คำแนะนำของช่างตัดผมกับคำทำนายของคนงานห้องคลอด

              บ่อยครั้งที่เราได้รับคำแนะนำทำนองพูดคุยจากผู้คนรอบข้าง รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง ซึ่งเราอาจไม่ใส่ใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ถ้อยคำเหล่านี้มักมีความหมายอะไรสักอย่างหนึ่งซ่อนอยู่ วันหนึ่ง ข้าพเจ้าไปตัดผมแถวย่านถนนพัฒนาการ วันนั้น ข้าพเจ้ามีอาการเป็นหวัดคัดจมูก และรู้สึกรำคาญกับน้ำมูกที่ไหลไม่หยุดหย่อน จึงบ่นหลายสิ่งหลายอย่างออกไปโดยไม่รู้ตัว ช่างตัดผมเห็นอาการหงุดหงิดของข้าพเจ้า ก็แนะนำว่า “ คุณ.. คุณ… ผมเองก็เป็นหวัดบ่อยๆ  เคยไปหาหมอหลายครั้ง เสียค่าหยูกยาคราวละหลายร้อยบาท ส่วนใหญ่ ผมไม่ค่อยพอใจกับผลที่ได้รับ ขอโทษนะครับ บางครั้ง น้ำมูกยังหยดใส่ลูกค้าเลย ตอนนี้ ผมค้นพบด้วยตัวเองแล้วว่า ‘ยา TIFFY(ทิฟฟี่) ที่หาได้ง่ายๆในท้องตลาดนี่แหละ  กินเพียงชนิดเดียว ครั้งละ 2  เม็ด’ น้ำมูกก็หยุดไหลแบบนิ่งสนิท คุณลองดูซิครับ ”  ข้าพเจ้าฟังแล้ว รู้สึกขำในใจ ‘วันนี้ต้องให้ช่างตัดผมมาแนะนำการรักษาโรคกับเรา ซึ่งเป็นหมอ’ แต่…เมื่อลองทำตาม ก็ได้ผลดีอย่างคาดไม่ถึง!!!!!!!!!!!!!!!!!!

                ความผิดพลาดของการรักษาทางการแพทย์ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา คนไข้บางรายได้รับการผ่าตัดโดยไม่พบพยาธิสภาพใดๆจากคุณหมอจบใหม่ ยกตัวอย่าง คนไข้รายหนึ่งได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอัลตราซาวนด์แล้วสงสัยว่าเป็น ‘ท้องนอกมดลูก’ เมื่อได้รับการผ่าตัดจากคุณหมอจบใหม่ที่เชื่อใจการดูอัลตราซาวนด์ครั้งแรกโดยไม่ตรวจซ้ำ………กลับพบว่า ‘เป็นการตั้งครรภ์ธรรมดาที่มีถุงน้ำรังไข่ (Corpus luteal cyst)’ ส่วนอีกราย เป็นคนไข้ที่แท้งไม่ครบ (Incomplete abortion) แต่ได้รับการผ่าตัดเนื่องจากคนไข้แสดงอาการปวดท้องค่อนข้างมาก และผลการตรวจอัลตราซาวนด์พบมีของเหลวอยู่ในช่องท้อง สำหรับข้าพเจ้าเอง ก็เกือบผ่าตัดผิดพลาดเช่นกัน เนื่องจากมีคนไข้สตรีรายหนึ่ง อายุ 30 ปีมาโรงพยาบาลเอกชน(ขอสงวนนาม) ด้วยเรื่องปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง โดยมีประวัติว่า เธอเพิ่งมีระดูมาเมื่อก่อนหน้านี้ 3 วัน ข้าพเจ้าตรวจภายในพบมีตกขาว และเมื่อโยกปากมดลูก คนไข้มีอาการเจ็บท้องน้อยทั้งสองข้าง จึงวินิจฉัยแยกโรคไว้ 2 โรค คือ ‘ติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน’ กับ ‘ไส้ติ่งแตก’ โชคดีที่มีศัลยแพทย์ประสบการณ์สูงร่วมตรวจวินิจฉัยด้วย จึงสามารถวิเคราะห์ได้ว่า ไม่ใช่ ‘ภาวะไส้ติ่งแตก’ ข้าพเจ้า จึงรอดพ้นจากการวินิจฉัยผิดพลาด ที่จะนำไปสู่การผ่าตัดเปิดช่องท้องเข้าไป โดยไม่ได้ทำอะไร?      

               2 สัปดาห์ก่อน ข้าพเจ้าได้ตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องให้กับผู้ป่วยฝากครรภ์คนหนึ่ง ชื่อคุณวรวรรณ  อายุ  18 ปี  ตั้งครรภ์แรก อายุครรภ์ 34 สัปดาห์ เธอถูกส่งเข้ามารับการตรวจดูด้วยอัลตราซาวนด์ เนื่องจากมดลูกมีขนาดใหญ่เกินกว่าอายุครรภ์ที่นับจากระดูครั้งสุดท้าย สูติแพทย์ที่ช่วยตรวจดูในวันนั้น ตรวจพบว่า ลูกคุณวรวรรณไม่มีกะโหลกศีรษะ (Anencephaly) และมีน้ำคร่ำมากเกิน (Hydramnios) เมื่อข้าพเจ้ามาตรวจซ้ำ ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน หลังจากนั้น จึงได้ส่งคุณวรวรรณไปทำเอกซเรย์บริเวณหน้าท้อง เพื่อให้เป็นหลักฐานยืนยันอย่างแน่ชัดอีกครั้ง 

               คุณวรวรรณกลับมาพร้อมกับผลการอ่านฟิล์มเอกซเรย์ที่แผนกฝากครรภ์ในอีกหนึ่งสัปดาห์ ข้าพเจ้าได้พูดกับคุณวรวรรณว่า “หมอเสียใจที่จะบอกว่า ผลของเอกซเรย์ได้ยืนยันว่า ลูกคุณเป็นทารกที่ไม่มีกะโหลกศีรษะจริงๆ เพราะฉะนั้น คงต้องเอาเด็กออก(ทำแท้ง)ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง หมายถึง ให้คลอดเอง หรือเข้ารับการผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง  สำหรับกรณีของคุณ ผมยินดีจะผ่าตัดเอาทารกออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยคุณจะปลอดภัยทุกประการ”  คุณวรวรรณทำสีหน้าท่าทางไม่สบายใจ และขอเวลาไปปรึกษาญาติๆของเธอก่อน 

สัปดาห์ต่อมา คุณวรวรรณมาโรงพยาบาลพร้อมกับพี่สาว คราวนี้  พี่สาวเธอได้มาช่วยพูดจาสอบถามความสงสัยแทนเธอ เรื่องแรก คือ ‘คนไข้และญาติยังไม่เคยเห็นภาพเด็กที่ไม่มีกะโหลกชัดๆเลย จึงอยากจะขอดูทารกในสภาพที่ไม่มีกะโหลกสักครั้งก่อนที่จะทำลายทิ้ง?’…………ข้าพเจ้าจึงขอให้สูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอัลตราซาวนด์เป็นผู้ตรวจและอธิบาย หลังจากที่คนไข้และพี่สาวได้เห็นสภาพของทารกจากจอภาพแล้ว ก็ตัดสินใจให้ทางแพทย์เอาเด็กออก

                ดังที่กล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าเสนอให้คุณวรวรรณเข้ารับการผ่าตัดคลอด แต่พี่สาวคนไข้ได้พูดจาเสนอความคิดเห็นเชิงแนะนำว่า “ คุณหมอคิดดูนะว่า ไหนๆ น้องของหนูก็ไม่ได้ลูก เนื่องจากลูกพิการอย่างรุนแรงจนไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกภายนอก ทำไมไม่ปล่อยให้คนไข้คลอดเองตามธรรมชาติ! การผ่าตัดย่อมทำให้คนไข้เจ็บตัว ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่ได้อะไรเลย ครรภ์ต่อไปยังต้องถูกผ่าตัดอีก   คุณหมอคิดดูสิว่า มันคุ้มค่าไหม? ” 

  ข้าพเจ้าฟังแล้ว รู้สึกทึ่งในความคิดเห็นของพี่สาวคุณวรวรรณ เธอพูดจามีเหตุผลดีและเหมาะสม มูลเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจจะทำคลอดให้คุณวรวรรณโดยการผ่าตัดนั้น เป็นเพราะ เมื่อหลายปีก่อน มีคนไข้สตรีรายหนึ่งมาหาข้าพเจ้าในลักษณะคล้ายๆกัน เธอตั้งครรภ์ที่ 2 และได้รับการวินิจฉัยจากสูติแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งว่า ‘ลูกเป็นทารกที่ไร้กะโหลก(Anencephaly)’ช่วงเวลานั้น สามีและคนไข้โกรธแค้นสูติแพทย์ที่รับฝากครรภ์มาก  ที่ปล่อยให้การตั้งครรภ์ล่วงเลยจนถึงกำหนดคลอด ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือ โดยการผ่าตัดคลอด เนื่องจากคนไข้เคยได้รับการผ่าตัดคลอด (Previous cesarean section) มาแล้วครั้งหนึ่ง นอกจากนั้น ทารกยังมีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ น้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัมและเป็นท่าก้น (Breech presentation)  การเร่งให้คลอดเอง  อาจทำให้มดลูกของคนไข้แตก (ruptured uterus)

ความผิดพลาดของข้าพเจ้าในการวางแผนการรักษารายนี้ คือ ‘จดจำเอาประสบการณ์เก่าๆ มารักษาการตั้งครรภ์ทารกไร้กะโหลกของคุณวรวรรณ’ ซึ่งหากทำการผ่าตัดคลอดให้คุณวรวรรณจริง ผลก็คือ ทำให้เธอบาดเจ็บร่างกาย ซ้ำเติมให้กับความรู้สึกเศร้าใจที่มีอยู่ก่อนแล้ว  คำพูดของพี่สาวของคนไข้ได้เตือนสติข้าพเจ้า ทำให้ตัดสินใจให้การรักษาครั้งนี้ไม่ผิดพลาด 

               ในช่วงเวลาเดียวกัน มีคนงานห้องคลอดคนหนึ่ง ชื่อ คุณนิด เธอตั้งครรภ์ที่ 3 และอายุครรภ์ใกล้ครบกำหนด ข้าพเจ้าเห็นรูปร่างหน้าท้องของเธอใหญ่โตมาก ก็เสนอตัวอยากจะช่วยผ่าตัดคลอดให้เช่นเดียวกับคุณวรวรรณ คุณนิดเอง ก็ไม่อยากคลอดทางช่องคลอด เพราะเข็ดขยาดอาการเจ็บปวดจากการคลอดคราวที่แล้ว คุณนิดเล่าว่า ‘ท้องที่แล้ว คลอดธรรมชาติ ลูกมีขนาดตัวใหญ่ น้ำหนักแรกคลอดมากถึง 3900 กรัม  สำหรับท้องนี้ทิ้งระยะห่างถึง 7 ปี ลูกก็มีขนาดใหญ่ไม่แพ้กัน ไม่รู้จะคลอดเองได้หรือเปล่า?’  ข้าพเจ้าบอกเธอว่า “ผมยินดีจะช่วยผ่าตัดคลอดให้ แต่ถ้าอยากคลอดเองตามธรรมชาติ  คงต้องให้แพทย์เวรทำคลอดให้ เพราะเวลาคลอดไม่แน่นอน ” 

               คุณนิด นั้นเป็นเพียงคนงานห้องคลอด แต่มีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง คือ เป็นร่างทรงของ‘พระนางเรือล่ม’  เธอเล่าว่า ‘จู่ๆ!!! ก็มีความรู้สึกประหลาด มองเห็นร่างผู้หญิงสาวสวยแต่งกายอย่างวิจิตรงดงามด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดพระมเหสีในสมัยก่อน พระนางฯปรากฏกายให้เธอเห็นเพียงคนเดียวและบอกให้เธอเป็นร่างทรงเพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้กับผู้คนในโลก’ หลังจากนั้น คุณนิดก็มีชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องการทำนายและชี้ทางออกให้กับผู้คนทั้งหลาย บรรดาชาวบ้านร้านตลาดไปจนถึงนายพล ต่างก็มาขอให้เธอทำนายบอกความเป็นไปของอนาคต แม้แต่ข้าพเจ้าเอง ในวันหนึ่ง ก็ขอคำแนะนำจากคุณนิด  ซึ่งตอนนั้น เธอตั้งครรภ์ได้ประมาณ 30 สัปดาห์

              “คุณหมอมีวิญาณของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งติดตามอยู่ตลอดเวลาด้วยความเคียดแค้น  คุณหมอคงมีส่วนทำให้เด็กผู้หญิงคนนี้เสียชีวิต ซึ่งน่าจะเป็นการทำแท้ง คุณหมอต้องคอยระวังตัวให้ดี วิญญาณของเขาพยายามทำร้ายคุณหมอหลายครั้งแล้ว แต่โชคดี ที่คุณหมอมีเทพคุ้มครอง ปกป้องอยู่ จึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวคุณหมอ” คุณนิดเริ่มเปิดฉากพูดในสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่สามารถสัมผัสได้ แต่ก็น่าสนใจ ข้าพเจ้าบอกเธอว่า “ผมได้ทำแท้งให้กับคนไข้หลายรายในช่วงที่ทำวิจัยเรื่องการข่มขืนกระทำชำเรา เพราะได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า คนไข้ที่เข้าร่วมในงานวิจัย  หากตั้งครรภ์จากการถูกข่มขืน ก็จะได้รับการทำแท้งให้ทุกราย” คุณนิดพูดต่อ “ ดังนั้น คุณหมอต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลบ่อยๆให้กับดวงวิญญาณเด็กผู้หญิงคนนั้นโดยถวายเป็นนมกล่อง….จะมากน้อยเท่าใดก็ได้ อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือ ชะตาชีวิตของหมอจะสิ้นสุดเมื่ออายุประมาณ 65 ปี”  ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ถึงแม้ว่า จะไม่ค่อยเชื่อ แต่เวลาทำบุญตักบาตร ข้าพเจ้าจะถวายนมกล่องเพิ่มเติมจากอาหารปกติ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณของทารกน้อยที่ข้าพเจ้าเป็นเหตุให้เสียชีวิตทุกราย  อนึ่ง ในบันปลายชีวิตก่อนอายุ 65 ปี ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ให้ได้บรรพชาในบวรพุทธศาสนา และขอให้สิ้นชีพในร่มผ้ากาสาวพัตร แม้ก่อนสิ้นชีวิต ขอให้ได้บำเพ็ญเพียรจนสามารถละกิเลสอาสวะต่างๆได้ เพราะข้าพเจ้าไม่อยากกลับมาเกิดอีก

คุณวรวรรณและคุณนิดคลอดบุตรในวันเวลาที่ใกล้เคียงวัน โดยคุณวรวรรณได้รับการเร่งคลอดโดยสูติแพทย์เวร ทารกคลอดในวันอังคาร เวลา 19 นาฬิกา ท่าก้น เพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 1320 กรัม คลอดออกมาไม่นานก็เสียชีวิต พยาบาลได้นำร่างของลูกเธอมาให้ดูหลังจากคลอดได้ไม่นาน ส่วนคุณนิดได้รับการผ่าตัดคลอดในวันพุธถัดมาอีก 1 สัปดาห์ โดยสูติแพทย์ที่เธอได้ทำนายอนาคตให้ ลูกของคุณนิดเป็นเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 3960 กรัม แข็งแรงดี

               การผ่าตัดคลอดบุตร (Cesarean section) เป็นกรรมวิธีที่มีประสิทธิภาพมากสำหรับการแก้ปัญหาต่างๆของคนท้อง แต่…ไม่สามารถใช้ได้ในทุกกรณี เปรียบเหมือนกับความรู้อย่างมากมายของแพทย์ที่สั่งสมมานาน แต่..กับการจะนำไปใช้ ก็ต้องพิจารณาให้รอบเสียก่อนว่า จะใช้เมื่อไร? ในลักษณะไหน? และอย่างไร? บางที…..ยังต้องเงี่ยหูรับฟังคำแนะนำของคนธรรมดาทั่วไปด้วย มิฉะนั้น ก็อาจตัดสินใจรักษาไม่ถูกต้อง

                ยิ่งไปกว่านั้น หากนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตของคนเรา ซึ่งเสี่ยงต่อความล้มเหลวทุกขณะ เรายิ่งสมควรที่จะรับฟังคำเตือนจากผู้หวังดีรอบข้าง รวมทั้งคำทำนายที่อาจหาสาระอะไรไม่ได้ แต่มีข้อเตือนใจที่ชี้ชวนให้นำมาคิดเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต

                                    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *