงบ้าน ก็เข้าไปอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัว วางแผนว่า จะขับรถต่อไปยังร้านขายแบตเตอรี่..แต่คราวนี้ ข้าพเจ้าต้องผิดหวังอย่างมาก เพราะทำยังไง..เครื่องยนต์ก็ไม่สามารถขยับตัวได้อีก เพราะแบตเตอรี่ตายสนิท..ไม่ว่า ข้าพเจ้าจะใช้วิธีเชื่อมต่อกับแบตเตอรี่สำรอง หรือต่อพ่วงกับรถยนต์อีกคันที่บ้าน ก็ไม่สามารถทำให้แบตเตอรีรถข้าพเจ้า กลับมาทำงานได้อีก..ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องเดินทางไปที่ร้านขายแบตเตอรี่และขอให้ทางร้านส่งคนมาเปลี่ยนแบตเตอรีที่บ้าน..เสียเวลาไปทั้งหมดกว่า 3 ชั่วโมง..หากข้าพเจ้ามีธุระสำคัญแบบที่ผ่านมา ไม่ว่า จะฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกหรือผ่าตัดคลอดตามฤกษ์ที่โรงพยาบาลเอกชน..ข้าพเจ้าคงทำไม่ได้ และเสียหายความน่าเชื่อถืออย่างหนัก….นี่แหละชีวิต..

เรื่องราวแบตเตอรี่รถยนต์ของข้าพเจ้าข้างต้น เปรียบเสมือนคนไข้สตรีที่มีมดลูกหลุดโผล่ออกจากช่องคลอด (Procedentia uteri) จำนวนมากมายในประเทศ..ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายหมด..หากไม่แก้ไขผ่าตัดเติมเต็มข้อบกพร่อง..ไม่เร็ว ก็ช้า เธอก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในชีวิตประจำวันแบบปกติสุข..เหมือนรถยนต์ที่หมดแบตเตอรี่….ถึงใช้การแก้ไขแบบขอไปที ได้ในบางครั้งบางคราว..แต่ในที่สุด..ก็จะหมดสภาพ..ดังนั้น ตอนนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่วิธีการแก้ไขด้วยการผ่าตัดผ่านกล้องแบบใหม่..ซึ่งจะทำให้ชีวิตกลับมาเป็นปกติสุข..จงอย่ารอช้า..รีบฉวยโอกาสเข้ารับการผ่าตัดแก้ไข..เพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นเหมือนคนทั่วไป..โดยไม่ต้องจ่ายค้ารักษาพยาบาลที่แพงมาก..

เสียงเพลงบรรเลงในค่ำคืนนี้ ช่างไพเราะจับใจข้าพเจ้ายิ่งนัก..ทำให้มีจินตนาการในการเขียนหนังสือ..แม้ว่า ชีวิตมนุษย์ จะยังต้องดำเนินต่อไปตามยถากรรม..แต่..ก็มีบุคคลจำพวกหนึ่ง ที่พยายามพัฒนาตัวเอง..พัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ..รวมทั้งเทคนิคในการผ่าตัดพิเศษขึ้นมา เพื่อรักษาให้ผู้คนในโลกนี้ มีชีวิตที่ดีขึ้น..ใครที่ก้าวไม่ทัน..ข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ ก็มีแต่จะเสียเปรียบ…ถูกทอดทิ้งให้ทุกข์ทรมาน..อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่…เหมือนสตรีสูงวัยจำนวนมากมายในโลก ที่มีมดลูกหย่อนหลุดโผล่ออกมาจากช่องคลอด จากการขาดฮอร์โมน..แล้วปล่อยปละละเลยกับตัวเอง..ด้วยไม่รู้..

฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿

พ.ต.อ. นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

 

 

  

               

ชีวิตนี้ มีความหมาย (6)

ชีวิตนี้ มีความหมาย (6)

การตรวจเยี่ยมคุกเมืองไทยปลายปีนี้ (พ.ศ. 2556) ข้าพเจ้าเริ่มต้นตรวจนักโทษไต้หวันที่คุกบางขวางก่อน ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน พวกเรา ซึ่งประกอบด้วย คุณชาญ ข้าพเจ้า และเจ้าหน้าที่ใหม่คนหนึ่ง ชื่อ มิสเตอร์จาง คิดว่า การตรวจที่นี่ คงจะยุ่งยากไม่น้อย เพราะมีกฏกติกามากมายจากผ็อำนวยการเรือนจำคนใหม่ แต่..พอเข้าไปในคุกบางขวางจริงๆ กลับทำงานง่ายดายกว่าทุกปี เพราะที่นี่ ข้าพเจ้าถูกจำกัดให้จ่ายยากับนักโทษแต่ละคนได้ ไม่เกินคนละ 3 ตัว ปัจจุบัน ยาทุกตัวที่จะถูกนำเข้าคุกบางขวาง ต้องได้รับการตรวจค้นอย่างละเอียด สาเหตุ ก็เนื่องมาจากมีผู้กระทำผิดลักลอบนำยาเสพติด, มือถือ หรือสิ่งผิดกฏหมายเข้ามาในเรือนจำ แล้วถูกจับได้ มาตรการตรวจค้นสิ่งของก่อนนำเข้า จึงเป็นไปอย่างรอบคอบ พวกเราตรวจที่คุกบางขวางเพียงครึ่งวัน ก็จบ.. ตอนบ่าย ข้าพเจ้าว่างจากภารกิจต่างๆที่เกี่ยวกับคุก จึงขอให้คนรถของกงสุลไต้หวัน ช่วยขับ นำข้าพเจ้าไปส่งที่ โรงพยาบาลไทยนครินทร์ เพื่อพักผ่อน ก่อนจะเริ่มทำงานต่อในตอนเย็น

 

วันที่ 2 ธันวาคม 2556 ข้าพเจ้าได้ไปตรวจที่คุกคลองเปรม …หมายถึงว่า ไปตรวจ ณ โรงพยาบาลฑัณทสถานคลองเปรม นักโทษที่มาตรวจ ก็ไม่มากนัก แต่..การตรวจเป็นไปอยบ่างล่าช้า เพราะมีการเขียนใบสั่งยาซ้ำซ้อนกันหลายใบ นักโทษบางคนต้องการใบสั่งยาเพิ่ม เพื่อไปซื้อเครื่องสำอางค์ จำพวกครีมบำรุงผิว และใบหน้า.. ข้าพเจ้าเขียนไป 3 – 4 ใบ ก็รู้สึกแปลกใจ และไม่ค่อยกล้าถามว่า ทำไมถึงต้องการครีม หรือ Lotion เหล่านี้..ต่อมา จึงรู้จากพยาบาลที่นั่นว่า ‘พวกนักโทษเหล่านี้ นำไปเพื่อหาซื้อเครื่องบำรุงผิวพรรณให้กับบรรดากระเทย.. เป็นค่าทำขวัญ เวลามีเพศสัมพันธ์ด้วย’

พอตรวจนักโทษไปได้สักพักหนึ่ง คุณชาญ ก็เดินมาบอกกับข้าพเจ้าว่า ‘ไม่ต้องออกใบสั่งยาต่างหากอีกแล้ว เพราะนักโทษบางคนนำเอามันไปต่อเติม เพื่อซื้อยาที่มีโทษหรือผิดกฏหมาย ทำให้เสียชื่อคุณหมอและกงสุลไต้หวัน’ เมื่อใกล้เวลาเที่ยง เจ้าหน้าที่พยาบาลของโรงพยาบาลคลองเปรมคนหนึ่ง ก็มาช่วยดำเนินการ โดยให้ข้าพเจ้าเขียนใบสั่งยาอย่างเดียว เธอเป็นคนคัดลอกใบยาและเขียนชื่อนักโทษลงในใบสั่งยาฉบับนั้น พวกเราจึงตรวจนักโทษเสร็จเร็วกว่าที่คาด.. เลยเวลาพักเที่ยงไปไม่นาน

ที่นั่น ข้าพเจ้ายังได้ตรวจนักโทษหญิงอีก 2 -3 คน ซึ่งถูกส่งมาจากฑัณทสถานหญิง.. คราวนี้ถือเป็นครั้งแรก ที่อำนวยความสะดวกให้กับเรา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปตรวจที่ฑัณทสถานหญิง ในจำนวนนั้น มีนักโทษหญิงคนหนึ่งน่าสนใจมาก ชื่อ คุณเย่ ตอนนี้ เธอมีอายุเกือบ 50 ปี เธอติดคุกตั้งแต่ยังสาว ช่วงเวลานั้น เธอกำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอด สามีของเธอ ซึ่งมียาเสพติดไว้ในครอบครอง เมื่อตำรวจบุกเข้าไปในห้องพัก เพื่อขอตรวจค้น สามีเธอเห็นท่าไม่ดี จึงนำเฮโรอินทั้งหมด ไปซุกซ่อนไว้ในตัวเธอ ทำให้เธอมีโทษผิด ฐานค้ายาเสพติดไปด้วย สามีเธอถูกตัดสินประหารชีวิต แล้วลดโทษลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนเธอถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แล้วลดโทษลงมาจนในที่สุดเหลือดเพียง 20 ปี เธอคลอดบุตรสาวขณะติดคุกฑัณทสถานหญิงในปีนั้น หลังคลอด..ลูกสาวของเธอถูกส่งไปให้พี่ชายสามีเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม วันที่ข้าพเจ้าตรวจสุขภาพของเธอคราวนี้ จึงได้ทราบว่า ‘เธอติดคุกมาแล้ว 19 ปี ..ปีหน้า เธอจะได้รับการปล่อยพ้นโทษ ให้เป็นอิสระกลับไปประเทศไต้หวัน’ ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ร่วมไปกับเธอด้วย

เรื่องราวของสามีคุณเย่ ยิ่งน่าสนใจ สามีคุณเย่ถูกจองจำที่คุกบางขวาง เขาเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมมาก ทุกครั้งที่มาขอยาจากข้าพเจ้า เขาจะใช้เลห์เพทุบายหลายอย่าง เพื่อให้ได้ยามากที่สุดทั้งชนิดและจำนวนยา ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าว แต่ก็มักจะอะลุ่มอล่วย  ข้าพเจ้าได้ดูแลสามีของคุณเย่ จากการเยี่ยมเยียนคุกประมาณ 10 กว่าปี เขาก็เสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บในที่คุมขัง… ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ตลอดระยะเวลาที่เขาติดคุก ไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเลย เมื่อเขาตายลง คุณชาญได้โทรศัพท์ติดต่อญาตพี่น้องพ่อแม่ แต่..ทางญาตขอให้กงศุลช่วยดำเนินการเกี่ยวกับศพให้ด้วย คุณชาญได้แจ้งให้ทางญาตทราบว่า การดำเนินการเหล่านี้ ต้องมีค่าใช้จ่าย ทางญาตก็บอกว่า ‘อย่างนั้น ก็ไม่เอาศพเขาแล้ว ทางสถานฑูตจะทำยังไง ก็ไม่ว่า ไม่ต้องส่งกลับไปไต้หวันหรอก’ ตอนนั้น ศพของสามีคุณเย่ นอนแช่แข็งอยู่ที่ตู้เย็นของแผนกนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลาถึง 4 – 5 เดือน เนื่องจากการประสานไปมาระหว่างญาต มีปัญหา อย่างไรก็ตาม เมื่อทางญาตปฏิเสธเด็ดขาดที่จะไม่ยุ่งเกี่ยว ทางกงสุลไต้หวันจึงติดต่อขอเงินบริจาคจากมูลนิธิฯหลายแห่งของคนไต้หวัน ดำเนินการเกี่ยวกับศพไร้ญาตผู้นี้ จากนั้น ก็นำศพไปเผา และเก็บอัฐฐิ ออกมา… ปัญหา ก็คือ ญาตไม่เอาอัฐฐิ.. ใครๆก็ไม่ต้องการ สุดท้าย คุณชาญได้ไปสอบถามทางวัดไตรมิตร ขอฝากอัฐฐิของคนไร้ค่าผู้นี้ ปรากฏว่า ทางวัดอนุญาตให้ฝากไว้ได้ เมื่อคุณเย่พ้นโทษในปีหน้า ออกจากคุกและเดินทางกลับไต้หวัน ข้าพเจ้าก็หวั่นวิตกว่า คงไม่นำอัฐฐิของสามีกลับไปด้วย เพราะเขาเป็นคนทำให้เธอคิดคุกเป็นเวลานานถึง 20 ปี หญิงสาวคนหญิงได้ทิ้งชีวิตของเธอไว้ในฑัณทสถาน ไม่ได้เห็นความศิวิไลแห่งโลกเป็นเวลานานแสนนาน… เมื่อสามารถออกมาดำเนินชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา.. มีหรือ..ที่เธอจะไม่โทษชะตาชีวิตที่เลือกคนเช่นนั้นเป็นสามี 

วันที่ 17 ธันวาคม ข้าพเจ้าเดินทางโดยสารเครื่องบินของสายการบินไทย ไปจังหวัดเชียงราย…ในตอนเช้ามืด เวลาประมาณ 5 นาฬิกาเศษ ข้าพเจ้าจัดแจงเตรียมตัวอย่างเรียบร้อย จัดกระเป๋า และเครื่องใช้ไม้สอยเท่าที่จำเป็น แต่..ข้าพเจ้าต้องเปลี่ยนเสื้อที่ใส่มาของวันก่อน เวลานั้น ข้าพเจ้าลงลิ๊ฟมายังชั้นไต้ดิน แล้ว ก็รีบหยิบเสื้อเชิ้ต 1 ตัว เพื่อไปเปลี่ยน ณ ที่รโหฐานด้านข้างของตัวตึก ตอนนั้น ไม่รู้ข้าพเจ้าเหม่อลอยเรื่องอะไร ทำให้ข้าพเจ้าสะพายเอากระเป๋าบรรจุ Ipad ไปด้วย เมื่อไปถึงที่รโหฐานด้านข้าง ซึ่งมีผนังไม้แผ่นบางๆบังอยู่เป็นแนวยาว และลึกเข้าไปข้างใน จะเป็นห้องซ่อมเฟอร์นิเจอร์ของโรงพยาบาล ข้าพเจ้าได้วางกระเป๋า Ipad ไว้บนโต๊ะบริเวณนั้น พอข้าพเจ้าเปลี่ยนเสื้อเสร็จ ก็รีบหยิบเสื้อตัวเก่า..เก็บกลับไปใส่ไว้ในรถ พลางลากกระเป๋าเดินทางขึ้นมาชั้นหนึ่ง เพื่อรอรถยนต์ของกงสุลไต้หวันที่มารับทางด้านหน้า ของโรงพยาบาลไทยนครินทร์

รถยนต์คันดังกล่าว ได้พาข้าพเจ้าและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่ง นามว่า………….มุ่งหน้าไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ พอรถขับไปถึงบริเวณสี่แยกถนนบางนาตัดกับถนนกิ่งแก้ว  ข้าพเจ้าก็สะดุดคิดขึ้นมาว่า ‘อาจจะลืมกระเป๋าIpadไว้ที่ โรงพยาบาลฯ’ ข้าพเจ้ารีบโทรศัพท์กลับไปที่ห้องคลอด ซึ่งมีผู้ช่วยพยาบาลเป็นคนรับสาย ข้าพเจ้าพูดขอร้องเธอว่า ‘ให้ช่วยไปดูที่รถข้าพเจ้าหน่อยว่า มีกระเป๋าบรรจุ Ipad สีดำอยู่ภายในหรือ เปล่า พร้อมกับบรรยายรูปร่างกระเป๋าให้ฟังด้วย’ สักพักหนึ่ง ข้าพเจ้าโทรศัพท์กลับไปอีกครั้ง ปรากฏว่า ผู้ช่วยพยาบาลคนดังกล่าวไม่ได้ไปดูตามที่ขอร้อง แต่..โทรศัพท์แจ้ง รปภ.ชั้นไต้ดิน ให้ไปดู.. ทาง รปภ.แจ้งว่า ‘มีกระเป๋าสีดำวางอยู่’ ข้าพเจ้าเอะใจขึ้นมาทันทีว่า ‘การสื่อสารของผู้ถ่ายทอด มักผิดพลาดไม่มากก็น้อย’ ข้าพเจ้าจึงโทรศัพท์ไปถาม รปภ.ด้วยตนเอง ข้าพเจ้าถามเขาว่า ‘มีกระเป๋าสีดำขนาดบรรจุ ไอแพด ในรถหรือเปล่า’ เขาตอบว่า ‘เจ้าหน้าที่ห้องคลอดเพียงแต่บอกว่า เป็นกระเป๋าสีดำ ไม่ได้บอกลักษณะอะไรเลย แต่..ที่คุณหมอบอกนั้น..ไม่มี.. เดี๋ยวผมจะลงไปดูให้อีกที จะดูโดยละเอียด’ เมื่อข้าพเจ้าโทรศัพท์กลับไปถามอีกครั้ง ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่มี แต่พบกระเป๋าเล็กๆขนาดเท่าไอแพด อยู่ที่เบาะหลังคนขับ เขียนว่า Carry on ข้าพเจาคิดว่า นั่น!! คงเป็นกระเป๋าใบเก่าที่เคยใช้ใส่ไอแพดแน่.. ข้าพเจ้าจึงขอร้องให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยท่านนี้ ลองเดินไปที่ด้านข้างใกล้ห้อซ่อมเฟอร์นิเจอร์ และสำรวจดูบริเวณนั้น เนื่องจากตอนเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าพเจ้าวางกระเป๋าไว้แถวนั้น เจ้าหน้าที่ รปภ.ได้เดินไปดู และพบกระเป๋าที่ข้าพเจ้ากล่าวถึง เขาโทรศัพท์กลับมาบอกข้าพเจ้าขณะเดินทางไปใกล้ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะในเครื่องไอแพดนั้น มีข้อมูลบางอย่างสำคัญ, มีสมุดบัญชีลูก และบัญชีสหกรณ์โรงพยาบาลตำรวจอีกหลายเล่ม สรุปว่า หากกระเป๋าใบนั้นหายไป ข้าพเจ้าคงยุ่งยากเสียเวลาดำเนินการอีกมากมาย กว่าจะได้สิ่งของดังกล่าวคืนมาในรูปแบบอื่น..จริงๆแล้ว เมื่อข้าพเจ้านึกขึ้นได้ ข้าพเจ้าควรจะบอกคนรถให้ย้อนกลับไปโรงพยาบาลไทยนครินทร์ ซึ่ง..คงใช้เวลา ไม่น่าจะเกิน 15 นาที ..ไม่ได้ทำให้พวกเราเสียเวลา จนเดินทางไปขึ้นเครื่องบินไม่ทัน แต่..เพราะความเกรงใจ จึงทำให้ข้าพเจ้าเกือบเสียหายอย่างใหญ่หลวง..นี่คือ ประสบการณ์อย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่มีวันลืม และจะไม่ย่อมผิดพลาดในทำนองเดียวกันนั้นอีก..

ข้าพเจ้าออกเดินทางโดยเครื่องบินบริษัทการบินไทย เที่ยวบินที่ TG130 เวลา 8.00 นาฬิกา บินไปถึงสนามบินเชียงรายราว 9.00 นาฬิกา พวกเรา คุณชาญ เจ้าหน้าที่กงสุล และข้าพเจ้า พร้อมกับคนขับรถตู้ ชื่อ คุณโก้ ออกเดินทางทันทีมุ่งสู่เรือนจำเชียงราย..

ที่เรือนจำเชียงราย พวกเราทั้งสามคนเข้าไปถึงสถานพยาบาล ประมาณ 10 นาฬิกา 30 นาที มีนักโทษไต้หวันจากแดนต่างๆมารับบริการ 10 คน ความจริง..จะต้องเป็น 11 คน แต่นักโทษคนหนึ่ง ทำผิดกฏข้อบังคับบางประการ จึงถูกจับขังเดี่ยว..ข้าพเจ้าสั่งยาให้นักโทษคนแรก ซึ่งป่วยเป็นโรคเบาหวาน อาการของเขาค่อนข้างหนัก แต่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีจากอายุรแพทย์ของโรงพยาบาลจังหวัด เขาจึงมีชีวิตรอด หากถูกทอดทิ้งละก็…คงเสียชีวิตไปนานแล้ว เพราะนักโทษคดียาเสพติดนั้น ก็เปรียบเสมือนไม่ใช่คน ยามที่ต้องโทษทัณฑ์เช่นนี้ แต่..นั่นก็เพราะกรรมที่พวกเขาได้ก่อ ยาเสพติดเหล่านั้น ได้ไปทำลายผู้คนจำนวนมากมาย ทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด กลายเป็นสัตว์นรกตัวหนึ่ง ซึ่งต้องเที่ยวกระทำความผิด เพื่อหาเงินมาซื้อยาเสพติด นี่แหละกฏแห่งกรรม

ยังโชคดี ที่บ้านเรากำหนดโทษของผู้ต้องหาค้ายาเสพติดไว้รุนแรงมาก ผู้มีความผิด จะติดคุกนานเป็นสิบๆปี ส่วนใหญ่มักจะเกิน 20 ปีขึ้นไป เพราะฉะนั้น ใครเผลอไปค้ายาเสพเสพติดละก็ ไม่ต้องคิดถึงโทษทัณฑ์เลย ฆ่าตัวตายเสียยังดีกว่า เพราะว่า โอกาสจะรอดออกมาเป็นอิสระนั้น ยากมากๆ.. กว่าจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ก็ต้องติดคุกนานกว่า 15 ปี และได้รับพระราชทานอภัยโทษ ก็เพียง 1 ใน 8 หรือ สูงสุด เพียง 1 ใน 4 เท่านั้น…ไม่เหมือนกับพวกนักโทษฆ่าคนตาย ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษมากกว่านี้

ข้าพเจ้าตรวจและสั่งยาให้กับนักโทษเหล่านี้ ถึงเวลาเที่ยง ก็เสร็จภารกิจ..จากนั้น ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางขึ้นไปบนภูเขาสูง เพื่อนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ.. อากาศข้างบนนั้นหนาวเหน็บมาก แต่ก็อบอุ่นในดวงใจ กล่าวกันว่า งคนไม่มีบุญ จะไม่สามารถขึ้นไปนมัสการพระธาตุได้ เพราะพระธาตุอยู่บนดอยสูง ทางขึ้นเขาค่อนข้างลาดชั้น ถนนลื่นและแคบ มีรถมากมายที่วิ่งขึ้นมาจนใกล้จะถึงพระธาตุดอยสุเทพ แต่..ต้องย้อนกลับ เพราะล้อรถหมุนแบบฟรี..ตอนไต่ทางลาดชัน.. ข้าพเจ้าบินขึ้นมาตรวจนักโทษไต้หวันที่จังหวัดเชียงราย กว่า 10 ปี ยังไม่เคยขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพเลย มาคราวนี้ คุณชาญบอกว่า มีการทำถนนทางขึ้นค่อนข้างดี โดยมีการขยายเปิดไหล่ทาง หมายความว่า มีการทำถนนหนทางให้กว้างมากขึ้น และทำรั้วขอบถนนด้านนอก เพื่อกันรถตกเขา การเดินทางขึ้นดอยคราวนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ..ที่เรียกว่า ราบรื่นนั้น ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะขึ้นไปได้เหมือนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเดินทางขึ้นมาครั้งนี้เป็นวันธรรมดา ไม่ใช่วันหยุด จึงมีคนขับรถขึ้นไปชมพระธาตุจำนวนน้อย.. หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์ การขับรถจะยุ่งยากกว่านี้ เพราะมีรถยนต์จำนวนมากพากันขึ้นมา การสับหลีกระหว่างรถเป็นเรื่องที่ยากมาก.. บางที..จำเป็นต้องมีคนคอยให้สัญญาณ เพื่อให้รถขึ้นหรือลงได้โดยไม่เบียดชนกัน มิฉะนั้น ก็อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้น

ข้างบนวัดพระธาตุดอยสุเทพ มีลานกว้างราวครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอล ด้านข้างหน้ามีพระพุทธรูปหลายองค์ใหญ่ๆ เรียงรายหันหน้าเข้าหาพระธาตุ.. เท่าที่จำได้ มีพระสังฆกระจาย และพระพุทธเจ้ารูปลักษณ์ต่างๆ ..ส่วนของพระธาตุ มีเจดีย์ขนาดกระทัดรัด 2 องค์ครอบอยู่ รูปลักษณ์เป็นสีทอง ข้าพเจ้าได้กระทำการสักการะโดยเดินเวียนขวา 3 รอบ และได้ทำบุญตามกำลังศรัทธา ในใจตอนนั้น รู้สึกอิ่มเอิบเป็นอย่างยิ่ง เสมือนอิ่มทิพย์อย่างนั้น  อากาศที่นั่น หนาวเย็นแบบสะท้าน… ทันทีที่ลงรถตู้ ข้าพเจ้ารีบใส่เสื้อหนาวที่เตรียมไป พร้อมกับสวมหมวกผ้าที่ติดมากับเสื้อหนาว.. หลังจากเดินชมข้างบนอยู่สักพักใหญ่ๆ  ข้าพเจ้าก็เดินทางลงสู่พื้นราบ

การขับรถลงจากภูเขานั้น เป็นเรื่องที่เราควรเรียนรู้ไว้ เพราะหากขับรถไม่เป็น.. รถมีโอกาสพังได้ทุกเมื่อ.. คุณโก้ ซึ่งขับรถมาตลอดชีวิต เล่าให้ฟังว่า ‘เวลาขับนั้น ให้ใช้เพียงแค่เกีย 2 ก็พอ จากนั้น ก็ปล่อยรถให้มันไหลไปตามแรงโน้มถ่วง พอถึงทางตรงใกล้ถึงส่วนโค้ง ก็เบรกแบบแตะๆ ให้รถใกล้หยุด แล้วค่อยปล่อยรถไหลต่อ..สิ่งที่พึงระวัง คือ หากแตะเบรกตลอดเวลา.. จานเบรกของรถจะพัง เพราะผ้าเบรกจะถูกกัดกร่อนจนหมดอย่างรวดเร็ว ..และหากแตะเบรกตรงทางโค้ง รถจะปัด ทำให้เสียหลัก เกิดการพลิกคว่ำได้ง่าย..นี่แหละ!! เทคนิคการขับรถลงเขา..

ตอนหัวค่ำ พวกเรา ซึ่งมีภรรยาคุณชาญมาร่วมด้วย ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านภูแล อาหารที่นี่ นับว่า อร่อยมากทีเดียว มีผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วสารทิศมารับประทาน…ที่นี่ มีการตลาดที่ดีมาก มีการโฆษณาน่าสนใจ อาทิ มีป้ายหรือสติกเกอร์ข้อความว่า ‘ผู้ว่ายังยกนิ้วให้ว่า อร่อย’ และอื่นๆ… หลังจากรับประทานอาหารมื้อหนักเสร็จ พวกเราก็แวะไปรับประทานบัวลอยทรงเครื่องที่ร้านแถวหอนาฬิกา.. ซึ่งถือว่า..เป็นอนุสาวรีย์ ยอดนิยมของชาวเชียงราย.. ที่นี่..ราวๆ 3 ทุ่ม จะมีการเปิดไฟที่หอนาฬิกา ร่วมกับเพลงบรรเลงเพราะๆให้ฟัง…. ผู้คนจำนวนมากมาย มักจะมาออกันรอบๆ และถ่ายรูป สถานที่นี้

กลางคืน.. หลังอาหารมื้อค่ำ ข้าพเจ้าได้ไปเดินใน ‘ไนท์พลาซ่า’ บรรยากาศน่ารัก เป็นกันเอง อาหารก็ไม่แพง มีการแสดงและดนตรีขับกล่อมเคล้าคลอกับบรรยากาศ ช่างผ่อนคลายยิ่งนัก ข้าพเจ้ามาจังหวัดเชียงรายหลายครั้ง ได้มาเดินเล่นที่นี่หลายครั้ง จึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เดินสักพักหนึ่ง ก็กลับไปยังที่พัก คือ โรงแรมวังทอง

ตอนเช้า หลังอาหาร พวกเราก็ออกเดินทางจากโรงแรมวังทอง เมืองเชียงราย มุ่งหน้าสู่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่..ทำไมหรือ? ก็เพราะ ที่นั่น เป็นสถานที่ตั่งของเรือนจำเชียงใหม่ ที่นั่น มีนักโทษไต้หวันอยู่ 2 คน..เรือนจำเชียงใหม่เพิ่งย้ายจากตัวเมืองมาได้เพียง 1 ขวบปี ส่วนคุกเชียงใหม่เดิม ก็ปรับเปลี่ยนเป็นฑัณทสถานหญิง.. ระหว่างทาง..พวกเราได้แวะที่น้ำพุร้อนทวีสิน เพื่อรับประทานกาแฟ และแช่เท้าด้วยน้ำแร่ ซึ่งเชื่อว่า มีส่วนช่วยสุขภาพ ข้าพเจ้าดื่มกาแฟคาปูชิโน และแช่เท้าครู่หนึ่ง … ก็ออกเดินทางสู่อำเภอแม่แตง โดยนัดแนะกับเจ้าหน้าที่ว่า จะไปตรวจนักโทษไต้หวันประมาณบ่ายโมง ของวันที่ 18 ธันวาคม 2556    

พอไปถึงเรือนจำเชียงใหม่.. เจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่ง ชื่อ คุณสมศักดิ์ ซึ่ง..โทรศัพท์ติดต่อกับคุณชาญประจำ ก็ออกมาต้อนรับ พวกเราเดินทางเข้าไปในคุก 3 คนเช่นเดิม คราวนี้ เราได้รับแจ้งว่า นักโทษคนหนึ่งถูกส่งไปที่เรือนจำอื่น จึงเหลือนักโทษไต้หวันเพียงคนเดียว คนที่นำเข้าไปเป็นพยาบาลผู้ชายสูงอายุ กะว่า น่าจะเกิน 50 ปี ข้าพเจ้าสอบถามจากเขาว่า เรือนจำที่นี่มีเนื้อที่เท่าไหร่ ได้รับคำตอบว่า 30 ไร่ นับว่า ใหญ่เอาการ..

นักโทษหนุ่มคนนี้ อายุเพียง 32 ปี ตัดผมสั้น เหมือนนักโทษทั่วไป คุกใหม่แห่งนี้ มีบรรยากาศที่ดี นักโทษหนุ่มคนนี้ อยู่ในแดนโทษหนัก จึงมีนักโทษขังรวมกับเขาไม่มากนัก อยู่กันแบบหลวมๆ เขาออกกำลังกายทุกวัน โดยตั้งความหวังว่า สักวันหนึ่ง จะได้ออกจากที่คุมขังแดนนรกแห่งนี้… แม้อากาศจะหนาว แต่ก็ไม่ลดต่ำมากเท่าเมืองเชียงราย.. อากาศจัดว่า กำลังดีสำหรับคนไต้หวันทีเดียว นักโทษคนนี้กำลังอยู่ในช่วงอุทธรณ์ แต่คาดว่า น่าจะถูกตัดสิน จองจำตลอดชีวิต เพราะเป็นผู้ค้าเฮโรอินขนาด 2 กิโลกรัม ..

ข้าพเจ้าเข้ามาในเรือนจำต่างๆมากถึง 20 ปีแล้ว ก็ยังแก้ข้อข้องใจไม่ได้ว่า ‘ทำไม คนเหล่านั้นถึงเสี่ยงค้ายาเสพติดชนิดร้ายแรงเช่นนี้’ คุณชาญไขข้อข้องใจข้าพเจ้าได้เปราะหนึ่งว่า ‘ส่วนใหญ่คนเหล่านี้ มักกระทำการสำเร็จในการค้ายาเสพติดครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง จากนั้นก็ย่ามใจ กระทำเรื่อยไป สุดท้าย จึงต้องติดคุกด้วยผลแห่งกรรม ที่ทำแล้วไม่ยอมหยุด…ประเภท รวยแล้วไม่ยอมเลิกชั่ว อย่างนั้นแหละ…’ หนุ่มน้อยรายนี้มีการมองโลกที่ดี เขาก็จะมีชีวิตอยู่ในคุกค่อนข้างดีหน่อย แม้จะไม่สบาย แต่หากเขามองโลกในแง่ร้าย เขาจะมีทุกข์ทุกคืนวัน และจบชีวิตลงในคุกอย่างแน่นอน…

ความหลงผิดของมนุษย์ในโลกนั้น ก็เพราะคิดว่า คนอื่นรู้ไม่เท่าทัน… คนเราอาจหลอกลวงคนอื่นและหลบหลีกหนีเร้นได้บ้างบางครั้ง แต่..ก็ต้องมีสักครั้งหนึ่ง ที่ไม่สามารถหนีรอดจากบ่วงกรรม และต้องติดคุกอย่างยาวนาน เหมือนกับนักโทษไต้หวันที่กล่าวมา ..นี่..จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้คนทั้งหลายพึงสังวรไว้ว่า ต้องหมั่นทำความดี ที่สำคัญคือ ต้องฝึกฝนหาวิชาไว้เลี้ยงชีพ ฝึกปรือจนเหนือกว่าผู้อื่น อย่างน้อย ก็นิดหนึ่ง และ ไอ้ ‘นิดหนึ่งนั้น’ หมายความว่า เราต้องฝึกหัดพัฒนาซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเชี่ยวชาญ ทำงานสำเร็จได้ดั่งใจหมาย.. ประกอบเป็นอาชีพที่คนเชื่อถือ.. ว่าจ้างเราทำงานให้.. เมื่อเราเป็นผู้เชี่ยวชาญจนเป็นที่เชื่อถือ และมีอาชีพมั่นคงแล้ว… เราจะไปทำชั่วค้ายาเสพติดทำไม…เพราะยาเสพติด ทำให้ชีวิตผู้เสพ ไม่ใช่คนอีกต่อไป ส่วนผู้ค้า แน่นอน สุดท้าย ก็ต้องได้รับกรรม จองจำในคุกตราบนานเท่านาน ซึ่ง..ก็เป็นสิ่งที่สมควร…

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

 

 

 

การคลอดฉุกเฉิน (Emergency Delivery)

การคลอดฉุกเฉิน (Emergency Delivery)

ข้าพเจ้าเกือบจะกลายเป็นจำเลยสังคมเสียแล้ว จากกรณีของคนไข้หญิงท้องแก่ ครรภ์ที่ 4 รายหนึ่ง เดินทางไปที่โรงพยาบาลเอกชนเล็กๆ ที่ข้าพเจ้าเป็นที่ปรึกษา ซึ่ง..ต่อมาคนไข้ได้กลับไปคลอดที่บ้าน และบุตรเสียชีวิต  เรื่องราวนี้ เกิดลุกลามใหญ่โต เป็นที่วิพากวิจารณ์ใน Social media เมื่อดาราใจบุญคนหนึ่งนำเรื่องไปเขียนใส่ไว้ใน facebook ….จริงๆแล้ว ! จำเลยสังคม น่าจะเป็นข้าพเจ้า.. แต่..เนื่องจาก สูติแพทย์ประจำที่โรงพยาบาลแห่งนั้น ขออยู่เวรแทนที่ข้าพเจ้าในช่วงวันเสาร์อาทิตย์นั้น ข้าพเจ้าจึงรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว เรื่องราวก็เป็นดังที่ทราบโดยทั่วกันว่า คนไข้ ณ ขณะมาถึงโรงพยาบาลฯ ปากมดลูก เปิดมากถึง 8 เซนติเมตร พอเธอได้รับการบอกเล่าถึงค่าใช้จ่ายในการคลอด [18,000 บาท]..เธอก็ขอไปคลอดยังโรงพยาบาลรัฐใกล้เคียง เนื่องจากเงินที่เตรียมมาไม่พอ  แต่..จับพลัดจับผลู ยังไงไม่ทราบ เธอกลับบ้าน และคลอดบุตรอย่างกระทันหันที่นั่น…ผลคือ.. ลูกของเธอเสียชีวิต..จากการสำลักน้ำคร่ำ  

‘การคลอดฉุกเฉิน หมายความว่า อย่างไรหรือคะ?’ นี่คือคำถามที่คุณหมอท่านนั้นโทรถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองก็ตอบไม่ถูก แต่ได้อธิบายง่ายๆจากประสบการณ์ว่า ‘คือ การคลอดที่จะเกิดขึ้นในอีก ครึ่งถึง 1 ชม. ข้างหน้า ส่วนใหญ่มักเกิดในคนท้อง ที่ปากมดลูก เปิดตั้งแต่ 8 เซนติเมตรขึ้นไป โดยเฉพาะในท้องหลังๆ.. ซึ่ง..นับเป็นสิ่งสำคัญมากในการตัดสินใจที่จะให้คนไข้ อยู่ในโรงพยาบาล (Admit) เพื่อเตรียมตัวคลอด.. คุณหมอไม่ควรปล่อยคนไข้เหล่านี้กลับบ้าน มิฉะนั้น ก็อาจเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นได้ดังตัวอย่างที่เล่ามา’

‘แต่..คนไข้รายนี้ขอกลับไปเองนะคะ’ คุณหมอท่านนั้นพูดเปรยๆขึ้นมา ‘ทางเราไม่ได้ขับไล่ไสส่งคนไข้’ ข้าพเจ้าฟังแล้ว ก็ไม่อยากพูดขยายความต่อ อย่างไรก็ตาม…ความผิดทางกฎหมายจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อมีการพิสูจน์ได้ว่า คุณหมอมีประมาทเลินเล่อจริง ซึ่งคงต้องอาศัยความคิดเห็นจากคณาจารย์แพทย์จากราชวิทยาลัยสูติฯและพยานแวดล้อมมากมาย.. เรื่องราวคดีครั้งนี้คงยืดเยื้ออีกนาน..

ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน… ก็เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับการคลอด กับข้าพเจ้า เช่นกัน

เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้น เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา คุณสุกัญญา อายุ 38 ปี ตั้งครรภ์ที่ 5 โดยมีบุตรอายุเรียงตามลำดับดังนี้ 18, 16, 12 และ 2 ขวบ เธอฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชน ที่ข้าพเจ้าเข้าเวรตอนกลางคืนพอดี คุณสุกัญญาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเพียงครั้งเดียว ก็เจ็บครรภ์มาคลอดเลย คุณสุกัญญามาถึงห้องคลอดตอนตีสี่ (4 นาฬิกา) พยาบาลห้องคลอดโทรศัพท์เข้ามาที่ห้องพักแพทย์เวร รายงานว่า ‘หมอ! หมอ!  มีคนไข้ท้องสี่ ท่าก้น รายหนึ่งมาที่ห้องคลอด เป็นคนไข้ของอาจารย์…(เจ้าของไข้ ขอสงวนนาม) คุณหมอช่วยมาตรวจภายในให้หน่อยสิคะ’ ข้าพเจ้ารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะง่วงนอน และพยาบาลห้องคลอดเองก็ตรวจได้ แต่..ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร ฝืนใจเดินออกไปตรวจคนไข้ พอไปถึง ก็ต้องตกใจ เพราะหน้าท้องคุณสุกัญญาค่อนข้างใหญ่ ยิ่งเมื่อตรวจภายในให้กับคุณสุกัญญา ปรากฏว่า ปากมดลูกเปิดหมดแล้ว.. ส่วนก้นของทารกน้อย ย้อยลงมาในช่องคลอดค่อนข้างต่ำ อุจจาระเด็กไหลออกมากองที่ปากช่องคลอดเต็มไปหมด ตอนนั้น พยาบาลเพิ่งโทรติดต่ออาจารย์เจ้าของไข้ได้ อาจารย์ได้ขอสายพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘พี่คงไป โรงพยาบาลไม่ทัน’ โดยขอให้ข้าพเจ้าช่วยผ่าตัดคลอดบุตรแทน

คุณสุกัญญาถูกส่งไปยังห้องผ่าตัดแบบฉุกเฉิน ข้าพเจ้าบอกให้พยาบาลห้องผ่าตัดฟอกหน้าท้องให้กับคุณสุกัญญาทันที และยังบอกพยาบาลในห้องผ่าตัดว่า ‘ปูผ้าคลุมหน้าท้องคนไข้ไปเลย ไม่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะตอนนี้ เพราะหากแยกขาของคนไข้  เด็กมีโอกาสจะหลุดลอด คลอดออกมาจากช่องคลอด ซึ่ง…อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต’

เมื่อปูผ้าสะอาดคลุมหน้าท้องของคุณสุกัญญาแล้ว ข้าพเจ้าสังเกตเห็นกระเพาะปัสสาวะโป่งพองขึ้นที่หน้าท้องตรงหัวเหน่า ข้าพเจ้าจึงขอใส่สายสวนปัสสาวะขณะนั้นเลย โดยขยับผ้าสะอาดบริเวณหัวเหน่าเลื่อนลงมาที่ปากช่องคลอดและสอดใส่สายสวนปัสสาวะอย่างระมัดระวัง โดยแหย่นิ้วเข้าไปในช่องคลอดก่อน เพื่อดันก้นทารกให้ลอยขึ้น จะได้ไม่กดช่องคลอดบริเวณแนวท่อปัสสาวะ เมื่อเสร็จเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็รีบกรีดมีดที่ผิวหนังบริเวณหัวเหน่าตามแนวขวาง (Pfannenstiel’s incision) หรือแนวขอบกางเกงใน..เพื่อความสวยงาม

พอผ่าตัดเข้าถึงตัวมดลูกของคุณสุกัญญา ข้าพเจ้าค่อยๆกรีดมีดที่บริเวณคอมดลูก โดยวางแนวให้สูงกว่ารอยต่อของกระเพาะปัสสาวะกับมดลูก (vesico-uterine reflexion) มากพอสมควร ..เนื่องจากกลัวเป็นอันตราย ต่อกระเพาะปัสสาวะ จากนั้น ก็ทำคลอดทารกท่าก้น อย่างระมัดระวัง… โชคดี!!  ที่ก้นของเด็กย้อยลงไปในอุ้งเชิงกราน ไม่มากนัก ข้าพเจ้าจึงล้วงขึ้นมาได้ มิฉะนั้น..คงทุลักทุเลอีกนาน ซึ่ง..ไม่เป็นผลดีต่อทารกน้อย   จากนั้น ก็ทำคลอดลำตัว และหัวตามลำดับ ทารกน้อยเป็นเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 3,760 กรัม คะแนนศักยภาพแรกคลอด 9 , และ10 ตามลำดับ (คะแนนเต็ม 10)

หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็รีบเดินทางไปผ่าตัดยังโรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่ง ขณะที่กำลังผ่าตัดอยู่นั้น พยาบาลห้องพักฟื้นโรงพยาบาลเอกชนเดิม ก็โทรศัพท์เข้ามาปรึกษาว่า ‘หมอ!  หมอ!  คนไข้ท้องอืด และตกเลือดจำนวนมากออกมาทางช่องคลอด  ใช้ผ้าอนามัย 2 ผืนชุ่ม ในเวลา 2 ชั่วโมง’

‘ผมเย็บแผลผ่าตัดคลอดที่มดลูกถึง 3 ชั้น จึงไม่น่าจะเกิดจากเลือดออกจากแผลที่เย็บบนตัวมดลูกอย่างแน่นอน..ตอนนี้…ให้ใส่สาย NG tube (ท่อพลาสติกสายสวนกระเพาะ) ไปก่อน ส่วนกรณีที่ตกเลือดทางช่องคลอด ผมคิดว่า น่าจะเกิดจากภาวะ uterine atony (มดลูกไม่แข็งตัว) ก็ให้ Duratocin ไป 1 หลอด… อยากทราบว่า ตอนนี้ ความดันโลหิตของคนไข้เท่าไหร่ นะ’ พยาบาลคนนั้นตอบว่า ‘200/110 มิลลิเมตรปรอท’ ข้าพเจ้าสั่งการรักษาทางโทรศัพท์อย่างระมัดระวัง เพราะยาตัวอื่นที่ช่วยให้มดลูกแข็งตัว (Methergin) จะทำให้ความดันโลหิตพุ่งกระฉูดได้  ข้าพเจ้าจึงเลือกใช้ยาหดรัดตัวมดลูกชื่อ Duratocin แทน..ซึ่งไม่มีผลต่อความดันโลหิต ..

‘แย่แล้ว!!  ทำไมคนไข้ถึงมีหลายโรคจัง ความดันโลหิตขนาดนี้ คนไข้ชักได้นะ’ ข้าพเจ้าอุทาน

‘เมื่อกี้ ตามอาจารย์ไม่ได้ เลยตามอาจารย์เจ้าของไข้ อาจารย์สั่งยา Adalat 5 มิลลิกรัมกิน ’ พยาบาลพูดต่อ ข้าพเจ้ารีบพูดแทรกว่า ‘ไม่ได้นะ หลังผ่าตัดคลอด ห้ามคนไข้กินอะไรทั้งนั้น แม้แต่น้ำ ซึ่ง..คนไข้อาจสำลักตายได้ แต่..คนนี้โชคดี ที่มีการต่อสายท่อพลาสติกเข้าไปในท้อง (NG tube) มันจะดูดน้ำออกมาเอง ตอนนี้ ให้เจาะ Adalat อมไต้ลิ้น..ยาจะออกฤทธิ์ผ่านการดูดซึมไต้ลิ้น แล้วอีก 10 นาที ก็เอาเม็ดยาออก จากนั้น ให้ตามอายุรแพทย์มาดู’ การที่ข้าพเจ้าให้ยา Duratocin  ก็เพราะยาตัวนี้ไม่มีผลต่อความดันโลหิตสูง มิฉะนั้น คนไข้อาจเสียชีวิตจากเส้นโลหิตในสมองแตก  ส่วนยา Adalat เจาะอมไต้ลิ้น จะช่วยลดความดันโลหิตอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วคราว สรุปว่า ขณะนั้น คุณสุกัญญาดีขึ้น ทั้งอาการตกเลือด และความดันโลหิต

การตกเลือดจากช่องคลอดหลังคลอด (Postpartum Hemorrhage) มีหลายสาเหตุ ซึ่งที่พบมากที่สุดคือ มดลูกไม่หดรัดตัว (Uterine Atony) แต่..สาเหตุสำหรับรายนี้ที่จะทำให้คนไข้เสียชีวิตได้ คือ การฉีกขาดของปากมดลูก ซึ่ง..เกิดจากการเย็บซ่อมปากมดลูกส่วนล่าง ไม่ดีพอ (Lower uterine segment tear) อย่างไรก็ตาม.. ในรายนี้ ข้าพเจ้าคิดว่า ไม่น่าจะเกิดจากสาเหตุนี้

ในรายคุณสุกัญญา ข้าพเจ้าโชคดีที่วินิจฉัยถูก มิฉะนั้น คนไข้อาจถูกตัดมดลูกจากการตกเลือดได้ในกรณีที่เชื่อว่า เกิดจากปากมดลูกฉีกขาด และตกเลือดเข้าไปในท้อง เพราะท้องคนไข้ป่องขึ้นอย่างรวดเร็ว..สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างในรายนี้ที่เป็นไปได้ คือ Acute Gastric dilatation (กระเพาะพองตัว) ซึ่ง..แก้ไขด้วยการใส่ ท่อ NG tube (ท่อพลาสติกสายสวนกระเพาะ)

ตอนบ่าย คนไข้มีความดันโลหิตสูงขึ้นอีก อยู่ในราว 170/110 มิลลิเมตรปรอท อายุแพทย์เวร ไม่สามารถควบคุมความดันโลดหิตได้ คุณหมออายุรกรรมโทรศัพท์มาถามข้าพเจ้าว่า ‘ดิฉันให้ยา Aldomet กินไป ก็ลดความดันโลหิต ไม่ค่อยดีนัก อาจารย์คิดว่า จะทำยังไงต่อดี ’

‘ไม่ได้นะ!! คนไข้ห้ามกินยาทางปากหลังผ่าตัด แต่..รายนี้ โชคดี ที่ใส่ท่อ NG tube น้ำจึงถูกดูดออกมาทันที มิฉะนั้น คนไข้อาจสำลักน้ำเสียชีวิตขณะนอนหลับได้ ’ ข้าพเจ้าพูดแสดงความเห็นไป อายุรแพทย์ท่านนั้นพูดต่อว่า ‘อย่างนั้น หนูจะให้ยา Cardipine ทางเส้นเลือด ซึ่ง..คนไข้ต้องย้ายลง ห้อง ไอ.ซี.ยู นะ เพราะยาตัวนี้ต้องดูแลใกล้ชิดมาก’ ข้าพเจ้าเห็นด้วย…จากนั้น คนไข้ก็ถูกส่งลงไปนอนพักที่ห้อง ไอซี ยู..  คุณสุกัญญานอนพักที่นั่น คืนหนึ่ง  อาการต่างๆ ก็ดีขึ้น และส่งกลับหอผู้ป่วย ชั้น 6.. คุณสุกัญญาอยู่รอดปลอดภัย จนกระทั่งได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้

คนไข้รายนี้ มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง ควรค่าแก่การนำมาวิเคราะห์ คือ 1. การทำคลอดท่าก้น หากทารกตัวใหญ่ เด็กอาจติดหัวเสียชีวิต 2. หลังคลอด คนไข้ตกเลือด ร่วมกับหน้าท้องป่องอืดขึ้น อาจวินิฉัยผิด เป็น ปากมดลูกฉีกขาดเย็บซ่อมผิดพลาด ตกเลือดเข้าไปในท้อง จำเป็นต้องผ่าเปิดหน้าท้องเข้าไปตรวจดูอีกที หากไม่แน่ใจ ก็ต้องตัดมดลูก 3. ความดันโลหิตสูงของคนไข้รายนี้น่ากลัวมาก อาจต้องวินิจฉัยเข้าข่าย ครรภ์พิษ คนไข้จะต้องได้รับยาอีกหลายขนาน อาทิ MgSO4 ซึ่งอันตรายมากพอสมควร แต่..ในความคิดเห็นของสูติแพทย์เก่าๆ เช่นข้าพเจ้า จะคิดเพียงว่า คนไข้น่าจะเป็น Chronic hypertension เพราะเป็นคนไข้ท้องหลัง และไม่มีอาการปวดหัว ตามัว จุกแน่นหน้าอก (Prodomal symptom) ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องให้ยาตัวนั้น

การคลอดฉุกเฉินนั้น น่ากลัวมาก โดยเฉพาะคนไข้ที่มีภาวะแทรกซ้อน ดังที่เล่ามา สูติแพทย์ แม้จะมีประสบการณ์ ยังอาจผิดพลาด นับประสาอะไรกับสูติแพทย์จบใหม่ ที่เพิ่งออกมาผจญภัยในสังคมยุคนี้ การผิดพลาดในการตัดสินใจรักษา แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องใหญ่โตได้ด้วยสังคมออนไลน์ social media…แต่ถ้า เกิดเรื่องรุนแรงใหญ่โตกับคนไข้จริงๆละก็.. คุณหมอท่านนั้น คงแทบจะตกนรกไปเลย..

พ.ต.อ. นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน……..

 

 

 

   

ตกเลือดหลังคลอด จากรกค้าง (Retained pieces of placenta)

ตกเลือดหลังคลอด จากรกค้าง (Retained pieces of placenta)

เรื่องราวการตกเลือดหลังคลอดจากรกค้าง (Retained pieces of placenta) นั้น พบได้บ่อยในกรณีคนท้องตกเลือดหลังคลอดทันทีภายใน 24 ชั่วโมง (Immediate postpartum hemorrhage) แต่..กรณี คนไข้หลังคลอดที่กลับบ้านไปนานเป็นสัปดาห์ๆ แล้วต่อมาตกเลือดจากภาวะนี้ ในชีวิตข้าพเจ้า พบน้อยมาก  ยิ่งเวลาห่างออกไปหลังคลอด เป็นเดือนอย่างกรณีคนไข้รายนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยพบเลย

ทุกคนคงรู้แล้วว่า การตกเลือดหลังคลอดนั้น เป็นสาเหตุการตายของสตรีตั้งครรภ์ ถึง 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตของทั้งหมด.. ดังนั้น การตกเลือดหลังคลอด จึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรระมัดระวังและใส่ใจยามตั้งครรภ์.. การตกเลือดหลังคลอด มี  2 อย่างด้วยกัน คือ ตกเลือดหลังคลอดทันที (Immediate postpartum hemorrhage)   และการตกเลือดหลังคลอด ภายหลัง 24 ชั่วโมง (Late postpartum hemorrhage)

สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะเล่าให้ฟังครั้งนี้ เป็นเรื่องราวที่ข้าพเจ้าแทบไม่เคยเจอเลย ตลอดระยะเวลาในการเป็นสูติแพทย์กว่า 20 ปี  ถึงแม้เรื่องราวที่เล่า จะเป็นเพียงเรื่องที่กล่าวในห้องประชุมวิชาการตอนเช้าของแผนกสูติฯ รพ.ตำรวจเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไปกับการรักษาแบบฉุกเฉิน แต่…เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพของสูติแพทย์เวรและอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด

คุณศิริลักษณ์ คือคนไข้ที่ว่านั้น เธออายุ 25 ปี สามีเป็นคนต่างประเทศ เธอตั้งครรภ์ที่ 2.. บุตรคนแรก เธอคลอดเองเมื่อ 9 ปีก่อน การคลอดในครั้งแรกก็คลอดแบบฉุกเฉินเช่นกัน ตอนนั้น เธอก็ทราบว่า เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด แต่คงด้วยความอยากมีบุตร เธอจึงไม่ได้ฝากครรภ์ เพราะหากฝากครรภ์ คุณหมอคงแนะนำให้ทำแท้ง.. สำหรับการตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 คนไข้ไม่ได้ฝากครรภ์ที่ไหนเช่นกัน  จากการซักประวัติพบว่า เธอเคยเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่ รพ. ยันฮี ด้วยเรื่องลิ้นหัวใจรั่ว เป็นเวลา 4 ปี และถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ศิริราช ด้วย เป็นระยะๆ…1 ปีก่อน คนไข้ ขาดการรักษาเกี่ยวกับภาวะหัวใจรั่วที่ รพ.ศิริราช แต่..ก็ได้ไปรักษาฉีดยาบางครั้งที่ รพ. รามคำแหง ยามที่เหนื่อยหอบ..  ต่อมา คุณศิริลักษณ์ ก็ขาดการรักษาแบบต่อเนื่อง อันเนื่องมาจาก เธอตั้งครรภ์…และไม่ต้องการทำแท้งบุตร

ระหว่างตั้งครรภ์ คุณศิริลักษณ์ไม่ได้ไปฝากครรภ์ที่ไหน อาจเนื่องจากเหตุผลข้างต้น…และสภาพทางเศรษฐกิจร่วมด้วย คนไข้ดำเนินการตั้งครรภ์ไปจนครบกำหนด ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจไปคลอดที่โรงเรียนแพทย์ คุณศิริลักษณ์ คลอดเอง (Vaginal delivery) ที่นั่นอย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา..จากการสอบถามของคุณแม่ เธอบอกว่า ทารกเป็นเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 2600 กรัม คลอดง่ายทั้งตัวลูกและรก  คนไข้ไม่มีการตกเลือดหลังคลอดทันที (Immediate postpartum hemorrhage) ในช่วงระยะแรก เธออยู่โรงพยาบาล 48 ชั่วโมง ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน.. เธอสุขสบายดีมาโดยตลอด จนกระทั่ง…

6 ชั่วโมงก่อนมาที่ รพ.ตำรวจ   คุณศิริลักษณ์มีเลือดออกจากช่องคลอดในลักษณะเป็นลิ่มๆ จำนวนมาก ประมาณ 1 ลิตร  จากนั้น เธอก็ปวดท้องน้อยตลอดเวลา.. เลือดยังคงไหลออกมาจากช่องคลอดไม่หยุดหย่อน  ผู้ป่วยไม่มีภาวะปัสสาวะแสบขัด แต่..มีอาการคลื่นใส้อาเจียน ..หลังจากตกเลือดไปสักพักหนึ่ง คนไข้ก็หมดสติ ญาตจึงนำส่งโรงพยาบาลตำรวจ….ราวๆเที่ยงคืน

แพทย์ประจำบ้านสูติฯ และอายุรกรรมได้มาตรวจคนไข้รายนี้พร้อมกัน เพราะคนไข้มี 2 โรคร้ายแรงในตัวเธอ.. จากการตรวจร่างกาย  คุณศิริลักษณ์ เธอมีความดันโลหิต 90/60 มิลลิเมตรปรอท และลดลงเป็น 73/39 มิลลิเมตรปรอท (Shock) ชีพจรเต้นจาก 80 เพิ่มเป็น 130 ครั้งต่อนาที.. ในระหว่างที่รอเลือด ด้วยระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ใบหน้าของคนไข้ ก็ซีดเซียวลงอย่างรวดเร็ว.. ที่หัวใจ  ปรากฏมีเสียงฟู่ ฟู่ ดังมาก….เมื่อเปรียบเทียบจากผลการเอกซเรย์ปอด..หัวใจของคุณศิริลักษณ์ มีขนาดเทียบเท่ากับคนไข้หัวใจวาย ซึ่งไม่นานนัก เธอก็เหนื่อยหอบจนตัวโยน จากการตรวจภายใน พบว่า  ปากมดลูกของคุณศิริลักษณ์ เปิด 3 เซนติเมตร มีเลือดออกจากปากมดลูกตลอดเวลา จำนวนค่อนข้างมาก ประมาณ 1 ลิตร.. ตอนนั้น คนไข้เกือบจะหมดสติอีกครั้ง ซึ่งบรรดาคุณหมอก็พยายามดูแลอย่างใกล้ชิด  มดลูกของคุณศิริลักษณ์ มีขนาดเท่ากับอายุครรภ์ 16 สัปดาห์  ซึ่งหมายถึง มันยังไม่เข้าอู่ (Subinvolution ) ปกติ มดลูกจะเข้าอู่ประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอด ..แต่ในรายนี้ ไม่เป็นเช่นนั้น มดลูกมีขนาดเท่ากับคนท้อง 4 เดือนทีเดียว เราจึงจำเป็นต้องตรวจอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุให้ได้ ส่วนที่จะเป็นสาเหตุของการตกเลือดหลังคลอดมากกว่า 24 ชั่วโมงนั้น ที่พบบ่อย มีสาเหตุมาจาก 1. การติดเชื้อในโพรงมดลูก ซึ่งพบบ่อยกว่า… และ 2. รกค้าง (Retained pieces of placenta)  ….คุณศิริลักษณ์ ส่งเสียงร้องปวดครวญครางอย่างน่าเวทนาขณะที่คุณหมอกำลังคลำบริเวณหน้าท้องของเธอ  

จากการตรวจดูด้วยอัลตราซาวนด์ พบว่า มีก้อนชิ้นเนื้อสีเข้มอยู่ภายในโพรงมดลูกของคุณศิริลักษณ์ ขนาด 2×5 เซนติเมตร….. แต่ที่บริเวณปีกมดลูก  ไม่พบมีปัญหาใดๆ…นั่นหมายถึง มีเศษรกค้างในโพรงมดลูกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการตกเลือด.. จากการเอกซเรย์ปอด พบว่า หัวใจของคุณศิริลักษณ์ค่อนข้างโต คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ก็มีผิดปกติ บางส่วน (inverted T in V1 – V6 ) สูติแพทย์เวรได้ปรึกษาเรื่องความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจของคุณศิริลักษณ์กับอายุรแพทย์ หน่วยหัวใจหลอดเลือดและวิสัญญีแพทย์ เพื่อขอนำคนไข้เข้ารับการขูดมดลูกในห้องผ่าตัด

สำหรับ ความเข้นข้นของเลือดคุณศิริลักษณ์ ตอนแรกรับ เท่ากับ 29% และ ลดลงเหลือ 25% ก่อนเข้าห้องผ่าตัด เพราะเสียเลือดไปในระหว่างรอเข้าห้องผ่าตัดไปไม่น้อย.. คุณศิริลักษณ์ ได้รับน้ำเกลือไป 2 ถุง รวมทั้ง ตัวเพิ่มขยายนำเลือด อีก 500 มิลลิลิตร ทั้งหมดนี้ ต้องให้อย่างระมัดระวัง เพราะมิฉะนั้น คนไข้จะเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวาย

ที่ห้องผ่าตัด สูติแพทย์เวร ได้ทำการขูดมดลูกส่วนที่ค้างอยู่ โดยดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องควบคู่กันไปด้วย การขูดมดลูกกินเวลา ประมาณ 20 นาที ก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ จากนั้น คุณศิริลักษณ์ ก็ถูกส่งไปเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู.ศัลยกรรม อายุรแพทย์เวร เฝ้าดูคนไข้อย่างใกล้ชิด และคำนวณจำนวนน้ำเกลือ รวมถึงเลือดที่เข้าออกจากตัวคนไข้ อย่างระมัดระวัง   โดยคนไข้ได้รับเลือดไปในระหว่างผ่าตัดจำนวน  2 ถุง เพราะก่อนเข้าห้องผ่าตัด คนไข้เสียเลือดไปประมาณ 2500 มิลลิลิตร (2.5 ลิตร) และได้รับสารน้ำเพิ่มเติมในจำนวนใกล้เคียงกัน   แม้ถึงกระนั้น อายุรแพทย์ ยังเผลอบ่นออกมาดังๆว่า ‘ดูแลยากมาก.. คนไข้รอดจากตกเลือด ไม่รู้ว่า จะตายจากหัวใจวายหรือเปล่า??’  …คุณศิริลักษณ์พักอยู่ ห้อง ไอ.ซี.ยู. 2 วัน ก็ย้ายมาอยู่หอผู้ป่วยชั้น 5 ของกลุ่มงานสูติฯ อายุรแพทย์ หน่วยหัวใจ ยังติดตามมาดูแลอีก เพราะคนไข้มีโรคหัวใจผิดปกติแต่กำเนิดร่วมด้วย คุณหมอบอกว่า ‘น่าจะเป็นชนิดที่เรียกว่า Tetralogy of Fallot (TOF) ส่วนรอยรั่วที่ผนังหัวใจ มีโอกาสเป็นชนิด  ASD (Atrial septal defect) ค่อนข้างมากคุณหมอยังนัดคุณศิริลักษณ์เข้ามาตรวจ เผื่อว่าจะมีโอกาสเข้ารับการผ่าตัดหัวใจต่ออีก ถือว่า โชคดีมากๆเลย.. เธอพักอยู่โรงพยาบาลตำรวจ 5 วัน ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ นับว่า เป็นคนที่มีบุญวาสนารายหนึ่ง ซึ่ง..รอดพ้นจากมือของมัจจุราชมาได้อย่างหวุดหวิด

โลกเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าทางด้านวิทยาการทางการแพทย์ ทำให้ชีวิตมนุษย์ยืนยาวขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อว่า ไม่มีใครสามารถฝืนโชคชะตาแห่งชีวิตไปได้ ดังนั้น ขอให้ยึดมั่นในคุณความดี ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยเรา ทุกสิ่งทุกอย่างในด้านการรักษา ก็น่าจะผ่านพ้นวิกฤต..แต่ ภาวะแห่งทุนนิยมของโลก ที่ถาโถมเข้ามาในบ้านเมืองเรา ..อาจทำให้การรักษาของบ้านเรา ล้มละลายไปได้เช่นกัน เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาทุกอย่าง  ใช้เงินมากขึ้นทุกที… จนในที่สุด.. ชีวิตมนุษย์ อาจมีค่าน้อยกว่า อวัยวะบางส่วนของตัวเรา ก็เป็นได้..

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ. เสรี   ธีรพงษ์  ผู้เขียน  

 

 

ความงดงามแห่งชีวิต

ความงดงามแห่งชีวิต

ในโลกนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ‘ลูก คือ ความงดงามแห่งชีวิต’ แต่..ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีใครลิขิตได้เลยว่า ตอนที่เราเกิดมา จะมีรูปร่างสวยงาม หรือ พิการอัปลักษณ์ตั้งแต่กำเนิด.. ใครเลย..จะอยากเกิดมาแล้ว มีความผิดปกติ ซึ่ง..หากมีความผิดปกติ ที่อวัยวะภายนอก ส่วนใหญ่ ก็สามารถผ่าตัดแก้ไขได้.. แต่ถ้ามีความผิดปกติแต่กำเนิดของอวัยวะภายใน..จะพบว่า อวัยวะภายในที่สำคัญหลายส่วน  ผ่าตัดแก้ไขไม่ได้เลย และชีวิตก็ต้องจบลงเพียงเท่านั้น.. ช่วงเวลาที่ผ่านมาเร็วๆนี้ ได้ปรากฏมีภาพทารกพิการแต่กำเนิดหลายราย เกิดขึ้นทั้งในโรงพยาบาลตำรวจและสื่ออินเตอร์เนต อาทิ แฝดสยาม, ทารกไร้กะโหลกศีรษะ, หรือทารกที่มีอวัยวะจำนวนมากผิดรูปผิดร่าง เนื่องจากโครโมโซมผิดปกติ  

ไม่นานมานี้ เพื่อนคนหนึ่ง ได้โทรศัพท์ติดต่อกับข้าพเจ้า เพื่อขอส่งต่อทารกพิการแต่กำเนิดรายหนึ่งจากโรงพยาบาลเอกชน เพื่อมาผ่าตัดรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ด้วยว่า ภรรยาของเพื่อนข้าพเจ้า คลอดบุตรออกมา แล้วมีปัญหาหลอดอาหารอุดตัน (Esophageal atresia)..กล่าวคือ หลอดอาหารส่วนที่ยาวลงมาจากคอ สิ้นสุดลง ก่อนที่จะต่อเข้ากับกระเพาะอาหาร ..ยังโชคดี!! ที่ปลายหลอดอาหาร มันไม่ต่อเข้ากับท่อหายใจ ซึ่ง..เป็นกรณีที่ร้ายแรงกว่า ทารกเสียชีวิตได้ง่ายกว่า จากการติดเชื้อเข้าในปอด..ข้าพเจ้าโทรศัพท์ติดต่อกับศัลยแพทย์เด็กของโรงพยาบาลตำรวจทันที ทารกน้อยได้เข้ารับทำการผ่าตัดต่อหลอดอาหารเข้ากับกระเพาะในค่ำคืนนั้นเอง ซึ่ง..โชคดี ที่การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่..ทารกน้อย ก็ยังคงต้องนอนอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิดเป็นเวลานานนับเดือน เพื่อรักษาแผลผ่าตัดและป้องกันภาวะแทรกที่อาจเกิดขึ้น

หลังจากนั้น ก็มีทารกพิการแต่กำเนิด เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลตำรวจตามมาอีกหลายคน ซึ่ง..บางคนต้องจบชีวิตลง เพราะเป็นความพิการที่รุนแรง… มีทารกน้อยพิการแต่กำเนิดอยู่รายหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้า ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยตลอดชีวิตการเป็นสูติแพทย์ ๒๐ กว่าปี..ทารกน้อยรายนี้มีความผิดปกติหลายส่วนของอวัยวะ..

คุณอัญชลี อายุ ๓๒ ปี ตั้งครรภ์นี้ เป็นครรภ์ที่ ๓…. บุตร  ๒ คนแรกของเธอ เป็นหญิงทั้งคู่ อายุ  ๑๐ และ ๖ ปีตามลำดับ ปัจจุบัน แข็งแรงดี สำหรับครรภ์นี้ คุณอัญชลีเริ่มมาฝากครรภ์ ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ เพียง ๙ สัปดาห์ จากนั้น เธอก็มาฝากตามนัดตลอด รวมทั้งสิ้น จำนวน ๘ ครั้ง….ณ ขณะนั้น เธอตั้งครรภ์ได้ ๒๕ สัปดาห์แล้ว.. ใครจะไปคาดคิดถึงว่า จะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับคุณอัญชลี…มันเกิดขึ้นในช่วงราวๆกลางเดือนที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูอัลตราซาวนด์ทางสูติฯ ได้ตรวจอัลตราซาวนด์ให้กับคุณอัญชลี จากการร้องขอการปรึกษาจากสูติแพทย์ทั่วไปที่ห้องตรวจครรภ์ ซึ่ง..พบว่า ลูกของคุณอัญชลี  มีแขนขาสั้นและกระดูกแขนขาทุกชิ้นของลูกเธอ มันสั้นกุดทุกชิ้น นอกจากนั้น ยังมีส่วนบริเวณหน้าอก ที่เว้าบีบเข้ามาจนแคบมาก ลักษณะเช่นนี้ ถือเป็นความพิการแต่กำเนิดชนิดร้ายแรง ซึ่ง…มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Thanatophoric dysplasia

จากตำรา กล่าวว่า ทารกในครรภ์ที่เป็นโรคนี้ คลอดออกมาถึงแม้จะครบกำหนด ก็จะเสียชีวิตอย่างแน่นอน (Lethal anomaly) ดังนั้น สูติแพทย์เจ้าของไข้ จึงได้ นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการยุติการตั้งครรภ์ เพื่อขอให้ทำแท้งเพื่อการรักษา (Therapeutic abortion).. คุณอัญชลีขอคำอธิบายอีกเล็กน้อยว่า “ลูกของเธอเป็นเช่นไร เวลาแท้งออกมาและ เสียชีวิต.. จะได้สบายใจว่า เธอไม่ได้ทำบาปมากนัก”

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอัลตราซาวนด์ ในคณะกรรมกายุติการตั้งครรภ์ พูดอธิบายให้คนไข้และสามีฟังว่า  ‘ลูกของคุณมีความพิการซ้ำซ้อน หลายประการ โรคนี้เป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของกระดูกอย่างรุนแรง มีลักษณะเด่น คือ ช่วงแขนขาทั้งหมดจะสั้น อย่างมาก (extremely short limbs)  รวมทั้งผิวหนังที่คลุมแขนขาจะย่นย้วยคลุมส่วนดังกล่าวด้วย (folds of extra [redundant] skin on the arms and legs) นอกจากนั้น ยังมีลักษณะพิการอื่นๆอีก ได้แก่ หน้าอกแคบ (narrow chest)  กระดูซี่โครงสั้น, ปอด ไม่พัฒนา , ศีรษะมีขนาดใหญ่ หว่างคิ้งกว้าง ทำให้แลดูนัยน์ตาห่าง (an enlarged head with a large forehead and prominent, wide-spaced eyes) ในบางคน รูปกะโหลก จะบีบรัดห่อตัว คล้ายใบไม้ห่อขนมหรืออาหาร ฉะนั้น ’

คำว่า  thanatophoric นั้นเป็นภาษากรีกโบราณ แปลว่า “การแบกถือความตายมากำเนิด”  ทารก ที่มีความพิการเช่นนี้ มักจะตายคลอด หรือเสียชีวิต หลังคลอดในเวลาไม่นานนัก เพราะมีระบบการหายใจล้มเหลว (respiratory failure) อย่างไรก็ตาม ก็มีบางรายที่รอดชีวิตอยู่จนถึงวัยรุ่น โดยอาศัยการช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างมากมาย สรุปรวมความว่า ทารกลูกคุณอัญชลี หากยังมีชีวิตอยู่ในครรภ์ต่อไปอีก ๕ เดือน เมื่อคลอดออกมา ก็ไม่น่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือแห่งมัจจุราชไปได้

คุณอัญชลี แม้จะมีความอาลัยรักในบุตรของตน แต่..ก็ต้องตัดใจเข้ารับการทำแท้งเพื่อการรักษา ในขณะอายุครรภ์ ๒๕ สัปดาห์ ภายใต้การดูแลของคณะแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยคนไข้ได้รับการเหน็บยา (ขอสงวนนาม) ทางช่องคลอดตัวหนึ่ง ซึ่ง..ออกฤทธิ์ทำให้ปากมดลูกนุ่ม และมดลูกแข็งตัวแบบเกร็งบ่อยๆ..ในที่สุด.. คุณอัญชลีก็แท้งบุตรออกมาเมื่อเวลา ๔ นาฬิกา ของคืนวันที่ทำแท้ง.. หลังจากเหน็บยาไปได้เพียง ๓ เม็ดเท่านั้น ทารกเป็นเพศชาย, น้ำหนักแรกคลอด ๙๐๘ กรัม ปรากฏรูปลักษณ์เป็นดั่งที่บรรยายมาข้างต้น ทุกประการ  

คุณอัญชลี แม้จะเสียใจในการจากไปของบุตร แต่..ก็ขอมอบร่างที่ไร้วิญญาณนั้น ให้กับทางโรงพยาบาล เพื่อเป็นวิทยาทานทางด้านการศึกษา เรื่องราวของ..คุณอัญชลี ได้ถูกนำมาเล่าต่อกันในห้องประชุมวิชาการกลุ่มงานสูติ-นรีเวชในตอนเช้าของวัน ที่คุณอัญชลีแท้งบุตร เพื่อการเรียนการสอน.. ข้าพเจ้าเองนั้น ไม่เคยเห็นสภาพของความพิการทารกเช่นนี้มาก่อนเลย แม้ว่าจะอยู่ในวงการสูติฯมากว่า ๒๐ ปี

ในฐานะ ที่ข้าพเจ้าก็เป็นบุพการีของบุตรผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าจึงเข้าใจความรู้สึกของคนไข้เหล่านี้ได้ดี.. เวลาที่เราเฝ้ามองลูกของเราแบบเพ่งพินิจ แม้ว่า ลูกของเราจะมีรูปลักษณ์เช่นไร เราก็จะมีความรู้สึกว่า นั่นคือ แก้วมณีอันเลอค่าของจักรวาลนี้ น่ารัก สว่างไสว ไร้ตำหนิ จนไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้… ‘ลูก’ จึงเป็นความงดงามแห่งชีวิตของมนุษยชาติ ..เป็นความหมาย รวมทั้งจุดมุ่งหมายในชีวิตของเรา…ข้าพเจ้าอยากให้ผู้คนบนโลกใบนี้ เมื่อให้กำเนิดลูกหรืออัญมณีแห่งชีวิตออกมาแล้ว ขอท่านจงแบ่งเวลาส่วนหนึ่ง เพื่ออบรมสั่งสอน หรือ..ก็คือ การเจียรนัยอัญมณีเม็ดนั้น เพื่อให้ลูกเป็นคนดี.. มีความสุข และอยู่รวมในสังคมอย่างสร้างสรรค์…

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

กระเพาะปัสสาวะปริแตกจากการคลอดเอง

กระเพาะปัสสาวะปริแตกจากการคลอดเอง

ข้าพเจ้า เพิ่งเดินกลับจากการไปพักจิต ที่วัดแก้วประเสริฐ จังหวัดชุมพร  รู้สึกเลยว่า ‘การอยู่วัดแบบเงียบๆ เรียบง่าย แม้ในช่วงเวลาอันสั้น ก็ให้ความสุขแก่ข้าพเจ้าอย่างประหลาด ด้วยว่า ข้าพเจ้าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ไร้สิ่งรบกวน เพราะที่นั่น โทรศัพท์ข้าพเจ้าใช้ไม่ได้ นอกจากนั้น หลวงตาจงเจ้าอาวาท และคณะลูกศิษย์ ได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ที่สำคัญที่สุด คือ ข้าพเจ้ารู้สึกตัวในส่วนลึกๆเลยว่า ข้าพเจ้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของวัดแก้วประเสริฐ แห่งนั้น ไปเสียแล้ว ..วัดแก้วประเสริฐ คือบ้านแห่งที่สองของข้าพเจ้า ซึ่ง..มีโอกาสเมื่อไหร่ ข้าพเจ้าก็จะกลับไปเยือน..’  

การคลอดเองตามธรรมชาติ (Spontaneous delivery) นั้น เป็นสิ่งที่ผู้หญิงเกือบทุกคนปรารถนา เพื่อสนองความรู้สึกที่ว่า ‘เธอทำหน้าที่เป็นแม่ได้อย่างสมบูรณ์’ ..แต่..เธอจะรู้หรือไม่ว่า ‘การคลอดเองทางช่องคลอดนั้น คนท้องต้องระทมทุกข์ทรมานมากมายขนาดไหน จากความเจ็บปวดของเบ่งคลอด.. ปัญหาหนึ่งที่ใครก็คาดไม่ถึง แต่อาจเกิดขึ้นได้ ก็คือ กระเพาะปัสสาวะปริแตก (Bladder ruptured) จากการคลอด ภาวะแทรกซ้อนเช่นนี้ พบน้อยมาก.. ตลอดชีวิตของการเป็นสูติแพทย์ของข้าพเจ้ากว่า ๒๐ ปี.. ไม่เคยพบเจอภาวะนี้เลย..

คุณมัทณา อายุ ๒๘ ปี  ซึ่งมีรูปร่างอ้วน, สูงใหญ่ น้ำหนักเกือบร้อยกิโลกรัม ตั้งครรภ์ที่ ๒ ฝากครรภ์ที่ รพ.พนมสารคาม มาตลอด คือตัวละครสำคัญในเรื่องนี้ ..โดยมีประวัติ ความดันโลหิตสูง บ้างเป็นบางครั้ง ซึ่ง..ไม่ได้รับการรักษาใดๆระหว่างที่ฝากครรภ์ ครั้งนี้ เธอตั้งครรภ์ได้ครบ ๓๘ สัปดาห์พอดี.. เธอเดินทางมาโรงพยาบาลตำรวจ ด้วยเรื่อง เจ็บครรภ์คลอด ๔ ชม ก่อนมา รพ. ..พยาบาลห้องคลอดตรวจภายในให้กับเธอ พบว่า ปากมดลูกเปิด ๓ เซนติเมตร ความบาง 75%  ..หลังจากสวนถ่ายอุจจาระให้กับเธอเป็นที่เรียบร้อย.. สูติแพทย์เวร ได้ตรวจอัลตราซาวนด์ ผ่านทางหน้าท้องให้..และคำนวณน้ำหนักเด็กได้ ประมาณ ๔ กิโลกรัม คุณหมอจึงกะว่า คุณมัทณาน่าจะต้องเข้ารับการผ่าตัดคลอด เพราะเมื่อลองมองย้อนจากประวัติของคุณมัทณา ก็พบว่า บุตรคนแรกของเธอ มีน้ำหนักแรกคลอดถึง 3.6 กิโลกรัม ซึ่ง..ถือว่า ตัวใหญ่มากสำหรับครรภ์แรก..คุณมัทณา เล่าให้ฟังว่า ครรภ์ก่อน คลอดยากมาก..เรียกว่า แทบตายเลยทีเดียว  อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ลูกคนแรกของเธอแข็งแรงดี

3 ชั่วโมงหลังจากนอนที่ห้องรอคลอด คุณมัทณา ก็รู้สึกอยากเบ่งคลอดขึ้นมาทันใด นั่นแสดงว่า กระบวนการคลอดของเธอ ดำเนินไวมาก (progress of labor) ตอนนั้น สูติแพทย์เวรกำลังผ่าตัดคลอดให้กับคนท้องอีกรายหนึ่ง คุณหมอจึงไม่ได้มาดูเธอ.. คุณหมอมาทราบจากพยาบาลผู้ทำคลอดภายหลังว่า ‘คุณมัทณา คลอดได้ ไม่ยากนัก ทารกเป็น เพศหญิง น้ำหนักแรกคลอด 3650 กรัม คะแนนศักยภาพแรก คลอด 9 และ 10 ตามลำดับ (คะแนนเต็ม 10)’ 

กระเพาะปัสสาวะ เป็นอวัยวะที่มีกล้ามเนื้อเรียบ (Smooth muscle) เป็นส่วนสำคัญ มันมีความยืดหยุ่นเป็นเยี่ยม.. เมื่อจุน้ำปัสสาวะได้ประมาณ ๒๕๐ ซี.ซี. ทุกคนก็จะรู้สึกปวดปัสสาวะ ..แต่..บางกรณีที่คนไข้ไม่รู้สึกปวด.. ปัสสาวะอาจเพิ่มมากถึง ๑๐๐๐ ซี.ซี. ได้ โดยที่ถุงกระเพาะปัสสาวะไม่ปริแตก

ภาวะที่กระเพาะปัสสาวะปริแตก ในระหว่างคลอดเอง หรือหลังคลอดนั้น  แม้ว่า จะพบได้ไม่บ่อย  แต่ก็เป็นกรณีฉุกเฉิน  การเจาะเลือด เพื่อหาค่า ระดับของ ครีเอตินิน (Creatinine) และ ยูเรีย ( urea) รวมทั้ง สัดส่วน (ratio) สามารถช่วยวินิจฉัยได้มาก (prior to laparotomy)  คนท้องหลังคลอด โดยเฉพาะคนที่ได้รับการเย็บซ่อมปากช่อคลอด (Perineorhaphy) ควรจะได้รับการสวนเอาปัสสาวะออกแบบหมดจริง (completely) และได้รับการเฝ้าสังเกตอาการแสดงของภาวะปัสสาวะคั่งค้าง (urinary  retention) นั่น..ก็จะเป็นการหลีกเลี่ยง ความเสี่ยงในการเกิดกระเพาะปัสสาวะแตกปริได้ (spontaneous bladder rupture)

ในการประชุมตอนเช้าวันรุ่งขึ้นหลังผ่าตัดเย็บซ่อมกระเพาะปัสสาวะของคุณมัทณา นักศึกษาแพทย์ได้รายงานว่า ถัดจากวันที่คุณมัทณาคลอดบุตรถึง ๒ วัน..กระเพาะปัสสาวะถึงจะแตก.. วันนั้น คุณมัทณากำลังจะกลับบ้าน.. จู่ๆ! เธอก็ปวดท้องน้อยขึ้นมา อย่างเฉียบพลัน และล้มตัวลงนอน จากนั้น เธอก็ไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้อีกเลย ..อาการปวดท้องน้อยทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องปรึกษาศัลยแพทย์ ..คุณหมอทั้งสองแผนก ต่างไม่แน่ใจว่า อาการปวดท้องน้อยของคุณมัทณา เป็นมาจากสาเหตุใด.. ในที่สุด จึงได้มีการส่งตรวจ CT scan  ผลคือ มี ของเหลว เต็มท้อง  (Free Fluid) ของคุณมัทณา..ของเหวที่ว่านั้น อาจเป็นเลือด ,ปัสสาวะหรืออะไรอย่างอื่น อาทิ น้ำเลี้ยงไข่ จากถุงน้ำรังไข่แตก ก็ได้

สูติแพทย์เวร เป็นผู้ผ่าตัดเปิดหน้าท้องในเบื้องต้น เพราะศัลยแพทย์ที่มาดูคนไข้ไม่เชื่อว่า จะเป็นภาวะทางศัลยกรรม เมื่อผ่าตัดเปิดเข้าไปในช่องท้องของคุณมัทณา ก็พบว่า มีปัสสาวะอยู่เต็ม คะเนว่า น่าจะมีจำนวนมากถึง 4 ลิตร นอกจากนั้น ยังพบรูรั่วที่ยอดถุงกระเพาะปัสสาวะกว้างราวเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2 เซนติเมตร.. กระเพาะปัสสาวะที่แตกปริเองเช่นนี้ มักจะเกี่ยวพันกับคนไข้ที่มีประวัติเคยประสบอุบัติเหตุ ถูกกระแทกบริเวณหัวเหน่าขณะที่กระเพาะปัสสาวะโป่งพอง  (history of recent trauma leading to a rapid deceleration force on the bladder or in the setting of acute or chronic urinary retention)  

ข้อที่น่าสังเกต คือ กระเพาะปัสสาวะที่แห้งจากการสวนก่อนเข้าห้องคลอด มักจะโป่งพองขึ้นจากน้ำปัสสาวะอย่างรวดเร็วหลังคลอด.. การที่คนไข้ไม่ได้รับการสวนปัสสาวะหลังคลอดในบางครั้ง อาจก่อให้เกิดการโป่งพองของกระเพาะปัสสาวะมาก จนนำไปสู่การแตกปริได้…. การคลอดแบบเร็วเร่งมากๆ (Precipitate delivery in the presence of an over-distended Bladder) อาจเป็นเหตุให้กระเพาะปัสสาวะแตกปริได้  อาการของภาวะกระเพาะแตกปริ คือ ปวดบริเวณหัวเหน่าและไม่มีปัสสาวะไหลออกมา..ซึ่ง..ร้อยละ 95 จะพบมีเลือดออกมาในกระเพาะปัสสาวะ (hematuria) ด้วย

การวินิจฉัยภาวะกระเพาะปัสสาวะแตกปริหลังคลอดไม่ใช่เรื่องง่าย.. การส่องกล้องผ่านทางท่อปัสสาวะ  (Cystoscope) เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ เป็นวิธีที่ช่วยในการหาหลักฐานของการทะลุภายในกระเพาะปัสสาวะ และช่วยตัดสินใจรักษาผ่าตัดได้ดี โดยที่ยังไม่มีอาการช่องท้องอักเสบ (peritonitis) ..

ลักษณะอาการและอาการแสดง ที่สำคัญของภาวะกระเพาะปัสสาวะแตกปริ คือ  ไม่มีปัสสาวะออกมาเลย (anuria), หรือปัสสาวะออกมาน้อยมาก (oliguria), หรือ ปัสสาวะเป็นเลือด (hematuria), ปวดท้องน้อย แบบจุกๆ (vague abdominal pain)  และมีลักษณะท้องม่าน (Ascites) ร่วมกับผลเลือด ที่บอกถึง ภาวะไตวาย …นั่นจะบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ว่า ‘กระเพาะปสสาวะแตกปริ (Bladder rurture)’ อย่างไรก็ตาม น้ำปัสสาวะ ภายในช่องท้องสามารถถูกดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว..  แต่ผลเลือด ยูเรีย และ ครีเอตินีน (urea and creatinine)  จะเพิ่มสูงขึ้นใน  45% ของคนไข้เหล่านี้ ภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อกระเพาะปัสสาวะแตกปริ

สาเหตุเท่าที่จะเป็นไปได้  เชื่อว่า คนไข้น่าจะมีปัญหาเรื่องปัสสาวะลำบากช่วงหลังคลอดทันที ซึ่ง..ไม่มีใครสังเกตพบ โดยเฉพาะกลุ่มคนท้องที่มีการตัดฝีเย็บ จะมีอาการเจ็บปวดมากบริเวณนั้น จนทำให้ไม่อยากจะลุกไปปัสสาวะ.. อันจะนำไปสู่ภาวะปัสสาวะคั่งค้าง (Urinary retention) นอกจากนั้น ในคนท้องครรภ์แรก มักจะสับสนระหว่าง ปัสสาวะเป็นเลือด กับน้ำคาวปลา ( hematuria  & lochia) จึงทำให้การวินิจฉัยล่าช้า จนเกิดภาวะช่องท้องอักเสบ..  ส่วนการที่เกิดอาการของเยื่อบุช่องท้องอักเสบ  (late onset of peritonitis) ล่าช้านั้น อาจอธิบายด้วยความจริงที่ว่า ‘ในช่วงแรกๆ ปัสสาวะที่ไหลเข้าไปในช่องท้องผ่านรูรั่วของกระเพาะปัสสาวะนั้น ปราศจากเชื้อ.. ผู้ป่วย จึงยังคงมีอาการช่องท้องอักเสบเพียงเล็กน้อย เท่านั้น’

สำหรับกรณีของคุณมัทณานั้น ข้าพเจ้าคิดว่า น่าจะเกิดจาการที่คนไข้คลอดแบบเร็วเร่ง (Precipitated delivery) ในขณะที่ปัสสาวะยังโป่งพองและเต็มไปด้วยน้ำปัสสาวะ (Bladder full) ยังผลให้ กระเพาปัสสาวะเกิดการบาดเจ็บและมีจุดอ่อนบนผนังกระเพาะปัสสาวะ..ต่อมา คนไข้ไม่ค่อยได้ปัสสาวะ ผล คือ เกิดการสะสมน้ำปัสสาวะ.. ปัสสาวะคั่งค้าง ในวันที่สองหลังคลอด จนเกิดการทะลุออกมาในตำแหน่งจุดอ่อนของผนังกระเพาะปัสสาวะ เพื่อระบายปัสสาวะที่คั่ง และก่อให้เกิดภาวะช่องท้องอักเสบ  

คนท้องที่คลอดเองนั้น ต้องหมั่นสังเกตตัวเองว่า ‘มีปัญหาปัสสาวะคั่งค้าง หรือเปล่า? ’ โดยเฉพาะคนไข้หลังคลอดที่ถูกตัดฝีเย็บ และได้รับการเย็บแผลเยอะๆ เพราะคนไข้จะเจ็บปวด เวลาเข้าห้องน้ำ.. ทำให้ไม่กล้า ไปปัสสาวะ.. นานๆเข้า ก็จะปัสสาวะได้บ้าง ไม่ได้บ้าง หลังจากนั้น ปัสสาวะก็จะคั่งมากขึ้น จนในที่สุด กระเพาะปัสสาวะก็แตกปริได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องสังเกตว่า คนไข้มีปัสสาวะออกมาหลังคลอด มากน้อยแค่ไหน และต้องสนับสนุน ให้คนไข้ปัสสาวะ ให้หมดเกลี้ยง ทุกครั้ง

การที่ข้าพเจ้าได้ไปอยู่ที่วัด แม้จะไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด แต่ข้าพเจ้าก็จะได้สิ่งวิเศษกลับมา หลวงตาเจ้าอาวาทวัดแก้วประเสริฐ ได้ให้คติสอนใจข้าพเจ้าว่า มนุษย์ทุกวันนี้ มีความโลภ เป็นที่ตั้ง และรอคอยความหวังอย่างมากล้น โดยไม่อิงกับสภาพความเป็นจริง คนเรานั้น ถ้าอยากจะให้ชีวิตมีความสุข ตราบนานเท่านาน ก็จง ‘อย่าหวัง ในสิ่งที่หวัง ..อย่าหวังในสิ่งที่ผิดหวัง แล้วคนผู้นั้น จะสมหวัง’…………..

พ.ต.อ. นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

 

 

โศกนาฏกรรม ของคนท้อง

โศกนาฏกรรม ของคนท้อง

ค่ำคืน..ในราตรีแห่งความเงียบ ข้าพเจ้าได้สดับฟังเพลงบรรเลงด้วยเครื่องเป่า Pan flute (ชื่อเพลง ‘Celeste’) ของนักดนตรีอินเดียแดงคนหนึ่ง ชื่อ Leo Rojas.. ให้รู้สึกกินใจ ในความไพเราะสนุกสนานเสียเหลือเกิน พลัน!! นึกถึงเรื่องราวอันน่าเศร้าของคนท้อง 2 เรื่อง ซึ่ง..เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้..ก่อให้เกิดอารมณ์ขัดแย้งกันภายในความรู้สึกของข้าพเจ้า…ใจหนึ่งเหงาเศร้า.. อีกใจหนึ่งเริงร่า.. ในห้วงเวลาเช่นนี้ ทำให้เกิดความคิดว่า ‘นี่หรือคือ รูปแบบอารมณ์ของมนุษยชาติ ..ที่สามารถโศกเศร้า  และเริงร่าในเวลาเดียวกันได้..’   

การตั้งครรภ์หรือ การ‘ท้อง’ที่เราชาวบ้านชอบเรียกกัน.. แท้ที่จริง!!! มันมีเรื่องราวซับซ้อนแทรกอยู่มากมาย บางเรื่องสุดแสนเศร้า.. บางเรื่อง นำเอาความสุขมาสู่ อย่างไรก็ดี ทุกคนที่ตั้งท้องควรเรียนรู้วิชาการไว้บ้าง เพื่อให้อยู่รอดปลอดภัยก่อนจะมาถึงมือหมอ.. ยามเจอสถานการณ์คับขัน แม้แต่ตอนที่ได้เข้ามาอยู่ในห้องคลอด คนท้องก็สามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสม….บางเรื่อง แม้แก้ไขเหตุการณ์ไม่ได้  แต่จิตใจ ก็มีสติระลึกรู้  ผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้…

ถึงแม้จะมีความรู้แบบชาวบ้าน ก็ถือว่า มีความสำคัญไม่น้อย.. เพราะกระบวนการ‘ท้อง’นั้น อันตรายทุกย่างก้าว บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้าและระหว่างตั้งครรภ์ สามารถนำพาคนท้องไปสู่โศกนาฏกรรมได้  ซึ่ง..แน่นอน..รุนแรงเลวร้ายอย่างที่คาดไม่ถึงทีเดียว…

เมื่อเดือนก่อน ได้เกิดเรื่องราวแสนเศร้าเรื่องหนึ่ง ถ่ายทอดจากปากของหมอสูติเพื่อนสนิทของข้าพเจ้า ซึ่งทำงาน ณ โรงพยาบาลรัฐในเขตกรุงเทพฯ คุณหมอได้ทำการผ่าตัดผ่านกล้องเอาเนื้องอกมดลูกออกให้คนไข้รายหนึ่ง (Laparoscopic myomectomy) …ต่อมา คนไข้รายนั้น ตั้งครรภ์.. เธอได้ไปฝากครรภ์ ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย (ขอสงวนชื่อ) ตั้งแต่รู้ตัวว่า’ท้อง’ ..คนไข้รายนี้ ดำเนินการตั้งครรภ์ไปตามลำดับ โดยไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไร.. จนกระทั่งอายุครรภ์ ได้  34 สัปดาห์  จู่ๆ!! เธอก็รู้สึกปวดท้องน้อย คล้ายๆกับการมีระดู…เธอแวะมาสอบถามคุณหมอเพื่อนของข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลของรัฐ.. คุณหมอตอบว่า ‘ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่ถ้ามีปัญหา.. ก็รีบมาหา ก็แล้วกัน’

วันหนึ่ง คนไข้รายนี้ปวดท้องเจ็บครรภ์มาก เธอได้เข้าไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยฯ ผลปรากฏว่า มดลูกแตก (Uterine ruptured) ..ทารกหลุดออกมาจากตัวมดลูก เข้าไปล่องลอยอยู่ในช่องท้อง .. คณะแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์แห่งนั้น ได้ทำการผ่าตัดช่วยชีวิตเด็กอย่างสุดกำลัง.. ปัจจุบัน ทารกน้อยยังอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. และไม่ทราบชะตากรรม ..ส่วนคนไข้ผู้เป็นมารดา ได้รับการผ่าตัดเอามดลูกออกทิ้งไป (Hysterectomy) เนื่องจากมดลูกเกิดความเสียหายจนเก็บรักษาไว้ไม่ได้ ขณะนี้ เธอกำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ที่บ้าน ..เรื่องราวหลังจากนั้น คุณหมอเพื่อนข้าพเจ้าไม่ทราบ และกำลังรอฟังข่าวคราว..

โศกนาฏกรรมที่แย่กว่าเรื่องข้างต้น ยังมีอีก นั่นคือ เรื่องราวของคุณกรกช.. เธอมีอายุเพียง 26 ปี ตั้งครรภ์แฝดและเป็นครรภ์แรก.. ฝากครรภ์ที่คลินิกแห่งหนึ่ง สูติแพทย์ผู้รับฝากได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ให้ตั้งแต่แรก พบว่า เป็นครรภ์แฝด จึงส่งตัวไปฝากครรภ์ยังโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง.. เธอฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง วันหนึ่งเธอทราบข่าวว่า มีการทำเลเซอร์ที่เส้นเลือดของรก ในกรณีเพื่อการรักษาทารกแฝดที่มีขนาดต่างกันมาก (Discordant twins) เนื่องจากเส้นเลือดของรกพันกันและมีการถ่ายเทเลือดจากแฝดคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง เหมือนสภาพของบุตรแฝดของเธอ หลังจากเข้าไปรับการยิงเลเซอร์ที่เส้นเลือดของรกเธอ ณ โรงเรียนแพทย์ (ขอสงวนนาม) ผลก็ปรากฏออกมาดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ

 การตั้งครรภ์แฝดของสตรีนั้น เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่ง และนำความสุขมาให้ครอบครัวของผู้นั้นมากมาย ….มีผู้คนไม่มากนัก ที่ตั้งครรภ์แฝดเองโดยธรรมชาติอย่างเช่นกรณีคุณกรกช….ไม่ว่า..จะเป็นแฝดฝาเดียวกันหรือคนละฝา ก็ตาม

แฝดมหัศจรรย์ของคุณกรกช.. เติบใหญ่ ไปตามอายุครรภ์ โดยไม่มีทีท่าว่า จะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น จนกระทั่งคุณกรกช ตั้งครรภ์ได้ 33 สัปดาห์ 4 วัน.. เธอเกิดเจ็บครรภ์ และมีน้ำเดินมาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งแรก.. เมื่อคุณหมอสูติที่นั่นตรวจภายใน ก็พบว่า ปากมดลูกเปิด 3  เซนติเมตรแล้ว ..ท่านจึงให้ยาเพื่อพัฒนาปอดเด็ก (Steroid) และขอส่งต่อ (Refer) ไปยังโรงพยาบาลศูนย์อีกหลายแห่ง..  ซึ่ง..ทุกแห่งปฏิเสธที่จะรับ เนื่องจาก ไม่มีตู้อบทารก ที่มีเครื่องช่วยหายใจประสิทธิภาพสูง ..คุณกรกช เธอจึงดั้นด้นมาที่โรงพยาบาลตำรวจ

สูติแพทย์เวรของ รพ.ตำรวจรับตัวคุณกรกชไว้ โดยปรึกษากับกุมารแพทย์ก่อน เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า ห้องไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิดยังพอรับได้… คนไข้มาถึงห้องคลอดเมื่อเวลา 16 นาฬิกาของเย็นวันหนึ่ง..  พยาบาลห้องคลอดตรวจภายในให้ พบว่า ปากมดลูกเปิด 4 เซนติเมตร ความบาง 80% ..ทารกแฝด เป็นท่า หัว,หัว (Vertex, Vertex) สูติแพทย์เวร ได้ให้ยาพัฒนาปอดต่อ อีก ๒ ครั้ง และผ่าตัดคลอดให้กับคนไข้ เมื่อเวลา 11 นาฬิกาของเช้าวันใหม่

ทารกทั้งสองคน เป็นเพศหญิง มีน้ำหนักแรกคลอด 1570 และ1716 กรัม มีคะแนนศักยภาพแรกคลอดเท่ากัน คือ  8,9,10 ตามลำดับ (คะแนนเต็ม 10) ณ นาทีที่ 1,5, 10  อย่างไรก็ตาม ..ทารกแฝดทั้งสองถูกส่งตัวไปดูแลที่ห้อง ไอ.ซี.ยู.เด็ก ตั้งแต่แรก โดยไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ..

สิ่งที่ไม่คาดคิดถึง คือ ทารกแฝดทั้งสอง เริ่มมีอาการแสดงเกี่ยวกับปอดหลังจากนั้น 2 วัน หมายความว่า ปอดเป็นฝ้า (NEC) ทารกแฝด จึงได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจทั้งสองคน ต่อมา ทารกแฝดทั้งสองรับน้ำนมจากสายยาง ได้น้อยลง.. กุมารแพทย์จึงรักษาแบบการติดเชื้อทั่วร่างกาย โดยได้ให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีทางเส้นเลือดดำ.. หลังจากนั้น ไม่นาน ภาวะการหายใจของทารกน้อย ก็แย่ลงตามลำดับ

เวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ จู่!! ทารกแฝดตัวแรก ก็เสียชีวิตจากภาวะลมหายใจล้มเหลว..ถัดจากนั้น อีกวันเดียว ทารกแฝดตัวที่สอง ก็สิ้นชีพตามไป ..ยังความโศกเศร้ามาสู่คุณกรกช สามีและญาติ รวมทั้งแพทย์,พยาบาลและเจ้าหน้าที่ห้องไอ.ซี.ยู. ทุกคนที่เกี่ยวข้อง หรือรับรู้เรื่องราว

คณะกุมารแพทย์ คิดว่า การเสียชีวิตของทารกแฝดรายนี้ น่าจะเกิดจากเส้นเลือด ที่เชื่อมระหว่างหัวใจกับปอดทารกน้อยทั้งสองผิดปกติ ..ดังนั้น จึงเกลี้ยกล่อมให้คุณกรกช มอบร่างของทารกทั้งสอง ทำการชันสูตรพลิกศพ เพื่อหาสาเหตุ.. แต่คุณกรกช ผู้เป็นมารดา ทำใจยอมรับไม่ได้ ..ไม่ยินยอม และนำร่างของเด็กน้อย กลับไปบำเพ็ญกุศล ที่วัดใกล้บ้าน ..

เรื่องราวของคุณกรกช และลูกแฝด กำลังจะเลือนหายไปจากสังคม.. วันหนึ่ง มีการพูดถึงเรื่องนี้ ในการประชุมวิชาการตอนเช้าของแผนกสูติฯ ข้าพเจ้ารับฟังด้วยความตกใจ สะเทือนใจ อย่างมาก..โดยสะท้อนใจว่า เรื่องราวเช่นนี้ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่.. จะโศกเศร้า หดหู่ใจ และเป็นทุกข์เพียงใด

ต่อไปภายภาคหน้า ปัญหา ‘การคลอดก่อนกำหนด (Preterm labor)’ ดังเช่นกรณีของคุณกชกร จะเป็นสิ่งที่สร้างความวุ่นวายไม่รู้จบ ให้กับโรงพยาบาลของรัฐ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กที่เกิดก่อนกำหนดนั้น มากมายเหลือคณานับ คิดเป็นเงินหลายแสนหรือหลายล้านบาท.. คนท้องที่ตั้งครรภ์ และเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด จะวิ่งวุ่นหาโรงพยาบาลรัฐ ที่มีศักยภาพระดับศูนย์การแพทย์ อันพรั่งพร้อมด้วยห้องไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด ที่มีเครื่องช่วยหายใจประสิทธิภาพสูง..แต่โรงพยาบาลดังกล่าว มีน้อย..เพราะรัฐ ไม่ได้ให้ความสนใจและทุ่มเทงบประมาณ เพื่อการนี้ 

พระพุทธเจ้า ทรงกล่าวย้ำบ่อยๆว่า ‘น้ำตาของมวลมนุษยชาติที่เหยียบย่ำอยู่บนกองทุกข์นั้น หลั่งไหลออกมา.. มากมายยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก’  ระหว่างที่กำลังเขียนเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้เปิดเพลงบรรเลงของชาวอินเดียแดงคนนั้น และสดับตรับฟังด้วยความตั้งใจ..ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เป็นสิบๆเที่ยว..โดยไม่แปรเปลี่ยนความคิด ไปจากเดิม ..คือ การที่มนุษยชาติ ยังคงเริงร่า บนกองทุกข์ ที่ทับถมกันมาแสนกัลป์แสนกัป โดยไม่รู้เดียงสา เลยสักนิด…

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

 

 

 

  

แฝดใจเพชร

แฝดใจเพชร

คุณเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์หรือไม่? สำหรับข้าพเจ้า…เชื่ออย่างสนิทใจ เพราะชีวิตที่ผ่านมาของข้าพเจ้า ล้วนผ่านพ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์ทั้งสิ้น หากไม่มีปาฏิหาริย์ ข้าพเจ้าคงจบชีวิตไปนานแล้ว ณ ที่คูคลองเล็กๆแห่งหนึ่งที่ขนานคลองชลประทานย่านอำเภอสองพี่น้อง เนื่องจากเหตุการณ์รถกระบะเสียหลัก พลัดตกและจมน้ำ แต่..ก็มีชาวบ้านช่วยเหลือได้ทัน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะกลั้นลมหายใจเฮือกสุดท้ายไม่อยู่..

สิ่งเหลือเชื่อใดๆ ในปัจจุบัน ได้ปรากฏขึ้นให้เห็นบ่อยๆ จนเราเคยชิน..อาทิ เศษเหล็กที่มาประกอบกันขึ้นเป็นเครื่องบิน และเหิรฟ้าได้ดุจนก ..ในทางการแพทย์ วิทยาการและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ก็พัฒนาก้าวหน้าไปไกล…จนแทบไม่น่าเชื่อว่า จะมีมนุษย์คนใดคิดค้นขึ้นมาได้…

วันวาน ข้าพเจ้าได้เดินไปเยี่ยมห้อง ไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด ด้วยหวังจะดูทารกแฝด ซึ่งเป็นปัญหาเข้าที่ประชุมสูติแพทย์เมื่อ ๒ สัปดาห์ก่อน.. น่าแปลกใจ ที่พบมีเด็กแฝดเกิดขึ้นมาอีกคู่ คราวนี้สภาพการณ์ของทารกน้อยรุนแรงกว่าคู่แรกเสียอีก เพราะคนไข้และคุณหมอไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก่อน… จู่ๆ เธอก็ปรากฏกายขึ้นที่ห้องคลอด และเบ่งคลอดหลังจากนั้นไม่นาน..

คนไข้รายใหม่นี้ ชื่อ คุณโสรญา… เธออายุ ๒๔ ปี ตั้งครรภ์แฝด ท้องแรก อายุครรภ์ ๒๖ สัปดาห์ ๔ วัน…๑ วันก่อนมาโรงพยาบาลฯ เธอเริ่มเจ็บครรภ์น้อยๆตอนเที่ยงวัน แต่อาชีพเป็นฝ่ายการเงิน..ทำให้เธอทนทำงานจนถึงค่ำ และพบว่า อาการปวดท้องน้อยเริ่มเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จวบจนตอนเช้าราว ๖ นาฬิกา คุณโสรญา ก็มาที่ห้องคลอด ซึ่ง..เมื่อพยาบาลตรวจภายในให้ ก็พบว่า ปากมดลูกของเธอเปิด ๙ เซนติเมตร ความบาง ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ทารกทั้งสองเป็นท่าหัว,หัว (Vertex,vertex) ..ภายในเวลาไม่ถึง ๑ ชั่วโมง  คุณโสรญาก็เบ่งคลอดลูกออกมาตามธรรมชาติ ตอนนั้น คุณหมอเด็กเพิ่งมาเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ เพื่อช่วยหายใจทารกน้อยในเบื้องต้น คนไข้เบ่งคลอดอยู่นาน ๑ ชั่วโมง ก็คลอดทารกแฝดออกมา.. ด้วยว่า ทารกทั้งสองมีศีรษะ เป็นส่วนนำทั้งคู่  (Vertex, vertex) เธอจึงคลอดไม่ยาก..ทารกน้อยทั้งสอง เป็นเพศหญิง น้ำหนักแรกคลอด พอๆกัน คือ แฝดตัวแรกหนัก ๖๘๘ กรัม แฝดตัวน้องที่คลอดภายหลัง หนัก ๖๙๖ กรัม ซึ่ง..คะแนนศักยภาพแรกเกิด ไม่ดีทั้งสองคน กุมารแพทย์ต้องใส่ท่อช่วยหายใจให้ และถูกส่งไปยังห้องไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด ทันที… ปัจจุบัน แฝดทั้งสองยังอยู่ในอาการร่อแร่…. เราคงต้องเฝ้าดูต่อไป

อีกรายหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อราวครึ่งเดือนก่อน..เป็นกรณีของคุณจิตราวดี  คนไข้อายุ ๒๘ ปี เคยแท้งบุตรมา ๒ ครั้ง ฝากครรภ์ครั้งแรกตั้งแต่อายุครรภ์เพียง ๙ สัปดาห์ พออายุครรภ์ ได้ ๒๓ สัปดาห์ สังเกตว่า มดลูกโตมากกว่าปกติ สูติแพทย์ที่แผนกฝากครรภ์จึงตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องให้ ปรากฏว่า เธอมีลูกแฝด ขนาดของทารกน้อย เท่ากับ ๒๑ และ ๑๙ สัปดาห์ ตามลำดับ เธอได้รับการส่งตัวต่อ..ให้ตรวจโดยละเอียด กับคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านการดูอัลตราซาวนด์ (MFM = Maternal- fetal medicine)

เมื่อคุณจิตราวดี ตั้งครรภ์ได้ ๒๕ สัปดาห์ การตรวจอัลตราซาวนด์ โดยละเอียดจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีทารกน้อย คนหนึ่ง เกิดสภาพแคระแกรน (IUGR= Intrauterine growth retardation) และทารกอีกคนน่าจะได้รับเลือดถ่ายเทจากทารกตัวเล็ก (Twin –twin transfusion syndrome) สำหรับ ‘รก’ พบว่า มันเป็นรกอันเดียว แต่มีถุงน้ำคร่ำแยก (Monochorion Diamnion Placenta) รกชนิดนี้นี่เอง ที่ก่อปัญหา ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงทารกทั้งสอง มีการเชื่อมต่อกันในบางส่วน เลือดจะถ่ายเทจากตัวหนึ่งไปสู่อีกตัวหนึ่งได้ ทำให้ทารกตัวหนึ่งขาดเลือด ในขณะที่ทารกอีกตัวมีภาวะเลือดมากเกิน (Polyhydramnios) เป็นผลให้ทารกตัวเล็กเสียชีวิตได้ง่าย.. จากนั้น เป็นต้นมา คุณจิตราวดี ก็ได้รับการตรวจอัลตราซาวนด์จากผู้เชี่ยวชาญทุกสัปดาห์.. พออายุครรภ์ ๒๗ สัปดาห์ ๓ วัน ทารกทั้งสองเริ่มมีภาวะแคระแกรนอย่างเห็นได้ชัด แต่..ก็ยังไม่ถึงกับต้องผ่าตัดคลอดออกมา

เมื่อคุณจิตราวดี ตั้งครรภ์ได้ ๒๘ สัปดาห์ ๕ วัน ตอนนี้เอง ที่พบว่า การไหลเวียนของเลือดภายในรกเกิดการย้อนกลับ (Reverse flow) ซึ่ง..เป็นสัญญาณอันตรายร้ายแรง บ่งบอกว่า ทารกทั้งสองจะเสียชีวิตในเวลาอีกไม่นานหลังจากนี้..  นี่เอง..เป็นเหตุให้สูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอัลตราซาวนด์ ต้องคุยกับคุณจิตราวดี ว่า ‘ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องตัดสินใจผ่าตัดคลอด แม้ว่า อายุครรภ์จะน้อยมาก ก็ตาม’

ถึงจะเสี่ยงต่อความตายจากการคลอดก่อนกำหนด (Preterm delivery) แต่..คุณจิตราวดี ก็ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดคลอด.. สูติแพทย์ท่านนั้น ได้ให้ยาเพิ่มการพัฒนาการทำงานของปอด (Steroid) เป็นเวลา ๒ วันก่อนผ่าตัด เพื่อให้ปอดมีประสิทธิภาพพอที่จะอยู่ในโลกภายนอก… ส่วนกุมารแพทย์ ก็เตรียมห้อง ไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิดรองรับทารกทั้งสอง อย่างเต็มที่

ในที่สุด วันนั้น ก็มาถึง สูติแพทย์ผู้รับผิดชอบ ได้ลงมือผ่าตัดคลอดให้แต่เช้า ภายใต้การเตรียมการของทุกฝ่าย ตั้งแต่กุมารแพทย์ วิสัญญีแพทย์ และสูติแพทย์ ทารกน้อยคลอดเมื่อเวลา ๑๐ นาฬิกา ๓ และ ๔ นาทีตามลำดับ ได้ทารกเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด ๑๐๐๐ กรัม และ ๖๕๘ กรัม ค่าคะแนนศักยภาพของทารกแรกเกิดแฝดคนแรกเท่ากับ ๗ และ ๙ ; แฝดคนน้อง เท่ากับ ๔ และ ๘ (คะแนนเต็ม ๑๐) ณ เวลา ๑ และ๕ นาทีหลังคลอดตามลำดับ ทารกทั้งสองได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจทันที และส่งไปดูแลอย่างใกล้ชิดที่ห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด.. ปัจจุบัน ทารกแฝดลูกคุณจิตราวดี มีสภาพร่างกายที่ดีมาก แม้จะอยู่ในสภาพใส่เครื่องช่วยหายใจ

คุณจิตราวดี และ คุณโสรญา  มีลูกแฝดเหมือนกัน แต่โชคชะตาแห่งอนาคตของลูกน้อยอาจแตกต่าง..ด้วยว่า คุณจิตราวดีขณะตั้งครรภ์ เมื่อทารกมีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต ก็ได้มีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด จากสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (MFM) พอทารกน้อยเข้าสู่ภาวะวิกฤตอย่างยิ่ง คุณจิตราวดีก็เข้าสู่กระบวนการผ่าตัดคลอดทันทีโดยมีการเตรียมการล่วงหน้าเป็นอย่างดีจากคุณหมอทุกฝ่าย ลูกคนเล็กของคุณจิตราวดี ที่มีน้ำหนักแรกคลอด เพียง ๖๐๐ กรัมเศษ ก็แข็งแรงดีวันดีคืน กว่า ลูกคนโต ที่มีน้ำหนัก ๑๐๐๐ กรัมด้วยซ้ำไป

ส่วนคุณโสรญา แม้จะฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจ และได้รับคำแนะนำต่างๆเกี่ยวกับการตั้งครรภ์แฝดเช่นเดียวกัน แต่..เธอไม่สามารถตระหนักรู้ได้ว่า ‘อะไร คือ สัญญาณอันตราย ที่จะก่อให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด’ เธอยังคงมุ่งมั่นทำงาน..โดยไม่ได้คำนึงถึงตัวเอง..ตราบจนคลอดออกมาเรียบร้อยแล้ว เธอยังไม่รู้เลยว่า อะไรทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น… หลังคลอดบุตร ๑ วัน ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมคุณโสรญา และถามเธอว่า ‘คุณคิดว่า อะไร คือ สาเหตุของการคลอดครั้งนี้ คุณมีเพศสัมพันธ์ในวันที่เจ็บครรภ์หรือเปล่า เพราะคนท้องบางคนมีความไวต่อสารพรอสตาแกรนดิน ในน้ำอสุจิ ทำให้เจ็บครรภ์ และแท้งบุตรในที่สุด’ คุณโสรญาปฏิเสธ แต่ยอมรับว่า ไม่ค่อยได้พักผ่อน..กรณีของคุณโสรญา  จึงยังคงเป็นปริศนา ถึงที่มาของสาเหตุการคลอดก่อนกำหนด

อย่างไรก็ตาม ทารกน้อยลูกแฝดของคนไข้ทั้งสอง ยังคงได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด ทารกทุกคนยังมีชีวิตอยู่ และพยายามยื้อยุดฉุดตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อหนีให้พ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราช… อย่างกรณีลูกแฝดของคุณจิตราวดี สามารถมีชีวิตอยู่มาได้กว่าครึ่งเดือน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ถือว่า ใจเด็ด ไม่น้อย  แต่..ก็ต้องขอยกย่อง ทีมงานแพทย์ ทั้งของแผนกสูติ-นรีเวช วิสัญญีแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกุมารแพทย์ ที่เตรียมการเป็นอย่างดีในการรับมือเหตุการณ์ครั้งนี้.. จากการสังเกตของข้าพเจ้า… เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ในห้อง ไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด มีการพัฒนาก้าวหน้าไปไกลมาก …ที่ผ่านมา ห้องไอ.ซี.ยู. แห่งนี้ สามารถช่วยชีวิตทารกน้อย ที่คลอดก่อนกำหนดในช่วงอายุครรภ์ ๒๖ สัปดาห์ หรือน้ำหนักประมาณ ๖๐๐ กรัมเศษไว้ได้หลายคน.. มาคราวนี้..ก็หวังว่า จะช่วยชีวิตทารกน้อยลูกแฝดของคนท้องทั้งสองได้…สำหรับกรณีลูกแฝดของคุณโสรญานั้น ทางห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด เพิ่งรับมาได้ไม่กี่วัน และไม่ได้มีการเตรียมพร้อมมาก่อน .. กุมารแพทย์ยอมรับว่า เป็นภาระที่หนัก.. การจะช่วยเหลือให้รอดชีวิตทั้งสองคน มีไม่มากนัก…ซึ่ง..คงต้องอาศัยปาฏิหาริย์ เท่านั้น ข้าพเจ้าเอง ก็หวังเช่นนั้น.. หวังว่า ทารกน้อยแฝดทุกคนที่กล่าวมาข้างต้น จะมีใจที่เด็ดเดี่ยว ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตา มีจิตใจความแข็งแกร่งประดุจเพชร  ที่จะสู้ เพื่อมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะพานพบกับอุปสรรคมากน้อยแค่ไหน…

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ.เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน        

 

 

 

เบรกแตก

เบรกแตก

วันพุธที่ผ่านมา ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเดินทางไปพัทยาในตอนเช้า เพื่อเข้าอบรมวิชาการของสมาคม ISGE (International Society for Gynecologic Endoscopy) คืนก่อนหน้า ข้าพเจ้านอนค้างที่โรงพยาบาลตำรวจเพื่ออยู่เวรรักษาการ ข้าพเจ้าเริ่มออกเดินทางแต่เช้ามืด เมื่อขับรถไปได้สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียง ‘เอียดๆ’ เสียงดังมากทุกครั้งที่เหยียบเบรก เสียงดังเช่นนี้ ข้าพเจ้าเคยมีประสบการณ์มาก่อนว่า ‘เกิดจากจานเบรกเสียดสีกับจานเหล็กที่ล้อ อันมีสาเหตุมาจากผ้าเบรกที่บางจนใช้การไม่ได้’ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงแวะไปที่อู่ซ่อมรถย่านพัฒนาการ แล้วกลับไปนอนพักต่อที่บ้าน เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อกลับไปสอบถาม ช่างเจ้าของอู่รถบอกว่า ‘ผ้าเบรกล้อหน้าถูกเสียดสีจนหมดและจานห้ามล้อเกิดความเสียหายอย่างมาก’      ข้าพเจ้าถามนายช่างว่า “หากข้าพเจ้ายังคงขับรถต่อไป โดยไม่ทำการซ่อมแซมเสียก่อน จะเกิดอะไรขึ้น” นายช่างเจ้าของร้านตอบว่า เบรกแตก’ อย่างแน่นอน ปัญหาที่ตามมา ย่อมต้องเลวร้ายและรุนแรง

วันก่อน ข้าพเจ้าพบคนท้องอายุ 16 ปี ตั้งครรภ์ที่ 2 มาขอรับการผ่าตัดคลอด และทำหมัน??. พลันข้าพเจ้านึกถึง เรื่อง ‘เบรกแตก’ เพราะเธอตั้งครรภ์แรกในขณะที่เป็นเพียงเด็กหญิงอายุ 13 ปี โชคดี!! ที่ผ่านวิกฤตอันตรายมาได้ด้วยการผ่าตัดคลอด ตอนนี้ ก็มาตั้งครรภ์ที่ 2 อีกเมื่ออายุ 15 ปี นอกจากนี้ เธอยังต้องการทำหมันด้วย ข้าพเจ้าได้ผ่าตัดคลอดให้ แต่ไม่ได้ทำหมัน พลางพิจารณาในใจว่า การตัดสินใจรักษาของสูติแพทย์ในกรณีที่คนไข้มีความเสี่ยงสูงนั้น แพทย์จำเป็นต้องกระทำอย่างเหมาะสมและไม่ช้าเกินไป มิฉะนั้น ก็จะเกิดปัญหาที่ยิ่งใหญ่ตามมา ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจรุนแรงจนทำให้ชีวิตคนไข้และลูกเป็นอันตรายได้  

วันจันทร์ก่อนเดินทางไปอบรม ตอนเย็น จู่ๆก็มีคนไข้รายหนึ่ง ชื่อ คุณกาญจนา ตั้งครรภ์แรก อายุ 28 ปีถูกส่งต่อมาจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เธอมาที่ห้องคลอดตอนเวลาประมาณบ่าย 4 โมง แพทย์ฝึกหัดได้โทรศัพท์ปรึกษาข้าพเจ้าว่า ‘คนไข้เป็นครรภ์แฝด อายุครรภ์ 25 สัปดาห์ ตอนเช้า ทราบมาก่อนจากใบส่งตัวว่า ทารกตายในครรภ์ 1 ตัว แต่.. เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา สูติแพทย์เวรห้องตรวจ ได้ดูอัลตราซาววนด์ให้แล้ว ปรากฏว่า ทารกเสียชีวิตทั้งคู่ ปัญหาสำคัญ คือ มีภาวะน้ำเกิน ( Polyhydramnios ) คนไข้จำเป็นต้องได้รับก๊าซออกซิเจนทางจมูก เพราะเธอทำท่าคล้ายกับจะหายใจไม่ออก’ ข้าพเจ้าฟังแล้ว รู้สึกไม่สบายใจ จึงรีบรุดไปดูในทันที

ภาพที่เห็น คือ คุณกาญจนานอนบนเตียงที่ห้องเตรียมของห้องคลอด หน้าท้องของเธอใหญ่โตมาก เหมือนกับจอมปลวกทีเดียว เธอนอนหายใจแผ่วๆ ค่อนข้างเร็ว และเหนื่อยเวลาตอบคำถาม พยาบาลได้วางหน้ากากพร้อมก๊าซออกซิเจนไว้ที่จมูกของเธอ โชคดี! ที่เธอยังนอนราบได้ มิฉะนั้น ข้าพเจ้าคงคิดว่า เธอมีโรคหัวใจวายร่วมด้วย

ข้าพเจ้าอธิบายวิธีการรักษาให้กับสามีและคุณกาญจนาฟังว่า “การรักษามี 3 วิธี คือ 1. ถ้าคุณกาญจนาหายใจลำบากมากจนทนไม่ไหวจริงๆ ผมจะใช้วิธีผ่าตัดคลอด (Hysterotomy) เอาเด็กออกมาก่อน เพื่อให้คนไข้หายใจสะดวกขึ้น แต่วิธีการนี้ทำให้คุณกาญจนาเจ็บตัวมาก และถือว่า ไม่คุ้มค่า วิธีที่ 2 คือเจาะถุงน้ำคร่ำทางปากช่องคลอด เพื่อให้คุณกาญจนาคลอดเองตามธรรมชาติ วิธีการนี้ ปากมดลูกของเธอต้องนุ่มและเปิดอย่างน้อย 2 – 3   เซนติเมตร วิธีที่ 3 คือ การใช้เข็มยาวๆ เจาะผ่านผนังหน้าท้องทะลุมดลูกเข้าไปในถุงน้ำคร่ำ แล้วปล่อยให้น้ำคร่ำไหลออกมาทางสายที่ต่อกับก้นเข็มไปยังขวดน้ำทิ้ง จากนั้น ก็รอจนกว่าปากมดลูกจะนุ่ม เพื่อเจาะถุงน้ำคร่ำทางปากมดลูก

หลังจากนั้น สองสามีภรรยา ได้ปรึกษากัน และเห็นด้วยกับข้าพเจ้าที่จะใช้วิธีการที่ 2 ข้าพเจ้าได้ตรวจภายในให้กับคุณกาญจนา พบว่า ปากมดลูกของเธอเปิดประมาณ 2 เซนติเมตร จากนั้น ก็ใช้เครื่องมือสอดใส่ผ่านทางปากมดลูกเข้าไปเจาะถุงน้ำคร่ำ ผลปรากฏว่า ‘ได้น้ำคร่ำออกมาเพียงเล็กน้อย ไม่ถึง 1 ถ้วยแก้ว’ ข้าพเจ้าพยายามใช้นิ้วดันส่วนของทารกที่อยู่ชิดติดกับปากมดลูก เพื่อให้น้ำคร่ำไหลออกมาอีก แต่ดันเท่าไหร่ ก็ไม่เป็นผล.. ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะส่วนร่างกายของเด็กคนแรกปิดกั้นตรงคอมดลูกด้านใน

ข้าพเจ้าบอกกับนักศึกษาแพทย์และพยาบาลห้องคลอดว่า “คงต้องรอเวลาประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง พอปากมดลูกเปิดสัก 5 – 6 เซนติเมตร เด็กก็จะคลอดผ่านออกมาได้ เพราะอายุครรภ์แค่นี้ เด็กจะมีขนาดตัวพอๆกับกำปั้นมือของคนเราเท่านั้น”

เวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง คุณกาญจนาก็แท้งบุตรทั้งสองคนออกมา ลูกคนแรก มีลักษณะผิวหนังลอกเกือบทั้งตัว ซึ่งแสดงว่า ได้เสียชีวิตมาไม่น้อยกว่า 3 วัน หลังจากคลอดทารกคนแรกแล้ว ก็ไม่มีน้ำคร่ำไหลออกมาอีก นั่นหมายความว่า ทารกทั้งสองตัวมีถุงน้ำคร่ำแยกจากกัน (Diamniotic dichrorionic twins) ซึ่งไม่ตรงกับการวินิจฉัยที่สูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอัลตราซาวนด์คาดการณ์ไว้ว่า มีถุงน้ำคร่ำเพียงอันเดียว (monoamniotic twins) เวลาผ่านไปอีกประมาณ 15 นาที ทารกคนที่สองก็แท้งออกมา คราวนี้ น้ำคร่ำได้ไหลทะลักออกมาราวกับเขื่อนพัง น้ำคร่ำไหลท่วมแผ่นผ้าที่รองก้นและนองเต็มพื้นห้องคลอด พยาบาลประเมินว่า น้ำคร่ำที่ออกมาในครั้งนี้ไม่น่าจะน้อยกว่า 5 ลิตร

ช่วงที่กำลังแท้งบุตรอยู่นั้น คุณกาญจนามีชีพจรเต้นเร็วมาก ขณะที่แท้งบุตรคนที่สอง ชีพจรของเธอเต้นเร็วมากถึง 130 ครั้งต่อนาที เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ชีพจรจึงเต้นช้าลง พอการแท้งสิ้นสุดลง คนไข้มีชีพจรเต้นลดลงเหลือเพียง 100 ครั้งต่อนาที คุณกาญจนารู้สึกหวาดผวากับการแท้งบุตรครั้งนี้มาก ข้าพเจ้าได้พูดจาปลอบใจเธอ ให้สบายใจ ซึ่ง..หากเธอนอนไม่หลับ ข้าพเจ้าก็จะให้ยาช่วยผ่อนคลายความเครียดกับเธอ แต่…เธอปฏิเสธ

ค่ำคืนวันเดียวกันนั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นคนไข้อีกรายหนึ่ง นอนเตียงที่ 5 ในห้องคลอด ชื่อ คุณธีรพร อายุ 26 ปี ตั้งครรภ์แรก หน้าท้องของเธอดูเล็กมาก เธอมีประวัติน้ำเดินมาตั้งแต่เที่ยงคืนวันก่อน และคุณหมอเวรได้วางแผนจะผ่าตัดให้คุณธีรพรในวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าอยู่เวรในค่ำคืนนั้น ข้าพเจ้าไม่ควรประมาท เพราะหากพลาดพลั้ง ทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์เนื่องจากสายสะดือถูกกดทับ นั่นก็จะทำให้ ข้าพเจ้ากลายเป็นจำเลยสังคม…

ถึงแม้ในช่วงตอนเช้า คุณหมอเวรได้ตรวจดูอัลตราวนด์ให้คุณธีรพรแล้วครั้งหนึ่งและเขียนบันทึกไว้ว่า ‘เหลือน้ำคร่ำอยู่ค่อนข้างน้อย แต่ยังพอมี (Oligohydrramnios)’ ข้าพเจ้าก็ขอตรวจอัลตราซาวนด์ซ้ำให้กับเธอ เพื่อให้หายข้องใจ ซึ่งก็เป็นจริงตามที่คาด คือ ภายในโพรงมดลูก แทบจะไม่มีน้ำคร่ำเหลืออยู่เลย (Anhydrmnios) ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องผ่าตัดให้กับคุณธีรพรอย่างฉุกเฉิน ผลคือ ได้ทารกน้อยเพศหญิง น้ำหนักตัว 1,900 กรัม คะแนนศักยภาพแรกเกิด เท่ากับ 7, 8 (จากคะแนนเต็ม 10 ) ณ นาทีที่ 1 และ 5 ตามลำดับ ทารกน้อยจำเป็นต้องเข้านอนพักที่ห้องไอ.ซี.ยู. เด็ก เป็นเวลา 7 วัน เนื่องจากปอดทำงานยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ หลังจากนั้น หนูน้อยได้ถูกส่งต่อไปที่ห้องทารกที่มีความเสี่ยงสูง (High risk room) เพื่อเลี้ยงดูจนน้ำหนักตัวเกินกว่า 2,000 กรัม จึงจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน

ยังมีคนไข้อีกรายที่มีความเสี่ยงสูง โดยที่คนไข้เองไม่รู้ตัว เธอชื่อคุญอรัญญา อายุ 33 ปี ตั้งครรภ์ที่ 3 ครรภ์แรก เธอคลอดเองตามธรรมชาติ บุตรคนแรกมีน้ำหนักแรกคลอด มากถึง 3,500 กรัม ปัจจุบัน อายุ 7 ขวบ แข็งแรงดี แต่..เธอต้องมาโชคร้ายในครรภ์ที่ 2 เพราะทารกที่คลอดออกมามีความพิการแต่กำเนิด และเสียชีวิตหลังคลอดไม่นาน ครรภ์ที่ 2 นั้น ได้รับการทำคลอดโดยแพทย์ท่านอื่น ดังนั้น ครรภ์ที่ 3 นี้ คุญอรัญญาจึงกลับมาขอให้ข้าพเจ้าทำคลอดให้ เธอฝากครรภ์ตั้งแต่ตั้งครรภ์ เพียง 6 สัปดาห์ และฝากครรภ์มาเรื่อยๆ

ตอนช่วงอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ คุญอรัญญามีมดลูกแข็งตัวเป็นบางครั้ง บางคราว ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงให้เธอรับประทานยาคลายกล้ามเนื้อมดลูก (Bricanyl) จนถึงอายุครรภ์ได้ 37 สัปดาห์ ซึ่งช่วงนั้น หน้าท้องของเธอสูงใหญ่มาก ข้าพเจ้าได้ตรวจดูอัลตราซานด์ให้กับคุญอรัญญา ก็ไม่พบว่า ทารกตัวใหญ่ผิดปกติ เพียงแต่มีจำนวนน้ำคร่ำมากกว่าปกติเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าพยายามหาเหตุผลเรื่องการที่หน้าท้องเธอสูงใหญ่ว่า ‘เกิดจากสาเหตุใด’ ข้อที่ชวนให้ข้าพเจ้าคิดถึง ก็คือ ศีรษะเด็กไม่ลงสู่อุ้งเชิงกราน (Unengagement of the fetal head) ซึ่งจริงๆแล้ว ในครรภ์หลัง ก็เป็นเช่นนั้นได้

พออายุครรภ์ได้ 39 สัปดาห์ หน้าท้องของคุญอรัญญาสูงใหญ่มาก ข้าพเจ้าวัดโดยใช้ตลับเมตรได้ถึง 43 เซนติเมตร จากประสบการณ์ ข้าพเจ้าเชื่อว่า ‘          ภัยร้ายกำลังใกล้เข้ามาแล้ว’ ข้าพเจ้าเริ่มชักชวนให้คุญอรัญญาเข้ารับการผ่าตัดคลอด ช่วงแรก เธอคัดค้านมาโดยตลอด เพราะครรภ์แรกคลอดเองทางช่องคลอดได้ ครรภ์นี้ ก็ควรคลอดเองได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าถือเป็นโอกาสบอกในส่วนการตัดสินใจของข้าพเจ้าว่า ‘วิธีการคลอดมีอยู่ประการเดียวเท่านั้น คือ ผ่าตัดคลอด’ ซึ่งหลังจากเธอปรึกษากับสามี ก็ตัดสินใจเลือกเอาฤกษ์ดีวันหนึ่งเป็นเวลาคลอด

ที่ห้องผ่าตัดคลอด ข้าพเจ้าผ่าตัดคลอดคุญอรัญญาโดยไม่มีแรงกดดันอะไร เพราะการผ่าตัดคลอดจะช่วยแก้ไขปัญหาทุกสิ่งที่อาจพบในการคลอดเอง การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบง่าย พอผ่าตัดเข้าสู่ถุงน้ำคร่ำ ข้าพเจ้าก็ใช้มือล้วงเข้าไป พลางใช้เครื่องมือคีม (Forceps) คีบศีรษะทารกน้อย คาดไม่ถึง ข้าพเจ้าไม่สามารถประกบเครื่องมือได้ คราวนี้ ข้าพเจ้าจึงตั้งใจที่จะคลำเพื่อให้ทราบท่าของศีรษะทารกอย่างชัดเจน… ที่ไหนได้!!!!  เด็กอยู่ในท่าหน้า (face presentation) นั่นเอง

ปัญหาของทารกท่าหน้า (face presentation) ก็คือ หากถุงน้ำคร่ำแตก ใบหน้าเด็กจะบวมเป่งจากการกดกับอุ้งเชิงกรานเป็นเวลานาน จนอาจขัดขวางการหายใจ และเสียชีวิตในที่สุด เมื่อหลายปีก่อน เคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์แฝด ทารกน้อยเป็นท่าศีรษะทั้งคู่ พอตัวแรกคลอดออกไป และเวลาผ่านไปสักพัก พยาบาลจึงทราบว่า ทารกตัวที่สองไม่สามารถคลอดได้ เพราะเป็นท่าหน้า (Face presentation) เมื่อแจ้งให้สูติแพทย์ทราบ ท่านก็รีบผ่าตัดให้เป็นการด่วน อย่างไรก็ตาม การเตรียมผ่าตัด มีขั้นตอนที่ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย ในที่สุดทารกแฝดคนที่สองก็เสียชีวิต  ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงถือว่า ตัวเองเป็นคนโชคดี ที่ตัดสินใจผ่าตัดให้คุญอรัญญา ซึ่งตอนนั้น ข้าพเจ้าตั้งใจไว้แล้วว่า หากคนไข้ยังคงยืนยันที่จะคลอดเองตามธรรมชาติ ข้าพเจ้าจะขอร้องให้เธอเปลี่ยนไปคลอดกับคุณหมอท่านอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้อง ที่อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของการคลอดเอง (อาทิ การคลอดติดไหล่ หรือสายสะดือพันคอเด็กหลายรอบ ซึ่งเวลาดึงคลอด ก็เสมือนกับแขวนคอทารกน้อย)

บุตรของคุญอรัญญา เป็นเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 3,450 กรัม คะแนนศักยภาพแรกคลอด เท่ากับ 9 และ 10 (คะแนนเต็ม 10 ) ณ นาทีที่ 1 และ 5 ตามลำดับ ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น คุณอรัญญาและสามีต่างก็ดีใจที่บุตรแข็งแรงดี ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างคลายข้อสงสัยว่า ‘ทำไมหน้าท้องคุณอรัญญาถึงสูงใหญ่ขนาดนั้น และไม่แปลกใจว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงตัดสินใจผ่าตัดคลอดให้กับคุณอรัญญา

ไม่ว่า จะเป็นคุณกาญจนา  คุณธีรพร หรือคุณอรัญญา หากมีการตัดสินใจรักษาที่ผิดพลาด ไม่เหมาะสม ผลที่ตามมาก็อาจเลวร้ายจนยากที่จะคาดเดา ซึ่งแน่นอน!! ข้าพเจ้า รวมถึงสูติแพทย์ทุกท่านที่หากกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ย่อมต้องพยายามหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนอย่างเต็มที่

โลกนี้ ยังคงวุ่นวาย ก็เพราะผู้คนขาดการยั้งคิด ไตร่ตรอง เวลาเกิดปัญหาเฉพาะหน้า หลายคนยังคงเดินหน้าต่อไป โดยไม่แยแสกับผลที่จะตามมา สุดท้าย ปัญหาก็ลุกลามไปเรื่อยๆ จนหมดหนทางเยียวยา… ทางที่ดี ข้าพเจ้าคิดว่า ‘เราควรหยุดคิด และแก้ปัญหาตามความเหมาะสม โดยใช้พลังปัญญาและบุญเก่าเท่าที่มี……’

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ. เสรี  ธีรพงษ์ ผู้เขียน