ความงดงามแห่งชีวิต

ความงดงามแห่งชีวิต

ในโลกนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ‘ลูก คือ ความงดงามแห่งชีวิต’ แต่..ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีใครลิขิตได้เลยว่า ตอนที่เราเกิดมา จะมีรูปร่างสวยงาม หรือ พิการอัปลักษณ์ตั้งแต่กำเนิด.. ใครเลย..จะอยากเกิดมาแล้ว มีความผิดปกติ ซึ่ง..หากมีความผิดปกติ ที่อวัยวะภายนอก ส่วนใหญ่ ก็สามารถผ่าตัดแก้ไขได้.. แต่ถ้ามีความผิดปกติแต่กำเนิดของอวัยวะภายใน..จะพบว่า อวัยวะภายในที่สำคัญหลายส่วน  ผ่าตัดแก้ไขไม่ได้เลย และชีวิตก็ต้องจบลงเพียงเท่านั้น.. ช่วงเวลาที่ผ่านมาเร็วๆนี้ ได้ปรากฏมีภาพทารกพิการแต่กำเนิดหลายราย เกิดขึ้นทั้งในโรงพยาบาลตำรวจและสื่ออินเตอร์เนต อาทิ แฝดสยาม, ทารกไร้กะโหลกศีรษะ, หรือทารกที่มีอวัยวะจำนวนมากผิดรูปผิดร่าง เนื่องจากโครโมโซมผิดปกติ  

ไม่นานมานี้ เพื่อนคนหนึ่ง ได้โทรศัพท์ติดต่อกับข้าพเจ้า เพื่อขอส่งต่อทารกพิการแต่กำเนิดรายหนึ่งจากโรงพยาบาลเอกชน เพื่อมาผ่าตัดรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ด้วยว่า ภรรยาของเพื่อนข้าพเจ้า คลอดบุตรออกมา แล้วมีปัญหาหลอดอาหารอุดตัน (Esophageal atresia)..กล่าวคือ หลอดอาหารส่วนที่ยาวลงมาจากคอ สิ้นสุดลง ก่อนที่จะต่อเข้ากับกระเพาะอาหาร ..ยังโชคดี!! ที่ปลายหลอดอาหาร มันไม่ต่อเข้ากับท่อหายใจ ซึ่ง..เป็นกรณีที่ร้ายแรงกว่า ทารกเสียชีวิตได้ง่ายกว่า จากการติดเชื้อเข้าในปอด..ข้าพเจ้าโทรศัพท์ติดต่อกับศัลยแพทย์เด็กของโรงพยาบาลตำรวจทันที ทารกน้อยได้เข้ารับทำการผ่าตัดต่อหลอดอาหารเข้ากับกระเพาะในค่ำคืนนั้นเอง ซึ่ง..โชคดี ที่การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่..ทารกน้อย ก็ยังคงต้องนอนอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิดเป็นเวลานานนับเดือน เพื่อรักษาแผลผ่าตัดและป้องกันภาวะแทรกที่อาจเกิดขึ้น

หลังจากนั้น ก็มีทารกพิการแต่กำเนิด เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลตำรวจตามมาอีกหลายคน ซึ่ง..บางคนต้องจบชีวิตลง เพราะเป็นความพิการที่รุนแรง… มีทารกน้อยพิการแต่กำเนิดอยู่รายหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้า ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยตลอดชีวิตการเป็นสูติแพทย์ ๒๐ กว่าปี..ทารกน้อยรายนี้มีความผิดปกติหลายส่วนของอวัยวะ..

คุณอัญชลี อายุ ๓๒ ปี ตั้งครรภ์นี้ เป็นครรภ์ที่ ๓…. บุตร  ๒ คนแรกของเธอ เป็นหญิงทั้งคู่ อายุ  ๑๐ และ ๖ ปีตามลำดับ ปัจจุบัน แข็งแรงดี สำหรับครรภ์นี้ คุณอัญชลีเริ่มมาฝากครรภ์ ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ เพียง ๙ สัปดาห์ จากนั้น เธอก็มาฝากตามนัดตลอด รวมทั้งสิ้น จำนวน ๘ ครั้ง….ณ ขณะนั้น เธอตั้งครรภ์ได้ ๒๕ สัปดาห์แล้ว.. ใครจะไปคาดคิดถึงว่า จะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับคุณอัญชลี…มันเกิดขึ้นในช่วงราวๆกลางเดือนที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูอัลตราซาวนด์ทางสูติฯ ได้ตรวจอัลตราซาวนด์ให้กับคุณอัญชลี จากการร้องขอการปรึกษาจากสูติแพทย์ทั่วไปที่ห้องตรวจครรภ์ ซึ่ง..พบว่า ลูกของคุณอัญชลี  มีแขนขาสั้นและกระดูกแขนขาทุกชิ้นของลูกเธอ มันสั้นกุดทุกชิ้น นอกจากนั้น ยังมีส่วนบริเวณหน้าอก ที่เว้าบีบเข้ามาจนแคบมาก ลักษณะเช่นนี้ ถือเป็นความพิการแต่กำเนิดชนิดร้ายแรง ซึ่ง…มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Thanatophoric dysplasia

จากตำรา กล่าวว่า ทารกในครรภ์ที่เป็นโรคนี้ คลอดออกมาถึงแม้จะครบกำหนด ก็จะเสียชีวิตอย่างแน่นอน (Lethal anomaly) ดังนั้น สูติแพทย์เจ้าของไข้ จึงได้ นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการยุติการตั้งครรภ์ เพื่อขอให้ทำแท้งเพื่อการรักษา (Therapeutic abortion).. คุณอัญชลีขอคำอธิบายอีกเล็กน้อยว่า “ลูกของเธอเป็นเช่นไร เวลาแท้งออกมาและ เสียชีวิต.. จะได้สบายใจว่า เธอไม่ได้ทำบาปมากนัก”

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอัลตราซาวนด์ ในคณะกรรมกายุติการตั้งครรภ์ พูดอธิบายให้คนไข้และสามีฟังว่า  ‘ลูกของคุณมีความพิการซ้ำซ้อน หลายประการ โรคนี้เป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของกระดูกอย่างรุนแรง มีลักษณะเด่น คือ ช่วงแขนขาทั้งหมดจะสั้น อย่างมาก (extremely short limbs)  รวมทั้งผิวหนังที่คลุมแขนขาจะย่นย้วยคลุมส่วนดังกล่าวด้วย (folds of extra [redundant] skin on the arms and legs) นอกจากนั้น ยังมีลักษณะพิการอื่นๆอีก ได้แก่ หน้าอกแคบ (narrow chest)  กระดูซี่โครงสั้น, ปอด ไม่พัฒนา , ศีรษะมีขนาดใหญ่ หว่างคิ้งกว้าง ทำให้แลดูนัยน์ตาห่าง (an enlarged head with a large forehead and prominent, wide-spaced eyes) ในบางคน รูปกะโหลก จะบีบรัดห่อตัว คล้ายใบไม้ห่อขนมหรืออาหาร ฉะนั้น ’

คำว่า  thanatophoric นั้นเป็นภาษากรีกโบราณ แปลว่า “การแบกถือความตายมากำเนิด”  ทารก ที่มีความพิการเช่นนี้ มักจะตายคลอด หรือเสียชีวิต หลังคลอดในเวลาไม่นานนัก เพราะมีระบบการหายใจล้มเหลว (respiratory failure) อย่างไรก็ตาม ก็มีบางรายที่รอดชีวิตอยู่จนถึงวัยรุ่น โดยอาศัยการช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างมากมาย สรุปรวมความว่า ทารกลูกคุณอัญชลี หากยังมีชีวิตอยู่ในครรภ์ต่อไปอีก ๕ เดือน เมื่อคลอดออกมา ก็ไม่น่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือแห่งมัจจุราชไปได้

คุณอัญชลี แม้จะมีความอาลัยรักในบุตรของตน แต่..ก็ต้องตัดใจเข้ารับการทำแท้งเพื่อการรักษา ในขณะอายุครรภ์ ๒๕ สัปดาห์ ภายใต้การดูแลของคณะแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยคนไข้ได้รับการเหน็บยา (ขอสงวนนาม) ทางช่องคลอดตัวหนึ่ง ซึ่ง..ออกฤทธิ์ทำให้ปากมดลูกนุ่ม และมดลูกแข็งตัวแบบเกร็งบ่อยๆ..ในที่สุด.. คุณอัญชลีก็แท้งบุตรออกมาเมื่อเวลา ๔ นาฬิกา ของคืนวันที่ทำแท้ง.. หลังจากเหน็บยาไปได้เพียง ๓ เม็ดเท่านั้น ทารกเป็นเพศชาย, น้ำหนักแรกคลอด ๙๐๘ กรัม ปรากฏรูปลักษณ์เป็นดั่งที่บรรยายมาข้างต้น ทุกประการ  

คุณอัญชลี แม้จะเสียใจในการจากไปของบุตร แต่..ก็ขอมอบร่างที่ไร้วิญญาณนั้น ให้กับทางโรงพยาบาล เพื่อเป็นวิทยาทานทางด้านการศึกษา เรื่องราวของ..คุณอัญชลี ได้ถูกนำมาเล่าต่อกันในห้องประชุมวิชาการกลุ่มงานสูติ-นรีเวชในตอนเช้าของวัน ที่คุณอัญชลีแท้งบุตร เพื่อการเรียนการสอน.. ข้าพเจ้าเองนั้น ไม่เคยเห็นสภาพของความพิการทารกเช่นนี้มาก่อนเลย แม้ว่าจะอยู่ในวงการสูติฯมากว่า ๒๐ ปี

ในฐานะ ที่ข้าพเจ้าก็เป็นบุพการีของบุตรผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าจึงเข้าใจความรู้สึกของคนไข้เหล่านี้ได้ดี.. เวลาที่เราเฝ้ามองลูกของเราแบบเพ่งพินิจ แม้ว่า ลูกของเราจะมีรูปลักษณ์เช่นไร เราก็จะมีความรู้สึกว่า นั่นคือ แก้วมณีอันเลอค่าของจักรวาลนี้ น่ารัก สว่างไสว ไร้ตำหนิ จนไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้… ‘ลูก’ จึงเป็นความงดงามแห่งชีวิตของมนุษยชาติ ..เป็นความหมาย รวมทั้งจุดมุ่งหมายในชีวิตของเรา…ข้าพเจ้าอยากให้ผู้คนบนโลกใบนี้ เมื่อให้กำเนิดลูกหรืออัญมณีแห่งชีวิตออกมาแล้ว ขอท่านจงแบ่งเวลาส่วนหนึ่ง เพื่ออบรมสั่งสอน หรือ..ก็คือ การเจียรนัยอัญมณีเม็ดนั้น เพื่อให้ลูกเป็นคนดี.. มีความสุข และอยู่รวมในสังคมอย่างสร้างสรรค์…

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

กระเพาะปัสสาวะปริแตกจากการคลอดเอง

กระเพาะปัสสาวะปริแตกจากการคลอดเอง

ข้าพเจ้า เพิ่งเดินกลับจากการไปพักจิต ที่วัดแก้วประเสริฐ จังหวัดชุมพร  รู้สึกเลยว่า ‘การอยู่วัดแบบเงียบๆ เรียบง่าย แม้ในช่วงเวลาอันสั้น ก็ให้ความสุขแก่ข้าพเจ้าอย่างประหลาด ด้วยว่า ข้าพเจ้าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ไร้สิ่งรบกวน เพราะที่นั่น โทรศัพท์ข้าพเจ้าใช้ไม่ได้ นอกจากนั้น หลวงตาจงเจ้าอาวาท และคณะลูกศิษย์ ได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ที่สำคัญที่สุด คือ ข้าพเจ้ารู้สึกตัวในส่วนลึกๆเลยว่า ข้าพเจ้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของวัดแก้วประเสริฐ แห่งนั้น ไปเสียแล้ว ..วัดแก้วประเสริฐ คือบ้านแห่งที่สองของข้าพเจ้า ซึ่ง..มีโอกาสเมื่อไหร่ ข้าพเจ้าก็จะกลับไปเยือน..’  

การคลอดเองตามธรรมชาติ (Spontaneous delivery) นั้น เป็นสิ่งที่ผู้หญิงเกือบทุกคนปรารถนา เพื่อสนองความรู้สึกที่ว่า ‘เธอทำหน้าที่เป็นแม่ได้อย่างสมบูรณ์’ ..แต่..เธอจะรู้หรือไม่ว่า ‘การคลอดเองทางช่องคลอดนั้น คนท้องต้องระทมทุกข์ทรมานมากมายขนาดไหน จากความเจ็บปวดของเบ่งคลอด.. ปัญหาหนึ่งที่ใครก็คาดไม่ถึง แต่อาจเกิดขึ้นได้ ก็คือ กระเพาะปัสสาวะปริแตก (Bladder ruptured) จากการคลอด ภาวะแทรกซ้อนเช่นนี้ พบน้อยมาก.. ตลอดชีวิตของการเป็นสูติแพทย์ของข้าพเจ้ากว่า ๒๐ ปี.. ไม่เคยพบเจอภาวะนี้เลย..

คุณมัทณา อายุ ๒๘ ปี  ซึ่งมีรูปร่างอ้วน, สูงใหญ่ น้ำหนักเกือบร้อยกิโลกรัม ตั้งครรภ์ที่ ๒ ฝากครรภ์ที่ รพ.พนมสารคาม มาตลอด คือตัวละครสำคัญในเรื่องนี้ ..โดยมีประวัติ ความดันโลหิตสูง บ้างเป็นบางครั้ง ซึ่ง..ไม่ได้รับการรักษาใดๆระหว่างที่ฝากครรภ์ ครั้งนี้ เธอตั้งครรภ์ได้ครบ ๓๘ สัปดาห์พอดี.. เธอเดินทางมาโรงพยาบาลตำรวจ ด้วยเรื่อง เจ็บครรภ์คลอด ๔ ชม ก่อนมา รพ. ..พยาบาลห้องคลอดตรวจภายในให้กับเธอ พบว่า ปากมดลูกเปิด ๓ เซนติเมตร ความบาง 75%  ..หลังจากสวนถ่ายอุจจาระให้กับเธอเป็นที่เรียบร้อย.. สูติแพทย์เวร ได้ตรวจอัลตราซาวนด์ ผ่านทางหน้าท้องให้..และคำนวณน้ำหนักเด็กได้ ประมาณ ๔ กิโลกรัม คุณหมอจึงกะว่า คุณมัทณาน่าจะต้องเข้ารับการผ่าตัดคลอด เพราะเมื่อลองมองย้อนจากประวัติของคุณมัทณา ก็พบว่า บุตรคนแรกของเธอ มีน้ำหนักแรกคลอดถึง 3.6 กิโลกรัม ซึ่ง..ถือว่า ตัวใหญ่มากสำหรับครรภ์แรก..คุณมัทณา เล่าให้ฟังว่า ครรภ์ก่อน คลอดยากมาก..เรียกว่า แทบตายเลยทีเดียว  อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ลูกคนแรกของเธอแข็งแรงดี

3 ชั่วโมงหลังจากนอนที่ห้องรอคลอด คุณมัทณา ก็รู้สึกอยากเบ่งคลอดขึ้นมาทันใด นั่นแสดงว่า กระบวนการคลอดของเธอ ดำเนินไวมาก (progress of labor) ตอนนั้น สูติแพทย์เวรกำลังผ่าตัดคลอดให้กับคนท้องอีกรายหนึ่ง คุณหมอจึงไม่ได้มาดูเธอ.. คุณหมอมาทราบจากพยาบาลผู้ทำคลอดภายหลังว่า ‘คุณมัทณา คลอดได้ ไม่ยากนัก ทารกเป็น เพศหญิง น้ำหนักแรกคลอด 3650 กรัม คะแนนศักยภาพแรก คลอด 9 และ 10 ตามลำดับ (คะแนนเต็ม 10)’ 

กระเพาะปัสสาวะ เป็นอวัยวะที่มีกล้ามเนื้อเรียบ (Smooth muscle) เป็นส่วนสำคัญ มันมีความยืดหยุ่นเป็นเยี่ยม.. เมื่อจุน้ำปัสสาวะได้ประมาณ ๒๕๐ ซี.ซี. ทุกคนก็จะรู้สึกปวดปัสสาวะ ..แต่..บางกรณีที่คนไข้ไม่รู้สึกปวด.. ปัสสาวะอาจเพิ่มมากถึง ๑๐๐๐ ซี.ซี. ได้ โดยที่ถุงกระเพาะปัสสาวะไม่ปริแตก

ภาวะที่กระเพาะปัสสาวะปริแตก ในระหว่างคลอดเอง หรือหลังคลอดนั้น  แม้ว่า จะพบได้ไม่บ่อย  แต่ก็เป็นกรณีฉุกเฉิน  การเจาะเลือด เพื่อหาค่า ระดับของ ครีเอตินิน (Creatinine) และ ยูเรีย ( urea) รวมทั้ง สัดส่วน (ratio) สามารถช่วยวินิจฉัยได้มาก (prior to laparotomy)  คนท้องหลังคลอด โดยเฉพาะคนที่ได้รับการเย็บซ่อมปากช่อคลอด (Perineorhaphy) ควรจะได้รับการสวนเอาปัสสาวะออกแบบหมดจริง (completely) และได้รับการเฝ้าสังเกตอาการแสดงของภาวะปัสสาวะคั่งค้าง (urinary  retention) นั่น..ก็จะเป็นการหลีกเลี่ยง ความเสี่ยงในการเกิดกระเพาะปัสสาวะแตกปริได้ (spontaneous bladder rupture)

ในการประชุมตอนเช้าวันรุ่งขึ้นหลังผ่าตัดเย็บซ่อมกระเพาะปัสสาวะของคุณมัทณา นักศึกษาแพทย์ได้รายงานว่า ถัดจากวันที่คุณมัทณาคลอดบุตรถึง ๒ วัน..กระเพาะปัสสาวะถึงจะแตก.. วันนั้น คุณมัทณากำลังจะกลับบ้าน.. จู่ๆ! เธอก็ปวดท้องน้อยขึ้นมา อย่างเฉียบพลัน และล้มตัวลงนอน จากนั้น เธอก็ไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้อีกเลย ..อาการปวดท้องน้อยทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องปรึกษาศัลยแพทย์ ..คุณหมอทั้งสองแผนก ต่างไม่แน่ใจว่า อาการปวดท้องน้อยของคุณมัทณา เป็นมาจากสาเหตุใด.. ในที่สุด จึงได้มีการส่งตรวจ CT scan  ผลคือ มี ของเหลว เต็มท้อง  (Free Fluid) ของคุณมัทณา..ของเหวที่ว่านั้น อาจเป็นเลือด ,ปัสสาวะหรืออะไรอย่างอื่น อาทิ น้ำเลี้ยงไข่ จากถุงน้ำรังไข่แตก ก็ได้

สูติแพทย์เวร เป็นผู้ผ่าตัดเปิดหน้าท้องในเบื้องต้น เพราะศัลยแพทย์ที่มาดูคนไข้ไม่เชื่อว่า จะเป็นภาวะทางศัลยกรรม เมื่อผ่าตัดเปิดเข้าไปในช่องท้องของคุณมัทณา ก็พบว่า มีปัสสาวะอยู่เต็ม คะเนว่า น่าจะมีจำนวนมากถึง 4 ลิตร นอกจากนั้น ยังพบรูรั่วที่ยอดถุงกระเพาะปัสสาวะกว้างราวเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2 เซนติเมตร.. กระเพาะปัสสาวะที่แตกปริเองเช่นนี้ มักจะเกี่ยวพันกับคนไข้ที่มีประวัติเคยประสบอุบัติเหตุ ถูกกระแทกบริเวณหัวเหน่าขณะที่กระเพาะปัสสาวะโป่งพอง  (history of recent trauma leading to a rapid deceleration force on the bladder or in the setting of acute or chronic urinary retention)  

ข้อที่น่าสังเกต คือ กระเพาะปัสสาวะที่แห้งจากการสวนก่อนเข้าห้องคลอด มักจะโป่งพองขึ้นจากน้ำปัสสาวะอย่างรวดเร็วหลังคลอด.. การที่คนไข้ไม่ได้รับการสวนปัสสาวะหลังคลอดในบางครั้ง อาจก่อให้เกิดการโป่งพองของกระเพาะปัสสาวะมาก จนนำไปสู่การแตกปริได้…. การคลอดแบบเร็วเร่งมากๆ (Precipitate delivery in the presence of an over-distended Bladder) อาจเป็นเหตุให้กระเพาะปัสสาวะแตกปริได้  อาการของภาวะกระเพาะแตกปริ คือ ปวดบริเวณหัวเหน่าและไม่มีปัสสาวะไหลออกมา..ซึ่ง..ร้อยละ 95 จะพบมีเลือดออกมาในกระเพาะปัสสาวะ (hematuria) ด้วย

การวินิจฉัยภาวะกระเพาะปัสสาวะแตกปริหลังคลอดไม่ใช่เรื่องง่าย.. การส่องกล้องผ่านทางท่อปัสสาวะ  (Cystoscope) เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ เป็นวิธีที่ช่วยในการหาหลักฐานของการทะลุภายในกระเพาะปัสสาวะ และช่วยตัดสินใจรักษาผ่าตัดได้ดี โดยที่ยังไม่มีอาการช่องท้องอักเสบ (peritonitis) ..

ลักษณะอาการและอาการแสดง ที่สำคัญของภาวะกระเพาะปัสสาวะแตกปริ คือ  ไม่มีปัสสาวะออกมาเลย (anuria), หรือปัสสาวะออกมาน้อยมาก (oliguria), หรือ ปัสสาวะเป็นเลือด (hematuria), ปวดท้องน้อย แบบจุกๆ (vague abdominal pain)  และมีลักษณะท้องม่าน (Ascites) ร่วมกับผลเลือด ที่บอกถึง ภาวะไตวาย …นั่นจะบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ว่า ‘กระเพาะปสสาวะแตกปริ (Bladder rurture)’ อย่างไรก็ตาม น้ำปัสสาวะ ภายในช่องท้องสามารถถูกดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว..  แต่ผลเลือด ยูเรีย และ ครีเอตินีน (urea and creatinine)  จะเพิ่มสูงขึ้นใน  45% ของคนไข้เหล่านี้ ภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อกระเพาะปัสสาวะแตกปริ

สาเหตุเท่าที่จะเป็นไปได้  เชื่อว่า คนไข้น่าจะมีปัญหาเรื่องปัสสาวะลำบากช่วงหลังคลอดทันที ซึ่ง..ไม่มีใครสังเกตพบ โดยเฉพาะกลุ่มคนท้องที่มีการตัดฝีเย็บ จะมีอาการเจ็บปวดมากบริเวณนั้น จนทำให้ไม่อยากจะลุกไปปัสสาวะ.. อันจะนำไปสู่ภาวะปัสสาวะคั่งค้าง (Urinary retention) นอกจากนั้น ในคนท้องครรภ์แรก มักจะสับสนระหว่าง ปัสสาวะเป็นเลือด กับน้ำคาวปลา ( hematuria  & lochia) จึงทำให้การวินิจฉัยล่าช้า จนเกิดภาวะช่องท้องอักเสบ..  ส่วนการที่เกิดอาการของเยื่อบุช่องท้องอักเสบ  (late onset of peritonitis) ล่าช้านั้น อาจอธิบายด้วยความจริงที่ว่า ‘ในช่วงแรกๆ ปัสสาวะที่ไหลเข้าไปในช่องท้องผ่านรูรั่วของกระเพาะปัสสาวะนั้น ปราศจากเชื้อ.. ผู้ป่วย จึงยังคงมีอาการช่องท้องอักเสบเพียงเล็กน้อย เท่านั้น’

สำหรับกรณีของคุณมัทณานั้น ข้าพเจ้าคิดว่า น่าจะเกิดจาการที่คนไข้คลอดแบบเร็วเร่ง (Precipitated delivery) ในขณะที่ปัสสาวะยังโป่งพองและเต็มไปด้วยน้ำปัสสาวะ (Bladder full) ยังผลให้ กระเพาปัสสาวะเกิดการบาดเจ็บและมีจุดอ่อนบนผนังกระเพาะปัสสาวะ..ต่อมา คนไข้ไม่ค่อยได้ปัสสาวะ ผล คือ เกิดการสะสมน้ำปัสสาวะ.. ปัสสาวะคั่งค้าง ในวันที่สองหลังคลอด จนเกิดการทะลุออกมาในตำแหน่งจุดอ่อนของผนังกระเพาะปัสสาวะ เพื่อระบายปัสสาวะที่คั่ง และก่อให้เกิดภาวะช่องท้องอักเสบ  

คนท้องที่คลอดเองนั้น ต้องหมั่นสังเกตตัวเองว่า ‘มีปัญหาปัสสาวะคั่งค้าง หรือเปล่า? ’ โดยเฉพาะคนไข้หลังคลอดที่ถูกตัดฝีเย็บ และได้รับการเย็บแผลเยอะๆ เพราะคนไข้จะเจ็บปวด เวลาเข้าห้องน้ำ.. ทำให้ไม่กล้า ไปปัสสาวะ.. นานๆเข้า ก็จะปัสสาวะได้บ้าง ไม่ได้บ้าง หลังจากนั้น ปัสสาวะก็จะคั่งมากขึ้น จนในที่สุด กระเพาะปัสสาวะก็แตกปริได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องสังเกตว่า คนไข้มีปัสสาวะออกมาหลังคลอด มากน้อยแค่ไหน และต้องสนับสนุน ให้คนไข้ปัสสาวะ ให้หมดเกลี้ยง ทุกครั้ง

การที่ข้าพเจ้าได้ไปอยู่ที่วัด แม้จะไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด แต่ข้าพเจ้าก็จะได้สิ่งวิเศษกลับมา หลวงตาเจ้าอาวาทวัดแก้วประเสริฐ ได้ให้คติสอนใจข้าพเจ้าว่า มนุษย์ทุกวันนี้ มีความโลภ เป็นที่ตั้ง และรอคอยความหวังอย่างมากล้น โดยไม่อิงกับสภาพความเป็นจริง คนเรานั้น ถ้าอยากจะให้ชีวิตมีความสุข ตราบนานเท่านาน ก็จง ‘อย่าหวัง ในสิ่งที่หวัง ..อย่าหวังในสิ่งที่ผิดหวัง แล้วคนผู้นั้น จะสมหวัง’…………..

พ.ต.อ. นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

 

 

โศกนาฏกรรม ของคนท้อง

โศกนาฏกรรม ของคนท้อง

ค่ำคืน..ในราตรีแห่งความเงียบ ข้าพเจ้าได้สดับฟังเพลงบรรเลงด้วยเครื่องเป่า Pan flute (ชื่อเพลง ‘Celeste’) ของนักดนตรีอินเดียแดงคนหนึ่ง ชื่อ Leo Rojas.. ให้รู้สึกกินใจ ในความไพเราะสนุกสนานเสียเหลือเกิน พลัน!! นึกถึงเรื่องราวอันน่าเศร้าของคนท้อง 2 เรื่อง ซึ่ง..เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้..ก่อให้เกิดอารมณ์ขัดแย้งกันภายในความรู้สึกของข้าพเจ้า…ใจหนึ่งเหงาเศร้า.. อีกใจหนึ่งเริงร่า.. ในห้วงเวลาเช่นนี้ ทำให้เกิดความคิดว่า ‘นี่หรือคือ รูปแบบอารมณ์ของมนุษยชาติ ..ที่สามารถโศกเศร้า  และเริงร่าในเวลาเดียวกันได้..’   

การตั้งครรภ์หรือ การ‘ท้อง’ที่เราชาวบ้านชอบเรียกกัน.. แท้ที่จริง!!! มันมีเรื่องราวซับซ้อนแทรกอยู่มากมาย บางเรื่องสุดแสนเศร้า.. บางเรื่อง นำเอาความสุขมาสู่ อย่างไรก็ดี ทุกคนที่ตั้งท้องควรเรียนรู้วิชาการไว้บ้าง เพื่อให้อยู่รอดปลอดภัยก่อนจะมาถึงมือหมอ.. ยามเจอสถานการณ์คับขัน แม้แต่ตอนที่ได้เข้ามาอยู่ในห้องคลอด คนท้องก็สามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสม….บางเรื่อง แม้แก้ไขเหตุการณ์ไม่ได้  แต่จิตใจ ก็มีสติระลึกรู้  ผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้…

ถึงแม้จะมีความรู้แบบชาวบ้าน ก็ถือว่า มีความสำคัญไม่น้อย.. เพราะกระบวนการ‘ท้อง’นั้น อันตรายทุกย่างก้าว บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้าและระหว่างตั้งครรภ์ สามารถนำพาคนท้องไปสู่โศกนาฏกรรมได้  ซึ่ง..แน่นอน..รุนแรงเลวร้ายอย่างที่คาดไม่ถึงทีเดียว…

เมื่อเดือนก่อน ได้เกิดเรื่องราวแสนเศร้าเรื่องหนึ่ง ถ่ายทอดจากปากของหมอสูติเพื่อนสนิทของข้าพเจ้า ซึ่งทำงาน ณ โรงพยาบาลรัฐในเขตกรุงเทพฯ คุณหมอได้ทำการผ่าตัดผ่านกล้องเอาเนื้องอกมดลูกออกให้คนไข้รายหนึ่ง (Laparoscopic myomectomy) …ต่อมา คนไข้รายนั้น ตั้งครรภ์.. เธอได้ไปฝากครรภ์ ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย (ขอสงวนชื่อ) ตั้งแต่รู้ตัวว่า’ท้อง’ ..คนไข้รายนี้ ดำเนินการตั้งครรภ์ไปตามลำดับ โดยไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไร.. จนกระทั่งอายุครรภ์ ได้  34 สัปดาห์  จู่ๆ!! เธอก็รู้สึกปวดท้องน้อย คล้ายๆกับการมีระดู…เธอแวะมาสอบถามคุณหมอเพื่อนของข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลของรัฐ.. คุณหมอตอบว่า ‘ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่ถ้ามีปัญหา.. ก็รีบมาหา ก็แล้วกัน’

วันหนึ่ง คนไข้รายนี้ปวดท้องเจ็บครรภ์มาก เธอได้เข้าไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยฯ ผลปรากฏว่า มดลูกแตก (Uterine ruptured) ..ทารกหลุดออกมาจากตัวมดลูก เข้าไปล่องลอยอยู่ในช่องท้อง .. คณะแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์แห่งนั้น ได้ทำการผ่าตัดช่วยชีวิตเด็กอย่างสุดกำลัง.. ปัจจุบัน ทารกน้อยยังอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. และไม่ทราบชะตากรรม ..ส่วนคนไข้ผู้เป็นมารดา ได้รับการผ่าตัดเอามดลูกออกทิ้งไป (Hysterectomy) เนื่องจากมดลูกเกิดความเสียหายจนเก็บรักษาไว้ไม่ได้ ขณะนี้ เธอกำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ที่บ้าน ..เรื่องราวหลังจากนั้น คุณหมอเพื่อนข้าพเจ้าไม่ทราบ และกำลังรอฟังข่าวคราว..

โศกนาฏกรรมที่แย่กว่าเรื่องข้างต้น ยังมีอีก นั่นคือ เรื่องราวของคุณกรกช.. เธอมีอายุเพียง 26 ปี ตั้งครรภ์แฝดและเป็นครรภ์แรก.. ฝากครรภ์ที่คลินิกแห่งหนึ่ง สูติแพทย์ผู้รับฝากได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ให้ตั้งแต่แรก พบว่า เป็นครรภ์แฝด จึงส่งตัวไปฝากครรภ์ยังโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง.. เธอฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง วันหนึ่งเธอทราบข่าวว่า มีการทำเลเซอร์ที่เส้นเลือดของรก ในกรณีเพื่อการรักษาทารกแฝดที่มีขนาดต่างกันมาก (Discordant twins) เนื่องจากเส้นเลือดของรกพันกันและมีการถ่ายเทเลือดจากแฝดคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง เหมือนสภาพของบุตรแฝดของเธอ หลังจากเข้าไปรับการยิงเลเซอร์ที่เส้นเลือดของรกเธอ ณ โรงเรียนแพทย์ (ขอสงวนนาม) ผลก็ปรากฏออกมาดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ

 การตั้งครรภ์แฝดของสตรีนั้น เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่ง และนำความสุขมาให้ครอบครัวของผู้นั้นมากมาย ….มีผู้คนไม่มากนัก ที่ตั้งครรภ์แฝดเองโดยธรรมชาติอย่างเช่นกรณีคุณกรกช….ไม่ว่า..จะเป็นแฝดฝาเดียวกันหรือคนละฝา ก็ตาม

แฝดมหัศจรรย์ของคุณกรกช.. เติบใหญ่ ไปตามอายุครรภ์ โดยไม่มีทีท่าว่า จะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น จนกระทั่งคุณกรกช ตั้งครรภ์ได้ 33 สัปดาห์ 4 วัน.. เธอเกิดเจ็บครรภ์ และมีน้ำเดินมาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งแรก.. เมื่อคุณหมอสูติที่นั่นตรวจภายใน ก็พบว่า ปากมดลูกเปิด 3  เซนติเมตรแล้ว ..ท่านจึงให้ยาเพื่อพัฒนาปอดเด็ก (Steroid) และขอส่งต่อ (Refer) ไปยังโรงพยาบาลศูนย์อีกหลายแห่ง..  ซึ่ง..ทุกแห่งปฏิเสธที่จะรับ เนื่องจาก ไม่มีตู้อบทารก ที่มีเครื่องช่วยหายใจประสิทธิภาพสูง ..คุณกรกช เธอจึงดั้นด้นมาที่โรงพยาบาลตำรวจ

สูติแพทย์เวรของ รพ.ตำรวจรับตัวคุณกรกชไว้ โดยปรึกษากับกุมารแพทย์ก่อน เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า ห้องไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิดยังพอรับได้… คนไข้มาถึงห้องคลอดเมื่อเวลา 16 นาฬิกาของเย็นวันหนึ่ง..  พยาบาลห้องคลอดตรวจภายในให้ พบว่า ปากมดลูกเปิด 4 เซนติเมตร ความบาง 80% ..ทารกแฝด เป็นท่า หัว,หัว (Vertex, Vertex) สูติแพทย์เวร ได้ให้ยาพัฒนาปอดต่อ อีก ๒ ครั้ง และผ่าตัดคลอดให้กับคนไข้ เมื่อเวลา 11 นาฬิกาของเช้าวันใหม่

ทารกทั้งสองคน เป็นเพศหญิง มีน้ำหนักแรกคลอด 1570 และ1716 กรัม มีคะแนนศักยภาพแรกคลอดเท่ากัน คือ  8,9,10 ตามลำดับ (คะแนนเต็ม 10) ณ นาทีที่ 1,5, 10  อย่างไรก็ตาม ..ทารกแฝดทั้งสองถูกส่งตัวไปดูแลที่ห้อง ไอ.ซี.ยู.เด็ก ตั้งแต่แรก โดยไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ..

สิ่งที่ไม่คาดคิดถึง คือ ทารกแฝดทั้งสอง เริ่มมีอาการแสดงเกี่ยวกับปอดหลังจากนั้น 2 วัน หมายความว่า ปอดเป็นฝ้า (NEC) ทารกแฝด จึงได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจทั้งสองคน ต่อมา ทารกแฝดทั้งสองรับน้ำนมจากสายยาง ได้น้อยลง.. กุมารแพทย์จึงรักษาแบบการติดเชื้อทั่วร่างกาย โดยได้ให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีทางเส้นเลือดดำ.. หลังจากนั้น ไม่นาน ภาวะการหายใจของทารกน้อย ก็แย่ลงตามลำดับ

เวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ จู่!! ทารกแฝดตัวแรก ก็เสียชีวิตจากภาวะลมหายใจล้มเหลว..ถัดจากนั้น อีกวันเดียว ทารกแฝดตัวที่สอง ก็สิ้นชีพตามไป ..ยังความโศกเศร้ามาสู่คุณกรกช สามีและญาติ รวมทั้งแพทย์,พยาบาลและเจ้าหน้าที่ห้องไอ.ซี.ยู. ทุกคนที่เกี่ยวข้อง หรือรับรู้เรื่องราว

คณะกุมารแพทย์ คิดว่า การเสียชีวิตของทารกแฝดรายนี้ น่าจะเกิดจากเส้นเลือด ที่เชื่อมระหว่างหัวใจกับปอดทารกน้อยทั้งสองผิดปกติ ..ดังนั้น จึงเกลี้ยกล่อมให้คุณกรกช มอบร่างของทารกทั้งสอง ทำการชันสูตรพลิกศพ เพื่อหาสาเหตุ.. แต่คุณกรกช ผู้เป็นมารดา ทำใจยอมรับไม่ได้ ..ไม่ยินยอม และนำร่างของเด็กน้อย กลับไปบำเพ็ญกุศล ที่วัดใกล้บ้าน ..

เรื่องราวของคุณกรกช และลูกแฝด กำลังจะเลือนหายไปจากสังคม.. วันหนึ่ง มีการพูดถึงเรื่องนี้ ในการประชุมวิชาการตอนเช้าของแผนกสูติฯ ข้าพเจ้ารับฟังด้วยความตกใจ สะเทือนใจ อย่างมาก..โดยสะท้อนใจว่า เรื่องราวเช่นนี้ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่.. จะโศกเศร้า หดหู่ใจ และเป็นทุกข์เพียงใด

ต่อไปภายภาคหน้า ปัญหา ‘การคลอดก่อนกำหนด (Preterm labor)’ ดังเช่นกรณีของคุณกชกร จะเป็นสิ่งที่สร้างความวุ่นวายไม่รู้จบ ให้กับโรงพยาบาลของรัฐ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กที่เกิดก่อนกำหนดนั้น มากมายเหลือคณานับ คิดเป็นเงินหลายแสนหรือหลายล้านบาท.. คนท้องที่ตั้งครรภ์ และเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด จะวิ่งวุ่นหาโรงพยาบาลรัฐ ที่มีศักยภาพระดับศูนย์การแพทย์ อันพรั่งพร้อมด้วยห้องไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด ที่มีเครื่องช่วยหายใจประสิทธิภาพสูง..แต่โรงพยาบาลดังกล่าว มีน้อย..เพราะรัฐ ไม่ได้ให้ความสนใจและทุ่มเทงบประมาณ เพื่อการนี้ 

พระพุทธเจ้า ทรงกล่าวย้ำบ่อยๆว่า ‘น้ำตาของมวลมนุษยชาติที่เหยียบย่ำอยู่บนกองทุกข์นั้น หลั่งไหลออกมา.. มากมายยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก’  ระหว่างที่กำลังเขียนเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้เปิดเพลงบรรเลงของชาวอินเดียแดงคนนั้น และสดับตรับฟังด้วยความตั้งใจ..ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เป็นสิบๆเที่ยว..โดยไม่แปรเปลี่ยนความคิด ไปจากเดิม ..คือ การที่มนุษยชาติ ยังคงเริงร่า บนกองทุกข์ ที่ทับถมกันมาแสนกัลป์แสนกัป โดยไม่รู้เดียงสา เลยสักนิด…

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

 

 

 

  

แฝดใจเพชร

แฝดใจเพชร

คุณเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์หรือไม่? สำหรับข้าพเจ้า…เชื่ออย่างสนิทใจ เพราะชีวิตที่ผ่านมาของข้าพเจ้า ล้วนผ่านพ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์ทั้งสิ้น หากไม่มีปาฏิหาริย์ ข้าพเจ้าคงจบชีวิตไปนานแล้ว ณ ที่คูคลองเล็กๆแห่งหนึ่งที่ขนานคลองชลประทานย่านอำเภอสองพี่น้อง เนื่องจากเหตุการณ์รถกระบะเสียหลัก พลัดตกและจมน้ำ แต่..ก็มีชาวบ้านช่วยเหลือได้ทัน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะกลั้นลมหายใจเฮือกสุดท้ายไม่อยู่..

สิ่งเหลือเชื่อใดๆ ในปัจจุบัน ได้ปรากฏขึ้นให้เห็นบ่อยๆ จนเราเคยชิน..อาทิ เศษเหล็กที่มาประกอบกันขึ้นเป็นเครื่องบิน และเหิรฟ้าได้ดุจนก ..ในทางการแพทย์ วิทยาการและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ก็พัฒนาก้าวหน้าไปไกล…จนแทบไม่น่าเชื่อว่า จะมีมนุษย์คนใดคิดค้นขึ้นมาได้…

วันวาน ข้าพเจ้าได้เดินไปเยี่ยมห้อง ไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด ด้วยหวังจะดูทารกแฝด ซึ่งเป็นปัญหาเข้าที่ประชุมสูติแพทย์เมื่อ ๒ สัปดาห์ก่อน.. น่าแปลกใจ ที่พบมีเด็กแฝดเกิดขึ้นมาอีกคู่ คราวนี้สภาพการณ์ของทารกน้อยรุนแรงกว่าคู่แรกเสียอีก เพราะคนไข้และคุณหมอไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก่อน… จู่ๆ เธอก็ปรากฏกายขึ้นที่ห้องคลอด และเบ่งคลอดหลังจากนั้นไม่นาน..

คนไข้รายใหม่นี้ ชื่อ คุณโสรญา… เธออายุ ๒๔ ปี ตั้งครรภ์แฝด ท้องแรก อายุครรภ์ ๒๖ สัปดาห์ ๔ วัน…๑ วันก่อนมาโรงพยาบาลฯ เธอเริ่มเจ็บครรภ์น้อยๆตอนเที่ยงวัน แต่อาชีพเป็นฝ่ายการเงิน..ทำให้เธอทนทำงานจนถึงค่ำ และพบว่า อาการปวดท้องน้อยเริ่มเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จวบจนตอนเช้าราว ๖ นาฬิกา คุณโสรญา ก็มาที่ห้องคลอด ซึ่ง..เมื่อพยาบาลตรวจภายในให้ ก็พบว่า ปากมดลูกของเธอเปิด ๙ เซนติเมตร ความบาง ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ทารกทั้งสองเป็นท่าหัว,หัว (Vertex,vertex) ..ภายในเวลาไม่ถึง ๑ ชั่วโมง  คุณโสรญาก็เบ่งคลอดลูกออกมาตามธรรมชาติ ตอนนั้น คุณหมอเด็กเพิ่งมาเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ เพื่อช่วยหายใจทารกน้อยในเบื้องต้น คนไข้เบ่งคลอดอยู่นาน ๑ ชั่วโมง ก็คลอดทารกแฝดออกมา.. ด้วยว่า ทารกทั้งสองมีศีรษะ เป็นส่วนนำทั้งคู่  (Vertex, vertex) เธอจึงคลอดไม่ยาก..ทารกน้อยทั้งสอง เป็นเพศหญิง น้ำหนักแรกคลอด พอๆกัน คือ แฝดตัวแรกหนัก ๖๘๘ กรัม แฝดตัวน้องที่คลอดภายหลัง หนัก ๖๙๖ กรัม ซึ่ง..คะแนนศักยภาพแรกเกิด ไม่ดีทั้งสองคน กุมารแพทย์ต้องใส่ท่อช่วยหายใจให้ และถูกส่งไปยังห้องไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด ทันที… ปัจจุบัน แฝดทั้งสองยังอยู่ในอาการร่อแร่…. เราคงต้องเฝ้าดูต่อไป

อีกรายหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อราวครึ่งเดือนก่อน..เป็นกรณีของคุณจิตราวดี  คนไข้อายุ ๒๘ ปี เคยแท้งบุตรมา ๒ ครั้ง ฝากครรภ์ครั้งแรกตั้งแต่อายุครรภ์เพียง ๙ สัปดาห์ พออายุครรภ์ ได้ ๒๓ สัปดาห์ สังเกตว่า มดลูกโตมากกว่าปกติ สูติแพทย์ที่แผนกฝากครรภ์จึงตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องให้ ปรากฏว่า เธอมีลูกแฝด ขนาดของทารกน้อย เท่ากับ ๒๑ และ ๑๙ สัปดาห์ ตามลำดับ เธอได้รับการส่งตัวต่อ..ให้ตรวจโดยละเอียด กับคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านการดูอัลตราซาวนด์ (MFM = Maternal- fetal medicine)

เมื่อคุณจิตราวดี ตั้งครรภ์ได้ ๒๕ สัปดาห์ การตรวจอัลตราซาวนด์ โดยละเอียดจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีทารกน้อย คนหนึ่ง เกิดสภาพแคระแกรน (IUGR= Intrauterine growth retardation) และทารกอีกคนน่าจะได้รับเลือดถ่ายเทจากทารกตัวเล็ก (Twin –twin transfusion syndrome) สำหรับ ‘รก’ พบว่า มันเป็นรกอันเดียว แต่มีถุงน้ำคร่ำแยก (Monochorion Diamnion Placenta) รกชนิดนี้นี่เอง ที่ก่อปัญหา ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงทารกทั้งสอง มีการเชื่อมต่อกันในบางส่วน เลือดจะถ่ายเทจากตัวหนึ่งไปสู่อีกตัวหนึ่งได้ ทำให้ทารกตัวหนึ่งขาดเลือด ในขณะที่ทารกอีกตัวมีภาวะเลือดมากเกิน (Polyhydramnios) เป็นผลให้ทารกตัวเล็กเสียชีวิตได้ง่าย.. จากนั้น เป็นต้นมา คุณจิตราวดี ก็ได้รับการตรวจอัลตราซาวนด์จากผู้เชี่ยวชาญทุกสัปดาห์.. พออายุครรภ์ ๒๗ สัปดาห์ ๓ วัน ทารกทั้งสองเริ่มมีภาวะแคระแกรนอย่างเห็นได้ชัด แต่..ก็ยังไม่ถึงกับต้องผ่าตัดคลอดออกมา

เมื่อคุณจิตราวดี ตั้งครรภ์ได้ ๒๘ สัปดาห์ ๕ วัน ตอนนี้เอง ที่พบว่า การไหลเวียนของเลือดภายในรกเกิดการย้อนกลับ (Reverse flow) ซึ่ง..เป็นสัญญาณอันตรายร้ายแรง บ่งบอกว่า ทารกทั้งสองจะเสียชีวิตในเวลาอีกไม่นานหลังจากนี้..  นี่เอง..เป็นเหตุให้สูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอัลตราซาวนด์ ต้องคุยกับคุณจิตราวดี ว่า ‘ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องตัดสินใจผ่าตัดคลอด แม้ว่า อายุครรภ์จะน้อยมาก ก็ตาม’

ถึงจะเสี่ยงต่อความตายจากการคลอดก่อนกำหนด (Preterm delivery) แต่..คุณจิตราวดี ก็ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดคลอด.. สูติแพทย์ท่านนั้น ได้ให้ยาเพิ่มการพัฒนาการทำงานของปอด (Steroid) เป็นเวลา ๒ วันก่อนผ่าตัด เพื่อให้ปอดมีประสิทธิภาพพอที่จะอยู่ในโลกภายนอก… ส่วนกุมารแพทย์ ก็เตรียมห้อง ไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิดรองรับทารกทั้งสอง อย่างเต็มที่

ในที่สุด วันนั้น ก็มาถึง สูติแพทย์ผู้รับผิดชอบ ได้ลงมือผ่าตัดคลอดให้แต่เช้า ภายใต้การเตรียมการของทุกฝ่าย ตั้งแต่กุมารแพทย์ วิสัญญีแพทย์ และสูติแพทย์ ทารกน้อยคลอดเมื่อเวลา ๑๐ นาฬิกา ๓ และ ๔ นาทีตามลำดับ ได้ทารกเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด ๑๐๐๐ กรัม และ ๖๕๘ กรัม ค่าคะแนนศักยภาพของทารกแรกเกิดแฝดคนแรกเท่ากับ ๗ และ ๙ ; แฝดคนน้อง เท่ากับ ๔ และ ๘ (คะแนนเต็ม ๑๐) ณ เวลา ๑ และ๕ นาทีหลังคลอดตามลำดับ ทารกทั้งสองได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจทันที และส่งไปดูแลอย่างใกล้ชิดที่ห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด.. ปัจจุบัน ทารกแฝดลูกคุณจิตราวดี มีสภาพร่างกายที่ดีมาก แม้จะอยู่ในสภาพใส่เครื่องช่วยหายใจ

คุณจิตราวดี และ คุณโสรญา  มีลูกแฝดเหมือนกัน แต่โชคชะตาแห่งอนาคตของลูกน้อยอาจแตกต่าง..ด้วยว่า คุณจิตราวดีขณะตั้งครรภ์ เมื่อทารกมีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต ก็ได้มีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด จากสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (MFM) พอทารกน้อยเข้าสู่ภาวะวิกฤตอย่างยิ่ง คุณจิตราวดีก็เข้าสู่กระบวนการผ่าตัดคลอดทันทีโดยมีการเตรียมการล่วงหน้าเป็นอย่างดีจากคุณหมอทุกฝ่าย ลูกคนเล็กของคุณจิตราวดี ที่มีน้ำหนักแรกคลอด เพียง ๖๐๐ กรัมเศษ ก็แข็งแรงดีวันดีคืน กว่า ลูกคนโต ที่มีน้ำหนัก ๑๐๐๐ กรัมด้วยซ้ำไป

ส่วนคุณโสรญา แม้จะฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจ และได้รับคำแนะนำต่างๆเกี่ยวกับการตั้งครรภ์แฝดเช่นเดียวกัน แต่..เธอไม่สามารถตระหนักรู้ได้ว่า ‘อะไร คือ สัญญาณอันตราย ที่จะก่อให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด’ เธอยังคงมุ่งมั่นทำงาน..โดยไม่ได้คำนึงถึงตัวเอง..ตราบจนคลอดออกมาเรียบร้อยแล้ว เธอยังไม่รู้เลยว่า อะไรทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น… หลังคลอดบุตร ๑ วัน ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมคุณโสรญา และถามเธอว่า ‘คุณคิดว่า อะไร คือ สาเหตุของการคลอดครั้งนี้ คุณมีเพศสัมพันธ์ในวันที่เจ็บครรภ์หรือเปล่า เพราะคนท้องบางคนมีความไวต่อสารพรอสตาแกรนดิน ในน้ำอสุจิ ทำให้เจ็บครรภ์ และแท้งบุตรในที่สุด’ คุณโสรญาปฏิเสธ แต่ยอมรับว่า ไม่ค่อยได้พักผ่อน..กรณีของคุณโสรญา  จึงยังคงเป็นปริศนา ถึงที่มาของสาเหตุการคลอดก่อนกำหนด

อย่างไรก็ตาม ทารกน้อยลูกแฝดของคนไข้ทั้งสอง ยังคงได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด ทารกทุกคนยังมีชีวิตอยู่ และพยายามยื้อยุดฉุดตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อหนีให้พ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราช… อย่างกรณีลูกแฝดของคุณจิตราวดี สามารถมีชีวิตอยู่มาได้กว่าครึ่งเดือน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ถือว่า ใจเด็ด ไม่น้อย  แต่..ก็ต้องขอยกย่อง ทีมงานแพทย์ ทั้งของแผนกสูติ-นรีเวช วิสัญญีแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกุมารแพทย์ ที่เตรียมการเป็นอย่างดีในการรับมือเหตุการณ์ครั้งนี้.. จากการสังเกตของข้าพเจ้า… เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ในห้อง ไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด มีการพัฒนาก้าวหน้าไปไกลมาก …ที่ผ่านมา ห้องไอ.ซี.ยู. แห่งนี้ สามารถช่วยชีวิตทารกน้อย ที่คลอดก่อนกำหนดในช่วงอายุครรภ์ ๒๖ สัปดาห์ หรือน้ำหนักประมาณ ๖๐๐ กรัมเศษไว้ได้หลายคน.. มาคราวนี้..ก็หวังว่า จะช่วยชีวิตทารกน้อยลูกแฝดของคนท้องทั้งสองได้…สำหรับกรณีลูกแฝดของคุณโสรญานั้น ทางห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด เพิ่งรับมาได้ไม่กี่วัน และไม่ได้มีการเตรียมพร้อมมาก่อน .. กุมารแพทย์ยอมรับว่า เป็นภาระที่หนัก.. การจะช่วยเหลือให้รอดชีวิตทั้งสองคน มีไม่มากนัก…ซึ่ง..คงต้องอาศัยปาฏิหาริย์ เท่านั้น ข้าพเจ้าเอง ก็หวังเช่นนั้น.. หวังว่า ทารกน้อยแฝดทุกคนที่กล่าวมาข้างต้น จะมีใจที่เด็ดเดี่ยว ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตา มีจิตใจความแข็งแกร่งประดุจเพชร  ที่จะสู้ เพื่อมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะพานพบกับอุปสรรคมากน้อยแค่ไหน…

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ.เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน        

 

 

 

เบรกแตก

เบรกแตก

วันพุธที่ผ่านมา ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเดินทางไปพัทยาในตอนเช้า เพื่อเข้าอบรมวิชาการของสมาคม ISGE (International Society for Gynecologic Endoscopy) คืนก่อนหน้า ข้าพเจ้านอนค้างที่โรงพยาบาลตำรวจเพื่ออยู่เวรรักษาการ ข้าพเจ้าเริ่มออกเดินทางแต่เช้ามืด เมื่อขับรถไปได้สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียง ‘เอียดๆ’ เสียงดังมากทุกครั้งที่เหยียบเบรก เสียงดังเช่นนี้ ข้าพเจ้าเคยมีประสบการณ์มาก่อนว่า ‘เกิดจากจานเบรกเสียดสีกับจานเหล็กที่ล้อ อันมีสาเหตุมาจากผ้าเบรกที่บางจนใช้การไม่ได้’ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงแวะไปที่อู่ซ่อมรถย่านพัฒนาการ แล้วกลับไปนอนพักต่อที่บ้าน เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อกลับไปสอบถาม ช่างเจ้าของอู่รถบอกว่า ‘ผ้าเบรกล้อหน้าถูกเสียดสีจนหมดและจานห้ามล้อเกิดความเสียหายอย่างมาก’      ข้าพเจ้าถามนายช่างว่า “หากข้าพเจ้ายังคงขับรถต่อไป โดยไม่ทำการซ่อมแซมเสียก่อน จะเกิดอะไรขึ้น” นายช่างเจ้าของร้านตอบว่า เบรกแตก’ อย่างแน่นอน ปัญหาที่ตามมา ย่อมต้องเลวร้ายและรุนแรง

วันก่อน ข้าพเจ้าพบคนท้องอายุ 16 ปี ตั้งครรภ์ที่ 2 มาขอรับการผ่าตัดคลอด และทำหมัน??. พลันข้าพเจ้านึกถึง เรื่อง ‘เบรกแตก’ เพราะเธอตั้งครรภ์แรกในขณะที่เป็นเพียงเด็กหญิงอายุ 13 ปี โชคดี!! ที่ผ่านวิกฤตอันตรายมาได้ด้วยการผ่าตัดคลอด ตอนนี้ ก็มาตั้งครรภ์ที่ 2 อีกเมื่ออายุ 15 ปี นอกจากนี้ เธอยังต้องการทำหมันด้วย ข้าพเจ้าได้ผ่าตัดคลอดให้ แต่ไม่ได้ทำหมัน พลางพิจารณาในใจว่า การตัดสินใจรักษาของสูติแพทย์ในกรณีที่คนไข้มีความเสี่ยงสูงนั้น แพทย์จำเป็นต้องกระทำอย่างเหมาะสมและไม่ช้าเกินไป มิฉะนั้น ก็จะเกิดปัญหาที่ยิ่งใหญ่ตามมา ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจรุนแรงจนทำให้ชีวิตคนไข้และลูกเป็นอันตรายได้  

วันจันทร์ก่อนเดินทางไปอบรม ตอนเย็น จู่ๆก็มีคนไข้รายหนึ่ง ชื่อ คุณกาญจนา ตั้งครรภ์แรก อายุ 28 ปีถูกส่งต่อมาจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เธอมาที่ห้องคลอดตอนเวลาประมาณบ่าย 4 โมง แพทย์ฝึกหัดได้โทรศัพท์ปรึกษาข้าพเจ้าว่า ‘คนไข้เป็นครรภ์แฝด อายุครรภ์ 25 สัปดาห์ ตอนเช้า ทราบมาก่อนจากใบส่งตัวว่า ทารกตายในครรภ์ 1 ตัว แต่.. เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา สูติแพทย์เวรห้องตรวจ ได้ดูอัลตราซาววนด์ให้แล้ว ปรากฏว่า ทารกเสียชีวิตทั้งคู่ ปัญหาสำคัญ คือ มีภาวะน้ำเกิน ( Polyhydramnios ) คนไข้จำเป็นต้องได้รับก๊าซออกซิเจนทางจมูก เพราะเธอทำท่าคล้ายกับจะหายใจไม่ออก’ ข้าพเจ้าฟังแล้ว รู้สึกไม่สบายใจ จึงรีบรุดไปดูในทันที

ภาพที่เห็น คือ คุณกาญจนานอนบนเตียงที่ห้องเตรียมของห้องคลอด หน้าท้องของเธอใหญ่โตมาก เหมือนกับจอมปลวกทีเดียว เธอนอนหายใจแผ่วๆ ค่อนข้างเร็ว และเหนื่อยเวลาตอบคำถาม พยาบาลได้วางหน้ากากพร้อมก๊าซออกซิเจนไว้ที่จมูกของเธอ โชคดี! ที่เธอยังนอนราบได้ มิฉะนั้น ข้าพเจ้าคงคิดว่า เธอมีโรคหัวใจวายร่วมด้วย

ข้าพเจ้าอธิบายวิธีการรักษาให้กับสามีและคุณกาญจนาฟังว่า “การรักษามี 3 วิธี คือ 1. ถ้าคุณกาญจนาหายใจลำบากมากจนทนไม่ไหวจริงๆ ผมจะใช้วิธีผ่าตัดคลอด (Hysterotomy) เอาเด็กออกมาก่อน เพื่อให้คนไข้หายใจสะดวกขึ้น แต่วิธีการนี้ทำให้คุณกาญจนาเจ็บตัวมาก และถือว่า ไม่คุ้มค่า วิธีที่ 2 คือเจาะถุงน้ำคร่ำทางปากช่องคลอด เพื่อให้คุณกาญจนาคลอดเองตามธรรมชาติ วิธีการนี้ ปากมดลูกของเธอต้องนุ่มและเปิดอย่างน้อย 2 – 3   เซนติเมตร วิธีที่ 3 คือ การใช้เข็มยาวๆ เจาะผ่านผนังหน้าท้องทะลุมดลูกเข้าไปในถุงน้ำคร่ำ แล้วปล่อยให้น้ำคร่ำไหลออกมาทางสายที่ต่อกับก้นเข็มไปยังขวดน้ำทิ้ง จากนั้น ก็รอจนกว่าปากมดลูกจะนุ่ม เพื่อเจาะถุงน้ำคร่ำทางปากมดลูก

หลังจากนั้น สองสามีภรรยา ได้ปรึกษากัน และเห็นด้วยกับข้าพเจ้าที่จะใช้วิธีการที่ 2 ข้าพเจ้าได้ตรวจภายในให้กับคุณกาญจนา พบว่า ปากมดลูกของเธอเปิดประมาณ 2 เซนติเมตร จากนั้น ก็ใช้เครื่องมือสอดใส่ผ่านทางปากมดลูกเข้าไปเจาะถุงน้ำคร่ำ ผลปรากฏว่า ‘ได้น้ำคร่ำออกมาเพียงเล็กน้อย ไม่ถึง 1 ถ้วยแก้ว’ ข้าพเจ้าพยายามใช้นิ้วดันส่วนของทารกที่อยู่ชิดติดกับปากมดลูก เพื่อให้น้ำคร่ำไหลออกมาอีก แต่ดันเท่าไหร่ ก็ไม่เป็นผล.. ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะส่วนร่างกายของเด็กคนแรกปิดกั้นตรงคอมดลูกด้านใน

ข้าพเจ้าบอกกับนักศึกษาแพทย์และพยาบาลห้องคลอดว่า “คงต้องรอเวลาประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง พอปากมดลูกเปิดสัก 5 – 6 เซนติเมตร เด็กก็จะคลอดผ่านออกมาได้ เพราะอายุครรภ์แค่นี้ เด็กจะมีขนาดตัวพอๆกับกำปั้นมือของคนเราเท่านั้น”

เวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง คุณกาญจนาก็แท้งบุตรทั้งสองคนออกมา ลูกคนแรก มีลักษณะผิวหนังลอกเกือบทั้งตัว ซึ่งแสดงว่า ได้เสียชีวิตมาไม่น้อยกว่า 3 วัน หลังจากคลอดทารกคนแรกแล้ว ก็ไม่มีน้ำคร่ำไหลออกมาอีก นั่นหมายความว่า ทารกทั้งสองตัวมีถุงน้ำคร่ำแยกจากกัน (Diamniotic dichrorionic twins) ซึ่งไม่ตรงกับการวินิจฉัยที่สูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอัลตราซาวนด์คาดการณ์ไว้ว่า มีถุงน้ำคร่ำเพียงอันเดียว (monoamniotic twins) เวลาผ่านไปอีกประมาณ 15 นาที ทารกคนที่สองก็แท้งออกมา คราวนี้ น้ำคร่ำได้ไหลทะลักออกมาราวกับเขื่อนพัง น้ำคร่ำไหลท่วมแผ่นผ้าที่รองก้นและนองเต็มพื้นห้องคลอด พยาบาลประเมินว่า น้ำคร่ำที่ออกมาในครั้งนี้ไม่น่าจะน้อยกว่า 5 ลิตร

ช่วงที่กำลังแท้งบุตรอยู่นั้น คุณกาญจนามีชีพจรเต้นเร็วมาก ขณะที่แท้งบุตรคนที่สอง ชีพจรของเธอเต้นเร็วมากถึง 130 ครั้งต่อนาที เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ชีพจรจึงเต้นช้าลง พอการแท้งสิ้นสุดลง คนไข้มีชีพจรเต้นลดลงเหลือเพียง 100 ครั้งต่อนาที คุณกาญจนารู้สึกหวาดผวากับการแท้งบุตรครั้งนี้มาก ข้าพเจ้าได้พูดจาปลอบใจเธอ ให้สบายใจ ซึ่ง..หากเธอนอนไม่หลับ ข้าพเจ้าก็จะให้ยาช่วยผ่อนคลายความเครียดกับเธอ แต่…เธอปฏิเสธ

ค่ำคืนวันเดียวกันนั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นคนไข้อีกรายหนึ่ง นอนเตียงที่ 5 ในห้องคลอด ชื่อ คุณธีรพร อายุ 26 ปี ตั้งครรภ์แรก หน้าท้องของเธอดูเล็กมาก เธอมีประวัติน้ำเดินมาตั้งแต่เที่ยงคืนวันก่อน และคุณหมอเวรได้วางแผนจะผ่าตัดให้คุณธีรพรในวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าอยู่เวรในค่ำคืนนั้น ข้าพเจ้าไม่ควรประมาท เพราะหากพลาดพลั้ง ทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์เนื่องจากสายสะดือถูกกดทับ นั่นก็จะทำให้ ข้าพเจ้ากลายเป็นจำเลยสังคม…

ถึงแม้ในช่วงตอนเช้า คุณหมอเวรได้ตรวจดูอัลตราวนด์ให้คุณธีรพรแล้วครั้งหนึ่งและเขียนบันทึกไว้ว่า ‘เหลือน้ำคร่ำอยู่ค่อนข้างน้อย แต่ยังพอมี (Oligohydrramnios)’ ข้าพเจ้าก็ขอตรวจอัลตราซาวนด์ซ้ำให้กับเธอ เพื่อให้หายข้องใจ ซึ่งก็เป็นจริงตามที่คาด คือ ภายในโพรงมดลูก แทบจะไม่มีน้ำคร่ำเหลืออยู่เลย (Anhydrmnios) ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องผ่าตัดให้กับคุณธีรพรอย่างฉุกเฉิน ผลคือ ได้ทารกน้อยเพศหญิง น้ำหนักตัว 1,900 กรัม คะแนนศักยภาพแรกเกิด เท่ากับ 7, 8 (จากคะแนนเต็ม 10 ) ณ นาทีที่ 1 และ 5 ตามลำดับ ทารกน้อยจำเป็นต้องเข้านอนพักที่ห้องไอ.ซี.ยู. เด็ก เป็นเวลา 7 วัน เนื่องจากปอดทำงานยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ หลังจากนั้น หนูน้อยได้ถูกส่งต่อไปที่ห้องทารกที่มีความเสี่ยงสูง (High risk room) เพื่อเลี้ยงดูจนน้ำหนักตัวเกินกว่า 2,000 กรัม จึงจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน

ยังมีคนไข้อีกรายที่มีความเสี่ยงสูง โดยที่คนไข้เองไม่รู้ตัว เธอชื่อคุญอรัญญา อายุ 33 ปี ตั้งครรภ์ที่ 3 ครรภ์แรก เธอคลอดเองตามธรรมชาติ บุตรคนแรกมีน้ำหนักแรกคลอด มากถึง 3,500 กรัม ปัจจุบัน อายุ 7 ขวบ แข็งแรงดี แต่..เธอต้องมาโชคร้ายในครรภ์ที่ 2 เพราะทารกที่คลอดออกมามีความพิการแต่กำเนิด และเสียชีวิตหลังคลอดไม่นาน ครรภ์ที่ 2 นั้น ได้รับการทำคลอดโดยแพทย์ท่านอื่น ดังนั้น ครรภ์ที่ 3 นี้ คุญอรัญญาจึงกลับมาขอให้ข้าพเจ้าทำคลอดให้ เธอฝากครรภ์ตั้งแต่ตั้งครรภ์ เพียง 6 สัปดาห์ และฝากครรภ์มาเรื่อยๆ

ตอนช่วงอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ คุญอรัญญามีมดลูกแข็งตัวเป็นบางครั้ง บางคราว ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงให้เธอรับประทานยาคลายกล้ามเนื้อมดลูก (Bricanyl) จนถึงอายุครรภ์ได้ 37 สัปดาห์ ซึ่งช่วงนั้น หน้าท้องของเธอสูงใหญ่มาก ข้าพเจ้าได้ตรวจดูอัลตราซานด์ให้กับคุญอรัญญา ก็ไม่พบว่า ทารกตัวใหญ่ผิดปกติ เพียงแต่มีจำนวนน้ำคร่ำมากกว่าปกติเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าพยายามหาเหตุผลเรื่องการที่หน้าท้องเธอสูงใหญ่ว่า ‘เกิดจากสาเหตุใด’ ข้อที่ชวนให้ข้าพเจ้าคิดถึง ก็คือ ศีรษะเด็กไม่ลงสู่อุ้งเชิงกราน (Unengagement of the fetal head) ซึ่งจริงๆแล้ว ในครรภ์หลัง ก็เป็นเช่นนั้นได้

พออายุครรภ์ได้ 39 สัปดาห์ หน้าท้องของคุญอรัญญาสูงใหญ่มาก ข้าพเจ้าวัดโดยใช้ตลับเมตรได้ถึง 43 เซนติเมตร จากประสบการณ์ ข้าพเจ้าเชื่อว่า ‘          ภัยร้ายกำลังใกล้เข้ามาแล้ว’ ข้าพเจ้าเริ่มชักชวนให้คุญอรัญญาเข้ารับการผ่าตัดคลอด ช่วงแรก เธอคัดค้านมาโดยตลอด เพราะครรภ์แรกคลอดเองทางช่องคลอดได้ ครรภ์นี้ ก็ควรคลอดเองได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าถือเป็นโอกาสบอกในส่วนการตัดสินใจของข้าพเจ้าว่า ‘วิธีการคลอดมีอยู่ประการเดียวเท่านั้น คือ ผ่าตัดคลอด’ ซึ่งหลังจากเธอปรึกษากับสามี ก็ตัดสินใจเลือกเอาฤกษ์ดีวันหนึ่งเป็นเวลาคลอด

ที่ห้องผ่าตัดคลอด ข้าพเจ้าผ่าตัดคลอดคุญอรัญญาโดยไม่มีแรงกดดันอะไร เพราะการผ่าตัดคลอดจะช่วยแก้ไขปัญหาทุกสิ่งที่อาจพบในการคลอดเอง การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบง่าย พอผ่าตัดเข้าสู่ถุงน้ำคร่ำ ข้าพเจ้าก็ใช้มือล้วงเข้าไป พลางใช้เครื่องมือคีม (Forceps) คีบศีรษะทารกน้อย คาดไม่ถึง ข้าพเจ้าไม่สามารถประกบเครื่องมือได้ คราวนี้ ข้าพเจ้าจึงตั้งใจที่จะคลำเพื่อให้ทราบท่าของศีรษะทารกอย่างชัดเจน… ที่ไหนได้!!!!  เด็กอยู่ในท่าหน้า (face presentation) นั่นเอง

ปัญหาของทารกท่าหน้า (face presentation) ก็คือ หากถุงน้ำคร่ำแตก ใบหน้าเด็กจะบวมเป่งจากการกดกับอุ้งเชิงกรานเป็นเวลานาน จนอาจขัดขวางการหายใจ และเสียชีวิตในที่สุด เมื่อหลายปีก่อน เคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์แฝด ทารกน้อยเป็นท่าศีรษะทั้งคู่ พอตัวแรกคลอดออกไป และเวลาผ่านไปสักพัก พยาบาลจึงทราบว่า ทารกตัวที่สองไม่สามารถคลอดได้ เพราะเป็นท่าหน้า (Face presentation) เมื่อแจ้งให้สูติแพทย์ทราบ ท่านก็รีบผ่าตัดให้เป็นการด่วน อย่างไรก็ตาม การเตรียมผ่าตัด มีขั้นตอนที่ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย ในที่สุดทารกแฝดคนที่สองก็เสียชีวิต  ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงถือว่า ตัวเองเป็นคนโชคดี ที่ตัดสินใจผ่าตัดให้คุญอรัญญา ซึ่งตอนนั้น ข้าพเจ้าตั้งใจไว้แล้วว่า หากคนไข้ยังคงยืนยันที่จะคลอดเองตามธรรมชาติ ข้าพเจ้าจะขอร้องให้เธอเปลี่ยนไปคลอดกับคุณหมอท่านอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้อง ที่อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของการคลอดเอง (อาทิ การคลอดติดไหล่ หรือสายสะดือพันคอเด็กหลายรอบ ซึ่งเวลาดึงคลอด ก็เสมือนกับแขวนคอทารกน้อย)

บุตรของคุญอรัญญา เป็นเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 3,450 กรัม คะแนนศักยภาพแรกคลอด เท่ากับ 9 และ 10 (คะแนนเต็ม 10 ) ณ นาทีที่ 1 และ 5 ตามลำดับ ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น คุณอรัญญาและสามีต่างก็ดีใจที่บุตรแข็งแรงดี ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างคลายข้อสงสัยว่า ‘ทำไมหน้าท้องคุณอรัญญาถึงสูงใหญ่ขนาดนั้น และไม่แปลกใจว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงตัดสินใจผ่าตัดคลอดให้กับคุณอรัญญา

ไม่ว่า จะเป็นคุณกาญจนา  คุณธีรพร หรือคุณอรัญญา หากมีการตัดสินใจรักษาที่ผิดพลาด ไม่เหมาะสม ผลที่ตามมาก็อาจเลวร้ายจนยากที่จะคาดเดา ซึ่งแน่นอน!! ข้าพเจ้า รวมถึงสูติแพทย์ทุกท่านที่หากกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ย่อมต้องพยายามหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนอย่างเต็มที่

โลกนี้ ยังคงวุ่นวาย ก็เพราะผู้คนขาดการยั้งคิด ไตร่ตรอง เวลาเกิดปัญหาเฉพาะหน้า หลายคนยังคงเดินหน้าต่อไป โดยไม่แยแสกับผลที่จะตามมา สุดท้าย ปัญหาก็ลุกลามไปเรื่อยๆ จนหมดหนทางเยียวยา… ทางที่ดี ข้าพเจ้าคิดว่า ‘เราควรหยุดคิด และแก้ปัญหาตามความเหมาะสม โดยใช้พลังปัญญาและบุญเก่าเท่าที่มี……’

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ. เสรี  ธีรพงษ์ ผู้เขียน

เพชรพญานาค

เพชรพญานาค

ที่ตรงหน้าข้าพเจ้า ขณะนี้ มีก้อนหินอยู่ 2 ก้อน ลักษณะทั่วไป ก็คือ ก้อนหินสีน้ำตาล ผิวขรุขระ มีฝุ่นจับโดยรอบ ขนาดประมาณ กำมือโอบ และมีตัวอักษร ‘พ’ อยู่บนก้อนหินทั้งสองก้อนด้วย… เชื่อหรือไม่ว่า ภายในก้อนหินทั้งสองนั้น มี ‘เพชรพญานาค’

เมื่อราว 1 เดือนก่อน น้องสาวอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านหนึ่ง ได้นำก้อนหินดังกล่าวจากนครพนม มาฝากเนื่องจากข้าพเจ้าดูแลรักษาท่านเกี่ยวกับภาวะวัยทอง ท่านนำมาให้ถึง 3 ก้อน ข้าพเจ้าได้มอบให้พยาบาลที่อยู่ร่วมดูแลท่านในวันนั้นด้วยไป 1 ก้อน

ระหว่างพูดคุย ท่านหยิบอัญมณี ‘เพชรพญานาค’ จำนวนมากมาย ที่กระเทาะนำออกมาจากหินก้อนอื่นให้ดู ลักษณะทั่วไป ก็เหมือนผลึกแก้วกลมหลากสี   มีขนาดตั้งแต่เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 – 3 เซนติเมตร สวยงามมาก

สำหรับ ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าขอเก็บไว้ในรูปร่างเป็นก้อนหินอย่างนั้นแหละ ไม่อยากกระเทาะเอาอัญมณีออกมา ทั้งนี้ ก็เพื่อเอาไว้สักการะ บนแท่นบูชาพระพุทธรูป  สิ่งมงคลนี้ คงต้องอยู่ที่ความเชื่อมั่นศรัทธา เหมือนที่ ข้าพเจ้าเชื่อถือ ในเรื่องของ ‘ทาน’ ว่าเป็นประตูสู่ทุกสิ่งที่ดีงาม แต่..หากเราไม่นับถือ… สิ่งมงคลใดๆ ก็เสมือนสิ่งไร้ค่า อะไรสักอย่างหนึ่ง

ข้าพเจ้ามีนิสัยชอบทำ ‘ทาน’ และทำในทุกรูปแบบ ไม่ว่า จะเป็นการทำบุญตักบาตรตอนเช้า การปล่อยนก ปล่อยเต่า ปล่อยปลา หรือ การช่วยเหลือรักษาคนไข้ในมืออย่างเต็มที่ (เพราะถือว่า เคยมีวาสนาช่วยเหลือกันมาในอดีตชาติ)

ไม่กี่วันที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์อกสั่น ขวัญแขวนสำหรับข้าพเจ้าหลายเรื่อง แต่ทุกเรื่อง ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี… นี่..ก็น่าจะเป็นผลแห่ง’ทาน’

เย็นวันหนึ่ง ก่อนเดินทางไปอินเดีย (7- 10 มีนาคม 53) วันนั้นเป็นวันจันทร์ ตอนช่วงเวลาราว 17 นาฬิกา ได้มีสตรีชาวโมรอคโค อายุ 32 ปี มาโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ด้วยเรื่องน้ำเดิน คนไข้ชื่อ คุณฮายัด ตั้งครรภ์แรก เธอเคยฝากครรภ์ที่ประเทศโมรอคโคมาก่อน ขณะนี้ เธอมีอายุครรภ์ ประมาณ 37 สัปดาห์ แพทย์เวรห้องฉุกเฉินได้โทรศัพท์มาปรึกษาข้าพเจ้าและขอให้รีบไปดูคนไข้โดยด่วน  

คุณฮายัด เริ่มฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้เมื่อเธออายุครรภ์ได้ 33 สัปดาห์ และมารับการตรวจครรภ์อีก 2 ครั้ง ตอนอายุครรภ์ 35 และ 36 สัปดาห์เศษ ผลเลือดต่างๆปรกติ ข้าพเจ้าไม่เห็นใบฝากครรภ์จากประเทศโมรอคโค จึงสันนิษฐานตามที่คุณหมอสูติผู้ดูแลว่า อายุครรภ์คงเป็นไปตามนั้น อายุครรภ์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคนท้องทุกคน เพราะเป็นส่วนในการตัดสินใจให้คลอด หรือยับยั้งการคลอดไว้ก่อน

เมื่อแรกเห็นคุณฮายัด ข้าพเจ้าคิดว่า เธอและบุตรน่าจะสบายดี เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอรู้สึกเด็กดิ้นดีตลอด จากการซักประวัติ สามีเธอซึ่งพอพูดภาษาไทยได้ เล่าว่า เธอมีน้ำเดินตอนเวลาประมาณ 15:00 นาฬิกา น้ำคร่ำไหลออกมาจากช่องคลอดเรื่อยๆ และเริ่มออกน้อยลงตอนที่ข้าพเจ้าเดินทางไปถึง

ข้าพเจ้าขอตรวจภายในและอัลตราซาวนด์คนไข้ในเบื้องต้น เพื่อประเมินสถานการณ์ ซึ่งพบว่า ทารกน้อยมีขนาดและน้ำหนัก ใกล้เคียงกับอายุครรภ์ตามระบุในใบฝากครรภ์ (โดยอาศัยวัดเปรียบเทียบกับส่วนต่างๆของร่างกายทารกและคำนวณจากเครื่องอัลตราซาวนด์) ตอนนั้น ข้าพเจ้าเองยังไม่วางใจนัก จึงได้ลองประเมินโดยคลำตัวเด็กทางหน้าท้องของคนไข้ ก็คะเนน้ำหนักทารกว่า น่าจะหนักประมาณ 2,500 กรัม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ทารกน้อยก็น่าจะรอดเมื่อคลอดออกมาสู่โลกภายนอก

ขณะที่กำลังเขียนผลตรวจอัลตราซาวนด์บนโต๊ะที่หน้าห้องตรวจเอกซเรย์ สามีคนไข้ได้เดินเข้ามาหาข้าพเจ้าและถามว่า “คุณหมอคิดว่า จะทำยังไงดี?”  ข้าพเจ้าตอบว่า “เท่าที่ประเมินจากอัลตราซาวนด์ ลูกคุณมีขนาดตัวโตพอสมควร หากต้องการจะรอถึงพรุ่งนี้เช้า ก็สามารถทำได้ แต่จะเสี่ยงต่อชีวิตตัวทารก ในกรณีที่น้ำคร่ำไหลออกมามาก ทำให้ตัวเด็กเบียด กดทับสายสะดือ จนลูกคุณขาดก๊าซออกซิเจน และเสียชีวิตในที่สุด วิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด คือ ผ่าตัดคลอดตอนนี้เลย”

สามีคุณฮายัด ซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา และไว้ผมยาว พูดด้วยท่าทางที่ขึ่งขังว่า “คุณหมอต้องรับผิดชอบกับลูกของผมนะ!!!” เจ้าหน้าที่พยาบาลและห้องเอกซเรย์ รวมทั้งข้าพเจ้าพากันตกใจกับถ้อยคำนี้

ข้าพเจ้าตั้งสติได้ก่อน ก็พูดโต้ตอบออกไปว่า “ผมจะทำให้ดีที่สุด”

สามีคุณฮายัดเอื้อมมือมาจับบ่าข้าพเจ้า พร้อมกับพูดว่า “ผมเชื่อใจและมั่นใจในตัวหมอ หมอจะผ่าตัดคลอด ก็ทำได้เลย”

ตอนนั้น ความมั่นใจของข้าพเจ้ารู้สึกว่า ลดน้อยถอยลงไปมาก เพราะคำพูดข้างต้นของสามีคนไข้ แต่ก็แข็งใจสั่งการกับพยาบาลว่า ‘คนไข้รายนี้…ผ่าตัดคลอดเลยนะ ช่วยตามคุณหมอดมยาและหมอเด็กด้วย’

ที่ห้องผ่าตัด สามีคุณฮายัดได้ขอเข้ามาดูการผ่าตัดคลอดด้วย ข้าพเจ้าจะห้ามปรามยังไง เขาก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง  คุณหมอดมยามาถึงห้องผ่าตัดอย่างรวดเร็วและรีบใส่ยาดมสลบเข้าไปในไขสันหลังของคนไข้ คุณฮายัดนอนนิ่งอยู่บนเตียงผ่าตัดอยู่นาน แต่การผ่าตัดก็ไม่มีทีท่าจะเริ่มต้น ทั้งนี้เพราะไม่มีกุมารแพทย์มารับเด็ก ทางโรงพยาบาลพยายามติดต่อกับกุมารแพทย์หลายท่าน ก็ไม่มีใครยินยอมมา เวลาผ่านไปประมาณ 40 นาที ข้าพเจ้าตัดสินใจโทรศัพท์ไปที่ห้องคลอดโรงพยาบาลตำรวจ ถามพยาบาลว่า ‘คุณหมอเด็กอยู่เวรคืนนี้ชื่ออะไร’ พยาบาลห้องคลอดตอบว่า ‘คุณหมอวีนัส’ ข้าพเจ้าขอเบอร์โทรศัพท์มือถือคุณหมอ และรีบโทรไป พลางขอร้องว่า “คุณหมอครับ พี่เองนะ พี่อยากจะรบกวนให้เธอมาที่โรงพยาบาล (ขอสงวนนาม)… ชั้น 3 ห้องผ่าตัด ช่วยมารับเด็กหน่อย เออ!! พอดี ที่นี่ไม่มีหมอเด็กอยู่เวรประจำการ และก็หาไม่ทันแล้ว รบกวนช่วยพี่หน่อยนะ” คุณหมอวีนัสรับปากว่าจะมารับเด็กให้

หากเป็นสมัยก่อน ข้าพเจ้าจะไม่กลัวปัญหาเช่นนี้เลย เพราะพยาบาลห้องคลอดสามารถรับเด็กและช่วยเหลือในเบื้องต้นได้ แต่เวลาสมัยเปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้ ความผิดพลาด คือ การดับวูบของอนาคตแพทย์ การจะอ้างว่า ‘คุณหมอเด็กติดธุระ’ ย่อมไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีในศาล.. ยิ่งเป็นกรณีชาวต่างชาติ  ยิ่งอาจเป็นปัญหาใหญ่โตขึ้นไปอีก

“คุณหมอครับ เวลาที่ดมยาสลบผ่านทางไขสันหลังล่วงไป 1 ชั่วโมงแล้ว หากคุณหมอไม่ลงมีด ยาสลบอาจจะไม่สามารยับยั้งอาการเจ็บปวดจากการผ่าตัดได้ ผมว่า คุณหมอรีบผ่าตัดก่อนจะดีกว่า มิฉะนั้น คงต้องใส่ท่อช่วยหายใจคนไข้ เพื่อดมยาต่อ” วิสัญญีแพทย์ผุดลุกผุดนั่งและรีบเดินมาขอร้องข้าพเจ้า เพื่อให้รีบลงมือผ่าตัดด่วน สามีคนไข้บ่นเป็นภาษาโมร็อคโค ข้าพเจ้าเอง ก็ได้แต่ปลอบใจเขาว่า ‘กุมารแพทย์คงมาช้าหน่อย เพราะรถติด’

สักครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างข้าพเจ้ากับวิสัญญีแพทย์ สามีคนไข้ก็พูดออกมาว่า “ผมจะรับเด็กเอง ลูกของผม ผมรับคลอดเองได้ และคิดว่า คงไม่เป็นไร” ข้าพเจ้าตกใจกับคำพูดนี้มาก แต่เวลาไม่รอท่าแล้ว หากใส่ท่อช่วยหายใจให้กับคุณฮายัด คงต้องเกิดความยุ่งยากภายหลังอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าพยายามโทรศัพท์ติดต่อคุณหมอเด็ก หลายครั้ง ก็ไม่สามารถติดต่อได้ อนาคตข้าพจ้าขึ้นอยู่กับการตัดสินใจครั้งนี้ ข้าพเจ้าบอกกับทีมงานว่า “ลงมือผ่าตัดเดี๋ยวนี้เลย หากเด็กคลอดออกมา แล้วหายใจไม่ดี ขอรบกวนคุณหมอดมยาช่วยใส่ท่อหายใจให้ด้วย ” ซึ่งคุณหมอก็รับปาก

ไม่รอช้า!! ข้าพเจ้าลงมีกรีดบนผนังหน้าท้องตามรอยตะเข็บกางเกงใน ก่อนลงมีด ข้าพเจ้าท่องคาถาส่วนตัวเพื่อขอสิ่งศักดิ์สิทธิช่วยเหลือ สามีคนไข้ยืนอยู่บนหัวเตียงผ่าตัดก็สวดมนต์ขอพรจากพระเจ้าให้คลุ้มครองปกป้องลูกเช่นกัน เมื่อลงมีดถึงถุงน้ำคร่ำ ข้าพเจ้าคิดว่า น้ำคร่ำยังมีมากอยู่ ทารกน่าจะปลอดภัย ใม่มีปัญหา พอทำคลอดทารกน้อย ทารกร้องเสียงดังและหายใจดี ทารกเป็นเพศหญิง น้ำหนักแรกคลอด 2,430 กรัม คะแนนศักยภาพแรกเกิด 9 และ 10 (จากคะแนนเต็ม 10) ตามลำดับ

ข้าพเจ้ารีบส่งเด็กให้กับพยาบาล เพื่อช่วยเหลือในเบื้องต้น จากนั้น ก็มีการลำเลียงเด็กส่งต่อไปที่ห้องเด็ก เพื่อให้อยู่ในตู้อบ รักษาอุณหภูมิร่างกาย เมื่อคลอดเด็กได้ 15 นาที กุมารแพทย์ก็มาถึง และขอโทษที่มาล่าช้า นอกจากนั้น เผอิญ แบตเตอรี่มือถือหมดด้วย จึงติดต่อกันไม่ได้ ข้าพเจ้าเย็บมดลูกเสร็จพอดี จึงรีบพาเธอไปดูทารกน้อย ลูกคุณฮายัด ปรากฏว่า  เด็กเริ่มหายใจไว และกลั้นหายใจเป็นระยะ โชคดีที่คืนนั้นมีหมอเด็กอยู่ด้วย คุณหมอได้อยู่ดูแลเด็กจนดึกดื่น สักพักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ขอตัวกลับก่อน เพราะเสร็จภารกิจแล้ว

นี่คือ ความโชคดีครั้งหนึ่งของข้าพเจ้า ถัดจากนั้นมาไม่ถึง 1 สัปดาห์ ก็ได้ผ่าตัดคนท้องที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษแบบรุนแรงอีกรายที่โรงพยาบาลตำรวจ คนไข้และลูกปลอดภัยดี นอกจากนั้น ตอนขากลับจากประเทศอินเดีย ข้าพเจ้าต้องออกเดินทางประมาณ 5 ทุ่ม เพื่อให้ถึงสนามบินในตอนเช้า เป็นการประหยัดเวลาการเดินทางจาก 8 ชั่วโมง เหลือเพียง 5 ชั่วโมง เพราะการจราจรที่นั่นแย่มาก

เรื่องมีอยู่ว่า ข้าพเจ้าต้องเดินทางโดยรถยนต์จากโรงเรียนกาซิกา ที่เมืองดาราดูน ซึ่งอยู่บนภูเขา ไปที่สนามบินนิวเดลลีตอนกลางคืน คุณครูท่านหนึ่งได้ขับรถส่วนตัวพาข้าพเจ้าไปส่งยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนคนขับรถ คนขับรถที่ขับต่อจากคุรครูได้ขับพาข้าพเจ้าเดินทางไปอีกราว 20 กิโลเมตร ก็ลงจากรถ และหายไปในความมืด ข้าพเจ้ารีบใส่รองเท้าและลงจากรถ มายืนข้างทาง โดยไม่ทราบว่า คืนนั้น ข้าพเจ้าจะมีชีวิตรอดกลับสู่ประเทศไทยหรือไม่

ราว 10 นาที ก็มีคนอินเดียอีกคนเดินออกมาจากความมืดและขึ้นมานั่งตรงคนขับ ข้าพเจ้าพยายามพูดภาษาอังกฤษกับเขา แต่ก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่า นี่คือ คนขับรถตัวจริง สุดท้าย เขาก็ได้พาข้าพเจ้าไปถึงสนามบินตอนราว 5 นาฬิกาของเช้าวันใหม่  โชคดีจริงๆ!!!

ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า ข้าพเจ้าจะไม่โชคร้ายหรือเสียชีวิตไปก่อนเวลาอันควร เพราะได้ประกอบกรรมดีมาตลอด แต่….นั่นแหละ!!!! ทุกสิ่งย่อมไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับโชควาสนาและความเชื่อถือศรัทธา ดุจดังเรื่องราวของ’เพชรพญานาค’ ที่บัดนี้ ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า มีจริงหรือไม่..

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&   

พ.ต.อ. นพ.เสรี  ธีรพงษื  ผู้เขียน   

โชคดี!!!..ไม่ต้องซีเรียส

โชคดี!!!..ไม่ต้องซีเรียส

ตั้งแต่เป็นเด็ก เวลาไหว้พระ ข้าพเจ้าจะอธิษฐานว่า “ขอให้(ข้าพเจ้า)โชคดี” นั่น..จึงเป็นที่มาขอคำว่า “โชคดี!!” ที่ข้าพเจ้ามักพูดกับคนไข้เกือบทุกคนที่มาเข้ารับการรักษา.. ซึ่งส่วนใหญ่ ไม่ว่าเกิดเรื่องเลวร้ายอะไร คนไข้มักรอดปลอดภัย ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า คำพูดนี้มีส่วนหรือไม่! แต่…เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คำพูดนี้ กลับต้องใช้เพื่อการปลอบใจหลังผ่าตัดให้กับคนไข้รายหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้ช่วยผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านกลางกรุง (ขอสงวนนาม)…การผ่าตัดค่อนข้างยุ่งยาก เพราะมีพังผืดมาก แต่ก็เป็นไปได้ด้วยดี… ระหว่างผ่าตัดนั้น….ข้าพเจ้าสังเกตว่า เนื้อเยื่อที่โผล่ออกมาจากปากมดลูก ซึ่งเจริญต่อเนื่องออกมาจากในโพรงมดลูก มีลักษณะยุ่ยๆ ชอบกล ข้าพเจ้าคิดว่า มันอาจเป็นมะเร็งเยื่อบุมดลูก!!! จึงไต่ถามข้อมูลประวัติการเจ็บป่วยของคนไข้..คุณหมอท่านนั้นได้เล่าให้ฟังว่า ‘คนไข้รายนี้อายุเพียง 31 ปี อาชีพเป็นนักแสดงโรงละคร ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ไม่เคยมีอาการเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด แต่..มดลูกมีขนาดโตค่อนข้างเร็ว’ ไม่กี่วันที่ผ่านมา คุณหมอท่านนั้นได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าว่า “ผลชิ้นเนื้อของคนไข้เป็น มะเร็ง (Poorly differentiated endometrioid adenocarcinoma) ของเยื่อบุโพรงมดลูก จริงๆ” ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมากกับข่าวร้ายนี้ ข้าพเจ้าขออวยพรให้คนไข้โชคดี จากการรักษาในภายภาคหน้าต่อไป

วันนี้ ก็เช่นเดียวกัน คุณอรชุลี ซึ่งเป็นคนไข้มีบุตรยากรายหนึ่ง ได้ไปเจาะเลือดทดสอบการตั้งครรภ์หลังหยอดตัวอ่อน ปรากฏว่า ‘ตั้งครรภ์’ สำเร็จ แต่…เธอกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เหตุทั้งนี้เพราะ ครรภ์แรกของเธอที่ตั้งครรภ์จากการทำเด็กหลอดแก้วเช่นกัน ปรากฏว่า ได้ทารกพิการแต่กำเนิด จนต้องทำแท้งออกมา ส่วนการตั้งครรภ์ครั้งนี้ ก็มีเลือดเก่าๆออกมาเมื่อคืนที่ผ่านมา คุณอรชุลีนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน เพราะคิดว่า ‘คงล้มเหลว’ ไม่ตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อตั้งครรภ์จริงๆ เธอก็กลัวว่า ลูกคนนี้อาจพิการเช่นเดียวกับลูกคนก่อน ข้าพเจ้าเข้าใจและเห็นใจเธออย่างมาก จึงพูดปลอบว่า “ไม่ต้องซีเรียสหรอก คนท้องหลายรายที่เกิดจากการทำเด็กหลอดแก้ว มีเลือดออกทางช่องคลอด..เป็นเลือดเก่าๆเช่นนี้ในวันทดสอบผลเลือด ดังนั้น ควรทำใจสบายๆ จะดีกว่า สิ่งที่ผมอยากให้คุณอรชุลีทำ คือ ให้ไปทำบุญใหญ่ และปฏิบัติธรรมอีกครั้งหลังจากที่เคยไปปฏิบัติธรรมกับสำนักแม่ชีแห่งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว……” นอกจากนั้น ข้าพเจ้ายังได้สั่งยากันแท้งเพิ่มเติมให้กับเธอและแนะนำให้พักผ่อนมากๆ….

วันอังคารที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเข้าเวรตามปกติ ปรากฏว่า ตลอดทั้งวัน รวมทั้งช่วงหัวค่ำ ไม่มีคนไข้สักรายให้ต้องลงมือผ่าตัด ข้าพเจ้าจึงกลับไปพักผ่อนที่บ้านและรอฟังการปรึกษาจากนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด

ประมาณ 4 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ นักศึกษาแพทย์เวรได้โทรศัพท์มาปรึกษาข้าพเจ้าว่า “มีคนท้องรายหนึ่ง มาโรงพยาบาลด้วยเรื่องน้ำเดิน และเพียงแค่ 30 นาที ที่ผ่านมา หัวใจทารกก็เต้นช้าลงอย่างผิดสังเกตถึง 3 ครั้งในขณะที่ไม่มีการหดรัดตัวของมดลูก (late deceleation) อัตราการเต้นอยู่ที่ประมาณ 90 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น” ข้าพเจ้าย้อนถามไปว่า “คนไข้ตั้งครรภ์กี่สัปดาห์?” นักศึกษาแพทย์คนนั้นตอบว่า “41 สัปดาห์ หากนับจากระดูครั้งสุดท้าย แต่หากนับจากใบฝากครรภ์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ คนไข้จะมีอายุครรภ์เพียง 36 สัปดาห์เศษ” ข้าพเจ้าฟังแล้วคิดว่า คนท้องรายนี้ค่อนข้างเสี่ยงต่อการสูญเสียลูก จึงรีบแต่งตัว ขณะที่กำลังจะขับรถออกจากบ้าน ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ไปถามพยาบาลห้องผ่าตัดอีกครั้ง เพราะยังไม่แน่ใจในคำพูดของนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด นักศึกษาแพทย์มักพูดรายงานเรื่องราวของคนไข้ไม่ชัดเจนและเกินความเป็นจริง

ข้าพเจ้าถามพยาบาลห้องคลอดว่า “เป็นยังไงบ้าง? เมื่อกี้ น้องหมอ Extern (นักศึกษาแพทย์ฝึกหัด) รายงานว่า มีคนท้องรายหนึ่งที่ลูกมีการเต้นของหัวใจช้าแบบตกวูบ (late deceleation) ”

พยาบาลห้องคลอดตอบว่า “อ๋อ คุณมาเรีย (Mrs. Marie) ชาวฟิลลิปปินส์นะเหรอ.. ตอนนี้ อัตราการเต้นเฉลี่ยของหัวใจลูกเธออยู่ที่ประมาณ 150 ครั้งต่อนาที สามีคนไข้ไม่อยากให้เธอนอนโรงพยาบาล คุณมาเรีย (Mrs. Marie) มีประวัติน้ำเดินมาเมื่อ 4 ชั่วโมงก่อน หมอ extern ตราจภายในและทดสอบแล้ว ไม่มีน้ำเดินจริง”

ข้าพเจ้าถามต่อว่า “อ้าว! แล้วเมื่อสักครู่  น้อง extern บอกว่า เด็กไม่ค่อยดี เพราะหัวใจเด็กเต้นค่อนข้างช้า (late deceleation) ในขณะที่มดลูกไม่มีการหดรัดตัว (Uterine contraction)”

พยาบาลคนเดิมตอบว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ลักษณะของกราฟจากการตรวจ NST (ย่อจาก Non-stress test) เป็น variable deceleration…กราฟที่แสดงค่าพื้นฐานการเต้นของหัวใจเด็ก (Basseline) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 150 ครั้งต่อนาที นอกจากนั้น เส้นกราฟหัวใจนั้นยังเป็นลักษณะมี variability ด้วย”

ข้าพจ้าฟังแล้ว จึงยังไม่ได้ออกเดินทางจากบ้าน เนื่องจากคนไข้รายนี้ไม่ใช่กรณีฉุกเฉินแล้ว ข้าพเจ้ามั่นใจว่า ทารกน้อยยังมีสุขภาพดีอยู่… ด้วยเหตุผล คือ

ประการที่ 1 กราฟที่แสดงอัตราการเต้นของหัวใจเด็ก ส่วนใหญ่ปกติ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 150 ครั้ง ต่อนาที (อัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ มีค่าปกติอยู่ที่ 140 -180 ครั้งต่อนาที หากมีอัตราการเต้นต่ำกว่า 120 ครั้งต่อนาที แสดงว่า ทารกเริ่มขาดก๊าซออกซิเจน… และถ้าต่ำกว่า 100 ครั้ง ต่อนาที แสดงว่า ทารกอยู่ในสภาพขาดออกซิเจนในกระแสเลือดอย่างมาก [Severe hypoxia])

ประการที่ 2 กราฟที่แสดงการเต้นของหัวใจทารกมีลักษณะ Variability ‘ดี’ หมายถึง มีการเต้นของหัวใจที่แกว่งขึ้นและลงเป็นหยักๆค่อนข้างมาก คือ มีค่าความแตกต่างระหว่างจุดสูงสุดและต่ำสุด มากกว่า 10 หน่วย

เมื่อทราบรายละเอียดของสภาพคนไข้ที่แท้จริง ข้าพเจ้าจึงยังคงพักผ่อนอยู่กับบ้าน อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าวางแผนที่จะผ่าตัดคลอดให้กับคุณมาเรีย (Mrs. Marie) ในตอนเช้า โดยให้ติดเครื่อง NST ไว้กับคนไข้ตลอดเวลา

ตอนเช้า ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงโรงพยาบาลตำรวจ เวลาประมาณ 7 นาฬิกา แล้วก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย พอเวลา 7 นาฬิกา 45 นาที เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ปลุกข้าพเจ้าตื่นจากภวังค์

นักศึกษาแพทย์ฝึกหัดคนเดิมโทรศัพท์มาปรึกษาข้าพเจ้าว่า “อาจารย์ คนไข้ฟิลลิปินส์เมื่อคืน ตอนเช้านี้ การเต้นของหัวใจเด็กผิดปกติ คือช้าลง อีกครั้งหนึ่งแล้ว (Deceleration) ”

ข้าพเจ้าถามว่า “หัวใจเด็กเต้นตอนที่มีปัญหา มีอัตราเท่าไหร่? และเต้นช้าลงกี่ครั้ง”

นักศึกษาแพทย์ตอบ “80 ครั้งต่อนาที ตอนเช้า มีการเต้นของหัวใจช้าลงเพียงครั้งเดียว”

ข้าพเจ้าถามว่า “คนไข้อายุเท่าไหร่?”  ความจริง ข้าพเจ้าน่าจะถามคำถามนี้เมื่อคืนที่ผ่านมา แต่เผอิญตอนนั้น ยังงัวเงียอยู่ จึงลืมถามไป

นักศึกษาแพทย์ตอบ “อายุ 15 ปี” ข้าพเจ้าร้องอุทานเสียงหลงว่า “โธ่เอ๋ย!! แล้วทำไม่ไม่บอกตั้งแต่แรก ” เหตุที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนั้น เพราะ เฉพาะอายุของคนท้องอย่างเดียว เราก็สามารถตัดสินใจผ่าตัดคลอดให้ได้แล้ว ในข้อบ่งชี้ Teenage pregnancy

ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าได้เห็นคุณมาเรีย เป็นครั้งแรก ตัวคนไข้ค่อนข้างใหญ่และสูง แต่หน้าท้องค่อนข้างเล็ก ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่า เด็กจะมีปัญหาหรือเปล่า บางที คุณมาเรียอาจมี ‘น้ำเดิน’ ตามที่เธอบอก พยาบาลห้องผ่าตัดเดินเข้ามาถามข้อบ่งชี้ขณะกำลังผ่าตัดอยู่ ข้าพเจ้าตอบว่า “สงสัย เป็นครรภ์เกินกำหนด (Postterrm) และมีน้ำเดิน (Premature rupture of membrane) รวมทั้งแม่มีอายุน้อย (Teenage pregnancy) ด้วย” 

ข้าพเจ้าลงมีดกรีดเป็นแผลขวางตามรอยตะเข็บกางเกง (Pfannenstiel incision) บริเวณท้องน้อยเพื่อความสวยงาม เพราะเห็นว่า เธอยังเป็นสาววัยรุ่น จากนั้น ก็ผ่าตัดเปิดเข้าไปในมดลูกส่วนล่าง เมื่อเอามือล้วงหัวเด็กเงยหน้าโผล่ขึ้นมาจากมดลูก เด็กขยับส่ายหน้าไปมา ข้าพเจ้าใช้ลูกยางแดงดูดน้ำคร่ำจากช่องปากและจมูกของเด็ก เมื่อเห็นว่า ทางเดินหายใจเด็กโล่งพอ ก็ใช้มือทั้งสองดึงตัวเด็กคลอดออกมา ข้าพเจ้าสังเกตว่า น้ำคร่ำในรายนี้มีค่อนข้างน้อย (Oligohydramnios) แต่..ไม่มีขี้เทาปะปน (Meconium stain) [ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึง ภาวะขาดอ๊อกซเจนในกระแสเลือดของทารกในครรภ์] นี่จึงเป็นการยืนยันว่า อัตราการเต้นของหัวใจลูกคุณมาเรียที่ตกวูบ 3 – 4 ครั้ง ที่ผ่านมา เป็นผลจากการถูกกดทับชั่วคราวของสายสะดือ (Variable deceleration) ไม่ใช่ทารกขาดอ๊อกซิเจนในครรภ์ ลูกคุณมาเรียืที่คลอดออกมา เป็นเพศชาย มีน้ำหนักแรกคลอด 1,990 กรัม คะแนนศักยภาพแรกคลอด เท่ากับ 10 และ 10 (คะแนนเต็ม = 10 ) ณ นาที ที่ 1 และ 5 ตามลำดับ นับว่า แข็งแรงสมบูรณืพอสมควร อย่างไรก็ตาม เด็กน้อยจะต้องถูกส่งไปที่ห้องความเสี่ยงของทารก (High risk room ) เพราะเด็กมีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่า 2,000 กรัม

ในรายนี้ ข้าพเจ้าถือว่า โชคดีมากๆ เพราะหากปล่อยเวลาผ่านไปให้เนิ่นนานกว่านี้ ทารกมีโอกาสเกิดภาวะขาดอ๊อกซิเจนจริงๆจากการที่สายสะดือถูกกดทับนานๆ ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกเสียชีวิต หรือพิการทางสมองในเวลาต่อมา การตัดสินใจผ่าตัดครั้งนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจเพียงแค่จะช่วยคนไข้เท่านั้น เพราะเห็นคนไข้มีอายุน้อย ส่วนภาวะน้ำคร่ำน้อย (Oligohydramnios) นั้น นักศึกษาแพทย์ได้พิสูจน์แล้ว แต่ให้ผลลบ ด้วยผลบุญจากความคิดดี ทำให้ข้าพเจ้าและคุณมาเรีย รวมทั้งลูกของเธอโชคดี ทุกคนมีความสุข ไม่ต้องมาคิดร้าย เคียดแค้นหรือฟ้องร้องต่อกันภายหลัง

 ไม่ว่า จะเป็นคุณมาเรีย ที่คลอดลูกปลอดภัยที่เมืองไทยทั้งแม่และลูก หรือคุณอรชุลี ที่ตั้งครรภ์จากการทำเด็กหลอดแก้วครั้งที่สอง  นั่นก็เป็นเพราะบุญเก่าที่เคยสั่งสมไว้ในอดีตชาติ ส่วนคนไข้ที่โรงพยาบาลเอกชนที่เป็นมะเร็งเยื่อบุมดลูก เธอก็อาจโชคดี ที่พบในระยะต้นๆขณะที่ยังไม่มีอาการ หากเวลาผ่านเลยเนิ่นนานกว่านี้ เธออาจไม่มีแม้กระทั่งโอกาสจะเข้ารับการผ่าตัดเอาตัวมดลูกออก เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังนี้ เป็นเพราะความโชคดี โดยแท้ สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านที่เป็นคนไข้และคนปกติ จงโชคดี ปลอดภัยจากสิ่งมีอันตรายทั้งปวง และหากพบประสบกับโรคภัยไข้เจ็บ ก็ไม่ต้องซีเรียส!!!!!! .ใจเย็น… ค่อยๆคิด ทุกอย่างมีทางออกเสมอ……

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.นพ.เสรี ธีรพงษ์ ผู้เขียน

วิบากกรรมของคนท้อง

วิบากกรรมของคนท้อง

คนเราเกิดมา ไม่มีใครหนีพ้นจากกรรมที่ตนเคยก่อไว้ได้ ไม่ว่า จะชาติไหนๆ! ใครเลยจะรู้ว่า เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามราวีเราอยู่ทุกขณะ โชคดี!! ที่หลายคนยังมีบุญเก่า คอยยับยั้งบรรเทา.. วันใดที่กรรมตามทัน ก็ย่อมทำให้คนนั้นทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรือประสบกับปัญหายุ่งยาก แต่..วันใดที่ชดใช้กรรมหมด คนผู้นั้นก็จะพบกับสันติสุข สำหรับคนท้อง นอกจากตนเองแล้ว ก็ยังมีลูกในท้องอีก ที่มาร่วมชะตากรรมในโลกมนุษย์ เด็กบางคนคลอดออกมามีรูปร่างพิกลพิการ บางคนมีปัญญาอ่อน และบางคนสิ้นสุดอายุขัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์…. .ใช่แล้ว!!  สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

หลายวันมานี้ ข้าพเจ้าเองก็พบกับวิบากกรรมไม่น้อย นอนหลับฝันร้าย จิตใจซวนเซ ไม่สงบนิ่ง จนต้องพึ่งบุญบารมีของท่านผู้รู้ ครูอาจารย์ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยเหลือ เชื่อหรือไม่!!!  ถึงแม้ข้าพเจ้าจะกำลังชดใช้กรรมอยู่ แต่ดูเหมือนว่า กำลังถูกมารทดสอบไปด้วย  ก่อนที่จะก้าวไปในเส้นทางธรรม…

วันก่อน ข้าพเจ้าอยู่เวรรับผิดชอบห้องคลอด วันนั้นเป็นวันอังคาร ตอนเช้า ไม่มีเหตุการณ์อะไรให้ต้องวิตก ทุกสิ่งดูราบรื่น คล้ายกับท้องทะเลที่ราบเรียบ  พอตกบ่าย ก็มีคนท้องรายหนึ่งถูกส่งมาจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้ป่วยรายนี้เป็นชาวเกาหลีเหนือ อายุ 29 ปี ไม่มีประวัติ  คนไข้พูดภาอังกฤษไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าตั้งครรภ์ที่เท่าไหร่ แต่ทราบคร่าวๆว่า เธอตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือน ข้าพเจ้าสอบถามจากพยาบาลห้องคลอดว่า  “มีปัญหาอะไรสำคัญ?”

พยาบาลคนนั้นบอกว่า “คนไข้มีปัญหาน้ำเดิน นักศึกษาแพทย์ได้พิสูจน์แล้ว พบว่า น้ำเดินจริง แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด”

ข้าพเจ้าพูดต่อว่า “คงต้องตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องให้คนไข้ก่อน เพื่อให้ได้อายุครรภ์ที่ใกล้เคียงความจริง” ผลปรากฏว่า ทารกในครรภ์อยู่ในท่าขวาง มีขนาดเทียบสัดส่วนเท่ากับอายุครรภ์ 32 สัปดาห์เศษ ซึ่งคำนวณน้ำหนักทารก ได้ประมาณ 1,700 กรัม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้ส่งคนไข้เข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพราะทารกขนาดเท่านี้ เขามีโอกาสรอดชีวิตในโลกภายนอกได้ ซึ่ง..หากปล่อยเวลาให้นานเนิ่นช้าเกินไป น้ำคร่ำก็จะไหลออกจากมดลูกจนหมด ทารกมีโอกาสถูกมดลูกบีบอัดให้ได้รับความลำบาก สุดท้ายอาจตายจากภาวะสายสะดือถูกดทับ   

ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าลงมีดบนผนังหน้าท้องเหนือหัวเหน่า กรีดแผลขวางตามรอยตะเข็บของกางเกงใน โดยหวังผลด้านสวยงาม เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอว่า ‘ท่านกลางความโชคร้าย ก็ยังมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตบ้าง’ ผ่าตัดไป ก็พูดเล่นกับผู้คนรอบข้างไป โดยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดไม่ถึง จู่ จู่ พอลงมีดกรีดเข้าถุงน้ำคร่ำ ที่คอมดลูกส่วนล่าง น้ำคร่ำก็ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว พอเปิดแผลบนตัวมดลูกส่วนล่างให้กว้างขึ้น ก็ต้องตกใจ เพราะทารกอยู่ท่าขวางและเอาแผ่นหลังหันลงด้นล่าง (Dorso-posterior)  ข้าพเจ้าแทบจะเป็นลม เพราะท่านี้ ทำให้ทำคลอดยาก ขณะนั้น มดลูกหดรัดตัวเข้ามาค่อนข้างเร็ว จนเหลือพื้นที่น้อยนิดที่จะล้วงเอาส่วนขาของเด็กได้ เมื่อเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงใช้เทคนิคสำคัญ คือ ใช้กรรไกรตัดขอบล่างของแผลผ่าตัดมดลูกส่วนล่าง บริเวณตรงกลางเป็นแนวตรงย้อนขึ้นไปในลักษณะตัว ที หัวกลับ ( Inverted T) จากนั้น  ก็ใช้มือล้วงเข้าไปในโพรงมดลูก ครั้งแรก ข้าพเจ้าคว้าเอาส่วนแขนของเด็กออกมา ข้าพเจ้าค่อยๆเอาส่วนแขนนั้นกลับเข้าไปในโพรงมดลูก และล้วงในทิศทางตรงข้าม คราวนี้ ข้าพเจ้าพบส่วนขาของเด็ก จึงค่อยๆดึงออกมา และทำคลอดทารกน้อยอย่างระมัดระวัง ทารกน้อยมีน้ำหนักตัว 1,800 กรัม ค่าคะแนนศักยภาพทารกแรกเกิดเท่ากับ 7 และ8 (จากคะแนนเต็ม 10) ณ เวลา 1 และ5 นาทีตามลำดับ

คุณแม่ปลอดภัย ไม่กี่วันก็ได้รับอนุญาตให้กลับได้ ส่วนทารกน้อยได้รับการช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยการใส่ท่อช่วยหายใจและส่งไปเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด ข้าพเจ้าเกือบจะผิดพลาดในเรื่องการทำผ่าตัดครั้งนี้ จนส่งผลให้ทารกน้อยได้รับอันตราย จากการบีบรัดตัวของมดลูกคนไข้ โชคดี!!! ที่มีประสบการณ์เก่าๆมาช่วยยามวิกฤติ จึงทำให้การผ่าตัดคลอด จบลงด้วยดี

คุณดวงสมร เป็นคนท้องอีกคนที่มีวิบากกรรม และมีมากกว่าคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือด้วย เพราะเธอสูญเสียบุตรตั้งแต่อยู่ในครรภ์ อายุของเธอเพิ่งย่าง 16 ปี ตอนนี้ เธอตั้งครรภ์ได้ 19 สัปดาห์ คุณดวงสมรมาตรวจตามนัด โดยหาทราบไม่ว่า ‘ลูกของเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว เพราะเธอยังไม่เคยรู้เลยว่า ลูกดิ้นเป็นยังไง?’ ข้าพเจ้าได้พบเธอครั้งแรกที่ห้องฝากครรภ์ในวันจันทร์ โดยการปรึกษาของพยาบาลว่า ‘เธอมีลูกตายในครรภ์’ ข้าพเจ้าได้สอบถามรายละเอียดของคนไข้จากสูติแพทย์ผู้ดูอัลตราซาวนด์ คุณหมอบอกว่า ‘ทารกเสียชีวิตมาหลายวันแล้ว และในโพรงมดลูกไม่ค่อยจะมีน้ำคร่ำสักเท่าไหร่?’

“ช่วยส่งคนไข้ไปหอผู้ป่วยชั้น 5 และเหน็บยา Cytotek (สารพรอสตาแกรนดิน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้ปากมดลูกนุ่มและมดลูกแข็งตัว) ทางช่องคลอด 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์ เพื่อเขียนคำสั่งการรักษา

 คุณดวงสมรถูกส่งตัวขึ้นไปยังหอผู้ป่วย 5 และได้รับการทำแท้งเพื่อการรักษาตั้งแต่นั้น พอถึงวันอังคาร ที่ข้าพเจ้าอยู่เวร ข้าพเจ้ามัวแต่สนใจคนไข้ที่อยู่ห้องคลอด จนลืมไปว่า ‘ยังมีคนไข้อีกคนที่มีปัญหารออยู่ที่หอผู้ป่วยชั้น 5’ พอตกเย็น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง นักศึกษาแพทย์ได้โทรศัพท์มาบอกว่า “คนไข้ที่ ward 5 แท้งออกมาแล้ว แต่รกค้างมานานประมาณ 1 ชั่วโมง”

“อย่างนั้น ก็ให้ส่งคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัด และset ขูดมดลูก” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์คนนั้น การที่รกยังคงค้างอยู่ในกรณีนี้ ก็เพราะคุณดวงสมรตั้งครรภ์เพียง 19 สัปดาห์ รกในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ มักฝังตัวแน่น ดุจรากไม้ของต้นไม้วัยสาวที่หยั่งลงลึก การลอกหลุดเองจึงยาก ถึงจะรอต่อไป รกก็คงไม่ลอกหลุดออกมา ดังนั้น เพื่อป้องกันการตกเลือด ข้าพเจ้าจึงต้องรีบขูดมดลูก การขูดมดลูกของคุณดวงสมรภายใต้การดมยาสลบ ถึงแม้ไม่ยากลำบาก แต่ปริมาณของชิ้นเนื้อรกมีจำนวนมาก ทำให้ต้องเสียเวลานาน คุณดวงสมรพักอยู่โรงพยาบาล 2 วัน ก็ขอกลับบ้าน โดยไม่มีปัญหาอะไร นอกจากความทุกข์ใจ ที่ยากจะอธิบาย

คุณวริษา ก็มีวิบากกรมไม่แพ้คุณดวงสมร เธอตั้งครรภ์ได้เพียง 12 สัปดาห์ แต่มีปัญหาเลือดออกกะปิดกะปรอยจากช่องคลอด หลายวันก่อนข้าพเจ้าได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้คุณวริษา ปรากฏว่า เป็น ‘ครรภ์ไข่ฝ่อ (Blighted ovum)’ ข้าพเจ้าได้ขูดมดลูกให้เธอไปในตอนบ่ายวันนั้น ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่า ‘ปากกมดลูกของเธฮเปิดน้อยมาก จึงต้องถ่างปากมดลูก ตอนแรกคิดว่า จะล้มเลิกการขูดแล้ว และนัดมาใหม่หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เพื่อให้ปากมดลูกเปิดเพิ่มขึ้น แต่พอดมยาสลบ ข้าพเจ้าก็สามารถถ่างปากมดลูกได้ประมาณเบอร์ 8 จึงตัดสินใจทำ’ การขูดมดลูกไม่ยากมาก ข้าพเจ้าไม่สามารถใช้เครื่องมือประเภทคีมปากยาว (Ovum forceps) เข้าไปในโพรงมดลูกได้ จึงใช้เพียงแต่แกนห่วงเหล็กเบอร์เล็ก (Curette) เข้าไปขูด เมื่อได้ชิ้นเนื้อพอสมควร และได้ยินเสียง (Uterine cry) ก็คิดว่า   ถุงการตั้งครรภ์และรกน่าถูกเอาออกจนหมดแล้ว’

คาดไม่ถึง!! วันต่อมาเวลาประมาณ 5 ทุ่ม คุณวริษาได้กลับโรงพยาบาลอีก ด้วยเรื่องตกเลือด สุดท้ายสูติแพทย์เวรต้องทำการขูดมดลูกซ้ำให้เมื่อเวลา 2 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ พร้อมกับให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีทางเส้นเลือดดำ  สูติแพทย์เวรได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าเมื่อวานนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และนั่งพิจารณาถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น  ก็พบว่า น่าจะเกิดจาก ปากมดลูกของคนไข้ยังแข็งอยู่ และเปิดน้อยมาก จนต้องใช้แกนเหล็ก (Hegar dilators) เข้าไปถ่างขยายในช่วงดมยา สมัยก่อน ข้าพเจ้าไม่เคยพบประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้เลย เพราะข้าพเจ้ามักนัดให้คนไข้มาตรวจอัลตราซาวนด์ซ้ำในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ปากมดลูกก็อ่อนนุ่ม รกเสื่อมสลายไปมากแล้วและกำลังจะลอกตัว เมื่อทำการขูดมดลูกจึงง่ายดาย สมบูรณ์ ปราศจากเศษรกค้าง (retained pieces of placenta)

สำหรับการปฏิบัติตัวของคนไข้หลังแท้งและหลังคลอด มีหลักคล้ายๆกัน ดังนี้

  • รักษาความสะอาด บริเวณปากช่องคลอด และสุขภาพอนามัยของร่างกายให้ดี
  • จำไว้ว่า  มดลูกจะเข้าสู่อุ้งเชิงกรานประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอด ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตในช่วงเวลาดังกล่าวว่า มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? เช่น มดลูกไม่เข้าอู่ (uterine involution) เป็นต้น   
  • ห้ามมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด หลังแท้ง ประมาณ 6 สัปดาห์ หรือรอจนกว่า จะมีระดู  
  • หมั่นสังเกต น้ำคาวปลาว่า มีสี  มีกลิ่นเหม็นแปลกๆหรือไม่ 

หากพบความผิดปกติใดๆ หรือสงสัย ควรปรึกษาสูติแพทย์

คุณดวงสมร คุรวริษา รวมทั้งคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือ ต่างก็มีวิบากกรรม ทำให้ต้องมาพบกับปัญหาลูกเสียชีวิตในครรภ์และลูกคลอดก่อนกำหนด สำหรับข้าพเจ้า ในช่วงนี้ ก็กำลังพบกับวิบากกรรมรุมเร้าเช่นกัน ทำให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากใจหลายประการ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังมีครูบาอาจารย์คอยช่วยเหลือ ทำให้กรรมเบาบางลงบ้าง

 เรื่องของกรรม เราทุกคนต้องชดใช้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง บางที ก็เป็นไปในลักษณะการสูญเสียสิ่งที่ตนรัก บางที ก็เป็นไปในลักษณะร่างกายเจ็บป่วย บางที ก็เป็นไปในลักษณะถูกฟ้อง หรือปองร้าย ใครจะเชื่อเรื่องกรรมหรือไม่ก็ตามที แต่..แน่นอน!! ในที่สุด ทุกคนก็ต้องชดใช้….

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ . เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

วิบากกรรมของคนท้อง

คนเราเกิดมา ไม่มีใครหนีพ้นจากกรรมที่ตนเคยก่อไว้ได้ ไม่ว่า จะชาติไหนๆ! ใครเลยจะรู้ว่า เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามราวีเราอยู่ทุกขณะ โชคดี!! ที่หลายคนยังมีบุญเก่า คอยยับยั้งบรรเทา.. วันใดที่กรรมตามทัน ก็ย่อมทำให้คนนั้นทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรือประสบกับปัญหายุ่งยาก แต่..วันใดที่ชดใช้กรรมหมด คนผู้นั้นก็จะพบกับสันติสุข สำหรับคนท้อง นอกจากตนเองแล้ว ก็ยังมีลูกในท้องอีก ที่มาร่วมชะตากรรมในโลกมนุษย์ เด็กบางคนคลอดออกมามีรูปร่างพิกลพิการ บางคนมีปัญญาอ่อน และบางคนสิ้นสุดอายุขัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์…. .ใช่แล้ว!!  สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

หลายวันมานี้ ข้าพเจ้าเองก็พบกับวิบากกรรมไม่น้อย นอนหลับฝันร้าย จิตใจซวนเซ ไม่สงบนิ่ง จนต้องพึ่งบุญบารมีของท่านผู้รู้ ครูอาจารย์ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยเหลือ เชื่อหรือไม่!!!  ถึงแม้ข้าพเจ้าจะกำลังชดใช้กรรมอยู่ แต่ดูเหมือนว่า กำลังถูกมารทดสอบไปด้วย  ก่อนที่จะก้าวไปในเส้นทางธรรม…

วันก่อน ข้าพเจ้าอยู่เวรรับผิดชอบห้องคลอด วันนั้นเป็นวันอังคาร ตอนเช้า ไม่มีเหตุการณ์อะไรให้ต้องวิตก ทุกสิ่งดูราบรื่น คล้ายกับท้องทะเลที่ราบเรียบ  พอตกบ่าย ก็มีคนท้องรายหนึ่งถูกส่งมาจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้ป่วยรายนี้เป็นชาวเกาหลีเหนือ อายุ 29 ปี ไม่มีประวัติ  คนไข้พูดภาอังกฤษไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าตั้งครรภ์ที่เท่าไหร่ แต่ทราบคร่าวๆว่า เธอตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือน ข้าพเจ้าสอบถามจากพยาบาลห้องคลอดว่า  “มีปัญหาอะไรสำคัญ?”

พยาบาลคนนั้นบอกว่า “คนไข้มีปัญหาน้ำเดิน นักศึกษาแพทย์ได้พิสูจน์แล้ว พบว่า น้ำเดินจริง แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด”

ข้าพเจ้าพูดต่อว่า “คงต้องตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องให้คนไข้ก่อน เพื่อให้ได้อายุครรภ์ที่ใกล้เคียงความจริง” ผลปรากฏว่า ทารกในครรภ์อยู่ในท่าขวาง มีขนาดเทียบสัดส่วนเท่ากับอายุครรภ์ 32 สัปดาห์เศษ ซึ่งคำนวณน้ำหนักทารก ได้ประมาณ 1,700 กรัม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้ส่งคนไข้เข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพราะทารกขนาดเท่านี้ เขามีโอกาสรอดชีวิตในโลกภายนอกได้ ซึ่ง..หากปล่อยเวลาให้นานเนิ่นช้าเกินไป น้ำคร่ำก็จะไหลออกจากมดลูกจนหมด ทารกมีโอกาสถูกมดลูกบีบอัดให้ได้รับความลำบาก สุดท้ายอาจตายจากภาวะสายสะดือถูกดทับ   

ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าลงมีดบนผนังหน้าท้องเหนือหัวเหน่า กรีดแผลขวางตามรอยตะเข็บของกางเกงใน โดยหวังผลด้านสวยงาม เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอว่า ‘ท่านกลางความโชคร้าย ก็ยังมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตบ้าง’ ผ่าตัดไป ก็พูดเล่นกับผู้คนรอบข้างไป โดยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดไม่ถึง จู่ จู่ พอลงมีดกรีดเข้าถุงน้ำคร่ำ ที่คอมดลูกส่วนล่าง น้ำคร่ำก็ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว พอเปิดแผลบนตัวมดลูกส่วนล่างให้กว้างขึ้น ก็ต้องตกใจ เพราะทารกอยู่ท่าขวางและเอาแผ่นหลังหันลงด้นล่าง (Dorso-posterior)  ข้าพเจ้าแทบจะเป็นลม เพราะท่านี้ ทำให้ทำคลอดยาก ขณะนั้น มดลูกหดรัดตัวเข้ามาค่อนข้างเร็ว จนเหลือพื้นที่น้อยนิดที่จะล้วงเอาส่วนขาของเด็กได้ เมื่อเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงใช้เทคนิคสำคัญ คือ ใช้กรรไกรตัดขอบล่างของแผลผ่าตัดมดลูกส่วนล่าง บริเวณตรงกลางเป็นแนวตรงย้อนขึ้นไปในลักษณะตัว ที หัวกลับ ( Inverted T) จากนั้น  ก็ใช้มือล้วงเข้าไปในโพรงมดลูก ครั้งแรก ข้าพเจ้าคว้าเอาส่วนแขนของเด็กออกมา ข้าพเจ้าค่อยๆเอาส่วนแขนนั้นกลับเข้าไปในโพรงมดลูก และล้วงในทิศทางตรงข้าม คราวนี้ ข้าพเจ้าพบส่วนขาของเด็ก จึงค่อยๆดึงออกมา และทำคลอดทารกน้อยอย่างระมัดระวัง ทารกน้อยมีน้ำหนักตัว 1,800 กรัม ค่าคะแนนศักยภาพทารกแรกเกิดเท่ากับ 7 และ8 (จากคะแนนเต็ม 10) ณ เวลา 1 และ5 นาทีตามลำดับ

คุณแม่ปลอดภัย ไม่กี่วันก็ได้รับอนุญาตให้กลับได้ ส่วนทารกน้อยได้รับการช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยการใส่ท่อช่วยหายใจและส่งไปเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด ข้าพเจ้าเกือบจะผิดพลาดในเรื่องการทำผ่าตัดครั้งนี้ จนส่งผลให้ทารกน้อยได้รับอันตราย จากการบีบรัดตัวของมดลูกคนไข้ โชคดี!!! ที่มีประสบการณ์เก่าๆมาช่วยยามวิกฤติ จึงทำให้การผ่าตัดคลอด จบลงด้วยดี

คุณดวงสมร เป็นคนท้องอีกคนที่มีวิบากกรรม และมีมากกว่าคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือด้วย เพราะเธอสูญเสียบุตรตั้งแต่อยู่ในครรภ์ อายุของเธอเพิ่งย่าง 16 ปี ตอนนี้ เธอตั้งครรภ์ได้ 19 สัปดาห์ คุณดวงสมรมาตรวจตามนัด โดยหาทราบไม่ว่า ‘ลูกของเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว เพราะเธอยังไม่เคยรู้เลยว่า ลูกดิ้นเป็นยังไง?’ ข้าพเจ้าได้พบเธอครั้งแรกที่ห้องฝากครรภ์ในวันจันทร์ โดยการปรึกษาของพยาบาลว่า ‘เธอมีลูกตายในครรภ์’ ข้าพเจ้าได้สอบถามรายละเอียดของคนไข้จากสูติแพทย์ผู้ดูอัลตราซาวนด์ คุณหมอบอกว่า ‘ทารกเสียชีวิตมาหลายวันแล้ว และในโพรงมดลูกไม่ค่อยจะมีน้ำคร่ำสักเท่าไหร่?’

“ช่วยส่งคนไข้ไปหอผู้ป่วยชั้น 5 และเหน็บยา Cytotek (สารพรอสตาแกรนดิน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้ปากมดลูกนุ่มและมดลูกแข็งตัว) ทางช่องคลอด 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์ เพื่อเขียนคำสั่งการรักษา

 คุณดวงสมรถูกส่งตัวขึ้นไปยังหอผู้ป่วย 5 และได้รับการทำแท้งเพื่อการรักษาตั้งแต่นั้น พอถึงวันอังคาร ที่ข้าพเจ้าอยู่เวร ข้าพเจ้ามัวแต่สนใจคนไข้ที่อยู่ห้องคลอด จนลืมไปว่า ‘ยังมีคนไข้อีกคนที่มีปัญหารออยู่ที่หอผู้ป่วยชั้น 5’ พอตกเย็น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง นักศึกษาแพทย์ได้โทรศัพท์มาบอกว่า “คนไข้ที่ ward 5 แท้งออกมาแล้ว แต่รกค้างมานานประมาณ 1 ชั่วโมง”

“อย่างนั้น ก็ให้ส่งคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัด และset ขูดมดลูก” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์คนนั้น การที่รกยังคงค้างอยู่ในกรณีนี้ ก็เพราะคุณดวงสมรตั้งครรภ์เพียง 19 สัปดาห์ รกในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ มักฝังตัวแน่น ดุจรากไม้ของต้นไม้วัยสาวที่หยั่งลงลึก การลอกหลุดเองจึงยาก ถึงจะรอต่อไป รกก็คงไม่ลอกหลุดออกมา ดังนั้น เพื่อป้องกันการตกเลือด ข้าพเจ้าจึงต้องรีบขูดมดลูก การขูดมดลูกของคุณดวงสมรภายใต้การดมยาสลบ ถึงแม้ไม่ยากลำบาก แต่ปริมาณของชิ้นเนื้อรกมีจำนวนมาก ทำให้ต้องเสียเวลานาน คุณดวงสมรพักอยู่โรงพยาบาล 2 วัน ก็ขอกลับบ้าน โดยไม่มีปัญหาอะไร นอกจากความทุกข์ใจ ที่ยากจะอธิบาย

คุณวริษา ก็มีวิบากกรมไม่แพ้คุณดวงสมร เธอตั้งครรภ์ได้เพียง 12 สัปดาห์ แต่มีปัญหาเลือดออกกะปิดกะปรอยจากช่องคลอด หลายวันก่อนข้าพเจ้าได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้คุณวริษา ปรากฏว่า เป็น ‘ครรภ์ไข่ฝ่อ (Blighted ovum)’ ข้าพเจ้าได้ขูดมดลูกให้เธอไปในตอนบ่ายวันนั้น ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่า ‘ปากกมดลูกของเธฮเปิดน้อยมาก จึงต้องถ่างปากมดลูก ตอนแรกคิดว่า จะล้มเลิกการขูดแล้ว และนัดมาใหม่หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เพื่อให้ปากมดลูกเปิดเพิ่มขึ้น แต่พอดมยาสลบ ข้าพเจ้าก็สามารถถ่างปากมดลูกได้ประมาณเบอร์ 8 จึงตัดสินใจทำ’ การขูดมดลูกไม่ยากมาก ข้าพเจ้าไม่สามารถใช้เครื่องมือประเภทคีมปากยาว (Ovum forceps) เข้าไปในโพรงมดลูกได้ จึงใช้เพียงแต่แกนห่วงเหล็กเบอร์เล็ก (Curette) เข้าไปขูด เมื่อได้ชิ้นเนื้อพอสมควร และได้ยินเสียง (Uterine cry) ก็คิดว่า   ถุงการตั้งครรภ์และรกน่าถูกเอาออกจนหมดแล้ว’

คาดไม่ถึง!! วันต่อมาเวลาประมาณ 5 ทุ่ม คุณวริษาได้กลับโรงพยาบาลอีก ด้วยเรื่องตกเลือด สุดท้ายสูติแพทย์เวรต้องทำการขูดมดลูกซ้ำให้เมื่อเวลา 2 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ พร้อมกับให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีทางเส้นเลือดดำ  สูติแพทย์เวรได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าเมื่อวานนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และนั่งพิจารณาถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น  ก็พบว่า น่าจะเกิดจาก ปากมดลูกของคนไข้ยังแข็งอยู่ และเปิดน้อยมาก จนต้องใช้แกนเหล็ก (Hegar dilators) เข้าไปถ่างขยายในช่วงดมยา สมัยก่อน ข้าพเจ้าไม่เคยพบประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้เลย เพราะข้าพเจ้ามักนัดให้คนไข้มาตรวจอัลตราซาวนด์ซ้ำในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ปากมดลูกก็อ่อนนุ่ม รกเสื่อมสลายไปมากแล้วและกำลังจะลอกตัว เมื่อทำการขูดมดลูกจึงง่ายดาย สมบูรณ์ ปราศจากเศษรกค้าง (retained pieces of placenta)

สำหรับการปฏิบัติตัวของคนไข้หลังแท้งและหลังคลอด มีหลักคล้ายๆกัน ดังนี้

  • รักษาความสะอาด บริเวณปากช่องคลอด และสุขภาพอนามัยของร่างกายให้ดี
  • จำไว้ว่า  มดลูกจะเข้าสู่อุ้งเชิงกรานประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอด ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตในช่วงเวลาดังกล่าวว่า มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? เช่น มดลูกไม่เข้าอู่ (uterine involution) เป็นต้น   
  • ห้ามมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด หลังแท้ง ประมาณ 6 สัปดาห์ หรือรอจนกว่า จะมีระดู  
  • หมั่นสังเกต น้ำคาวปลาว่า มีสี  มีกลิ่นเหม็นแปลกๆหรือไม่ 

หากพบความผิดปกติใดๆ หรือสงสัย ควรปรึกษาสูติแพทย์

คุณดวงสมร คุรวริษา รวมทั้งคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือ ต่างก็มีวิบากกรรม ทำให้ต้องมาพบกับปัญหาลูกเสียชีวิตในครรภ์และลูกคลอดก่อนกำหนด สำหรับข้าพเจ้า ในช่วงนี้ ก็กำลังพบกับวิบากกรรมรุมเร้าเช่นกัน ทำให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากใจหลายประการ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังมีครูบาอาจารย์คอยช่วยเหลือ ทำให้กรรมเบาบางลงบ้าง

 เรื่องของกรรม เราทุกคนต้องชดใช้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง บางที ก็เป็นไปในลักษณะการสูญเสียสิ่งที่ตนรัก บางที ก็เป็นไปในลักษณะร่างกายเจ็บป่วย บางที ก็เป็นไปในลักษณะถูกฟ้อง หรือปองร้าย ใครจะเชื่อเรื่องกรรมหรือไม่ก็ตามที แต่..แน่นอน!! ในที่สุด ทุกคนก็ต้องชดใช้….

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ . เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

วิบากกรรมของคนท้อง

คนเราเกิดมา ไม่มีใครหนีพ้นจากกรรมที่ตนเคยก่อไว้ได้ ไม่ว่า จะชาติไหนๆ! ใครเลยจะรู้ว่า เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามราวีเราอยู่ทุกขณะ โชคดี!! ที่หลายคนยังมีบุญเก่า คอยยับยั้งบรรเทา.. วันใดที่กรรมตามทัน ก็ย่อมทำให้คนนั้นทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรือประสบกับปัญหายุ่งยาก แต่..วันใดที่ชดใช้กรรมหมด คนผู้นั้นก็จะพบกับสันติสุข สำหรับคนท้อง นอกจากตนเองแล้ว ก็ยังมีลูกในท้องอีก ที่มาร่วมชะตากรรมในโลกมนุษย์ เด็กบางคนคลอดออกมามีรูปร่างพิกลพิการ บางคนมีปัญญาอ่อน และบางคนสิ้นสุดอายุขัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์…. .ใช่แล้ว!!  สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

หลายวันมานี้ ข้าพเจ้าเองก็พบกับวิบากกรรมไม่น้อย นอนหลับฝันร้าย จิตใจซวนเซ ไม่สงบนิ่ง จนต้องพึ่งบุญบารมีของท่านผู้รู้ ครูอาจารย์ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยเหลือ เชื่อหรือไม่!!!  ถึงแม้ข้าพเจ้าจะกำลังชดใช้กรรมอยู่ แต่ดูเหมือนว่า กำลังถูกมารทดสอบไปด้วย  ก่อนที่จะก้าวไปในเส้นทางธรรม…

วันก่อน ข้าพเจ้าอยู่เวรรับผิดชอบห้องคลอด วันนั้นเป็นวันอังคาร ตอนเช้า ไม่มีเหตุการณ์อะไรให้ต้องวิตก ทุกสิ่งดูราบรื่น คล้ายกับท้องทะเลที่ราบเรียบ  พอตกบ่าย ก็มีคนท้องรายหนึ่งถูกส่งมาจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้ป่วยรายนี้เป็นชาวเกาหลีเหนือ อายุ 29 ปี ไม่มีประวัติ  คนไข้พูดภาอังกฤษไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าตั้งครรภ์ที่เท่าไหร่ แต่ทราบคร่าวๆว่า เธอตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือน ข้าพเจ้าสอบถามจากพยาบาลห้องคลอดว่า  “มีปัญหาอะไรสำคัญ?”

พยาบาลคนนั้นบอกว่า “คนไข้มีปัญหาน้ำเดิน นักศึกษาแพทย์ได้พิสูจน์แล้ว พบว่า น้ำเดินจริง แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด”

ข้าพเจ้าพูดต่อว่า “คงต้องตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องให้คนไข้ก่อน เพื่อให้ได้อายุครรภ์ที่ใกล้เคียงความจริง” ผลปรากฏว่า ทารกในครรภ์อยู่ในท่าขวาง มีขนาดเทียบสัดส่วนเท่ากับอายุครรภ์ 32 สัปดาห์เศษ ซึ่งคำนวณน้ำหนักทารก ได้ประมาณ 1,700 กรัม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้ส่งคนไข้เข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพราะทารกขนาดเท่านี้ เขามีโอกาสรอดชีวิตในโลกภายนอกได้ ซึ่ง..หากปล่อยเวลาให้นานเนิ่นช้าเกินไป น้ำคร่ำก็จะไหลออกจากมดลูกจนหมด ทารกมีโอกาสถูกมดลูกบีบอัดให้ได้รับความลำบาก สุดท้ายอาจตายจากภาวะสายสะดือถูกดทับ   

ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าลงมีดบนผนังหน้าท้องเหนือหัวเหน่า กรีดแผลขวางตามรอยตะเข็บของกางเกงใน โดยหวังผลด้านสวยงาม เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอว่า ‘ท่านกลางความโชคร้าย ก็ยังมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตบ้าง’ ผ่าตัดไป ก็พูดเล่นกับผู้คนรอบข้างไป โดยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดไม่ถึง จู่ จู่ พอลงมีดกรีดเข้าถุงน้ำคร่ำ ที่คอมดลูกส่วนล่าง น้ำคร่ำก็ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว พอเปิดแผลบนตัวมดลูกส่วนล่างให้กว้างขึ้น ก็ต้องตกใจ เพราะทารกอยู่ท่าขวางและเอาแผ่นหลังหันลงด้นล่าง (Dorso-posterior)  ข้าพเจ้าแทบจะเป็นลม เพราะท่านี้ ทำให้ทำคลอดยาก ขณะนั้น มดลูกหดรัดตัวเข้ามาค่อนข้างเร็ว จนเหลือพื้นที่น้อยนิดที่จะล้วงเอาส่วนขาของเด็กได้ เมื่อเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงใช้เทคนิคสำคัญ คือ ใช้กรรไกรตัดขอบล่างของแผลผ่าตัดมดลูกส่วนล่าง บริเวณตรงกลางเป็นแนวตรงย้อนขึ้นไปในลักษณะตัว ที หัวกลับ ( Inverted T) จากนั้น  ก็ใช้มือล้วงเข้าไปในโพรงมดลูก ครั้งแรก ข้าพเจ้าคว้าเอาส่วนแขนของเด็กออกมา ข้าพเจ้าค่อยๆเอาส่วนแขนนั้นกลับเข้าไปในโพรงมดลูก และล้วงในทิศทางตรงข้าม คราวนี้ ข้าพเจ้าพบส่วนขาของเด็ก จึงค่อยๆดึงออกมา และทำคลอดทารกน้อยอย่างระมัดระวัง ทารกน้อยมีน้ำหนักตัว 1,800 กรัม ค่าคะแนนศักยภาพทารกแรกเกิดเท่ากับ 7 และ8 (จากคะแนนเต็ม 10) ณ เวลา 1 และ5 นาทีตามลำดับ

คุณแม่ปลอดภัย ไม่กี่วันก็ได้รับอนุญาตให้กลับได้ ส่วนทารกน้อยได้รับการช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยการใส่ท่อช่วยหายใจและส่งไปเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด ข้าพเจ้าเกือบจะผิดพลาดในเรื่องการทำผ่าตัดครั้งนี้ จนส่งผลให้ทารกน้อยได้รับอันตราย จากการบีบรัดตัวของมดลูกคนไข้ โชคดี!!! ที่มีประสบการณ์เก่าๆมาช่วยยามวิกฤติ จึงทำให้การผ่าตัดคลอด จบลงด้วยดี

คุณดวงสมร เป็นคนท้องอีกคนที่มีวิบากกรรม และมีมากกว่าคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือด้วย เพราะเธอสูญเสียบุตรตั้งแต่อยู่ในครรภ์ อายุของเธอเพิ่งย่าง 16 ปี ตอนนี้ เธอตั้งครรภ์ได้ 19 สัปดาห์ คุณดวงสมรมาตรวจตามนัด โดยหาทราบไม่ว่า ‘ลูกของเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว เพราะเธอยังไม่เคยรู้เลยว่า ลูกดิ้นเป็นยังไง?’ ข้าพเจ้าได้พบเธอครั้งแรกที่ห้องฝากครรภ์ในวันจันทร์ โดยการปรึกษาของพยาบาลว่า ‘เธอมีลูกตายในครรภ์’ ข้าพเจ้าได้สอบถามรายละเอียดของคนไข้จากสูติแพทย์ผู้ดูอัลตราซาวนด์ คุณหมอบอกว่า ‘ทารกเสียชีวิตมาหลายวันแล้ว และในโพรงมดลูกไม่ค่อยจะมีน้ำคร่ำสักเท่าไหร่?’

“ช่วยส่งคนไข้ไปหอผู้ป่วยชั้น 5 และเหน็บยา Cytotek (สารพรอสตาแกรนดิน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้ปากมดลูกนุ่มและมดลูกแข็งตัว) ทางช่องคลอด 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์ เพื่อเขียนคำสั่งการรักษา

 คุณดวงสมรถูกส่งตัวขึ้นไปยังหอผู้ป่วย 5 และได้รับการทำแท้งเพื่อการรักษาตั้งแต่นั้น พอถึงวันอังคาร ที่ข้าพเจ้าอยู่เวร ข้าพเจ้ามัวแต่สนใจคนไข้ที่อยู่ห้องคลอด จนลืมไปว่า ‘ยังมีคนไข้อีกคนที่มีปัญหารออยู่ที่หอผู้ป่วยชั้น 5’ พอตกเย็น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง นักศึกษาแพทย์ได้โทรศัพท์มาบอกว่า “คนไข้ที่ ward 5 แท้งออกมาแล้ว แต่รกค้างมานานประมาณ 1 ชั่วโมง”

“อย่างนั้น ก็ให้ส่งคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัด และset ขูดมดลูก” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์คนนั้น การที่รกยังคงค้างอยู่ในกรณีนี้ ก็เพราะคุณดวงสมรตั้งครรภ์เพียง 19 สัปดาห์ รกในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ มักฝังตัวแน่น ดุจรากไม้ของต้นไม้วัยสาวที่หยั่งลงลึก การลอกหลุดเองจึงยาก ถึงจะรอต่อไป รกก็คงไม่ลอกหลุดออกมา ดังนั้น เพื่อป้องกันการตกเลือด ข้าพเจ้าจึงต้องรีบขูดมดลูก การขูดมดลูกของคุณดวงสมรภายใต้การดมยาสลบ ถึงแม้ไม่ยากลำบาก แต่ปริมาณของชิ้นเนื้อรกมีจำนวนมาก ทำให้ต้องเสียเวลานาน คุณดวงสมรพักอยู่โรงพยาบาล 2 วัน ก็ขอกลับบ้าน โดยไม่มีปัญหาอะไร นอกจากความทุกข์ใจ ที่ยากจะอธิบาย

คุณวริษา ก็มีวิบากกรมไม่แพ้คุณดวงสมร เธอตั้งครรภ์ได้เพียง 12 สัปดาห์ แต่มีปัญหาเลือดออกกะปิดกะปรอยจากช่องคลอด หลายวันก่อนข้าพเจ้าได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้คุณวริษา ปรากฏว่า เป็น ‘ครรภ์ไข่ฝ่อ (Blighted ovum)’ ข้าพเจ้าได้ขูดมดลูกให้เธอไปในตอนบ่ายวันนั้น ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่า ‘ปากกมดลูกของเธฮเปิดน้อยมาก จึงต้องถ่างปากมดลูก ตอนแรกคิดว่า จะล้มเลิกการขูดแล้ว และนัดมาใหม่หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เพื่อให้ปากมดลูกเปิดเพิ่มขึ้น แต่พอดมยาสลบ ข้าพเจ้าก็สามารถถ่างปากมดลูกได้ประมาณเบอร์ 8 จึงตัดสินใจทำ’ การขูดมดลูกไม่ยากมาก ข้าพเจ้าไม่สามารถใช้เครื่องมือประเภทคีมปากยาว (Ovum forceps) เข้าไปในโพรงมดลูกได้ จึงใช้เพียงแต่แกนห่วงเหล็กเบอร์เล็ก (Curette) เข้าไปขูด เมื่อได้ชิ้นเนื้อพอสมควร และได้ยินเสียง (Uterine cry) ก็คิดว่า   ถุงการตั้งครรภ์และรกน่าถูกเอาออกจนหมดแล้ว’

คาดไม่ถึง!! วันต่อมาเวลาประมาณ 5 ทุ่ม คุณวริษาได้กลับโรงพยาบาลอีก ด้วยเรื่องตกเลือด สุดท้ายสูติแพทย์เวรต้องทำการขูดมดลูกซ้ำให้เมื่อเวลา 2 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ พร้อมกับให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีทางเส้นเลือดดำ  สูติแพทย์เวรได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าเมื่อวานนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และนั่งพิจารณาถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น  ก็พบว่า น่าจะเกิดจาก ปากมดลูกของคนไข้ยังแข็งอยู่ และเปิดน้อยมาก จนต้องใช้แกนเหล็ก (Hegar dilators) เข้าไปถ่างขยายในช่วงดมยา สมัยก่อน ข้าพเจ้าไม่เคยพบประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้เลย เพราะข้าพเจ้ามักนัดให้คนไข้มาตรวจอัลตราซาวนด์ซ้ำในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ปากมดลูกก็อ่อนนุ่ม รกเสื่อมสลายไปมากแล้วและกำลังจะลอกตัว เมื่อทำการขูดมดลูกจึงง่ายดาย สมบูรณ์ ปราศจากเศษรกค้าง (retained pieces of placenta)

สำหรับการปฏิบัติตัวของคนไข้หลังแท้งและหลังคลอด มีหลักคล้ายๆกัน ดังนี้

  • รักษาความสะอาด บริเวณปากช่องคลอด และสุขภาพอนามัยของร่างกายให้ดี
  • จำไว้ว่า  มดลูกจะเข้าสู่อุ้งเชิงกรานประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอด ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตในช่วงเวลาดังกล่าวว่า มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? เช่น มดลูกไม่เข้าอู่ (uterine involution) เป็นต้น   
  • ห้ามมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด หลังแท้ง ประมาณ 6 สัปดาห์ หรือรอจนกว่า จะมีระดู  
  • หมั่นสังเกต น้ำคาวปลาว่า มีสี  มีกลิ่นเหม็นแปลกๆหรือไม่ 

หากพบความผิดปกติใดๆ หรือสงสัย ควรปรึกษาสูติแพทย์

คุณดวงสมร คุรวริษา รวมทั้งคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือ ต่างก็มีวิบากกรรม ทำให้ต้องมาพบกับปัญหาลูกเสียชีวิตในครรภ์และลูกคลอดก่อนกำหนด สำหรับข้าพเจ้า ในช่วงนี้ ก็กำลังพบกับวิบากกรรมรุมเร้าเช่นกัน ทำให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากใจหลายประการ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังมีครูบาอาจารย์คอยช่วยเหลือ ทำให้กรรมเบาบางลงบ้าง

 เรื่องของกรรม เราทุกคนต้องชดใช้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง บางที ก็เป็นไปในลักษณะการสูญเสียสิ่งที่ตนรัก บางที ก็เป็นไปในลักษณะร่างกายเจ็บป่วย บางที ก็เป็นไปในลักษณะถูกฟ้อง หรือปองร้าย ใครจะเชื่อเรื่องกรรมหรือไม่ก็ตามที แต่..แน่นอน!! ในที่สุด ทุกคนก็ต้องชดใช้….

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ . เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

มือถือในถังขยะ

มือถือในถังขยะ

ไม่กี่วันก่อน ข้าพเจ้าได้ไปซื้อของกินที่ร้าน เซเว่น อีเลเว่น บริเวณชั้นไต้ดิน ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จากนั้น ก็ขึ้นลิ๊ฟไปออกตรวจคนไข้สูตินรีเวช ที่ชั้นสองของโรงพยาบาลฯ  ตอนนั้น ข้าพเจ้า เดินพลางก็โทรศัพท์ด้วยมือถือเครื่องหนึ่งไปด้วย.. แต่พอไปถึงห้องตรวจ ข้าพเจ้าสังเกตว่า มือถือข้าพเจ้าอีกเครื่องหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในกระเป๋ามือถือเสียแล้ว แต่..ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจ จวบจนเช้าวันใหม่..ข้าพเจ้าจำเป็นต้องใช้มือถือเครื่องนั้น ข้าพเจ้าพยายามเสาะหา โดยการโทรฯเข้ามือถือหลายครั้ง เวลาเข้าไปในรถ หรือในห้องพัก แต่ก็ไม่ได้ยินเสียง ..เมื่อเดินทางมาถึง โรงพยาบาลตำรวจ ข้าพเจ้าได้โทรฯกลับไปที่ห้องคลอด โรงพยาบาลเอกชนนั้น แจ้งกับพยาบาล ให้ช่วยไปหามือถือในห้องพัก เจ้าหน้าที่พยาบาลหายังไง ก็ไม่พบ..ข้าพเจ้าหมดปัญญา และคิดว่า มือถือเครื่องนั้น ได้อันตระธานหายไปแล้ว  อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ามีความหวังเล็กๆว่า คงจะได้พบสักวันหนึ่ง จึงไม่ได้โทรไปยังศูนย์ เพื่อระงับสัญญาณการทำงานของมือถือ…

ราวๆ 9 นาฬิกาเช้าวันนั้น.. ภรรยา ข้าพเจ้าได้โทรฯมาเข้ามือถือหลักของข้าพเจ้า และบอกว่า ‘ข้าพเจ้าลืมมือถือเครื่องหนึ่งไว้ในถังขยะ ที่ชั้นไต้ดิน ของโรงพยาบาลเอกชน (ขอสงวนนาม)’ พลัน!!! ข้าพเจ้าก็รำลึกขึ้นได้ และจินตนาการออกมาว่า ‘พอไปซื้อขนมที่ร้านเซเว่น อีเลเวน ข้าพเจ้าก็เอามือถือใส่เข้าไปในถุงใส่ของ เมื่อรับประทานขนมหมด ก็ทิ้งถุงใส่ของ โดยไม่ได้มองว่า มีมือถืออีกเครื่องหนึ่ง อยู่ในถุงนั้น’ ข้าพเจ้าโทรฯเข้ามือถือเครื่องนั้น หลายครั้ง ก็ไม่มีคนรับสาย ก็เพราะไม่มีคนไปค้นที่ถังขยะ.. ต่อมา ภรรยาข้าพเจ้าโทรเข้าไปยังมือถือนั้นบ้าง.. เผอิญ!! แม่บ้าน ที่ทำความสะอาด ได้ยินเสียงโทรศัพท์ ดังมาจากถังขยะ เธอจึงไปได้ลื้อค้นเศษขยะดู  และรับสายโทรศัพท์… เราจึงได้รู้ว่า มือถือเครื่องนั้น อยู่ในถังขยะ..

เรื่องการลืมมือถือไว้ในถุงใส่ของ และลงไปนอนยังก้นถังขยะนั้น  สอนให้รู้ว่า หากเราไม่ใส่ใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ในที่สุด เรื่องราวนั้น มันก็จะเลือนหายไป ดุจขยะที่เราทิ้ง

ราว 1 เดือนที่ผ่านมา มีคนท้องแฝดสาม รายหนึ่ง ชื่อ คุณสุนีย์ อายุ 42 ปี มาคลอดที่โรงพยาบาลตำรวจ..เธอมีประวัติเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก ด้วยการหยอดตัวอ่อน ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เมื่อ 2 เดือนก่อน ผลคือ ตั้งครรภ์แฝดสาม (Triplet)..  คุณสุนีย์ ได้รับคำอธิบายจากคุณหมอที่นั่นว่า ‘ลูกแฝดทั้งสามของเธอมีโอกาสสูงมาก ที่จะคลอดก่อนกำหนด ซึ่ง..ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลเอกชนนั้น ย่อมสูงมาก เธอจึงควรจะไปฝากครรภ์ ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะสามีเป็นตำรวจ’ ดังนั้น คุณสุนีย์จึงตัดสินใจมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่ 12 สัปดาห์.. ตอนนั้น สูติแพทย์ที่รับฝากครรภ์ ได้แนะนำให้คุณสุนีย์เจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis) แต่..ก็แนะนำเรื่องการเจาะเลือดแม่ เพื่อส่งหาโครโมโซมลูก (Nifty’s test หรือ Non-Invasive Prenatal Test) ไปด้วย  คุณสุนีย์และสามีเลือกวิธี Nifty’s test ..ไม่เลือกวิธีเจาะน้ำคร่ำ  ผลคือ ทารกทั้งสาม ไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะโครโมโซมผิดปกติ ในคู่ที่ 13,18,21

คุณสุนีย์ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และได้รับการเจาะเลือด (Nifty’s test) ตอนอายุครรภ์ 15 สัปดาห์  หลังจากนั้น คุณสุนีย์ก็มาตามนัดทุกครั้ง คือ ทุก 4 สัปดาห์ จนอายุครรภ์ได้ 32 สัปดาห์.. ระหว่างนั้น คุณหมอสูติ ที่รับฝากครรภ์ ได้ตรวจติดตามเรื่องความพิการของทารกทั้งสาม หลายครั้ง จนมั่นใจว่า ทารกทั้งสามสมบูรณ์แข็งแรงดี มีรกแยกจากกันโดยสิ้นเชิง และความพิการแต่กำเนิด ก็ไม่มี

คุณสุนีย์ได้รับการผ่าตัดคลอด หลังจากเจ็บครรภ์เข้ามาโรงพยาบาลตำรวจในเช้าวันหนึ่ง ขณะอายุครรภ์ได้ 32 สัปดาห์ 6 วัน ทารกคนแรกเป็นเพศ หญิง หนัก 1700 กรัม, คนที่สองเป็นเพศหญิงหนัก 1552 กรัม คนที่ สามเป็นเพศชาย 1960 กรัม ฝาแฝดทุกคน มีคะแนนศักยภาพแรกคลอด 9, 10, 10 จากคะแนนเต็ม 10 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น ทารกทุกคนถูกส่งตัวไปยัง ห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด และต่อมา ก็ทะยอยส่งกลับมาที่ห้องความเสี่ยง และห้องเด็กอ่อนปกติ… หลังจากนั้น ไม่กี่วัน..    คุณสุนีย์ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านหลังคลอดในเวลาไม่นานนัก.. ส่วนลูกๆทั้งสาม ก็ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี และจะได้รับอนุญาติให้กลับบ้านได้ เมื่อมีน้ำหนักตัว ประมาณ 2500 กรัม

ถัดจากนั้นมาอีก 2 สัปดาห์.. ก็มีคนไข้น่าสนใจอีกราย ชื่อ คุณนันทภัส  อายุ 26 ปี มาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอกชน (ขอสงวนนาม) ที่ข้าพเจ้าทำงาน เธอบอกว่า ‘ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง มาประมาณ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา และตรวจการตั้งครรภ์ แล้วให้ผลบวก’

น่าแปลกใจ! ที่..พอข้าพเจ้าเห็นเธอ  เธอกลับมีอาการแสดงออกมา เสมือนว่า ‘ไม่เจ็บปวดเลย’ ซึ่ง..ความเจ็บปวดที่เพิ่งผ่านมา..อันทำให้เธอจดจำ และนำมาบอกเจ้าหน้าที่พยาบาลว่า ‘เจ็บปวดมาก คิดเป็นคะแนนความเจ็บปวด ก็มากถึง คะแนน 8 เต็ม 10’นั้น ทำให้ ข้าพเจ้าต้องนำมาคิด พิจารณาว่า ‘เป็นกรณี ท้องนอกมดลูก..ที่จำต้องผ่าตัดฉุกเฉินหรือไม่??’..ข้าพเจ้าได้ตรวจภายในและดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้กับเธอ ผลปรากฏว่า ‘ภายในช่องคลอด ไม่มีเลือด, ภายในโพรงมดลูก ไม่มีถุงการตั้งครรภ์ (Gestational sac) มีเพียงเยื่อบุโพรงมดลูกหนาประมาณ 10 มิลลิเเมตร, ข้าพเจ้าโยกปากมดลูกและเอามือกดด้านข้างของปากมดลูก.. ก็มีลักษณะตึงๆด้านขวาเล็กน้อย คนไข้ไม่ค่อยเจ็บเท่าที่เราคาด แต่..มีของเหลวจำนวนหนึ่ง อยู่ในส่วนต่ำสุดของอุ้งเชิงกราน[น่าจะเป็นเลือด]’ จากการตรวจปัสสาวะ พบว่า เธอตั้งครรภ์.. ข้าพเจ้าได้สั่งเจาะเลือดหาค่าการตั้งครรภ์ (beta HCG) ของเธอ ก็ได้ค่า เท่ากับ 1173 หน่วย..ซึ่งโดยปกติ ค่าการตั้งครรภ์ที่มากกว่า 3000 หน่วย เราจะสามารถมอเห็นถุงการตั้งครรภ์ (Gestational sac), ได้ .. ในรายนี้ ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่า เธอจะเป็น ท้องนอกมดลูก ชนิดที่เรียกว่า Tubal abortion  ..เพราะมองไม่เห็นถุงการตั้งครรภ์

Tubal abortion  คืออะไร Tubal abortion  คือ การแท้งของก้อนการตั้งครรภ์ (Conceptive product) โดยที่มันหลุดออกจากท่อนำไข่ ทั้งหมด และ เข้าไปนอนอยู่ในช่องท้อง ..ซึ่งตำแหน่งที่ ก้อนการตั้งครรภ์ เกาะติดภายในท่อนำไข่เดิมนั้น ย่อมจะมีเลือดออก.. หยดเข้าไปในช่องท้อง.. มากบ้าง…น้อยบ้าง…หยุดเองได้บ้าง..หรือไหลรินตลอดเวลา..

กรณีของคุณนันทภัส  ก็เช่นกัน.. คนไข้มีอาการปวดท้องน้อย…ลดลงอย่างมาก ที่ห้องฉุกเฉิน..จนข้าพเจ้าไม่แน่ใจ ในการวินิจฉัย..เพราะตรวจภายใน คนไข้ ไม่ค่อยเจ็บเวลาโยกปากมดลูก..ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เธอปวดท้องน้อยแทบตาย.. ข้าพเจ้าถามถึง การกินอาหารครั้งสุดท้ายว่า ‘นานเท่าไหร่แล้ว’ คนไข้ตอบว่า ‘5 โมงเย็น’ ข้าพเจ้าคิดคำนวณ ว่า ‘การผ่าตัดใดๆ ในตอนกลางคืนแบบฉุกเฉินสำหรับรายนี้นั้น อาจไม่จำเป็น ’ จึงบอกกับคุณนันทภัส  และสามีว่า ‘ขอสังเกคอาการและอาการแสดง ไปก่อน.. ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น.. จะเจาะเลือดตรวจค่าการตั้งครรภ์ ซ้ำ .. หากยังสูง และคนไข้ยังปวดท้อง ก็จะเจาะช่องท้องเข้าไปดูภายใน ว่า เป็นอะไรแน่’ คืนนั้น..ทั้งคืน คุณนันทภัส  นอนหลับได้

9 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ คนไข้ได้รับการเจาะเลือด เพื่อหาค่า Beta HCG  ซึ่งระยะเวลาของการตรวจ ห่างจากเดิม 12 ชั่วโมง ผลคือ ได้ 1033 หน่วย…ค่าลดลงจากเดิมเพียงเล็กน้อย ทำให้ข้าพเจ้า ไม่แน่ใจว่า เธอเป็นอะไรกันแน่ ระหว่าง…ท้องนอกมดลูก ในท่อนำไข่ (Tubal pregnancy) ..หรือท้องนอกมดลูก ที่แท้งเข้าไปใน ช่องท้อง (Tubal abortion)

ในสภาพการณ์ เช่นนี้ วิธีการดีที่สุด ทางการแพทย์  เพื่อให้ทราบการวินิจฉัยโรคว่า เป็นท้องนอกมดลูกหรือไม่ คือ การเจาะท้องส่องกล้องเข้าไปดู (Laparoscopy) ..เพราะการปล่อยให้คนไข้กลับบ้านไปโดยไม่แน่ใจในสภาพภายในช่องท้องของคนไข้ ..คนไข้อาจได้รับอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต..กรณีของคุณนันทภัส..ก็เช่นกัน เธอน่าจะเป็นท้องนอกมดลูก แต่..ตำแหน่งที่ก้อนเลือดอุดอยู่ภายในท่อนำไข่..มันหยุดแน่นิ่งหรือยัง??..เลือดอาจจะออกซ้ำได้อีก (Repeated bleeding)..จากท่อนำไข่ บริเวณที่ตัวอ่อนเคยเกาะหรือกำลังเกาะอยู่

จากการเจาะท้องส่องกล้อง ผลปรากฏว่า มีเลือดในช่องท้อง กองอยู่ที่ อุ้งเชิงกรานส่วนต่ำสุด ประมาณ 300 มิลลิลิตร (ซีซี) ..ปีกมดลูกด้านขวา..บวมแดงบริเวณใกล้ปลายปากแตร (Fimbrial end) ..แต่เลือดที่หยดจากปลายท่อนำไข่..หยุดแล้ว.. ข้าพเจ้าได้ใช้เครื่องมือ บีบท่อนำไข่ (milking) ..ไล่เรียงจากต้นจนถึงปลายปากแตรของท่อนำไข่ (Milking from proximal to fimbrial end) ก็ไม่มีเลือดไหลออกมาอีก ดังนั้น การผ่าตัด จึงสิ้นสุดเพียงเท่านี้ ไม่ต้องตัดท่อนำไข่ทิ้ง…คุณนันทภัส  ลุกขึ้นจิบน้ำได้หลังจากเจาะท้องส่องกล้องไม่ถึง ๖ ชั่วโมง และกลับบ้านในวันถัดไป

เรื่องราว ทั้งสองเรื่องข้างต้น น่าสนใจมาก..โดยเฉพาะ คนท้องแฝดสาม (Triplet) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและควรนำมาเผยแพร่..แต่..ข้าพเจ้า ไม่ใส่ใจ..กลับปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป จนจำรายละเอียดได้น้อยมาก ..ยังดี..ที่กรณี ท้องนอกมดลูก ที่ก้อนการตั้งครรภ์หลุดเข้าไปในช่องท้อง (Tubal abortion).. เวลาล่วงเลย ไปไม่นานมากนัก.. ข้าพเจ้ายังพอจำได้บ้าง..จึงสามารถนำมาปะติดปะต่อ เขียนเล่าสู่กันอ่านได้บ้าง..มิฉะนั้น ก็จะลืมเลือนไปอย่างสนิท.. เหมือนกับที่ข้าพเจ้าลืมมือถือไว้ในถังขยะ  นั่นเอง..

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ  นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

อิ่มบุญ

อิ่มบุญ

การทำบุญ หรือ ‘ทำทาน’ ที่ชาวบ้านเรียกนั้น จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า พบว่า มันส่งผลให้วาสนาชะตาชีวิตมนุษย์ดีขึ้นจริงๆ.. ข้าพเจ้าชอบบอกให้คนไข้หลายคนทำบุญให้ทาน และสวดมนต์บ่อยๆ.. ผลก็คือ คนไข้ที่มีบุตรยากเหล่านั้น ตั้งครรภ์จำนวนมากมาย ..ความเชื่อความศรัทธาของเราต่อคุณความดีนั้น ไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน…

ปกติ! ตอนเช้ามืดของทุกวัน ข้าพเจ้าชอบไปทำบุญที่ร้านขายอาหารปลีกแห่งหนึ่ง ซึ่งจำหน่ายอาหารใส่ถุงพลาสติก..ณ บริเวณตลาดสดพัฒนาการ.. ข้าพเจ้าทำทานด้วยเงินจำนวนเล็กน้อย เพียงแค่ร้อยบาท ก็ได้ชุดทำบุญถึง 2 ชุด ชุดหนึ่งประกอบด้วย ข้าวหุง 1 ถุง และกับข้าว 3 ถุง พร้อมกับน้ำเปล่า อีก 1 แก้ว….ร้านค้าแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ห้องแถวใกล้ปากซอยทางเข้าของตลาดพัฒนาการ.. มีอยู่วันหนึ่ง.. เจ้าของร้านผัวเมีย ได้บอกบุญกับข้าพเจ้าว่า ‘คุณหมอจะปล่อยปลาไหม?’ ตอนแรก ข้าพเจ้าคิดว่า ‘เจ้าของร้านคงหาซื้อปลาชนิดต่างๆจากที่อื่น มาให้ลูกค้านำไปปล่อยตามแม่น้ำลำคลอง’   แต่..ข้าพเจ้าเข้าใจผิด

ที่ไหนได้! ปลาเหล่านั้น เป็นปลาที่ต่างพากันหนีตายจากร้านขายปลานิลในตลาดคลองเตย..  เจ้าของร้านค้า เล่าว่า  ตอนดึกราวๆห้าทุ่มเที่ยงคืน พวกเขาจะเดินทางไปซื้อของที่ตลาดคลองเตยเพื่อมาขาย แต่ก็มักพบปลาดุก ปลาไหล หลุดออกมาจากตาข่ายรูกว้างของรถขนส่งปลานิล ที่เขานำมาขายส่งที่ตลาดคลองเตย พวกมันหลุดออกจากถุงอวนตาข่ายช่องกว้าง ลงไปตามถนน เกลื่อนพื้น คราวละ  5 – 10 ตัว ปลาเหล่านี้พยายามดิ้นรนคืบคลานไปหาพื้นที่ ที่เปียกน้ำหรือท้องร่อง…พวกคนขายที่นำปลานิลใส่ถุงอวนมาส่งนั้น ไม่สนใจปลาที่หล่นออกมาพวกนี้หรอก เพราะเวลาของพวกเขา มีน้อย พอส่งปลาให้ร้านค้าเสร็จ ก็รีบออกรถไป.. ปล่อยให้ปลาเหล่านี้ นอนแห้งตาย…ชาวบ้านแถวนั้น เห็นเข้า ก็จับพวกมันไปทำอาหาร.. แต่.. เจ้าของร้านคู่นี้ ไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาจับพวกมันขึ้นมาใส่ในกล่องโฟมที่มีน้ำหล่อเลี้ยง….. เจ้าของร้านผู้ใจบุญคู่นี้ พร้อมบุตรชาย จะเอาปลาพวกนี้ ไปปล่อย ที่วัดใกล้ๆตลาดพัฒนาการ ตอนสายๆของทุกวัน..

เนื่องจาก เจ้าของร้านค้าคู่นี้ เขาอยากให้ข้าพเจ้าได้รับอานิสงค์จากการปล่อยสัตว์ไปด้วย จึงได้บอกบุญกับข้าพเจ้าในวันหนึ่ง.. ครั้งแรกๆ ข้าพเจ้าได้พยายามเอ่ยปากขอบริจาคเงินสมทบไปทำบุญที่วัด อีกจำนวนหนึ่ง แต่..เจ้าของร้านไม่ยอม พวกเขาเพียงขอให้ข้าพเจ้าจ่ายเงิน เพียงแค่ 9 บาท เพื่อเป็นเคล็ดในการซื้อชีวิตสัตว์.. แล้วก็ให้ข้าพเจ้ายกกล่องโฟมที่มีปลาอยู่.. ขึ้นจกอธิษฐานในส่วนกุศลของการปล่อยสัตว์เดนตาย.. หลังจากได้ทำบุญปล่อยปลาเหล่านี้แล้ว.. ข้าพเจ้าจะรู้สึกอิ่มบุญไปตลอดทั้งวัน ..ปลาเหล่านี้ ประกอบด้วย ปลาดุก เล็กใหญ่ ปลาไหล ปลาหมอ ปลาช่อน…

มีอยู่เช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มีโอกาสปล่อยปลาดุกตั้งท้อง ด้วย 1 ตัว.. ซึ่งผลบุญนี้ ส่งผลให้คนไข้มีบุตรยากคนหนึ่ง ตั้งครรภ์ขึ้นมาจากการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งข้าพเจ้าหยอดตัวอ่อนเข้าไป 2 ตัว  ณ วันที่ปล่อยปลาดุกท้องนั้น….ด้วยวิธีการนี้ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกอิ่มบุญที่ได้รับ อย่างบอกไม่ถูก.. มันอิ่มเอิบใจ มากกว่าเงินมากมายที่ข้าพเจ้านำไปถวายตามวัดวาอารามต่างๆเสียอีก….ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณด้วยใจจริงต่อเจ้าของร้านค้าใจบุญทั้งสอง และบุตรชายของเขา.. ที่ทำให้ข้าพเจ้ามีส่วนร่วมในกุศลของการปล่อยชีวิตสัตว์เหล่านี้..

คุณลักขณา คือ คนไข้มีบุตรยาก ที่ได้กล่าวมาข้างต้น เธออายุ 37 ปี  แต่งงานมา 3 ปี เธอเข้ามารับรักษาภาวะมีบุตรยากกับข้าพเจ้า เมื่อ 2 ปีก่อน และตั้งครรภ์ครั้งแรกด้วยการฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก.. พออายุครรภ์ได้ 8 สัปดาห์ ก็แท้งบุตร เนื่องจากไม่มีตัวเด็กในถุงน้ำคร่ำ (no fetal echo) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ครรภ์ไข่ฝ่อ [Bloighted ovum]’    ต่อมา คุณลักขณาได้เข้ารับการขูดมดลูก ที่โรงพยาบาลในเครือประกันสังคม..

ต้นปีนี้ หลังจากแท้งบุตรได้ ครึ่งปี… คุณลักขณาและสามี ก็ปรึกษากันว่า น่าจะทำเด็กหลอดแก้ว ..การเตรียมตัวเพื่อทำเด็กหลอดแก้วนั้น.. ยังจำได้!! คุณลักขณาได้รับการกระตุ้นไข่โดยใช้สูตร Long protocol ..  ผล คือ ได้ไข่จำนวนมากมายปรากฏขึ้นที่รังไข่ทั้งสองข้าง ประมาณการว่า มีมากกว่า 20 ใบ.. โดยมีผลเลือด Estradiol (เอสโตรเจน) =  18,000 mIU/ml  Progesterone = 3.8  ในวันที่เจาะไข่…การที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนขึ้นอย่างมากมายตอนนั้น ข้าพเจ้ามีทางเลือกในการตัดสินใจได้ 2 ทาง คือ ยกเลิกการเจาะไข่  หรือ ไม่ก็ เจาะไข่ แล้วแช่แข็งตัวอ่อน โดยเฝ้าระวังภาวะรังไข่ถูกกระต้นมากเกินไป (Hyperstimulation syndrome) ของคุณลักขณา เพราะยังไงๆก็ต้องเกิดแน่ เพราะค่า Estradiol > 4000 mIU/ml ซึ่งอันตรายที่น่ากลัวของภาวะแทรกซ้อนนี้ ก็คือ น้ำท่วมปอด (Pleural effusion),ภาวะหัวใจวาย (Heart failure) และภาวะหายใจล้มเหลว (Respiratory failure)  หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต..ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจ ฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก แต่ใช้ยา ในขนาดต่ำ (Ovidel 1 หลอด [เดิม วางแผนให้ 2 หลอด])

วันนั้น ข้าพเจ้าเจาะไข่ให้กับคุณลักขณา ได้ 19 ใบ และนำไปเข้าสู่กระบวนการทำกรรมวิธี ‘อิ๊กซี่’ ผลคือ ได้ตัวอ่อน 12 ตัว ซึ่ง นับว่า มากทีเดียว ข้าพเจ้าขอให้ทางโรงพยาบาลฯแช่แข็งตัวอ่อนทั้งหมด ในระยะฝังตัว (Blastocyst) [คือ วันที่ 5 ของตัวอ่อน] เนื่องจาก หากหยอดตัวอ่อนเข้าไปในรอบเดือนนั้น แล้วคนไข้เกิดตั้งครรภ์ขึ้น..คุณลักขณาจะต้องเกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไปอย่างแน่นอนและรุนแรง อันตรายต่อชีวิต

สรุปว่า เดือนที่ข้าพเจ้าเจาะไข่ให้กับคุณลักขณา ..ตัวอ่อนทั้งหมด ถูกนำไปแช่แข็ง (Freezing) ซึ่งปัจจุบัน การแช่แข็งตัวอ่อนมนุษย์ เราจะแช่แข็งได้ ๒ ระยะ คือ ในระยะฝังตัว (Bastocyst) และระยะตัวอ่อนวันแรก (Pronuclei stage)….แต่นิยทม ระยะฝังตัวมากกว่า.. นอกจากนั้น คุณลักขณาและสามียังได้รับการแนะนำให้ทำ PGD (Preimplantation genetic diagnosis) เพื่อตรวจดูโครโมโซมของตัวอ่อนก่อนแช่แข็งด้วย….ซึ่งทั้งสองสามีภรรยาตกลงยินยอมทำตามนั้น เพราะกลัวลูกจะมีภาวะปัญญาอ่อน ที่มีโครโมโซมผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการเจริญผิดปกติ (Trisomy 13,18,21) ของโครโมโซมคู่ที่ 13,18, และ 21 ในระหว่างแบ่งตัว ผลคือ มีตัวอ่อนที่มีโครโมโซมผิดปกติ 5 ตัว และตัวอ่อนปกติ 7 ตัว

ในเดือนถัดมา ข้าพเจ้าได้หยอดตัวอ่อน (Blastocyst transfer) ให้กับ คุณลักขณา 2 ตัว ผลคือ ‘ไม่ท้อง’ ..เดือนถัดมา ..ก็วางแผนจะหยอดตัวอ่อนอีก เช่นกัน ..โดยตรวจอัลตราซาวนด์จากช่องคลอด เพื่อหาวันไข่ตกในวันที่คุณลักขณา มีระดูจากวันแรก 12 วัน.. ในเดือนดังกล่าวคุณลักขณามี ‘ไข่ตก’ ช้ากว่ากำหนดปกติ ไป 6 วัน ..วันที่ไข่ตก ..เราจะไม่นับมาคำนวณการละลายตัวอ่อน ..จากนั้น เราก็นับไปอีก 5 วัน และละลายตัวอ่อน (Blastocyst) ณ วันดังกล่าว  

ในวันนั้น ข้าพเจ้า นึกถึงบุญของการปล่อยปลาดุกท้อง และก็หยอดตัวอ่อนอย่างระมัดระวังให้กับคุณลักขณา ณ ตำแหน่งที่ห่างจากยอดมดลูกประมาณ 1 เซนติเมตร จากนั้น ก็ให้ใส่สายสวนปัสสาวะ ต่อเข้ากับถุงปัสสาวะ เพื่อให้คุณลักขณานอนพักในเตียง 6 ชั่วโมง..  โดยไม่ต้องลุกไปใหน ..ผลคือ คุณลักขณาตั้งครรภ์ ผลเลือด วันที่ 14 หรือ 9 วันนับแต่วันหยอด ได้ท่ากับ 486 หน่วย (mIU/ml) ทุกคนมีความสุขมาก

พออายุครรภได้ 5 สัปดาห์ คุณลักขณา ก็มีเลือดออกจากช่องคลอดมา 1 หยด และมีอาการปวดท้องน้อยนิดๆ เธอมาที่โรงพยาบาลเอกชน (ขอสงวนนาม) ที่ข้าพเจ้าอยู่เวร.. ข้าพเจ้าได้ให้ฉีดยากันแท้งไป 1 เข็ม ต่อมาอีก 3 วัน คุณลักขณามีเลือดออกจากช่องคลอดมากขึ้น กว่า 30 มิลลิลิตร (ซีซี).. คุณลักขณาและสามีตกใจมกและกลัวว่า จะแท้งบุตร.. ข้าพเจ้าปลอบใจอยู่นาน จึงได้ให้คนไข้นอนโรงพยาบาล..การสั่งการรักษา ข้าพเจ้าได้ให้ยาหยุดเลือด 2 ตัว (คือ Vit K1 และTransamine) โดยให้คนไข้นอนพักบนเตียงแบบไม่ต้องลุกไปไหนเลยทั้งวันทั้งคืน  ยกเว้นเข้าห้องน้ำ  (Absolute bed rest)..คุณลักขณานอนพักโรงพยาบาลถึง 7 วัน (ต่อคราวหน้า)

อานิสงค์ของการปล่อยปลาเดนตายตอนเช้า ที่ตลาดพัฒนาการ ส่งผลให้คนไข้ของข้าพเจ้าข้างต้นพ้นภัย… ภายหลังที่คุณลักขณานอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้ 1 วัน เธอก็ขอให้ข้าพเจ้าตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอด ผลปรากฏว่า มีถุงการตั้งครรภ์ภายในโพรงมดลูก 2 ถุง..ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าๆกันราว 1 เซนติเมตร แต่..ยังมองไม่เห็นตัวเด็ก (Fetal echo) เพราะอายุครรภ์ยังน้อย เพียงแค่ 5 สัปดาห์ 3 วัน.. อย่างไรก็ตาม..ปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งที่เห็นจากอัลตราซาวนด์ครั้งนี้ คือ พบถุงของเหลวอีกหนึ่งถุง ..ใหญ่มากทีเดียว ขนาดใหญ่กว่าถุงการตั้งครรภ์ทั้งสองถึง 2 เท่า.. เส้นผ่าศูนย์กลาง ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร วางอยู่เหนือถุงการตั้งครรภ์แฝด.. ลักษณะภายในถุง ดูคล้ายมีอะไรสักอย่างหนึ่ง สีขาวขุ่นขมุกขมัว (Hyperechoic or Haziness)  ข้าพเจ้าคิดว่า มันคือ ก้อนเลือด..

ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอให้คุณลักขณาพักรักษาตัวในโรงพยาบาล..โดยนอนนิ่งๆบนเตียงในห้องพักตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นเวลาทำธุระส่วนตัว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือ หมั่นสังเกตอาการสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ 1. อาการเลือดออกจากช่องคลอด  2. อาการปวดท้องน้อย …อาการปวดท้องน้อย ถือว่า สำคัญกว่า เลือดที่ออกจากช่องคลอด..เพราะอาจเกิดจากมดลูกบีบตัว เพื่อขับเอาทารกออกมา..อันจะส่งผลให้แท้งในระยะเวลาอันสั้น ช่วงนั้น คุณลักขณาและสามี มีความวิตกกังวลอย่างมาก เพราะมีอาการปวดหน่วงท้องน้อยบ่อยๆ ข้าพเจ้าได้ปลอบใจคนทั้งสองว่า ‘เคยเจอกรณีคนท้องตกเลือดขณะตั้งครรภ์น้อยๆเช่นนี้มาแล้ว.. เมื่อหลายปีก่อน มีคู่รักชาวจีนแผ่นดินใหญ่ คู่หนึ่ง ซึ่งทำงานในไทย ภรรยาเกิดตกเลือดอย่างรุนแรงช่วงอายุครรภ์ราวๆนี้.. ในเบื้องต้น ข้าพเจ้าคิดว่า เธอต้องแท้งอย่างแน่นอน แต่..เมื่อเจาะเลือดตรวจการตั้งครรภ์ 2 ครั้ง ผลคือ ผลเลือด (Beta HCG) หลังจากเจาะเลือดซ้ำใน 2 วันถัดมา เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เหมือนกับรูปแบบการตั้งครรภ์ทั่วไป ต่อมา เมื่อตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้กับคนไข้ ตอนอายุครรภ์ 8 สัปดาห์ ปรากฏว่า ทารก มีหัวใจเต้นตามปกติ ข้าพเจ้าดูแลคนไข้รายนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร จนเธอคลอดบุตรออกมา เป็นทารกปกติและแข็งแรงดี’ คุณลักขณาและสามีได้ยินดังนั้น จึงค่อยใจชื้นขึ้นมา

ปัจจุบัน ข้าพเจ้าเร่งทำบุญโดยการให้ทานและปล่อยปลาที่ตลาดพัฒนาการบ่อยมากขึ้น.. นับจากคุณลักขณาเข้านอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชน (ขอสงวนนาม)… อาการปวดท้องน้อย ของคุณลักขณาก็ลดลงตามลำดับ เลือดที่ออกจากช่องคลอด น้อยลงทุกวัน จนหยุดได้หลังจากนอนโรงพยาบาลแค่ 3 วัน.. คุณลักขณานอนโรงพยาบาลได้ 7 วัน ข้าพเจ้าก็ตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้อีกครั้ง ผลปรากฏว่า ถุงการตั้งครรภ์ทั้งสองใหญ่ขึ้น มองเห็นเงาทารกแฝดทั้งสอง พร้อมกับมีการขยับภายในเงานั้น เหมือนดวงไฟเล็กๆส่องกระพริบ.. บ่งบอกถึงว่า มีสิ่งมีชีวิต 2 คนข้างในโพรงมดลูกของเธอ ..คุณลักขณา สามีและข้าพเจ้าดีใจมาก ส่วนถุงของเหลวภายในอีกถุงหนึ่ง ก็มีสีใสขึ้น แสดงว่า เลือดมีการละลายตัว ผลจากการฉีดยา ควบคุมการละลายลิ่มเลือด (Transamine) 4 วัน แล้วเปลี่ยนเป็นชนิดยากินต่ออีก 2 สัปดาห์

คุณลักขณามาตามนัด ในอีก 2 สัปดาห์ ขณะอายุครรภ์ได้ 9 สัปดาห์ ข้าพเจ้าตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้อีกครั้ง ผลปรากฏว่า ทารกแฝดตัวใหญ่มากขึ้น พร้อมทั้งขยับตัวได้ด้วย..ในขณะที่ถุงก้อนเลือดถุงนั้นได้อันตธานหายไป.. ยากันแท้ง หลากหลายประเภท ทั้ง เหน็บ,กิน และฉีด ที่ข้าพเจ้าได้ให้กับเธอค่อยๆทะยอยหยุดไป เพราะบัดนี้ คนไข้อยู่ในขั้นปลอดภัยแล้ว เนื่องจากฮอร์โมนจากรกที่สร้างขึ้น มีมากเพียงพอที่จะดูแลการตั้งครรภ์ได้

หลังจากนั้น คุณลักขณา และสามี ก็ไม่ค่อยได้ส่งข้อความมาสอบถามข้าพเจ้าอีก..อนึ่ง  แม้ว่า ทารกทั้งสองจะได้รับการตรวจโครโมโซมตั้งแต่เป็นตัวอ่อน (PGD = prenatal genetic diagnosis) ก็ตาม ข้าพเจ้ายังได้นัดให้คุณลักขณา เข้าไปตรวจกับสูติแพทย์ อีกท่านหนึ่ง ซึ่งเชี่ยวชาญเกี่ยวกับอัลตราซาวนด์ระดับสูง ตอนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ (MFM = Maternal fetal medicine) เพื่อดูส่วนหนาของคอเด็ก (Nuchal thickness) ด้วย  ผลปรากฏว่า ส่วนคอของแฝดทั้งสอง มีความหนาเท่ากับค่าปกติ ..ทารกน้อยทั้งสอง  จึงไม่น่าจะเป็นเด็กปัญญาอ่อน..

เรื่องราวการตั้งครรภ์แฝดของคุณลักขณา ยังไม่มีทีท่าว่า จะสงบเงียบ.. ถัดจากนั้น มาได้ 2 สัปดาห์ คุณลักขณา ได้โทรศัพท์หาข้าพเจ้าในค่ำวันอาทิตย์ว่า ‘เธอมีอาการปวดท้องน้อย ในลักษณะแปลกๆ 2 – 3 คืนติดต่อกัน.. ไม่รู้ว่าเป็นอะไร และจะแท้งหรือไม่’

ข้าพเจ้าบอกเธอให้เข้ามาตรวจครรภ์ในวันจันทร์ ตอนนั้น เธอมีอายุครรภ์ได้ 14 สัปดาห์เต็ม  จากการซักประวัติ ข้าพเจ้าคิดว่า เธอน่าจะมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Cystitis) แต่..ผลการตรวจของปัสสาวะ ไม่ส่อว่า ‘มีการติดเชื้อ ยกเว้น มีแบคทีเรีย และเม็ดเลือดขาวเล็กน้อยในปัสสาวะ’ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้สั่งจ่ายยาฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะของคนท้อง ประเภท รับประทานครั้งเดียวให้เธอไป (ชื่อยา Monurol  : รับประทาน 1 ซองครั้งเดียว).. นอกจากนั้น ยังให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีเยี่ยม ทั้งปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง ชื่อ Meiact เตรียมไว้อีกจำนวนหนึ่ง เผื่อว่า อาการปวดท้องน้อยตอนกลางคืนไม่ดีขึ้น..จะได้รับประทานรักษาไปเลย โดยไม่ต้องกลับมาพบข้าพเจ้าอีก..ข้าพเจ้าอธิบายให้คุณลักขณาและสามี ฟังว่า ‘คุณลักขณาเป็น Asymtomatic bacteriurea หรือภาวะที่มีเชื้อโรคในกระเพาะปัสสาวะ โดยไม่มีอาการ’

หลังจากทานยา ชุดแรก ประเภท ครั้งเดียวนั้น ปรากฏว่า อาการปวดท้องน้อย ไม่ดีขึ้น ใน 2 วัน.. เธอจึงได้รับประทานยาชุดที่เตรียมสำรองไว้ให้ อีก 7 วัน ผลปรากฏว่า อาการปวดท้องน้อย ดีขึ้นอย่างมาก .. แต่ก็ยังรู้สึกปวดอยู่บ้าง เมื่อสามีเธอโทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าบอกถึงอาการดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงได้จัดยา Meiact ให้เธออีก 7 วัน.. คราวนี้ อาการปวดท้องน้อยของเธอแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง

วันนี้ คุณลักขณา มาเข้ารับการตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชน ที่ข้าพเจ้าทำงาน  อายุครรภ์ขณะนี้ คือ 17 สัปดาห์ ข้าพเจ้าตรวจอัลตราซาวนด์ ผ่านทางหน้าท้องให้กับเธอ ปรากฏว่า ‘ทารกแฝดทั้งสอง.. มีขนาดน้ำหนักตัวเข้ากันได้กับอายุครรภ์พอดี.. แฝดชายมีขนาดใหญ่กว่าแฝดหญิงเล็กน้อย..แฝดทั้งสองแข็งแรง สุขภาพดีทั้งคู่’ วันนี้ คุณลักขณามาเข้ารับการตรวจเพียงคนเดียว เนื่องจากสามียังไม่เลิกจากงานประจำ.. เธอมีความสุขใจ ยิ้มแย้ม แจ่มใสตลอดเวลา.. นี่แหละ!! ความสุขของคนที่เป็นแม่ขณะตั้งครรภ์ ..ถึงแม้ หนทางที่จะไปถึงวันให้กำเนิดบุตร ยังอีกยาวไกล.. แต่ ด้วยร่วมมือ ของคนไข้ และหมอ ..ย่อมก่อผลดีให้กับลูกทั้งสองของคุณลักขณาอย่างแน่นอน ..ข้าพเจ้าขอเป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องทุกคน ..ขอให้มีกำลังใจ และขอให้พ้นภัยจากอันตราย ที่กำลังกล้ำกลายเข้ามาคุกคาม..ไม่ว่าจะเป็น ภาวะแท้งคุกคาม, การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ, การตกเลือดจากภาวะรกเกาะต่ำ, หรือการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด  ก็ตาม…….

การทำบุญเกื้อหนุน ปลดปล่อยให้อิสระกับสัตว์ ใหญ่น้อย ต่ำต้อยด้อยศักดิ์ใดๆก็ตาม ย่อมส่งผลให้จิตใจเราอิ่มเอิบไปด้วย ความสุขใจ..ดั่งได้เสวยผลไม้ทิพย์ .. เกือบทุกวัน ตอนเช้ามืด ข้าพเจ้าจะแวะเวียนไปที่ร้านค้า หน้าปากซอยตลาดสดพัฒนาการ ด้วยถือเป็นกิจวัตร เสมือนหนึ่งว่า ไปวัดทำบุญตักบาตร ..ด้วยจิตใจผูกพัน อย่างบอกไม่ถูก ..ข้าพเจ้ามักพบกับสิ่งดีๆเสมอตลอดทั้งวัน หลังจากทำบุญปล่อยปลาเดนตายยามเช้า ..ข้าพเจ้าอยากให้ผู้อ่านทุกท่านได้อนุโมทนาบุญร่วมกับข้าพเจ้าด้วยทุกเช้า เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมุ่งจิตคิดหวังว่า คนที่มีบุตร ทุกคนจะสามารถตั้งครรภ์ได้ง่าย ..ส่วนคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ก็ขอให้พ้นภัย จากภยันตรายทั้งปวงในระหว่างตั้งครรภ์ จนคลอดบุตรหญิงชายที่แข็งแรง สุขภาพดี มีสติปัญญา ตอนครบกำหนดคลอด.. 

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.  นพ. เสรี   ธีรพงษ์    ผู้เขียน