ปรัชญาคนขับรถแทกซี่

ปรัชญาคนขับรถแทกซี่

                ไม่กี่วันก่อน ตอนเช้ามืด.. ข้าพเจ้าได้นั่งรถแทกซี่ จากโรงพยาบาลบเอกชนกลับบ้านหลังจากเลิกเวร.. ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ ข้าพเจ้าก็เอ่ยปากถามไปตามเรื่อง ถึงภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันของปี พ.ศ. 2558 และ 2559 ว่า ‘เป็นยังไงบ้าง กับรายได้?’ คำตอบที่ได้ ทำให้ ข้าพเจ้าแปลกใจว่า คนขับรถแทกซี่ เป็นนักปรัชญาหรือเปล่า?? เพราะเขาพูดจาได้เฉียบขาด มีเหตุ มีผล มากจริงๆ

คนขับรถแทกซี่ พูดว่า ‘ ทุกสิ่งทุกอย่าง ในวงการธุรกิจ มักเป็นไปตามกฎของ demand & supply รายได้จากการขับรถแทกซี่ก็เช่นกัน..ย่อมหนีไม่พ้นจากอุปสงค์และอุปทาน..เมื่อมีรถแทกซี่ออกมาในท้องถนนมากมาย คนขับก็ต้องมีรายได้น้อยลง เป็นธรรมดา นอกจากนั้น ยังมีคู่แข่งเป็นรถพาหนะอื่นๆอีกครับ..รถตู้ขาว เข้ามาแย่งเส้นทางยาวๆ ..รถมอเตอร์วิ่งว่อนรับผู้โดยสารยามรถติดและเส้นทางสั้นๆ ..รถสองแถววิ่งเก็บเกี่ยวในระยะทางสั้นๆและกลางๆ..สารพัด สารเพ ของการแข่งขันหาลูกค้า…ไหนเลย ประเทศไทยจะมีสภาพเศรษฐกิจที่เลวร้ายลงทุกวัน จากการที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศ ไม่ค่อยเข้ามาไทยด้วยปัจจัยข่าวร้ายๆ และยังมี..การย้ายถิ่นของบริษัทอุตสาหกรรมหนัก (Heavy Industry) ไปยังประเทศ เวียตนาม กัมพูชาและพม่า..อีกจำนวนมาก อันเป็นผลมาจากค่าแรงที่สูงและจากความเสียหายของภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2554 ’

ข้าพเจ้าฟังคนขับแทกซี่จนเพลิน ก็นึกถึงเรื่องราวของการผ่าตัดคนไข้ผ่านกล้องทางนรีเวช ที่เพิ่งผ่านมา ว่า มีปัญหาอะไรบ้าง จะคล้ายคลึงกับปัญหาคนขับแทกซี่รายนี้หรือเปล่า?

คนไข้รายนี้ เป็นผู้หญิงอายุ 40 ปี มีครอบครัวแล้ว..แต่ไม่มีประวัติคลอดบุตรที่แน่นอน ข้าพเจ้าถามย้ำกับพยาบาลในห้องผ่าตัดว่า ‘คุณสุกัญญา เคยคลอดบุตรมาก่อนหรือไม่?’ การที่ข้าพเจ้าถามเช่นนั้น ก็เพราะว่า ถ้าคุณสุกัญญา เคยคลอดบุตรมาก่อน.. ช่องคลอดเธอจะกว้างขวางพอ ที่จะตัดเลาะเอาเนื้องอกออกทางช่องคลอดได้อย่างสะดวก..โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษปั่นและดูดชิ้นเนื้อออกทางหน้าท้อง..

พยาบาลห้องผ่าตัดคนหนึ่งตอบว่า ‘ไม่ทราบคะ..แต่เธอเคยผ่าตัดไส้ติ่ง’ คำตอบนั้น ไม่ได้ตอบคำถามชัดเจน..เพียงแต่พอบอกได้ว่า ‘ส่วนขวาล่างของช่องท้องคุณสุกัญญาจะมีพังผืด ไม่มากก็น้อย’ ซึ่งเมื่อเจาะท้องเข้าไปตรงสะดือของคุณสุกัญญา ก็มองเห็นภายในช่องท้องด้านขวาล่างของคนไข้ มีพังผืดเช่นนั้นจริงๆ แต่มีไม่มากนัก..ทำให้ข้าพเจ้าใช้Trocar ขนาด 5 มิลลิเมตร เจาะช่องท้องด้านขวาล่างอย่างสะดวกและได้ตำแหน่งที่ต้องการ หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ออกคำสั่งว่า ‘เอาเตียงผ่าตัดขึ้น และเอาด้านหัวคนไข้ลงต่ำครับ’ จากนั้น ก็ให้แพทย์ทางด้านล่าง ที่นั่งอยู่ระหว่างขาคนไข้.. ช่วยกระดกมดลูกขึ้น..

ภาพที่เห็น..คือ มดลูกมีขนาดใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย ขนาดประมาณอายุครรภ์ 8 ถึง 10 สัปดาห์ ..แต่ที่สำคัญคือ ด้านหน้าบริเวณ lower segment ของมดลูก..มีพังผืดอัดแน่น กล่าวคือ ส่วนของกระเพาะปัสสาวะของคนไข้ยื่นเลยขึ้นมาเกาะ บนพื้นผิวมดลูกส่วนล่าง มากกว่าปกติ..ตรงนี้สิ ..น่ากลัว..โดยเฉพาะสำหรับคุณหมอมือใหม่ที่เพิ่งผ่าตัดผ่านกล้อง..ถือว่า มีความเสี่ยงและอันตรายมาก..

อะไร? ที่หมายถึงความเสี่ยงและอันตราย?? อันตรายที่ว่านั้น คือ การบาดเจ็บหรือฉีกขาดของกระเพาะปัสสาวะ (Bladder injuries) ของคุณสุกัญญา…ทำไมจึงเกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาดของกระเพาะปัสสาวะได้?? ทั้งนี้ เพราะ คุณสุกัญญา ต้องเคยตั้งครรภ์คลอดลูกโดยการผ่าตัดคลอดมาก่อนอย่างแน่นอน การผ่าตัดคลอดบุตรบริเวณส่วนล่างของมดลูกนั้น เราจะผ่าเปิดและเย็บปิดแผลส่วนล่างของมดลูก (Lower uterine segment) โดยกรีดมีดลงในแนวขวางของมดลูกส่วนล่าง (low transverse incision)

 เมื่อทำคลอดทารกน้อยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เย็บปิดบริเวณตรงนี้เอง โดยจะเย็บเอา Peritoneum หรือเยื่อบุลำไส้ ที่คลุมกระเพาะปัสสาวะ ไปปิดแผลที่เย็บบนเนื้อมดลูก ..ทำให้เกิดการดึงรั้งเอากระเพาะปัสสาวะไปคลุมไว้ที่มดลูกส่วนล่าง..ดังนั้น ในการผ่าตัดผ่านกล้องต่อมา พอเราใช้เครื่องมือกรีดมดลูกส่วนล่างทางด้านหน้า ก็จะทะลุเข้ากระเพาะปัสสาวะพอดี..วิธีการแก้ไขจริงๆ  ก็ไม่ยาก สำหรับคุณหมอที่มีประสบการณ์ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าพเจ้าตัดสินใจเลือกที่จะตัด เส้นเอ็น ที่ชื่อ Round ligaments  ทั้งสองข้างให้ขาดจากกันเสียก่อน โดยเลือกตัดเส้นเอ็นให้ห่างจากขั้วมดลูก (Uterine corneal part) ประมาณ 2 เซนติเมตร  จากนั้น ก็เลาะตัดแหวกเนื้อเยื่อตรงนั้น ให้เห็นพื้นล่างที่ต่ำลงไปจนทะลุไปที่ช่องว่างด้านหลัง จนเห็นลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ที่ซ่อนอยู่ทางด้านล่าง…..จากนั้น ข้าพเจ้าก็เลือกตัด เส้นเอน้น็็นที่ชื่อ Ovarian ligament proper พร้อมกับตัดเอาท่อนำไข่ออกทั้งสองข้างด้วย คราวนี้ มาถึงจุดสำคัญของการผ่าตัด คือ การใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า ตัดด้านล่างและด้านหลังของตัวมดลูกเหนือต่อเอ็น Utero – sacral ligaments เล็กน้อยในแนวขนาน (Horizontal) จนทะลุเข้าช่องคลอด ซึ่งในตอนนี้เอง ข้าพเจ้าจะเห็นขอบของท่อวงแหวนเครื่องมือสีน้ำเงิน..ซึ่งถือเป็น landmark สำคัญของช่องคลอด..  ต่อจากนั้น ข้าพเจ้ายังคงจี้ตัดส่วนของมดลูกส่วนล่างทางด้านหลัง (Posterior aspect of lower uterine segment) ทะลุเข้าช่องคลอดย้อนขึ้นไปเรื่อยๆ จนเลยมาถึง..บริเวณด้านข้างของมดลูก (Lateral aspect)..ซึ่งมีเส้นเลือดใหญ่ ชื่อ Uterine Arteries ซ่อนตัวอยู่…

ข้าพเจ้าใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าชนิดที่เป็นตัวปิดเส้นเลือดด้วยความร้อน (Seal uterine vessels) ชื่อว่า  Ligature  จี้ตัดเส้นเลือดใหญ่ (Uterine arteries) ทางด้านข้างของคอมดลูก (Lateral aspect of lower uterine segment) ทั้งสองข้าง

ช่วงสำคัญที่สุดของการผ่าตัดผ่านกล้องของคุณสุกัญญา คือ การจี้ ตัด เลาะ เอาส่วนของกระเพาะปัสสาวะที่ปกคลุมทางด้านหน้า ออกจากมดลูกส่วนล่าง (Lower uterine segment) ข้าพเจ้าเริ่มต้นด้วยการผ่าตัดจากด้านข้างก่อนทั้งสองด้านดังที่กล่าวมา โดยค่อยๆจี้ตัดเลาะย้อนขึ้นไปทางข้างบน (นับจากรอยต่อของแผลผ่าตัดที่เปิดครั้งแรกด้านหลังของมดลูกส่วนล่าง).. ซึ่งมีกระเพาะปัสสาวะย้อยมาจากด้านหน้า คร่อมปกคลุมมดลูกส่วนล่าง..จากนั้น ก็ค่อยๆเลาะ จี้ ตัด..Peritonium   ตรงกลางๆ (Middle part) หรือเยื่อบุลำไส้ส่วนที่ยึดกับผิวด้านหน้าของมดลูกส่วนล่าง.. ตรงริมขอบที่ติดกันพอดี..โดยค่อยๆกรีดจี้เจาะเนื้อเยื่อ พร้อมกับให้แพทย์ที่กระดกมดลูก ช่วยดันเครื่องมือจากด้านล่าง ให้มดลูกลอยขึ้นสูง.. ซึ่งจะมีผลช่วยให้การกรีดเจาะ ..ไม่ทะลุเข้าไปในกระเพาปัสสาวะ..

เมื่อข้าพเจ้าเลาะเอา Peritonium ส่วนที่ปกคลุมด้านหน้าของมดลูกส่วนล่างได้แล้ว ก็ใช้จี้ไฟฟ้า จี้ตัดเนื้อบริเวณส่วนคอมดลูกจนทะลุเข้าไปในช่องคลอด (Anterior fornix) ..การจี้ตัดเนื้อมดลูกส่วนล่างครั้งนี้ แตกต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะข้าพเจ้าจี้ตัดในช่วงท้ายๆของการผ่าตัด (last operation)  ภายหลังจากเลาะทางด้านข้างของมดลูก จนเปลือยเปล่า..และเห็นแนวทอดตัวของกระเพาะปัสสาวะที่ปกคลุมมดลูก จากนั้น จึงทำการกรีดจี้ไฟฟ้าไปโดยรอบพร้อมกับดันตัวกระดกมดลูก..

จริงๆแล้ว!! ก่อนหน้านั้น ตอนที่จี้ตัดเนื้อเยื่อบริเวณด้านข้าง..อันประกอบด้วยรังไข่และท่อนำไข่ ซึ่งเรียกรวมๆว่า ‘Adnexa’  ข้าพเจ้าได้เลาะตัดเอาท่อนำไข่ออกไปด้วยทั้งสองข้าง ดังนั้น พอเลาะตัดจนทะลุเข้าช่องคลอดโดยรอบ..เรียบร้อยแล้ว.. เนื้องอกมดลูกก็หลุดลอยเป็นอิสระทันที..

การผ่าเลาะตัดเอาชิ้นเนื้องอกมดลูกออกจากช่องคลอดของคุณสุกัญญานั้น (Removal of  uterine myoma by cutting to small pieces from vagina ).. ไม่ยากเลย วิธีการ คือ เราเอาเครื่องมือที่สอดจากช่องคลอดออก (ตัวกระดกมดลูกพร้อมท่องวงแหวนสีน้ำเงิน) จากนั้น ก็ตัดเนื้องงอกมดลูกเป็นชิ้นเล็กๆ โดยเริ่มจาก ปากมดลูก และตัดดึงเนื้องอกลงมาเรื่อยๆ ..เนื่องจากช่องคลอดของคนไข้รายนี้ กว้างพอสมควร ..เนื้องอกมดลูกทั้งหมด จึงหลุดออกมา โดยไม่ต้องเลาะตัดเนื้องอกทิ้งที่ละชิ้นๆ ..เหมือนที่เคยกระทำมาในคนไข้รายอื่น

วิธีการเย็บปิดช่องคลอดจากการผ่าตัดผ่านกล้องนั้น กระทำได้ 2 วิธี วิธีการแรก คือ เย็บจากด้านบน คือ เย็บปิดช่องคลอดจากในช่องท้อง โดยใช้ตัวจับ (Needle Holder) ที่ยาว เหมือนตะเกียบ และมีตัวประคองเป็นแขนยาวๆ (Grasping forceps) เช่นกัน โดยมีแพทย์ผู้ช่วย ร่วมถือตัวประคอง (Grasping forceps) ช่วยด้วยเช่นกัน.. วิธีการเย็บแบบนี้ ต้องใช้ความสามารถที่ฝึกฝนมานานพอสมควร ส่วนอีกวิธีหนึ่ง คือ การเย็บแผลส่วนปลายช่องคลอด (Vaginal Apex) ผ่านทางช่องคลอด (Transvaginal suturing)  วิธีการนี้ ง่ายกว่า และเหมาะที่จะใช้ในกรณีที่..แผลภายในตรงยอดช่องคลอด มีพังผืด หรือเย็บยากจากด้านบน สรุปง่ายๆ คือ ถ้าไม่แน่ใจว่าจะเย็บจากข้างบนได้หรือไม่ได้ หรือกลัวว่าจะมีปัญหา..ให้เย็บผ่านทางช่องคลอด (Transvaginal suturing)   เท่านั้น กรณีของคุณสุกัญญาก็เช่นกัน..ข้าพเจ้าได้เย็บผ่านทางช่องคลอด..ซึ่งขอให้พยาบาลช่วยเหลือในการเย็บ (Assisted) ก็เพียงพอ..ส่วนแพทย์ผู้ช่วย ข้าพเจ้าบอกให้คุณหมอไปตรวจคนไข้ที่รออยู่ ได้เลย..คนไข้รายนี้ ได้รับการผ่าตัดอย่างเรียบร้อย โดยไม่มีปัญหาใดๆ เธอพักอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลา 3 วัน ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้..

คนขับรถแทกซี่ทุกคน ล้วนถือว่า เป็นคนที่ได้เรียนรู้ตลอดเวลาจากมหาวิทยาลัยแห่งชีวิต เพราะพวกเขาได้ยินและสนทนาเรื่องราวกับผู้โดยสารทั้งวันทั้งคืน จึงมีข้อมูลข่าวสารมากมาย ถ้ารู้จักวิเคราะห์ ก็จะคาดการณ์ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์บ้านเมืองได้อย่างแม่นยำ..คนขับรายนี้พูดต่อว่า ‘ในระหว่างนี้ สายตาของคนต่างประเทศถือว่า ประเทศไทยไม่ใช่ประชาธิปไตย หลายประเทศจึงห้ามติดต่อซื้อขายหุ้นกับไทย ทำให้เงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หายไป ส่งผลให้สภาพคล่องภายในประเทศลดลง..คนไทยจนลงเพราะไม่มีเงินสดหมุนเวียนอยู่ในมือ และคนจนกำลังจะตายในยุคกระแสทุนนิยม โดยเฉพาะคนที่ปรับตัวไม่ทัน’..

ขณะที่กำลังสนทนาสนุก..รถแทกซี่ก็หยุดจอด ที่หน้าบ้านของข้าพเจ้า….ข้าพเจ้าลงจากรถแทกซี่คันนั้น พร้องกับจ่ายเงิน บวกค่าทิปอีกเล็กน้อย ..ข้าพเจ้าบอกไม่ถูกว่า คนขับรถแทกซี่คันนี้ เป็นนักปรัชญาหรือเปล่า..แต่ที่แน่ๆ..เขายังคงเป็นคนหาเช้ากินค่ำอยู่เหมือนเดิม…เพราะไม่กล้าที่จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต..

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

 

 

   

มดลูกหลุดโผล่ออกจากช่องคลอด (Procedentia Uteri)

การผ่าตัดผ่านกล้องกรณีมดลูกหลุดโผล่จากช่องคลอด

                ข้าพเจ้าชอบพูดกับตัวเองบ่อยๆว่า ‘ผมเก่งขึ้นทุกวัน ผมพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นตลอดเวลา’ ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้กับตัวเองเสมอ เพราะข้าพเจ้าหมั่นสังเกต จดจำ และเรียนรู้กับสิ่งรอบตัวอย่างมากมาย ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที.. ต่อยอดจากความรู้เดิมที่มี…หลายวันก่อน คุณหมอเอ๋ เพื่อนข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าว่า ‘ค้นพบวิธีการผ่าตัดดึงกลับมดลูกที่หลุดโผล่ออกมาจากช่องคลอดในผู้หญิงสูงวัยแบบใหม่ (Procedentia uteri)  โดยศึกษาจากคลิปวีดีโอในอินเตอร์เนต (www.youtube.com)’ และจะมีการผ่าตัดในวันพฤหัสที่ผ่านมา 2 ราย เมื่อถึงกำหนดนัดหมาย ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางไปยัง รพ.พระนั่งเกล้าตอนเที่ยง เนื่องจาก ตอนเช้า มีการประชุมเรื่องสำคัญ ทำให้ไปไม่ทันในการผ่าตัดคนไข้รายแรก  

                ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ข้าพเจ้าเดินทางไปถึงตอนเที่ยงวันพอดี และรับประทานอาหารร่วมกับอาจารย์และแพทย์ประจำบ้านของ รพ.ราชวิถี หลังจากนั้น..ก็พากันไปเข้าห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าสอบถามประวัติคนไข้จากพยาบาลที่นั่น ประวัติคนไข้น่าสนใจมาก กล่าวคือ เป็นผู้หญิงโสด อายุ 68 ปี มีก้อนยื่นโผล่ออกมาจากช่องคลอดหลายเดือนก่อนและมีปัญหาเรื่องกลั้นปัสสาวะไม่อยู่.. บางครั้งต้องยืนปัสสาวะ..เรื่องนี้มีความน่าสนใจมาก เพราะผู้หญิงโสดมักไม่พบปัญหามดลูกหย่อนและโผล่ออกมาจากช่องคลอด (Procedentia uteri) เนื่องจาก ช่องคลอดไม่เคยถูกขยายจากการคลอดบุตร ..นี่จึงเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ให้ทุกคนได้รู้ว่า หญิงโสด ก็หนีปัญหาเรื่องนี้ไปไม่พ้น..

                ครั้งนี้ ข้าพเจ้าเข้าห้องผ่าตัด ไม่ใช่ในฐานะเป็นหมอผ่าตัดหลัก แต่เป็นเพียงผู้ช่วยผ่าตัด..วันนั้น เป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง ชนิดเลนส์ 3 มิติ คุณหมอทุกคนที่เข้าช่วยและชมการผ่าตัด จึงต้องใส่แว่นตาเฉพาะเพื่อดูภาพจากจอมอนนิเตอร์ให้ชัดเจน แวนตามีเลนส์ที่มีสีออกดำๆ..ทำให้คนอื่นภายนอกมองไม่ออกว่า ผู้ช่วยผ่าตัดกำลังหรี่ตาอยู่หรือเปล่า….การผ่าตัดเป็นไปแบบไม่ยุ่งยาก เริ่มต้นด้วยการเจาะท้องผ่านรูสะดือ และด้านข้างของผนังหน้าท้องอีก 3 รู จากนั้น ก็ใช้กรรไกรที่มีแกนยาวเหมือนตะเกียบ ผ่าตัดเปิดเยื่อบุลำไส้ที่คลุมตัวมดลูกทางด้านล่าง (Posterior aspect of lower uterine segment) ก่อน โดยเลาะแยกเปิดให้เยื่อบุที่คลุมผิวมดลูกด้านล่างออกจากเนื้อมดลูก ให้มีพื้นที่กว้างพอสมควร..จากนั้น ก็หันมาผ่าตัดเปิดแยกเยื่อบุที่คลุมตัวมดลูกทางด้านหน้า (Anterior aspect of lower uterine segment)..เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็ใช้กรรไกรเจาะเป็นช่องหน้าต่าง (Window) ที่แผ่นเนื้อเยื่อด้านข้างของมดลูก ณ บริเวณที่เรียกว่า Broad ligament ทั้งสองข้าง..

ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนสำคัญมาก นั่นคือ การวาง Mess หรือ แผ่นวัสดุพิเศษลักษณะเป็นเยื่อตาข่ายละเอียด โดยตัดเป็นรูปเกือกม้าไว้ก่อนแล้ว วิธีการ คือ หย่อนส่วนขาทั้งสองของตาข่าย คร่อมลงไปในช่องหน้าต่างทั้งสองข้าง (Window) ที่เจาะเตรียมไว้ (Both Adnexa)  แล้วก็จับ ปลายขาด้ายซ้ายของ Mess สอดทะลุข้างใต้ เอ็นที่ชื่อว่า Left sacro iliac ligament ไปโผล่ตรงกลางบริเวณคอมดลูกด้านล่าง..ส่วนปลาย Mess ด้านขวา ก็เพียงสอดวางไว้เฉยๆ.. หลังจากนั้น ก็เอา ส่วนขาของ Mess ทั้งสองข้างมาผูกกัน..เมื่อผูกเรียบร้อย..ก็ใช้กรรไกร ตัดขา mess ส่วนเกินที่ยื่นจากปมออกมา

                ขั้นตอนสำคัญ อีกขั้นตอนหนึ่ง คือ การดึงรั้งมดลูกให้ลอยขึ้น โดยผูกติดกับสายยาวๆคล้ายริบบิ้นที่ทำจาก Mess กับผนังหน้าท้องด้านข้างทั้งสอง (Lateral abdominal wall)…วิธีการ คือ ตัด Mess ออกเป็นเส้นยาวคล้ายริบบิ้น กว้าง 1.5 ซม. และยาวประมาณ 15 เซนติเมตร.. จากนั้น คุณหมอเอ๋ก็ทำการเจาะที่ด้านข้างของผนังหน้าท้อง ด้วย Trocar (5 mm) ณ ตำแหน่งเหนือต่อสันกระดูกที่ชื่อ  Illiac crest ไป 4  เซนติเมตร ..เจาะเป็นช่องที่มีปากทางเข้า ยาวครึ่งเซนติเมตร..ขณะที่ข้าพเจ้าก็ทำการเจาะผนังหน้าท้องทางด้านข้างข้าพเจ้าในทำนองเดียวกัน คุณหมอเอ๋ใช้ตัวปากคีบจับปลายของ ริบบิ้น Mess สอดใส่เข้าไปตามช่องที่เจาะไว้นั้น, แทงทะลุแผ่น sheeth (แผ่นเยื่อพังผืดหนาของผนังหน้าท้อง) และวางตัวอยู่เหนือเยื่อบุลำไส้ (Peritoneum) แล้วแทงลอดสอดแทรกตัวไปกับเยื่อบุช่องท้อง จนไปโผล่ที่เอ็น ชื่อ Sacro-illiact ligament ด้านขวา ..ส่วนข้าพเจ้าก็ใช้ปลายปากคีบดึงส่วนปลายของ ริบบิ้น Mess ต่อจากคุณหมอเอ๋..ดึงปลายริบบิ้น mess จากคุณหมอเอ๋ ให้แทรกตัวไปตามเนื้อเยื่อนอกเยื่อบุช่องท้อง (Peritoneum) ย้อนกลับมาทางข้าพเจ้า จนโผล่ออกทางผนังหน้าท้องด้านซ้าย..จากนั้น ก็รีบใช้ เครื่องมือ Clamp จับปลายริบบิ้น Mess ไว้ เพื่อกันไม่ให้มันหลุดเข้าไปข้างใน..

                เมื่อยึดตัวมดลูกและช่องคลอดด้วยริบบิ้น Mess กับผนังหน้าท้องทั้งสองข้างได้แล้ว คุณหมอเอ๋และข้าพเจ้าก็ตัดปลายริบบิ้น Mess ที่โผล่ออกมาบริเวณผนังหน้าท้องทั้งสองข้างทิ้งไป ปล่อยชายริบบิ้น Messไว้ข้างใต้ผนังหน้าท้อง แล้วเย็บปิดแผลช่องท้องตรงนั้นเสีย  นี่..ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการผ่าตัดเพื่อยึดให้มดลูก ไม่โผล่หลุดออกไปจากช่องคลอด กระบวนการผ่าตัดแบบนี้ ช่วยลดขั้นตอน ในการตัดมดลูกออก และเย็บจับยึดตัวมดลูกกับกระดูสันหลังส่วนปลาย (sacro-colpo pexy)..แบบเดิมไปอย่างมาก…หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ขอตัวออกจากห้องผ่าตัดก่อน เพราะต้องรีบเดินทางไปฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก (IUI = Intrauterine insemination) ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม)..

                ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรีบเดินทางกลับไปทำงาน ก็เกิดปัญหาขึ้นอย่างหนึ่ง คือ เครื่องยนต์ของรถที่จอดไว้ที่ห้างสรรพสินค้าโลตัสแถวนั้น ไม่สามารถทำงานได้ เพราะแบตเตอรี่หมด..ข้าพเจ้าจึงใช้แบตเตอรี่สำรองไฟ ในการติดเครื่องยนต์จากการต่อพ่วง ก็สามารถทำให้เครื่องยนต์ติดได้.. ด้วยความดีใจ ข้าพเจ้ารีบขับเดินทางอย่างรวดเร็ว และถึงโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น ตอนเวลา 4 โมงเย็น.. เมื่อฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกให้คนไข้เสร็จ ก็นั่งแท็กซี่ต่อไปออกตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งที่สองจนถึง 2 ทุ่ม จึงนั่งแท็กซี่กลับมาอยู่เวรที่โรงพยาบาลเอกชนเดิม   

ระหว่างทาง คนขับแท็กซี่เล่าให้ฟังว่า ‘ลูกชายของตนประสบอุบัติเหตุถูกรถจักยานยนต์ที่ขับสวนทางมา เชี่ยวชนจนเอ็นที่นิ้วเท้าข้างซ้ายขาด คุณพ่อของคู่กรณีต่อรองจะจ่ายเพียง 3 ถึง 4 พันบาท.. แกได้โต้ตอบแบบสะใจ คือ ไม่ขอเงินอะไรหรอก ให้เอาจอบมา แล้วให้แกสับลงที่เท้าของคนขี่จักรยานลูกคู่กรณี..แล้วแกจะจ่ายเงินแถมให้ด้วย 3 หมื่นบาท..เพราะค่ารักษาพยาบาลเช่นนี้ ต้องแพงมากอย่างแน่นอน..สุดท้ายคู่กรณียอมจ่ายเงิน 2.5 หมื่นบาท..แต่ค่ารักษาพยาบาลจริง คือ 1.2 แสนบาท โชคดี..ที่บริษัทฯที่ลูกแกทำงานมีประกันหมู่ จึงไม่ต้องเสียเงิน..’ นี่แหละความเป็นจริงของชีวิต..โรคภัยไข้เจ็บในปัจจุบัน..เผาผลาญเงินของผู้ป่วยไปอย่างมาก..หากไม่ระมัดระวังในการประกันความเสี่ยงไว้..มีหวังอับจน..

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น พอออกจากเวร ก่อนจะขับรถกลับบ้าน ก็ต้องพ่วงต่อเชื่อมแบตเตอรี่กับแบตเตอรีสำรองอีกครั้ง..เมื่อข้าพเจ้าขับรถถึงบ้าน ก็เข้าไปอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัว วางแผนว่า จะขับรถต่อไปยังร้านขายแบตเตอรี่..แต่คราวนี้ ข้าพเจ้าต้องผิดหวังอย่างมาก เพราะทำยังไง..เครื่องยนต์ก็ไม่สามารถขยับตัวได้อีก เพราะแบตเตอรี่ตายสนิท..ไม่ว่า ข้าพเจ้าจะใช้วิธีเชื่อมต่อกับแบตเตอรี่สำรอง หรือต่อพ่วงกับรถยนต์อีกคันที่บ้าน ก็ไม่สามารถทำให้แบตเตอรีรถข้าพเจ้า กลับมาทำงานได้อีก..ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องเดินทางไปที่ร้านขายแบตเตอรี่และขอให้ทางร้านส่งคนมาเปลี่ยนแบตเตอรีที่บ้าน..เสียเวลาไปทั้งหมดกว่า 3 ชั่วโมง..หากข้าพเจ้ามีธุระสำคัญแบบที่ผ่านมา ไม่ว่า จะฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกหรือผ่าตัดคลอดตามฤกษ์ที่โรงพยาบาลเอกชน..ข้าพเจ้าคงทำไม่ได้ และเสียหายความน่าเชื่อถืออย่างหนัก….นี่แหละชีวิต..

เรื่องราวแบตเตอรี่รถยนต์ของข้าพเจ้าข้างต้น เปรียบเสมือนคนไข้สตรีที่มีมดลูกหลุดโผล่ออกจากช่องคลอด (Procedentia uteri) จำนวนมากมายในประเทศ..ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายหมด..หากไม่แก้ไขผ่าตัดเติมเต็มข้อบกพร่อง..ไม่เร็ว ก็ช้า เธอก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในชีวิตประจำวันแบบปกติสุข..เหมือนรถยนต์ที่หมดแบตเตอรี่….ถึงใช้การแก้ไขแบบขอไปที ได้ในบางครั้งบางคราว..แต่ในที่สุด..ก็จะหมดสภาพ..ดังนั้น ตอนนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่วิธีการแก้ไขด้วยการผ่าตัดผ่านกล้องแบบใหม่..ซึ่งจะทำให้ชีวิตกลับมาเป็นปกติสุข..จงอย่ารอช้า..รีบฉวยโอกาสเข้ารับการผ่าตัดแก้ไข..เพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นเหมือนคนทั่วไป..โดยไม่ต้องจ่ายค้ารักษาพยาบาลที่แพงมาก..

เสียงเพลงบรรเลงในค่ำคืนนี้ ช่างไพเราะจับใจข้าพเจ้ายิ่งนัก..ทำให้มีจินตนาการในการเขียนหนังสือ..แม้ว่า ชีวิตมนุษย์ จะยังต้องดำเนินต่อไปตามยถากรรม..แต่..ก็มีบุคคลจำพวกหนึ่ง ที่พยายามพัฒนาตัวเอง..พัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ..รวมทั้งเทคนิคในการผ่าตัดพิเศษขึ้นมา เพื่อรักษาให้ผู้คนในโลกนี้ มีชีวิตที่ดีขึ้น..ใครที่ก้าวไม่ทัน..ข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ ก็มีแต่จะเสียเปรียบ…ถูกทอดทิ้งให้ทุกข์ทรมาน..อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่…เหมือนสตรีสูงวัยจำนวนมากมายในโลก ที่มีมดลูกหย่อนหลุดโผล่ออกมาจากช่องคลอด จากการขาดฮอร์โมน..แล้วปล่อยปละละเลยกับตัวเอง..ด้วยไม่รู้..

฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿

พ.ต.อ. นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

 

 

  

               

การผ่าตัดผ่านกล้อง ต้องห้าม

การผ่าตัดผ่านกล้อง ต้องห้าม

                คำคมโบราณ กล่าวไว้ให้ ‘รู้จักพอ ไม่ผิดพลาด  รู้จักหยุด ไม่พินาศ’ ถ้อยคำนี้ยังคงมีมนต์ขลัง และเป็นประกาศิตที่ข้าพเจ้ายึดถือ ปฏิบัติเรื่อยมาเนิ่นนาน ด้วยว่า สิ่งต่างๆมากมาย เมื่อข้าพเจ้าทำแล้ว หากรู้สึกลึกๆว่า ‘มันอาจก่อความเลวร้าย เสียหายอย่างร้ายแรง’ ก็ควรจะหยุดทำทันที เพราะเมื่อกระทำต่อไป จากประสบการณ์..แน่นอน! ต้องพบกับความหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้….ความรู้สึกภายในจิตใต้สำนึกเช่นนี้ เชื่อเถอะว่า มักเป็นจริงเสมอ..จริงๆแล้ว!! มันก็เป็นพียงแค่ ‘ความรู้สึกของสามัญสำนึก’ เท่านั้น แต่…ส่งผลให้ปรากฏได้ตรงตามจริงเกือบทุกครั้ง.. ความรู้สึกเช่นนี้ มันช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน

หลายวันก่อน วันนั้นเป็นวันศุกร์ ข้าพเจ้าได้ออกไปทำบุญตักบาตรตอนเช้าเช่นเคย แต่..ไม่ใช่ที่ร้านค้าประจำย่านตลาดพัฒนาการ..เนื่องจากเจ้าของร้าน เดินทางไปทำบุญยังต่างจังหวัด พอตื่นขึ้น ข้าพเจ้าก็รีบขับรถไปยังโรงพยาบาลตำรวจทันที  เพื่อให้ทันทำบุญ ณ บริเวณตึกโภชนาการ ซึ่ง..ปกติ จะมีพระสงฆ์จำนวน 2 – 3 รูป จากวัดปทุมวนาราม มายืนรอรับบาตรที่ จนถึงเวลา 8 โมงเช้า..

ครั้งนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจทำบุญเป็นพิเศษ เพราะจะมีการผ่าตัดผ่านกล้อง ในเวลา 9 นาฬิกาของวันนั้น..จากประสบการณ์ ข้าพเจ้าสังเกตและพบเสมอๆว่า ‘วันไหน ที่ได้ทำบุญตักบาตร วันนั้น ข้าพเจ้าจะผ่าตัดราบรื่น ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ถึงหากแม้พบปัญหาอุปสรรคใหญ่ แก้ไขยากแค่ไหน  ก็จะกลายเป็นปัญหาเล็กน้อย แก้ไขได้ง่าย ทุกครั้งไป’

                คุณพุทธพร คือ คนไข้สตรี ที่เข้ามาในข่ายของเรื่องราวแห่งความเชื่อที่ข้าพเจ้าอยากเล่า เธออายุ 45 ปี ปวดท้องน้อยเรื้อรังมานานหลายปี.. 13 ปีก่อน เธอต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉินที่โรงพยาบาลตำรวจโดยสูตินรีแพทย์เวร และถูกตัดรังไข่ด้านขวาทิ้ง (Right salpingo-oophorectomy) เนื่องจากเป็นโรค ถุงน้ำรังไข่ ‘ช็อค โกแลต ซีส’ แตก (Ruptured Chocolate cyst)  ก่อนหน้านั้น เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงทุกครั้งที่มีระดูและกลางรอบเดือน นานถึง 5 เดือน.. วันที่เธอมาโรงพยาบาลคราวนั้น เธอมีไข้, ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงและท้องเสียหลายครั้งในเบื้องต้น จากนั้น ก็ต้องสงบเสงี่ยมอยู่ในท่านอนนิ่งๆ ไม่สามารถขยับตัวได้ เพื่อจะลดอาการปวดท้องน้อย… จากการตรวจร่างกายเบื้องต้น ลักษณะที่ตรวจพบ (Sign &symptoms) เข้ากันได้กับ ภาวะถุงน้ำรังไข่แตก…ซึ่ง..สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนควรทราบไว้ คือ การผ่าตัดแบบฉุกเฉินนั้น คนไข้จะไม่ได้รับการเตรียมตัวใดๆเลย.. คุณหมอจึงต้องผ่าตัดอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้น ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา  อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่าตัด ได้ 1 เดือน คุณพุทธพรก็เกิดภาวะลำไส้อุดตัน (Partial gut obstruction)..โชคดี!!..ที่เป็นเพียงการอุดตันของลำไส้ชั่วคราว.. เธอได้รับการใส่ท่อระบายลมผ่านรูจมูกสู่กระเพาะอาหาร (NG tube) เป็นเวลานาน 4 วัน ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน

                4 ปีก่อน คุณพุทธพรมาหาข้าพเจ้าที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ด้วยเรื่องเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก เมื่อตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอด ก็พบว่า เป็นโรคเยื่อบุมดลูกหนา (Endometrial hyperplasia) เธอได้รับการฉีดยา เพื่อหยุดการสร้างไข่ (GnRH :Enantone) และกดการสร้างฮอร์โมนเพศ  (Estrogen) เป็นเวลา 6 เดือน  จากนั้น ก็รับประทานยาคุม (YAZ) ต่ออีก 2 ปีเศษ อนึ่ง เนื่องจากเธอเป็นคนโสด ไม่เคยเพศสัมพันธ์.. ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ตรวจอัลตราซานด์ผ่านทางช่องคลอดอีกในช่วงติดตามการรักษา.. เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ตรวจร่างกายและเจาะเลือดฮอร์โมนเพศให้กับคุณพุทธพร ก็พบว่า รังไข่ของเธอหยุดทำงาน (Primary ovarian failure) โดยไม่ทราบสาเหตุ ข้าพเจ้าคิดว่า  ต่อแต่นี้ เธอคงไม่ต้องกินยาอะไรอีกแล้ว เพราะร่างกายไม่มีฮอร์โมนเพศ.. เนื้องอกมดลูก รวมทั้งเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ก็จะฝ่อ อันตรธานหายไปในที่สุด เนื้องอกมดลูกของเธอที่ตรวจพบตอนนั้น (Myoma uteri) มีขนาดไม่ใหญ่นัก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร เท่านั้น ซึ่ง..ยังไม่มีความผิดปกติใดๆเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะและอุจจาระ.. ข้าพเจ้าจึงได้แต่ติดตามเฝ้าดูคนไข้ตามนัด เท่านั้น

                แต่..เมื่อไม่นานมานี้ จากการตรวจติดตามตรวจดู พบว่า ก้อนเนื้องงอกมดลูกของเธอโตขึ้น ร่วมกับมีอาการปวดท้องน้อยบ่อยๆ นอกจากนั้น เธอยังกังวลเรื่องมะเร็งของมดลูกรังไข่ เธอร้องขอให้ข้าพเจ้าผ่าตัดเอามดลูกออกผ่านกล้อง ข้าพเจ้าตอบตกลง..หลังจากตรวจเลือด..เอกซเรย์ปอด และคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้ว ไม่พบความผิดปกติ ข้าพเจ้าก็กำหนดให้เธอเข้ารับการผ่าตัดในวันศุกร์ของสัปดาห์ที่ผ่านมา

ที่ห้องผ่าตัด..ก่อนผ่าตัด เผอิญ!! ข้าพเจ้าเหลือบมองเห็นแผลเก่าแนวตรง (Vertical incision) บนหน้าท้องของเธอ ก็ต้องตกใจ เพราะลืมประวัติการผ่าตัดครั้งก่อน โดยหลงคิดไปว่า นี่เป็นการผ่าตัดครั้งแรก คิดดังนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกประหวั่นว่า จะมีพังผืดเกิดขึ้นมากมายภายในท้องของเธอ อันเป็นผลจากการผ่าตัดเปิดหน้าท้องรักษาถุงช็อคโกแลต ซีส ที่แตก (Chocolate cyst) เมื่อหลายปีก่อน..

ข้าพเจ้าเริ่มการผ่าตัดส่องกล้องด้วยการเจาะท้องตรงรูสะดือ เพื่อสอดใส่กล้อง ซึ่งเป็นเหมือนแกนท่อเส้นผ่าศูนย์กลางราว 1 เซนติเมตรเข้าไป..ที่ไหนได้ พอมองไปรอบๆภายในช่องท้องของคุณพุทธพร ก็พบว่า มีพังผืดยึดติดกับลำไส้เล็กใหญ่หลายแห่ง.. ที่เห็นเด่นชัด คือ ขดลำไส้เล็ก 2  ส่วนเกาะย้อยยึดติดกับผนังหน้าท้องด้านบน ตรงบริเวณใกล้สะดือแห่งหนึ่ง และหน้ากระเพาะปัสสาวะอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนั้น ข้าพเจ้ายังมองไม่เห็นตัวมดลูกอีกด้วย เพราะมีลำไส้เล็กยึดติดแผ่เป็นแผงพังผืด ไปเกาะเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ บดบังตัวมดลูกจนมิด.. เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงสั่งยกเลิกการผ่าตัดผ่านกล้องทันที และเปลี่ยนเป็นการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง (Convert to Laparotomy) นี่แหละ!! คือ สิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกว่า ‘รู้จักพอ  ไม่ผิดพลาด’ เพราะหากผ่าตัดผ่านกล้องต่อ มีหวังลำไส้ทะลุ ..จากนั้น ข้าพเจ้าก็รีบโทรศัพท์ไปปรึกษาศัลยแพทย์ เพื่อแก้ปัญหาพังผืดครั้งนี้ คาดไม่ถึงว่า ศัลยแพทย์เวร เป็นหมอผู้หญิง ขณะนั้น คุณหมอกำลังผ่าตัดอยู่ ..เมื่อทราบเช่นนั้น เพื่อไม่ให้เสียเวลา..ข้าพเจ้าจึงผ่าตัดเปิดหน้าท้องของคุณพุทธพร..เข้าไปดูพลางๆ เผื่อว่า หากพอผ่าตัดแก้ไข พังผืดที่ยึดติดลำไส้ได้..ก็น่าจะลองดู 

ที่ไหนได้!!  พังผืดที่ยึดติดลำไส้กับกระเพาะปัสสาวะของคุณพุทธพรนั้น มันเกาะติดแน่นมาก  นอกจากนั้น ตอนที่กรีดมีดผ่าเปิดผนังหน้าท้อง ก็กรีดเข้าไปถูกผิวของลำไส้เล็ก (serosa) เกิดเป็นรอยแผลขนาดประมาณ ครึ่งเซนติเมตร (Serosa)   เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็หยุดการผ่าตัดทันที และนั่งรอคุณหมอจากภาควิชาศัลย์.. ..พูดยังไม่ทันขาดคำ..คุณหมอแพทย์ประจำบ้านปี 4 ท่านหนึ่ง ก็เดินมาในห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าขอให้คุณหมอช่วยเย็บลำไส้ส่วนที่ฉีกขาด และเลาะพังผืด คุณหมอได้โทรศัพท์กลับไปรายงานกับอาจารย์แพทย์เวร สักครู่หนึ่ง.. คุณหมอก็กลับมาลงมือผ่าตัด คุณหมอศัลย์ท่านนี้เชี่ยวชาญชำนาญจริงๆ ..ไม่นานนัก ก็สามารถเลาะพังผืด แยกลำไส้ออกจากตัวมดลูกได้หมด.. ก่อนยุติ ..คุณหมอได้เย็บซ่อมผิวลำไส้เล็กที่ฉีกขาดให้ด้วย

หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ลงมือผ่าตัดเอาตัวมดลูกออกแบบเปิดหน้าท้อง การผ่าตัด ทำไม่ยากมาก เริ่มจากการตัดเอ็นที่เรียกว่า Round Ligament  และ Infundiburo-pelvic ligaments  พร้อมกับตัดรังไข่ด้านขวาทิ้ง เพราะไม่ต้องการให้เหลือเชื้อของโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ( Endometriosis)…สำหรับด้านล่างส่วนหลังของช่องท้องของคุณพุทธพร ที่เรียกว่า Culedesac  นั้น ข้าพเจ้าได้ใช้มือล้วงลงไปในอุ้งส่วนลึก (Blunt dissection)  ล้วงดึงงัดเอาตัวมดลูกให้ลอยขึ้นมา ส่งผลให้ เอ็นด้านล่างทั้งสอง (Sacro-illiac ligaments) ที่ยึดติดส่วนคอมดลูก ฉีกขาด เป็นแนวขึ้นมา (blunt dissection)..การผ่าตัดขั้นต่อไป  ข้าพเจ้าได้เย็บตัดเส้นเลือดใหญ่ (Uterine arteries) และเลาะเนื้อเยื่อ (Adnexa) ทั้งสองข้าง.. ชิดตัวมดลูก จนถึงคอมดลูก จากนั้น ก็กรีดเข้าช่องคลอดทางด้านหน้า (colpotomy) ..ตัดรอบปากมดลูก จนครบ มดลูก ก็หลุดออกมา..หากไม่มีศัลยแพทย์ มาช่วยเลาะพังผืด ข้าพเจ้าคงทำการตัดมดลูกด้วยความยากลำบาก ..ดีไม่ดี..อาจทำให้ลำไส้ทะลุหรือฉีกขาดเสียด้วยแม้จะผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ..นี่แหละ !! การประสานร่วมมือกันของคุณหมอสองแผนก ย่อมทำให้การผ่าตัดลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะอาศัยความสามารถที่ถนัดคนละด้าน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

หลังผ่าตัดวันถัดมา ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมคุณพุทธพร และอธิบายให้เธอทราบถึงความจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนมาเป็นการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง  คนไข้เข้าใจดี และบ่นปวดแผลเพียงเล็กน้อย   วันจันทร์ ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมเธออีกครั้ง คนไข้ถ่ายอุจจาระได้ดี แต่มีปัญหาปัสสาวะติดขัดเล็กน้อย ข้าพเจ้าได้ให้ยาฆ่าเชื้อรักษาทางเดินปัสสาวะอักเสบ ไปรับประทานติดต่อกัน 7 วัน และอนุญาตให้กลับบ้านได้ในวันรุ่งขึ้น

การผ่าตัดใดๆ ในช่องท้องของสตรี โดยเฉพาะการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช ถือเป็นกรรมวิธีที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูง เพราะมีความเสี่ยงสูงต่อการบาดเจ็บอวัยวะข้างเคียง.. ภายในช่องท้อง และอุ้งเชิงกรานของผู้หญิงนั้น.. ก่อนผ่าตัด..เราย่อมไม่ทราบว่า มันมีพังผืดและลำไส้พันตูกันมากน้อยแค่ไหน ยิ่งเคยผ่าตัดและมีภาวะแทรกซ้อนมาก่อน ..แน่นอน!! ย่อมมีพังผืดมากและแน่นหนา ..ถ้าเจาะช่องท้องส่องเข้าไป พบเห็นภาพลำไส้ยึดติดกัน บดบังตัวมดลูกรังไข่ดังกล่าว..คุณหมอผู้ผ่าตัด ต้องหยุดมือทันที ..และหาวิธีอื่น ในการรักษา อาทิ..ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง รวมทั้งหาศัลยแพทย์มือดี มาช่วยดังกรณีข้างต้น….หรือยุติการผ่าตัดไปก่อน..แล้วค่อยมาผ่าตัดทีหลัง..กรุณาอย่าได้ผ่าตัดต่อ..เพราะมิฉะนั้น ผลที่ตามมาอาจไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยง….ลำไส้อาจทะลุ  หลอดไตอาจฉีกขาด  จนถึงอาจเสียชีวิต ก็เป็นไปได้

หากพิจารณา พิเคราะห์ดูจนถ้วนถี่ ทุกคนจะเข้าใจเลยว่า.. นี่เอง..คือเหตุผลของคำตอบที่ว่า ‘ทำไมข้าพเจ้าจึงหยุดทำการผ่าตัดทันที..เมื่อมองเห็นว่า มันเกินความสามารถ จนอาจเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตของคนไข้’..และเป็นที่มาของถ้อยคำประกาศิต.. ที่ว่า  ‘รู้จักพอ ไม่ผิดพลาด  รู้จักหยุด ไม่พินาศ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.  นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

  

 

    

 

                  

                  

คลอดก่อนกำหนด จากภาวะน้ำคร่ำน้อย

คลอดก่อนกำหนด จากภาวะน้ำคร่ำน้อย

                ทุกวันนี้ มีผู้คนมากมาย ที่เกิดมาด้วยการคลอดก่อนกำหนด.. แต่ก็สุขภาพดี มีสมองที่ปราดเปรื่อง..ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  ทั้งนี้ก็เพราะ การแพทย์มีความเจริญก้าวหน้าไปไกล อนึ่ง คนท้องสมัยปัจจุบัน มักมีลูกตอนสูงวัย พักผ่อนน้อย เพราะต้องทำงานหาเลี้ยงชีพมากกว่าแต่ก่อน นอกจากนั้น ก็มีปัจจัยหลายอย่างรบกวนคนท้อง ขณะตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 จนคุณหมอพิจารณาแล้วว่า ต้องรีบผ่าตัดคลอดให้ มิฉะนั้น ทารกน้อยจะเสียชีวิตในครรภ์

                คลอดก่อนกำหนด (Premature Labor) หมายถึง การคลอดที่เกิดขึ้นก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ หรือ 3 สัปดาห์ ก่อนวันกำหนดคลอด (due date).. โชคดี ก็คือ คุณหมอสูติมักสามารถยับยั้ง หรือเลื่อนการคลอดออกไปได้ ยิ่งทารกอยู่ในครรภ์นานขึ้นเท่าใด ปัญหาที่จะเกิดตามมาหลังคลอด ยิ่งน้อยลงเท่านั้น.. ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดสำหรับคนท้อง ได้แก่ การสูบบุหรี่, ภาวะน้ำหนักเกิน, ดื่มสุรา/ยาดองข้างถนน, มีโรคประจำตัว อาทิ ครรภ์พิษ, เบาหวาน..  , ตั้งครรภ์ทารกพิการแต่กำเนิด /ทารกที่เกิดจากการทำเด็กหลอดแก้ว/แฝด, มีประวัติคลอดก่อนกำหนด, ตั้งครรภ์เร็วเกินไปหลังคลอดลูกไม่นาน ..

                อย่างไรก็ตาม หากทารกน้อยที่คลอดออกมา เกิดหลังอายุครรภ์หลัง 34 สัปดาห์ขึ้นไป.. ปอดของทารกก็จะพัฒนาไปพอสมควร ส่วนใหญ่ ทารกเหล่านี้ จะสามารถหายใจได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ดังนั้น เป้าหมายแรกของการยับยั้งมดลูกแข็งตัวก่อนกำหนด คือ ยึดอายุครรภ์ให้ถึง 34 สัปดาห์

                ภาวะน้ำคร่ำน้อย (Severe Oligohydramnios) สำคัญอย่างไร และมีวิธีการวัดได้ยังไง? ในทางการแพทย์ เราวัดเป็น ค่าดัชนีน้ำคร่ำ (amniotic fluid index, AFI) ค่านี้ได้จากผลรวมของค่าที่วัดจากแอ่งน้ำคร่ำที่ลึกที่สุด 4 มุมของถุงน้ำคร่ำ  (4 quardrants) ถ้าค่าดัชนีน้อยกว่า 5 ซม. ถือว่า มีภาวะน้ำคร่ำน้อย  (Oligohydramnios)  แต่..ก็ต้องเริ่มระวังตัวมากขึ้น กรณีที่ ค่า AFI น้อยกว่า 8  เพราะว่า ทารกมีโอกาสจะเบียดสายสะดือจนขาดออกซิเจนในกระแสเลือด และเสียชีวิต ในที่สุด

                คุณสุกัญญา อายุ 39 ปี มีบุตรสาวแล้ว 1 คนอายุ 18 ปี ด้วยการคลอดเองตามธรรมชาติ….หลังจากนั้น ก็ไม่ได้ตั้งครรภ์อีกเลย… 1 ปีก่อน เธอได้รับการผ่าตัดเอารังไข่ด้านซ้ายออกทั้งข้าง เนื่องจากเป็นถุงน้ำรังไข่ ที่เรียกว่า ช็อคโกแลต ซีส (Endometriotic cyst) ..มาปีนี้ จู่ๆ เธอก็โชคดี..ตั้งครรภ์ขึ้นมาตั้งแต่เดือนมกราคม..พอตั้งครรภ์ได้ ๒ เดือน  คุณสุกัญญาก็รีบมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ที่ข้าพเจ้าทำงาน ข้าพเจ้าตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้กับเธอ ก็พบ เงาตัวอ่อน (Fetal echo) ที่มีหัวใจเต้น มองเห็นเหมือนดวงไฟกระพริบ วัดขนาดได้เท่ากับทารก อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ …นั่นหมายถึงว่า การตั้งครรภ์ของเธอจะเติบโตต่อไปอย่างมีคุณภาพ และมีโอกาสแท้งบุตรเพียง ร้อยละ 2 – 5 เท่านั้น

                คุณสุกัญญา ถือว่า เป็นคนท้องสูงวัย ( Elderly gravida) ข้าพเจ้าจึงต้องดูแลเป็นพิเศษและแนะนำการปฏิบัติตัวอย่างมากมาย.. ตอนอายุครรภ์ได้ 12 สัปดาห์ เธอได้รับการตรวจอัลตราซาวนด์จากสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เรื่องอัลตราซาวนด์ (MFM = maternal fetal medicine) เพื่อดูความหนาของคอเด็ก (Nuchal thickness) ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยเบื้องต้นได้ว่า มีความเสี่ยงต่อภาวะปัญญาอ่อนหรือไม่..แต่ก็ไม่พบว่า ทารกมีความเสี่ยงแต่อย่างใด ที่น่าแปลก!! คือ สูติแพทย์ท่านนั้น กลับพบว่า เธอตั้งครรภ์ แฝดสอง (Twins) และมีทารกตัวหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ซ่อนขดตัวอยู่ในถุงน้ำคร่ำที่ฝ่อขนาดเล็กลงข้างๆตัวปกติ คำถามที่ตามมา คือ ‘ต่อไป เธอจะแท้งหรือไม่ หลังจากแฝดตัวหนึ่งตาย’ ข้าพเจ้าได้อธิบายให้เธอและสามีว่า ‘เราเคยพบเจอกรณีครรภ์แฝด ที่เด็กคนหนึ่งตายอยู่หลายราย เด็กที่ตายจะหดตัวเล็ก, แห้งลงเรื่อยๆ, และถูกเบียดจนบางเหมือนกระดาษทีเดียว ซึ่งจะไม่ส่งผลอะไร ต่อทารกอีกตัวหนึ่ง’

                เมื่ออายุครรภ์ 22 สัปดาห์ จู่ๆ!! คุณสุกัญญาก็เกิดกังวล เรื่องโครโมโซมลูกผิดปกติ  จึงร้องขอเจาะเลือดแม่ เพื่อหาโครโมโซมลูก ด้วยวิธีการที่เรียกว่า NIFTY  [NIFTY (Non-Invasive Fetal TrisomY test)] วิธีการนี้ เป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อแม่และลูก, ง่ายและให้ผลถูกต้องมากกว่า 99% โยเฉพาะในกลุ่มทารกปัญญาอ่อนชนิดรุนแรง ( Down’s syndrome, Edwards Syndrome และ Patau Syndrome)..วิธีการนี้สามารถทำได้ ตั้งแต่คนท้องตั้งครรภ์เพียง 10 สัปดาห์.. แต่ไม่รู้เหตุผลกลใด คุณสุกัญญา จึงเพิ่งมาตระหนักว่า ควรทำ ทั้งๆที่ข้าพเจ้าได้อธิบายให้ฟังตั้งแต่แรกฝากครรภ์ ข้อเสียในการตัดสินใจช้า ก็คือ หากพบว่า ทารกมีโครโมโซมผิดปกติ ..การทำแท้งในคนท้องที่มีอายุครรภ์มากกว่า 24 สัปดาห์ ถือว่า มีความเสี่ยงสูงต่อมารดา อาทิ ตกเลือดอย่างรุนแรง จนต้องตัดมดลูก.. สูติแพทย์ท่านใดหรือจะกล้าทำแท้งให้เธอในโรงพยาบาลเอกชน? อย่างไรก็ตาม ผลโครโมโซม ของลูกคุณสุกัญญาออกมา ปกติดี ..

                คุณสุกัญญา ยังได้รับการตรวจดูอัลตราซาวนด์จากสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อีกครั้ง ตอนอายุครรภ์ 25 สัปดาห์ ก็พบว่า ปกติดี โดยมีนัดตรวจซ้ำตอนอายุครรภ์ 32 สัปดาห์  การตั้งครรภ์ดำเนินไป โดยไม่มีเค้าแห่งอันตราย ที่กำลังกร่ำกรายมาเยือน.. เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 33 สัปดาห์ สูติแพทย์ท่านนั้นก็ตรวจอัลตราซาวนด์ให้อีก พบว่า ทารกน้อยเติบโตปกติ แต่ค่าดัชนีน้ำคร่ำ (AFI) = 9 เท่านั้น..คราวนี้ จึงต้องนัดตรวจทุกสัปดาห์.. อีก 1 สัปดาห์ต่อมา  ค่าดัชนีน้ำคร่ำ (AFI) ลดลง เหลือ 7.4 ….อีก 1 สัปดาห์ ต่อมา ขณะอายุครรภ์ได้  35 สัปดาห์ 1 วัน  คุณหมอวัดค่าดัชนีน้ำคร่ำ (AFI) ได้เพียง 6.7 ..คุณหมอจึงได้นัดคุณสุกัญญา มาตรวจซ้ำในอีก 3 วันถัดมา ซึ่งค่าดัชนีน้ำคร่ำ (AFI) ลดลงอย่างรวดเร็วเหลือเพียงแค่ 4 คุณหมอรีบโทรศัพท์ แจ้งข้าพเจ้าทันทีในเย็นวันนั้น ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้ทำการตรวจสภาพเด็ก (NST = Nonstress test) เพื่อให้ทราบว่า ทารกน้อยขาดออกซิเจนในกระแสเลือดหรือไม่ ซึ่งถ้าพบกราฟผิดปกติ ก็จะผ่าตัดคลอดให้ในทันที ..จากการตรวจ พบว่า ลูกคุณสุกัญญาปกติดี ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกำหนดให้ผ่าตัดคลอดคุณสุกัญญาในเช้าวันรุ่งขึ้น

การผ่าตัดคลอดให้กับคุณสุกัญญา เป็นไปอย่างเรียบร้อย ทารกน้อย คลอดเมื่อเวลา 7 นาฬิกา 15 นาที เป็นทารกเพศชาย  น้ำหนัก 2720 กรัม  มีคะแนนศักยภาพแรกคลอด 8 ,9 และ 9 ณ นาทีที่ 1, 5 และ 10 ตามลำดับ (จากคะแนนเต็ม 10) วันนั้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องมีความสุขมาก เพราะลูกคุณสุกัญญาแข็งแรง แต่..ความสมหวังยังไม่ทันข้ามคืน ก็มีเรื่องให้ทุกข์ใจ เพราะลูกคุณสุกัญญาหายใจไว….คุณหมอเด็ก วินิจฉัยว่า เป็นโรค RDS (Respiratory distress syndrome) หรือ ปอดเป็นฝ้า  เมื่อปรึกษากับกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Newborn คุณหมอแนะนำให้ย้ายไปรักษาต่อ ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี

RDS (Respiratory distress syndrome)..คือภาวะที่มีการขาดสารลดแรงตึงผิว (Surfactant)ในถุงลมปอดขนาดเล็กๆ (Alveoli) ของทารกที่คลอดก่อนกำหนด เป็นเหตุให้มีการตีบตันของถุงลม (Alveolar collapse) จนการแลกเปลี่ยนก๊าซมีประสิทธิภาพลดลง ในที่สุดทารกก็จะเกิดภาวะขาดออกซิเจน (Neonatal hypoxia) , การทำงานของปอดผิดปกติ เกิดภาวะเลือดเป็นกรด (Acidosis) และมีการเพิ่มช่องทางติดต่อของก๊าซออกซิเจน(Shunt)ในปอด โดยแสดงอาการหายใจเร็ว หายใจติดขัด หายใจโดยใช้กล้ามเนื้อทรวงอก และ ตัวเขียว ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังคลอด

ภาวะแทรกซ้อนอื่น ที่อาจพบร่วมกับภาวะกดการหายใจในทารกคลอดก่อนกำหนด (Respiratory distress syndrome : RDS) ได้แก่ ลำไส้อักเสบอย่างรุนแรง (Necrotizing enterocolitis) , หลอดเลือดระหว่างหัวใจกับเส้นเลือดใหญ่ไม่ปิด ( Patent ductusarteriosus ), เลือดออกในสมอง ( Intraventricular hemorrhage) , มีการติดเชื้อ (Infection) เป็นต้น ทารกที่มีชีวิตรอดอาจต้องพบกับภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น ตาบอด, หลอดลมเสียหายเรื้อรัง (Bronchopulmonary dysplasia หรือ Chronic lung disease)

ภาวะแทรกซ้อนเลวร้ายที่กล่าวมานั้น ไม่ได้เกิดกับทารกทุกราย และมักเกิดกับทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1000 กรัม แต่ลูกคุณสุกัญญา มีน้ำหนักแรกเกิด มากถึง 2720 กรัม จึงไม่น่าจะเกิด..เมื่อ ราว 1 เดือนก่อน ก็มีคนท้องในลักษณะเช่นนี้ พอตั้งครรภ์ได้ 35 สัปดาห์ น้ำคร่ำลดลง จนเหลือเพียง แค่ 3 ข้าพเจ้ารีบผ่าตัดคลอดทารกน้อยออกมาแบบฉุกเฉิน ทารกน้อย ก็ปกติ หายใจได้เองอย่างสบาย ด้วยน้ำหนักแรกคลอด เพียง 2200 กรัม เท่านั้น

หลังจากที่ลูกคุณสุกัญญา ถูกส่งไปรักษา ทารกน้อยก็ถูกใส่ท่อช่วยหายใจ (Intubation) และอยู่ในตู้อบ 7 วัน การใส่ท่อช่วยหายใจในเด็ก ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ เพราะ เด็กเล็กนั้น สุขภาพทุกอย่างปกติ ยกเว้น เรื่องหายใจที่กำลังยังไม่ดีพอ..แต่ผู้ใหญ่ที่ถูกใส่ท่อช่วยหายใจ สุขภาพมักจะอยู่ในสภาพวิกฤต ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นานนัก ทารกก็จะกลับมามีสุขภาพดีดังเดิม..ลูกคุณสุกัญญา หลังจากถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้ว ก็กินดี อยู่ดี จนอ้วนท้วนสมบูรณ์ ทารกน้อยอยู่ รักษาตัวที่แผนกเด็ก โรงพยาบาลราธิบดี  20  วัน ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน ทุกวันนี้ครอบครัวคุณสุกัญญา มีความสุขมาก ลูกน้อย ร่าเริง อ้วนท้วนสมบูรณ์

ทากรน้อยคลอดก่อนกำหนด (Preterm birth) ใช่ว่า ทุกคนจะทุกข์ทรมาน พิการร่างกาย การแพทย์ที่ก้าวไกลในสมัยปัจจุบัน รับผิดชอบกับปัญหานี้ได้ดี..ต้นไม้ ใบหญ้าในป่าใหญ่ แม้อ่อนวัย ..ก็ยังมีเทพปกปักรักษา ดังนั้น คนท้องทุกท่าน อย่าได้ไปกังวลเลย.. ช่วงตั้งครรภ์ คุณไม่ควรทำงานหนัก ขอให้ไปตรวจตามนัด.. หากพบสิ่งผิดสังเกตหรือสงสัย ก็รีบเข้ารับการตรวจพิเศษต่างๆ เชื่อเถอะว่า ลูกของคุณจะปลอดภัย..

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ. เสรี ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

  

 

 

 

 

               

 

 

การผ่าตัดผ่านกล้องกรณีมีพังผืดยึดติด

การผ่าตัดผ่านกล้องกรณีมีพังผืดยึดติด

                ‘มดลูก’ ที่มีเนื้อเยื่อบางส่วนเติบโตเจริญเป็น ‘เนื้องอก (Adenomyosis/myoma uteri)’ นั้น..ก็ใช่ว่า ตัวมดลูกและเนื้องอก..มันจะลอยล่องเคลื่อนไหวไปมาในอุ้งเชิงกรานอย่างอิสระ บางที มันก็มีพังผืดมายึดเกี่ยวเหนียวแน่น เพราะ..เคยผ่าตัดมาก่อน หรือเป็นโรคนี้นานเกินไป..จนก่อพังผืด….เกิดเป็นปัญหาของการผ่าตัดด้วยกล้องอย่างมาก..แต่..ก็มีแนวทางแก้ไขง่ายๆ คือ ยกเลิกการผ่าตัด หรือปรับเปลี่ยนไปเป็นการผ่าเปิดหน้าท้อง (Open hysterectomy)..

                คุณชลธิชา อายุ 47 ปี  เคยคลอดบุตรชาย 1 คนราว 17 ปีก่อน.. แต่โชคร้าย.. ที่บุตรของเธอเสียชีวิต หลังจากลืมตาดูโลกเพียง 9 เดือน.. เธอเล่าว่า ‘ เธอฝากครรภ์ ที่โรงพยาบาลรัฐ (ขอสงวนนาม) แห่งหนึ่ง และเข้าไปรับการตรวจตามนัดทุกครั้ง.. วันหนึ่ง..ขณะตั้งครรภ์ครบกำหนด ..จู่ๆ!! คุณหมอที่ห้องฝากครรภ์ ก็ขอให้เธอเข้ารับการผ่าตัดคลอดด่วน ด้วยข้อบ่งชี้อะไรไม่ทราบ หลังจากที่ได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องของเธอ….หลังคลอด คุณหมอบอกเธอเพียงว่า ‘ลูกของเธอ มีลักษณะทรวงอกเล็กมาก.. กระดูกซี่โครงสองข้างยึดติดกันแน่นตรงกลางและนูนขึ้นมาเหมือนอกไก่’  เธอฟังไม่ค่อยถนัดและไม่เข้าใจว่า ‘ลูกของเธอพิการหรือเปล่า’ อย่างไรก็ตาม..เธอได้เลี้ยงดูฟูมฟักลูกน้อย อย่างทนุถนอมเรื่อยมา เป็นเวลา 9 เดือน.. ในที่สุด บุตรชายก็จบชีวิตลง ด้วยโรคปอด อันเนื่องมาจาก ความพิการของกระดูกทรวงอก ที่ไม่สามารถขยายออกได้..หลังจากนั้น เธอได้ไปเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยากที่โรงพยาบาลมหาลัยฯแห่งหนึ่ง เป็นเวลานานพอสมควร แต่ก็ไม่สำเร็จ.. จนเธอท้อแท้สิ้นหวัง และหยุดการรักษา.. เมื่อ 5 – 6 เดือนก่อน เธอรู้สึกปวดท้องน้อยเป็นกำลังขณะมีระดู.. เธอจึงมาหาสูติแพทย์ที่ รพ. เอกชนแห่งหนึ่ง คุณหมอแนะนำให้เธอเข้ารับการผ่าตัด.. ซึ่ง..เธอเลือกที่จะผ่าตัดผ่านกล้อง เพราะไม่อยากเจ็บตัวมาก’

                เนื่องด้วย ข้าพเจ้าเป็นที่ปรึกษาในโรงพยาบาลประกันสังคมที่คุณชลธิชาสังกัด ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้ลงมือผ่าตัดผ่านกล้องให้กับเธอในครั้งนี้…ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าได้ตรวจหน้าท้องของคนไข้บนเตียงผ่าตัด ก็พบรอยแผลเป็น (Surgical scar) จากการผ่าตัดคลอด (Vertical incision) เป็นแนวตรง ตั้งแต่สะดือลงมาถึงใกล้หัวเหน่า ..ข้าพเจ้าคะเนว่า น่าจะมีพังผืด ซ่อนอยู่ข้างใต้ภายในช่องท้อง ..พอเจาะท้องบริเวณสะดือเข้า ไป ก็พบว่า เป็นจริงดังคาด..

                ‘เยื่อบุลำไส้’ นั่นเอง ที่แผ่เป็นผืนพังผืดยึดติด และย้อยลงมาจากผนังหน้าท้อง เหมือนรวงผึ้ง 2 แห่ง..แผ่นเยื่อบุลำไส้ ที่ย้อยลงมาแห่งแรก อยู่ใกล้ๆสะดือ และอีกแห่ง อยู่ใกล้กับกระเพาะปัสสาวะ..ดังนั้น เริ่มต้น.. ข้าพเจ้าจึงใช้คีมคีบไฟฟ้า จับ, จี้ และตัดเยื่อบุลำไส้ ตรงบริเวณใกล้ๆสะดือ  ซึ่งส่งผลให้ข้าพเจ้าสามารถมองเห็นภาพภายในช่องท้องด้านล่างได้ทั่ว โดยเฉพาะตัวมดลูกและรังไข่ ..คราวนี้ ข้าพเจ้ามองเห็นได้ชัดเลยว่า ปีกมดลูกทางด้านซ้าย (Left adnexa) มีพังผืดหนาแน่นมาปกคลุมแบบมืดมิด..นี่แหละ เป็นเหตุให้ ข้าพเจ้าต้องใช้วิธีการพิเศษ ในการผ่าตัดคนไข้รายนี้

                ข้าพเจ้าเริ่มการผ่าตัดต่อ ด้วยการจี้ตัดเยื่อบุลำไส้ที่ย้อยลงมาข้างหน้ากระเพาะปัสสาวะ ซึ่ง..ก็ไม่ยากมาก ตอนนี้ ข้าพเจ้ามองเห็นเนื้องอกมดลูกชัดเจนทุกด้าน ด้านหน้ามีพังผืดคลุมกระเพาะปัสสาวะมายึดติดกับมดลูกส่วนกลางๆ.. ปีกมดลูกด้านข้าง (Adnexa) มองเห็นเฉพาะด้านขวาและส่วนล่างข้างใต้มดลูกเกือบตลอดแนว (Right adnexa & both Sacro-illiac ligaments) แต่..ด้านซ้ายถูกพังผืดยึดติด และปิดบังทั้งหมด จนมองไม่เห็นรังไข่..

ข้าพเจ้าใช้ตัวจี้ไฟฟ้า จี้ตัดมดลูกส่วนล่าง (Posterior surface) ข้างใต้ ในแนวขนานกับพื้นราบ (Horizontal) เหนือต่อ เอ็นรูปขากางเกงทั้งสอง (Sacro-illiact ligaments) จนทะลุเข้าช่องคลอด (Posterior Colpotomy) จากนั้น ก็ผ่าตัดปีกมดลูกทางด้านขวา โดยเริ่มจากตัดเอ็นที่ชื่อว่า  Round Ligament ที่อยู่หน้าต่อท่อนำไข่ แล้วแหวกแยกออก, เจาะทะลุเนื้อเยื่อข้างใต้ จนมองเห็นลำไส้เคลื่อนไหวทางด้านล่าง..การที่ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้ส่วนเนื้อเยื่อด้านข้าง (Adnexa) บางลงและแยกเป็น 2 ส่วน (Compartment)..ง่ายต่อการตัดทิ้ง (Adnexectomy) ..อุปกรณ์ของมีคม จะได้ไม่ไปเกี่ยวหรือข่วนถูกลำไส้ (Intestinal injury) ข้างใต้..จากนั้น ข้าพเจ้าได้เย็บเส้นเลือดใหญ่ของมดลูก (Right Uterine artery) ด้านขวา ด้วยเงื่อนกระตุก (Sliding knot) ผูกรัด..แล้วก็ตัดปีกมดลูกออกทั้งหมด โดยเริ่มจากท่อนำไข่ (Interstitial part of fallopian tube) ข้างขวาไล่ลงมา ..

สำหรับการตัด เส้นเลือดใหญ่ของมดลูกด้านขวา (right Uterine artery) นั้น ข้าพเจ้าใช้ตัวจี้ตัดในแนวขนานกับช่องคลอด.. เหนือต่อปมด้าย ที่เราเย็บผูก (Right Sliding knot) ไว้ ..จากนั้น ก็ตัดปีกมดลูกด้านขวาได้อย่างอสมบูรณ์ โดยจี้ตัดไฟฟ้าไปตามแนวขอบวงกลมช่องคลอดที่นูนขึ้นมา จากเครื่องกระดกที่ดันจากด้านล่าง วกไปทางด้านหน้า..อนึ่ง ก่อนหน้านั้น ข้าพเจ้าได้เลาะพังผืด (Adhesion) ที่ยึดเกี่ยวจากกระเพาะปัสสาวะลงมาบนมดลูก เหนือต่อรอยผ่าตัดบนมดลูกส่วนล่าง (previous incision scar of Lower uterine segment) ไปบางส่วนแล้ว.. แต่..ไม่สามารถเลาะ ปีกมดลูกด้านซ้ายได้

กรณีการผ่าตัดเลาะตัดปีกมดลูกด้านซ้าย (Left Adnexectomy) นั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถผ่าตัดผ่าน จากกล้องในช่องท้องได้..เพราะมองไม่เห็นส่วนที่ต่ำกว่าพังผืด หากผ่าตัดแบบลุย มีหวังอุปกรณ์เกี่ยวหรือขีดข่วนถูกอวัยวะใกล้เคียงให้บาดเจ็บ รุนแรง จนคนไข้อาจถึงตายได้.. ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีใหม่ด้วยการไปผ่าตัดทางช่องคลอดแทน (V – hysterectomy)

วิธีการผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด (V-hysterectomy) นั้น ข้าพเจ้าเริ่มผ่าตัดด้วยการกรีดมีดไปรอบๆปากมดลูก แล้วใช้เครื่องมือเหมือนคีม ซึ่งมีคุณสมบัติจี้ตัด และปิดกั้นเส้นเลือดได้อย่างดีเยี่ยม ค่อยๆตัดช่องคลอดในส่วนที่เจาะทะลุทางช่องท้องก่อนหน้านี้ ไปทั้งด้านล่างและด้านบน..ทางซ้ายมือ ซึ่งยังไม่สามารถตัดได้ผ่านทางกล้องได้..การจี้ตัดช่องคลอด (Posterior fornix) ด้านล่างก่อน และตัดไล่ไปทางซ้ายที่ละนิดๆนั้น ..พอตัดไปได้  1 เซนติเมตร ..ข้าพเจ้าจะใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง ดันเนื้อเยื่อส่วนที่ติดกับมดลูก ให้มันลอกไถล ขึ้นไปทางด้านตัวมดลูก (Fundus) ..แล้วจี้ตัดเนื้อเยื่อที่สูงขึ้นไป เพื่อหยุดเลือดจากเส้นเลือดใหญ่ของมดลูกด้านซ้าย (Left uterine artery)..พอจี้ตัด เส้นเลือดใหญ่ด้านซ้ายได้แล้ว. เราก็ตัดเอาเนื้อมดลูกทิ้งทีละน้อยๆ โดยเริ่มจากตัดปากมดลูกทิ้งก่อน.. แล้วใช้คีมปากแหลมจับคีบเนื้อมดลูกส่วนอื่น ดึงลงมา และใช้มีดตัดออก ทีละชิ้นๆ จนเหลือน้อย เพียงพอที่จะดึงก้อนมดลูกทั้งหมดลงมาทางช่องคลอด ..แล้วใช้คีมจับและตัดปีกมดลูกข้างซ้ายออกทิ้งทั้งหมด..

หลังจากตัดเอามดลูก&รังไข่ออกเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนกลับมาใช้กล้องส่องผ่านสะดือ เพื่อดูจุดเลือดออกภายในช่องท้อง ปรากฏว่า ที่อุ้งเชิงกรานด้านซ้าย มีเลือดพุ่งออกมาเป็นสาย ที่ปลายเส้นเลือดใหญ่ (Left uterine artery)..เป็นจังหวะตามการบีบเต้นของหัวใจ ข้าพเจ้าจึงรีบใช้ปากคีบไฟฟ้า จี้ปิดเส้นเลือดใหญ่นั้น เมื่อหยุดเลือดจุดใหญ่ได้แล้ว ..เลือดที่ซึมออกเล็กน้อยตามจุดต่างๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา จากนั้น ข้าพเจ้า ก็ทำการเย็บปิดช่องคลอดจากทางด้านล่าง..เพราะกลัวว่า การเย็บปิดช่องคลอดผ่านทางหน้าท้อง อาจกระทบกับจุดเลือดออกที่พื้นของอุ้งเชิงกราน (Raw surface) ทำให้หยุดเลือดยาก..

การเย็บปิดแผลช่องคลอดทางด้านล่าง ในส่วนที่ติดกับช่องท้อง (Vaginal stump) นั้น ข้าพเจ้าใช้ ‘ตัวจับ’ ที่เรียกว่า  Allis จับขอบของแผลช่องคลอด ทั้งบน&ล่าง.. กางออก..  แล้วใช้เข็มที่เรียกว่า J shape  เย็บจากล่างขึ้นบน โดยเย็บที่มุมแผลด้านซ้ายของช่องคลอดก่อน.. จากนั้น ก็เย็บตักขอบของผนังช่องคลอดล่างและบน.. แบบ ‘ตักขึ้น’ โดยให้ปลายเข็ม (ของการตักเข็มครั้งสุดท้าย) ชี้ออกมาทางปากช่องคลอด..จนปิดช่องคลอดสนิท (Close Vaginal stump).. การที่เราเย็บเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้ปลายเข็มทิ่มเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ อันจะนำไปสู่การเกิด V-V fistula หรือรูรั่วระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับช่องคลอด

ข้าพเจ้าส่องกล้องตรวจเช็คภายในช่องท้องและอุ้งเชิงกรานอีกครั้ง จี้ไฟฟ้าหยุดเลือดตามจุดต่างๆ เท่าที่ปรากฏ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ตาม..และเพื่อความไม่ประมาท ข้าพเจ้าได้ใส่ท่อระบาย (Drain) เพื่อให้เลือดที่ซึมออกมาภายหลัง.. ขับออกมา..แค่นี้ ก็ถือว่า การผ่าตัดได้สิ้นสุดลงแล้ว..

วันรุ่งขึ้นและวันต่อมา ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมคุณชลธิชา.. เธอบ่นปวดแผลพอสมควร และดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนเย็นของวันถัดมา เธอสามารถถอดเอาสายสวนปัสสาวะออกได้ จิบน้ำและรับประทานอาหารเหลว&อ่อนตามลำดับ…. ส่วนน้ำเลือดภายในช่องท้อง ก็ไหลออกมาทางท่อระบายพอควร ..หลังจากนั้นอีก 2 วัน เธอก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน..

การผ่าตัดผ่านกล้องกรณีมีพังผืดยึดติดภายในช่องท้องด้วยสาเหตุต่างๆ เป็นเรื่องที่ควรเตรียมการหลายอย่าง อาทิ เตรียมลำไส้ เผื่อไว้กรณี ลำไส้ถลอกหรือทะลุ, เตรียมอุปกรณ์ เพื่อจี้ตัดเส้นเลือดใหญ่ ผ่านทางช่องคลอด และแจ้ให้คนไข้ทราบไว้ก่อนว่า อาจต้องปรับเปลี่ยน เป็นการผ่าตัดเปิดทางหน้าท้อง..

โลกภายนอก วุ่นวาย ไม่รู้จบ..เรายังพอหลีกเลี่ยง  ไม่รับรู้ได้ ..แต่..ร่างกาย หรือโลกภายในตัวเรานั้น มันซับซ้อน ซ่อนโรคร้ายๆไว้..โดยไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งเราจำเป็นต้องรักษา..ความรู้ ความก้าวด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง..เจริญขึ้นมาตามลำดับ..แต่ก็ยังมีข้อจำกัด ..ดังตัวอย่างที่เล่ามา..ดังนั้น คุณหมอ จึงจำเป็นต้องหมั่นฝึกหัดพัฒนาตัวเอง อยู่ทุกวี่วัน เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยี ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อรองรับการผ่าตัดรูปแบบใหม่.. อย่างไรก็ตาม ก็ต้องไม่ทิ้งพื้นฐาน การเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง หรือผ่านทางช่องคลอดไว้ด้วย….

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.  นพ.เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

 

 

 

 

                  

ลูกค้ารายใหญ่ (Dengue Hemorrhagic fever)

ลูกค้ารายใหญ่ (Dengue Hemorrhagic fever)

                ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เลวร้ายในสมัยปัจจุบัน ซึ่งข้าพเจ้าอยากจะเรียกมันว่าเป็น ‘ยุคข้าวยากหมากแพง’ จริงๆ เพราะข้าวของทุกสิ่งมีราคาสูง..แม้ไม่ใช่กลียุค ..แต่ก็วุ่นวายต่อทุกชนชั้น..คนจนแทบจะหาเงินมาซื้อข้าวกินไม่ครบทุกมื้อ ชนชั้นกลางต้องทำงานเช้ายันค่ำ เพื่อหาเงินมาใช้หนี้..แน่นอน!! แทบไม่ทันในแต่ละงวด….ส่วนคนรวยเล่า ก็เฝ้าแต่ระวังตัว กลัวถูกหลอก หรือถูกโกงจากผู้ไม่หวังดี..

วันหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าพเจ้าแวะซื้อของจุกจิก เกี่ยวกับปลั๊กไฟในราคา ประมาณ 2000 บาท ที่ห้างสรรพสินค้า ย่านถนนพระราม 9.. ข้าพเจ้าถามคนขายว่า ‘วันนี้ ขายของได้สักเท่าไหร่ สักหมื่นหนึ่งได้ไหม?’ เธอบอกว่า ‘ข้าพเจ้าคือลูกค้ารายใหญ่ วันหนึ่งๆ หนูขายของแทบไม่ได้เลย ถึงแม้ จะเพิ่งมาเปิดขายของ..และมีของดีเท่าใด ก็ขายได้น้อยมาก เพราะผู้คนไม่มีเงิน ทุกคนต้องการประหยัด’..ข้าพเจ้าฟังแล้ว ให้รู้สึกสะท้อนใจมาก กับคำกล่าวนี้..ถึงแม้ว่า มันจะเป็นความจริง    

ไม่กี่วันมานี้ ภรรยาข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhagic fever) ซึ่งกำลังระบาดขณะนี้ วันนั้น เป็นวันเสาร์….ยังจำได้..ข้าพเจ้านัดกับภรรยา จะไปกินหูฉลามที่ย่านเยาวราชในตอนค่ำ…. ราวๆเที่ยงของวันนั้น..ภรรยาข้าพเจ้าพลันรู้สึกเบื่ออาหาร..งวงหงาวหาวนอน อ่อนเปลี้ย เพลียแรงอย่างระโหย..เธอบอกว่า ‘คงไปไม่ไหว..รู้สึกครั่นเนื้อ..ครั่นตัว..และมีไข้สูง’ ข้าพเจ้าคลำที่ศีรษะของเธอ รู้สึกอุ่นๆ แต่ไม่แน่ใจว่ามีไข้หรือเปล่า..อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้เจียดยาลดไข้ และยาฆ่าเชื้ออย่างดีให้กับเธอ (Meiact) รับประทานทุกๆ 6 ชั่วโมง..ตอนเช้าวันถัดมา ข้าพเจ้ามีภารกิจ ต้องไปออกหน่วยตรวจชาวบ้านที่ย่านคลองเตย ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ..ราว 10 นาฬิกา ภรรยาข้าพเจ้าโทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าบอกว่า  ‘..รู้สึกไม่ไหวแล้ว..ช่วยพาเธอไปโรงพยาบาลหน่อย..’ ข้าพเจ้ารีบผละออกจากสถานที่นั้นทันที.. กลับมาบ้าน..และขับรถพาภรรยามาที่ โรงพยาบาลตำรวจ..ก่อนออกจากบ้าน ข้าพเจ้าได้ให้เธอกินยาฆ่าเชื้อและยาลดไข้อีกครั้ง..

ที่ห้องฉุกเฉิน..ของโรงพยาบาลตำรวจ..ข้าพเจ้าได้แจ้งให้คุณหมอเวรทราบถึงอาการป่วยของภรรยาคร่าวๆ..ซึ่งรุนแรงจนข้าพเจ้าคิดว่า ‘น่าจะป่วยเป็นไข้เลือดออก เพราะมันกำลังระบาดอยู่ในช่วงเวลานี้’….เวลาผ่านไปราว 1 ชั่วยาม ผลเลือดของภรรยาข้าพเจ้าก็ปรากฏออกมาว่า ‘เธอเป็นไข้เลือดออก เพราะ Dengue NS1 antigen1 ให้ผลบวก’ ตอนที่ภรรยาข้าพเจ้ามาถึงห้องฉุกเฉินใหม่ๆนั้น.. ลักษณะภายนอกของเธอดูดีขึ้นมาก เพราะไข้ลดลงหลังจากรับประทานยาลดไข้ไป 4 ชั่วโมง  ข้าพเจ้าเกือบทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ด้วยการชักชวนเธอกลับบ้านไปพักรักษาตัวเสียแล้ว เนื่องจากอาการภายนอกดูดีขึ้น แต่..พอผลเลือดออกมา  ภรรยาข้าพเจ้าก็ต้องเข้านอนในห้องพัก จากนั้น เธอก็มีไข้ขึ้นสูงลอย ถึง 40 องศาเซลเซียสเป็นช่วงๆ และลดลงตามยาลดไข้, เธอนอนอย่างสลบไสล ไม่สามารถโงหัวขึ้นจากหมอนได้.. รับประทานไม่ได้เลยตลอด 3 วัน 3 คืน..อาศัยก็แต่น้ำเกลือหล่อเลี้ยงชีวิต….ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนั้น ..

ที่ห้องพักชั้น 9 ของตึกเฉลิมพระเกียรติของ รพ.ตำรวจ..ภรรยาข้าพเจ้าที่ดูเหมือนจะดีขึ้นในตอนแรกตรวจ..เมื่อมาเข้าถึงห้องพัก เธอกลับมีอาการทรุดหนัก..ไม่ค่อยพูดจา ..นอนหลับใหล เหมือนถูกยาสลบ ผลความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit ชื่อย่อ คือ Hct) คือ 39% ซึ่งไม่สูงมาก ..ความเข้มข้นของเลือดที่สูงมากๆ อาทิ เกิน 60% จะทำให้เลือดหนืด จนเป็นเหตุให้เส้นเลือดอุดตันตามอวัยวะต่างๆ หากเกิดกับอวัยวะสำคัญ ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต..กรณีเกร็ดเลือดของภรรยาข้าพเจ้า ถือว่า ไม่ต่ำ คือ มีค่า 206,000 (ค่าปกติ  164,000- 414,000) หน่วย..เกร็ดเลือด (Platelets) นี่เอง หากค่าของมันลดลงต่ำกว่า 10,000 หน่วย  ก็จะทำให้เลือดออกตามอวัยวะต่างๆของคนไข้ได้เอง โดยไม่ต้องถูกกระทบกระแทก..

คำสั่งการรักษาสำหรับภรรยาข้าพเจ้าจากอายุรแพทย์ นอกจากให้น้ำเกลือ (5% dextrose saline) ผ่านทางเส้นเลือดดำ ในอัตรา 60 ซี.ซี. ต่อ ชั่วโมง  ยังมีการให้แมกนีเซียม (50%MgSo4 = 2 cc in NSS 100 cc drip every 6 hour) ด้วย, ส่วนยากิน ก็ประกอบด้วย พาราเซตามอล (Paracetamal), ยาลดการคลื่นไส้ (Motilium) , และเกลือแร่ผง (ORS) ชงกินแทนน้ำ.. ข้าพเจ้าได้อยู่นอนเฝ้าภรรยาตั้งแต่นั้นมา

ในตอนค่ำ ภรรยาข้าพเจ้ารู้สึกครั้งเนื้อครั้นตัว และหนาวมาก..ข้าพเจ้าจึงเอาผ้าห่ม ซึ่งมีอยู่ในห้อง 2 ผืนห่มให้เธอ..จากนั้น ข้าพเจ้าก็เดินไปขอผ้าห่มอีกผืนหนึ่งกับพยาบาลเวร..ภาพนั้นยังจำได้แม่นยำ..พยาบาล 2 คน และผู้ช่วย 1 คนกำลังนั่งโต๊ะทำงาน เขียนบันทึกอะไรอยู่ พยาบาลคนหนึ่งพูดตอบกับข้าพเจ้าว่า ‘ไม่มีหรอก เพราะเราได้มาแค่ 10 ใบ.. แจกจ่ายไป ก็หมดทุกที..ทะเลาะกับญาติคนไข้ เป็นประจำทุกวันเลยค่ะ’

‘ไม่เป็นไร..เดี๋ยว ผมจะไปเอาผ้าห่มที่ห้องหัวหน้ากลุ่มงานสูติฯ’ ข้าพเจ้าตอบพร้อมกับออกเดินไปที่ห้องทำงาน.. หยิบผ้าห่มหมอนมา 1 ใบ แล้วเดินกลับมาที่ห้องพักคนไข้.. ล้มตัวลงนอนที่เก้าอี้นวมโซฟา..สักพัก..พยาบาลคนหนึ่งก็เคาะประตู..แล้วเดินเข้ามาดูภรรยาข้าพเจ้า..พลางอุทานว่า ‘แย่แล้ว!! เลือดเปรอะเปื้อนผ้าห่มเต็มไปหมด’ rพยาบาลคนดังกล่าวรีบตะโกนเรียกเพื่อนพยาบาลอีกคนมาช่วย เปลี่ยนชุดสายน้ำเกลือใหม่ และเก็บผ้าห่มทั้งสองผืนออกไป..ข้าพเจ้าขอโทษขอโพยพยาบาลเหล่านั้นที่ไม่ได้ระแวดระวัง..ปล่อยให้สายน้ำเกลือหลุด โดยที่คนไข้หดมือเข้าไปซุกในผ้าห่ม จนเลือดออกเปรอะเลอะเทอะไปหมด

หลังจากนั้น ไม่นาน พยาบาลคนหนึ่ง ก็นำเอาผ้าห่มมาให้ 1 ผืน ตอนนั้น  ภรรยาผมมีอาการหนาวสั่นด้วยโรคไข้เลือดออก ข้าพเจ้าจึงเดินไปขอผ้าห่มอีกผืน แต่ผู้ช่วยพยาบาลกลับบอกว่า ‘ไม่มีหรอก เพราะผื่นที่ให้ไป ก็ไปยืมจากหอพักผู้ป่วยชั้นอื่นมา’ ข้าพเจ้างงกับคำพูดนี้ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้เดินไปเอาผ้าห่มหมอนอีกผืนมาจากห้องทำงาน เพื่อห่มตัวเอง..ข้าพเจ้ารู้สึกไม่สบายใจกับคำพูดของผู้ช่วยพยาบาลคนนั้นมาก ข้าพเจ้าจึงเดินไปถามเจ้าหน้าพยาบาลเหล่านั้นว่า ‘เรื่องผ้าห่มขาดแคลนเช่นนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย มันมีปัญหาที่ตรงไหน? พรุ่งนี้ ผมจะไปที่แหล่งจัดส่ง (Supply Unit) ว่า ทำไมถึงมีปัญหา.. ถ้าเป็นกรณีของชาวบ้าน  เขาจะมิลำบากแย่หรือ?’ พูดเสร็จ ข้าพเจ้าก็กลับเข้าไปนอน โดยใช้ผ้าห่มหมอนที่ข้าพเจ้านำมา.. สักพักหนึ่ง ก็มีพยาบาลนำผ้าห่มมาให้อีกผืนหนึ่ง พร้อมกับบอกว่า ‘ที่ช้าอยู่..นั่นเพราะให้แม่บ้านคนงานไปยืมตามหอพักต่างๆ และเพิ่งได้มา ’ ข้าพเจ้ารู้ทันทีว่า เป็นคำแก้ตัว แต่ก็ไม่ว่าอะไร วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเชิญหัวหน้าพยาบาลของหอผู้ป่วยนั้นมา และพูดคุยถึงปัญหาดังกล่าว โดยเน้นว่า สำหรับตัวข้าพเจ้านั้น ไม่เป็นไร แต่ชาวบ้านตาดำๆ  เขาจะเดือดร้อนแค่ไหนกับผ้าห่มสักผืน เพื่อกันหนาว..คำตอบที่ได้ นับว่าน่าพอใจพอสมควร คือ ‘ระบบการจัดส่งผ้าห่ม ไม่มีปัญหา แต่ผู้ปฏิบัติไม่ทราบเอง กล่าวคือ ทางหน่วยจ่ายของกลาง (Supply Unit)  จะจัดส่งมาให้ที่หอผู้ป่วยตอนเช้าวันละ ๑๐ ผืนในเบื้องต้น ..พอตกบ่าย พยาบาลประจำการจะต้องประเมินว่า ตอนค่ำและกลางคืน จะมีการใช้ผ้าห่มเพิ่มอีกกี่ผืน แล้วส่งคำสั่งขอไป ก็จะได้มาตามจำนวนที่ต้องการ..ขอยืนยันว่า  ผ้าห่มไม่มีขาดแคลน’ การที่ข้าพเจ้าต้องแก้ปัญหานี้ ก็เพื่อชาวบ้านตาดำๆ จะได้ ไม่เดือดร้อน จากความเข้าใจผิดของพยาบาลระดับปฏิบัติการและเจ้าหน้าที่ผู้น้อยต่างๆ

วันที่ 2 ของการรักษา ปรากฏว่า อาการทั่วไปของภรรยา ยังคงทรงๆ ไข้ยังคงสูงลอย เธอไม่สามารถกินข้าวได้ และนอนเกือบตลอดเวลา ยกเว้นเวลาเข้าห้องน้ำ..ความเข้มข้นของเลือด (Hct) เท่ากับ 41% , เกร็ดเลือด = 180,000 ..ตอนนั้น ภรรยาข้าพเจ้าเดินเข้าห้องน้ำลำบากมาก เพราะมีน้ำเกลือแขวนอยู่ 2 ถุง คือ ถุงน้ำเกลือธรรมดา กับถุงที่มีเครื่องนับหยด ในถุงที่บรรจุแมกนีเซียมซัลเฟต [MgSo4] (เครื่องนับหยด เป็นแบบมีแบตเตอรี่สำรองไฟ จึงสามารถถอดปลั๊กหิ้วได้) ข้าพเจ้าต้องแก้ไขสถานการณ์บางอย่าง เพื่อให้ภรรยาข้าพเจ้าหิ้วถุงน้ำเกลือเดินเข้าห้องน้ำสะดวก ยามที่ไม่มีคนช่วย ด้วยการเอาตัวตะขอเหล็กรูปตัว S มาแขวนถุงน้ำเกลือ..เพื่อให้เคลื่อนย้ายถุงน้ำเกลือสะดวก ซึ่ง..ก็เป็นจริงตามคาด วันนั้น ข้าพเจ้าให้คนใช้แม่บ้านไปเฝ้าภรรยา เพราะข้าพเจ้าเข้าเวรที่ รพ เอกชน แห่งหนึ่ง แต่..คนใช้แม่บ้านไม่ได้ช่วยเหลือภรรยาข้าพเจ้าในการเข้าห้องน้ำเลย..ภรรยาข้าพเจ้าก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

วันที่ 3 ของการรักษา  ภรรยายังคงมีไข้สูง แต่ลดลงเหลือ 38 องศาเซลเซียส และได้รับน้ำเกลือผ่านทางหลอดเลือดดำ เธอรับประทานอาหารไม่ได้เช่นเดิม..กินเพียงน้ำเกลือแร่ พอแก้กระหาย..ผลเลือดความเข้มข้น ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เกร็ดเลือดลดลงเหลือ 140,000 ..ตกกลางคืน ภรรยาข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกหิว ข้าพเจ้าบอกกับเธอว่า ’นี่คือ สัญญาณที่ดี คุณใกล้หายแล้ว ..จริงๆแล้ว ในวันที่ 3 หรือ 4 ของโรคไข้เลือดออก คนไข้ จะเข้าสู่ระยะช็อค (Shock stage) แต่กรณีของคุณ กลับอยู่ในระยะทรงตัว.. เกร็ดเลือด ลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ’ คืนนั้น แม้จะรับประทานอาหารไม่ได้ แต่ เธอสามารถกินนมร้อนได้ หมดถ้วย..

วันที่ 4 ของการรักษา..ตอนเช้า ภรรยา ข้าพเจ้าบอกว่า ‘หิว’ ข้าพเจ้าคิดว่า เธอหายแล้ว แต่ เธอยังไม่สามารถรับประทานข้าวต้มได้ รับประทานได้เพียงโจ๊กและข้าวโอ๊ต เท่านั้น..ความเข้มข้นของเลือด (Hct)  ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เกร็ดเลือด ลดลงเหลือ 120,000 หน่วย..ตอนนี้ ไข้ลดลงมาเหลือเพียง 37 องศาเซลเซียส เศษ.. เธอสามารถพูดคุยได้คล่องขึ้น แต่ยังเบื่ออาหารและอารมณ์หงุดหงิด เล็กน้อย สิ่งที่บ่งบอกว่า ใกล้จะหายจากโรคแล้ว  คือ เธอกลับมามีอาการนอนไม่ค่อยหลับ (Insomnia) อีก หลังจากนอนแบบสลบไสล มาถึง 3 วัน 3 คืน..  วันนี้ เธอมีอาการเป็นหวัด หูอื้อ เจ็บคอ ขึ้นมา.. พยาบาลได้พาเธอไปหาคุณหมอด้าน หูคอ จมูก (ENT physician) ข้าพเจ้าได้ไปเป็นเพื่อนเธอ.. คุณหมอตรวจแล้ว พบว่า เธอคออักเสบ จนท่อที่ติดต่อระหว่างจูมกกับหู (Eustachian tube) ตัน , คุณหมอสั่งยาแก้อักเสบอย่างดี (Augmentin) , ยาทำให้ของเหลวในโพรงจมูกและท่อติดต่อกับหู (Eustachian tube)  แห้ง (Psuedoephridine), ยาพ่อจมูกลดภาวะคั่ง (Decogestion), และยาลดไข้ให้เป็นเวลา 5 วัน..

วันที่ 5 อาการของภรรยาข้าพเจ้าดีขึ้นมาก จนเธอต้องการจะกลับบ้าน บัดนี้ เธอเริ่มรับประทานข้าวต้มและของว่างได้บ้างแล้ว แมัจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม  ผลเลือดที่ออกมา ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากวันก่อน กล่าวคือ ความเข้มข้นของเลือด (Hct) = 42.8% , เกร็ดเลือด (Platelets) = 121,000 …คุณหมอมาตรวจดูภรรยาข้าพเจ้าในตอนเช้า รู้สึกพอใจกับอาการที่คงที่ ดังนั้น คุณหมอจึงวางแผนจะให้คนไข้กลับบ้านในวันรุ่งขึ้น วันนั้น เพื่อนพ้องของภรรยาได้มาเยี่ยม และซื้อของกินมาฝากมากมาย..พวกเขาได้พูดคุยกันจนถึงค่ำ….วันถัดมา ภรรยาข้าพเจ้าก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านจริงๆ เพราะผลเลือดไม่แตกต่างจากวันวาน

นี่คือ เรื่องราวของโรคไข้เลือดออกของคนป่วยรายหนึ่ง..ซึ่งผลการรักษา ปรากฏออกมาดี ทั้งนี้ เพราะอะไรหรือ?? คำตอบ ก็คือ Early Diagnosis and treatment หมายถึง วินิจฉัยได้เร็ว และรักษาทันที โรคนี้ มีอาการไข้สูงเป็นวันเดียว ก็สามารถวินิจฉัยได้แล้ว.. ส่วนการรักษา ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ให้น้ำเกลือหล่อเลี้ยงเส้นเลือด.. แก้ปัญหาเลือดข้น, และเฝ้าระวังไม่ให้เกร็ดเลือดต่ำ.. เพื่อป้องกัน เลือดออกในสมอง,ไตวาย และภาวะช็อค..นี่คือ หลักการรักษา  

โรคไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhagic fever)..เป็นโรคที่น่ากลัวมาก และมีหลากหลายสายพันธุ์ คนที่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาแล้ว ก็สามารถเป็นซ้ำในกรณีติดเชื้อโรคต่างสายพันธุ์ได้อีก

โลกเรานี้ มีโรคลึกลับมากมาย..ไม่สุดสิ้น โชคดี!!  คนไข้ก็อยู่รอด ..หากโชคร้าย!! คนไข้ก็พิการร่างกายและเสียชีวิต …ค่ำคืนนี้ มีเสียงเพลงขลุย ดังก้องกังวาล พริ้วไหว ไพเราะ ด้วยอารมณ์ของผู้เป่า คละเคล้าในบรรยากาศ ที่ผู้ฟังต้องคล้อยตาม ข้าพเจ้าฟังแล้ว ให้รู้สึกว่า โชคชะตาของมนุษย์ ได้ถูกลิขิตไว้แล้ว ด้วยบุญกรรม ที่กระทำมาแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ….หากใครก็ตาม ป่วยเป็นไข้สูงลอย จนกินไม่ได้ นอนสลบไสล เหมือนคนไร้สติ จะลุกเข้าห้องน้ำ ก็แทบจะหมอบคลานไป….ขอให้นึกถึง โรคไข้เลือดออก ดังที่กล่าวมาข้างต้น (Dengue Hemorrhagic fever)..และจงรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์ เพื่อให้การวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว ส่วนการที่จะหายจากโรคหรือไม่นั้น ก็คงต้องแล้วแต่บุญกรรม ..ที่ลำนำชีวิตเรา…

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ.เสรี ธีรพงษ์  ผู้เขียน