หมอกำมะลอ

หมอกำมะลอ

วันนี้ ข้าพเจ้าได้พบกับแพทย์ 2 ท่าน ในเวลาที่ห่างกันไม่ถึง 2 ชั่วยาม การที่ได้พบแพทย์ทั้งสองท่านนั้น ทำให้ข้าพเจ้านึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวของการเรียนแพทย์ชั้นปีสุดท้าย และเรื่องราวของหมอปลอม ที่เที่ยวต้มตุ๋นผู้คนที่มาเยือนกรุงปักกิ่ง เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเรื่องราวทั้งสองเรื่องเป็นการสะท้อนชีวิตของคนที่เป็นแพทย์ว่า  ควรจะทำตัวอย่างไร?????

ตอนเช้าวันนี้ ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนแพทย์สตรีท่านหนึ่ง ซึ่งไม่ได้พบกันมาประมาณ 20 ปี  หลังจากที่จบการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิตแล้ว เธอก็แต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดระนอง ข้าพเจ้ามองเธอแล้วก็นึกย้อนกลับไปที่คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   เกี่ยวกับเรื่องราวการศึกษาแพทย์ชั้นปีก่อนๆข้าพเจ้าจำไม่ได้ถนัดนัก แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าถูกกล่าวหาขณะเป็นแพทย์ฝึกหัดว่า ควรปรับปรุงตัว หรือพูดง่ายว่า ทำตัวขี้เกียจ นั้น เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ายอมรับไม่ได้  อย่างไรก็ดี  ข้าพเจ้าได้พิสูจน์ตัวเองตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาว่า ข้าพเจ้ามุ่งมั่นและได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เพื่อศึกษาหาความรู้ในหลายๆด้าน จนทำให้ตระหนักรู้เลยว่า ความรู้ทางการแพทย์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว  หากแพทย์ท่านใดหยุดการศึกษา  ท่านก็จะถูกทอดทิ้งไว้อยู่เบื้องหลัง แม้ว่า ความรู้ในอดีตจะสามารถนำมาปรับใช้ได้  แต่ความรู้ทางการแพทย์ใหม่ๆก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง   ควรที่เราจะต้องติดตามให้ทันกับยุคสมัย

ขณะที่พูดคุยกับเพื่อนแพทย์สตรีอยู่นั้น ก็มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่เข้ามาเตือนถึงการนำเสนอในที่ประชุมเกี่ยวกับ เรื่องราวของคนไข้สตรีซึ่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อ 2 3 วันก่อนขณะตั้งครรภ์ได้ 35 สัปดาห์ เรื่องราวมีอยู่ว่า คนไข้สตรีรายนี้นั่งซ้อนรถจักรยานยนต์แล้วถูกรถชน คนไข้ถูกส่งต่อจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แล้วส่งต่อมาที่ โรงพยาบาลตำรวจ  ตอนที่มาถึง ตัวคนไข้เองมีปัญหาเลือดคั่งในสมอง ( Epidural Hematoma ) ส่วนทารกในครรภ์ก็มีปัญหาเรื่องหัวใจเต้นช้ามากขณะมดลูกหดตัว ( Late deceleration ) ซึ่งเกิดจากรกกำลังลอกตัว ( Abruptio placenta ) แม้คนไข้จะได้รับการผ่าตัดอย่างรวดเร็วหลังจากตรวจด้วยเครื่อง C.T. scan  แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือทารกน้อยไว้ได้ เพราะหลักการรักษาในสตรีตั้งครรภ์ คือ หากจำเป็นต้องเลือกที่จะช่วยเหลือ  ต้องเลือกแม่เป็นอันดับแรก และลูกเป็นอันดับรอง  การผ่าตัดพร้อมๆกัน ทั้งสูติแพทย์และศัลยแพทย์ทางสมอง ตอนนั้น ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากศัลยแพทย์กลัวว่า ความดันโลหิตจะลดต่ำลงมากจากการเสียเลือดจนเป็นอันตรายต่อสมองของคนไข้ แต่ในที่สุด ทางสูติแพทย์ก็จำเป็นต้องผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง เพราะหัวใจทารกเต้นช้ามาก ประมาณ 60 ครั้ง ต่อนาที  เมื่อทารกน้อยคลอดออกมา  กุมารแพทย์ไม่สามารถช่วยเหลือชีวิตของทารกได้

ข้าพเจ้านำเรื่องราวดังกล่าวเล่าให้กับเพื่อนแพทย์สตรีฟัง  เธอรู้สึกสะท้อนใจและย้อนถามข้าพเจ้าว่า ตัวคนไข้เองจะรอดไหม?   ข้าพเจ้าตอบว่า  ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ศัลยกรรมทางสมองของที่นี่ก้าวหน้ามาก เราน่าจะช่วยเหลือคนไข้รายนี้ได้

 ตอนเย็นวันเดียวกัน ข้าพเจ้าได้พบกับแพทย์อาวุโสท่านหนึ่ง ชื่อ นายแพทย์เฉิน  นายแพทย์เฉิน เป็นคนไทยที่เติบโตในกรุงเทพฯจนอายุได้ 13 ปี แล้วถูกส่งตัวไปอยู่ที่เกาะไหหลำ ของประเทศจีน ท่านได้ศึกษาและทำงานเป็นศัลยแพทย์อยู่ที่นั่นนานกว่า 30 ปี ต่อมา เมื่อเมืองจีนเปิดประเทศ จึงได้ขอกลับมาเมืองไทยและขอเปลี่ยนสัญชาติเป็นคนไทยอีกครั้ง เชื่อหรือไม่ว่า  ช่วงที่กลับมาใหม่ๆ  ท่านแทบจะไม่มีข้าวกิน  เพราะใบประกอบโรคศิลปแพทยศาสตรบัณฑิตของจีนไม่สามารถนำใช้ในเมืองไทยได้  กอรปกับท่านมีอายุมาก จึงไม่สามารถหางานทำเป็นหลักแหล่งได้  ตอนนั้น ท่านมีโอกาสได้รู้จักกับภรรยาข้าพเจ้าและได้รับความช่วยเหลือทางด้านธุรกิจอยู่ระยะหนึ่ง  วันนี้ท่านและภรรยาข้าพเจ้าเพิ่งมีโอกาสได้มาพบกันอีกครั้ง หลังจากไม่ได้พบกันมานานกว่า 10 ปี   ปัจจุบันท่านอายุ 65 ปี ดำรงชีพด้วยเงินเล็กๆน้อยๆจากลูกสาวที่ทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าฟังเรื่องราวของนายแพทย์เฉิน แล้วก็เกิดความคิดว่า มีแพทย์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมดำเนินอาชีพเป็นแพทย์ แต่กลับเป็นนักบริหาร นักการตลาด นักการเมือง สักวันหนึ่งพวกเขาก็จะลืมความรู้ที่สู้อุตส่าห์เรียนมา หากคิดกลับตัวมาเป็นแพทย์อีกครั้ง ใครเล่าจะเชื่อถือ เพราะความรู้ทางการแพทย์มีความลึกซึ้ง และซับซ้อน แพทย์ทุกคน จำเป็นต้องหมั่นทบทวน ฝึกหัด พัฒนาและติดตามความก้าวหน้าอยู่เสมอ จึงจะดำรงชีวิตเป็นแพทย์ได้   มิฉะนั้นไซร้ ก็จะกลายเป็น คุณหมอกำมะลอไป

ขณะที่กำลังพูดคุยกับคุณหมอเฉิน ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองและภรรยาเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนที่แต่งงานใหม่ๆ  เราทั้งสองได้เดินทางไปเที่ยวที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เราเดินทางไปกันเอง เนื่องจากภรรยาของข้าพเจ้ามีเพื่อนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การท่องเที่ยวแห่งประเทศจีน  ซึ่งคอยอำนวยความสะดวกต่างๆให้

วันแรก เมื่อเราเดินทางไปถึงที่กรุงปักกิ่ง และเข้าพักที่โรงแรมระดับ 5 ดาวแห่งหนึ่ง  ตอนเย็นวันนั้น  ภรรยาข้าพเจ้าเกิดมีอาการปวดท้องน้อยขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน อาการปวดท้องน้อยไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา  ข้าพเจ้าจึงเดินไปหาผู้จัดการโรงแรมเพื่อให้แนะนำเราไปโรงพยาบาลของรัฐที่ใกล้ที่สุด ระหว่างที่รอรถแท๊กซี่อยู่นั้น  มีสตรีนางหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ อ้างตัวว่า เป็นหมอ และเดินเข้ามาถามอาการของภรรยาข้าพเจ้า  หลังจากทราบว่า เป็นอะไรแล้ว  เธอก็อาสารักษาให้  ข้าพเจ้ารู้สึกเอะใจ แต่แรกว่า  จะถูกหลอก เนื่องจากสตรีผู้นี้แต่งกายแปลกๆ ค่อนข้างโป้ เธอนุ่งกระโปรงสีขาวค่อนข้างสั้น ใส่เสื้อแขนยาวสีแดง  และใส่ถุงน่องสีดำ   ใบหน้าท่าทางของเธอ ไม่มีลักษณะของคนมีความรู้แต่อย่างใด  อย่างไรก็ตาม ภรรยาข้าพเจ้ากำลังปวดท้องอยู่ ก็ต้องลองเชื่อดูสักครั้ง โดยข้าพเจ้าได้บอกกับหมอผู้หญิงคนนี้ว่า ข้าพเจ้าเป็นสูติ-นรีแพทย์อยู่ที่เมืองไทย  ยังไงยังไง ก็เป็นหมอเหมือนกัน ขอให้ช่วยเหลือด้วย  

หมอผู้หญิงคนนี้ตอบว่า ไม่มีปัญหา เรื่องแค่นี้เล็กน้อย เดี๋ยวจะพาไปรักษาที่คลินิก  แต่ขอรอเพื่อนที่มาเที่ยวด้วยกันสักครู่นะ   พอเธอพูดจบ ก็มีเพื่อนผู้ชาย อายุประมาณ 50 ปีและหญิงสาวอายุประมาณ 25 ปี ก้าวออกมาจากห้องอาหาร  เข้ามาสมทบ  พวกเราทักทายกันพอเป็นพิธี  แล้วก็ออกเดินทางไปสู่จุดหมายด้วยรถแท๊กซี่ ระหว่างนั้น ข้าพเจ้าเริ่มทดสอบความรู้ของหมอจีนผู้หญิงคนนี้ว่า มีความรู้ทางการแพทย์หรือไม่ ด้วยการป้อนคำถามง่ายๆว่า  ผมเพียงแต่ต้องการยา บาราแกน ( Baragan ) หรือ บัสโคแปน ( Buscopan ) สัก 2 – 3 เม็ดก็พอ ไม่อยากรบกวนอะไรมาก  

เชื่อหรือไม่ว่า  หมอจีนคนนี้ไม่รู้จัก ข้าพเจ้าพยายามสอบถามเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับการแพทย์ เธอก็ตอบบ่ายเบี่ยงโน่นนี่  แล้วแต่จะพูดให้ดูแล้วดี  ข้าพเจ้านั่งนึกในใจว่า หมอจริงกำลังจะถูกหมอปลอมต้มตุ๋นเอาเสียแล้ว หมอจีนผู้หญิงคนนี้พยายามที่จะคุยโตโอ้อวดว่า เคยไปบรรยายความรู้ที่มหาวิทยาลัยต่างๆทั้งในและต่างประเทศมากมาย อาทิเช่น  มหาวิทยาลัยในกรุงปักกิ่ง และในประเทศฮ่องกง  เกาลูน มาเก๊า ไต้หวัน เป็นต้น ภรรยาข้าพเจ้าเองได้พูดคุยเรื่องทั่วไปกับเธอเป็นครั้งคราวด้วย โดยไม่สงสัยแม้แต่น้อย  เมื่อเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง ผู้ชายที่มากับเธอก็ขอลงข้างทาง แต่พวกเรายังคงเดินทางต่อไปอีกเป็นเวลานานพอสมควร จึงถึงที่หมาย  

สถานพยาบาลหรือคลินิกของเธอตั้งอยู่ในโรงแรมระดับ 3 ดาวแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าพยุงภรรยาเดินตามหมอจีนคนนี้กับคู่หูของเธอขึ้นไปยังชั้น 4 ของโรงแรม  พอหมอจีนไขกุญแจเข้าไปในห้องพัก ข้าพเจ้าสังเกตว่า ห้องพักแห่งนี้ได้ถูกดัดแปลงและตกแต่งเป็นคลินิกเล็กๆ พอเข้าไปได้สักครู่ หมอจีนคนนี้ก็เรียกผู้หญิงคูหูเธอหรือ พยาบาลผู้ช่วย ให้หยิบแก้วน้ำเปล่ามา 4 ใบ

 ข้าพเจ้าเริ่มมั่นใจแล้วว่า หมอจีนผู้หญิงคนนี้และผู้ช่วยของเธอเป็นพวกนักต้มตุ๋น แต่ก็ต้องพยายามข่มใจ ตั้งสติและหาทางออกที่เหมาะสม  ข้าพเจ้าพูดภาษาไทยกับภรรยาข้าพเจ้าว่า พวกเราถูกหลอกอย่างแน่นอน  แต่จะทำยังไงดี? ภรรยาข้าพเจ้าตอบว่า คิดไม่ออกเหมือนกัน ลองให้เขารักษาดูสักหน่อย หากเห็นไม่เข้าท่า ก็ขอกลับ  ตอนนี้ อาการปวดท้องทุเลาบ้างแล้ว  

หมอจีนผู้หญิงนักต้มตุ๋นบอกให้ภรรยาข้าพเจ้าขึ้นนอนบนเตียง แล้วเธอก็จุดไฟที่บริเวณปากแก้ว 4 ใบที่อยู่ในสภาพคว่ำ เพื่อให้เกิดอากาศภายในแก้วเบาบางลง พอวางลงบนหน้าท้องของภรรยาข้าพเจ้า แก้วทั้ง 4 ใบก็จะเกาะติดกับผนังหน้าท้องได้ เธอบอกว่า กำลังใช้พลังวิชาชี่กง   ตอนนั้น ข้าพเจ้าไม่รอช้า รีบเดินไปหาผู้ช่วยของเธอและพูดจาเพื่อขอนามบัตรของหมอนักต้มตุ๋นคนนี้ ตอนแรกผู้ช่วยของเธอทำท่าบ่ายเบี่ยง  หลังจากข้าพเจ้าพูดตื้ออยู่สักพัก  ผู้ช่วยเธอก็ไปหยิบนามบัตรของหมอจีนคนนี้มาให้  พอได้นามบัตร  ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปถามภรรยาว่า อาการปวดท้องดีขึ้นบ้างไหม?   ภรรยาข้าพเจ้าตอบว่า ดีขึ้นแล้ว

ข้าพเจ้าบอกให้ภรรยาเตรียมตัวเพื่อรับกับสถานการณ์ เพราะรู้แน่แล้วว่า กำลังถูกหมอปลอมหลอก   ข้าพเจ้าเดินไปหาหมอจีนคนนั้นและบอกว่า พอแค่นี้นะ เราอยากจะกลับบ้านแล้ว เราจะจ่ายค่ารักษาให้ คุณจะคิดเราเท่าไหร่? หมอจีนคนนั้นเดินไปเอาถ้วยทั้ง 4 ใบออกจากหน้าท้องของภรรยาข้าพเจ้า และพูดหน้าตาเฉยว่า คิดตามเวลาที่รักษา ขอ 200 ดอลลาร์ ก็แล้วกัน

อะไรนะ!… ตั้ง 200 ดอลลาร์เชียวหรือ? ข้าพเจ้าอุทานออกมา พลางหันมาพูดภาษาไทยกับภรรยาว่า จะให้เงินมันไหม?   ภรรยาข้าพเจ้าคิด  คิด คิด สักครู่ ก็พูดกับหมอปลอมคนนี้ว่า ยังงี้ก็แล้วกัน ฉันจะให้เป็นเงินจีน 200 หยวน(1000บาท) จะเอาไหม? ถ้าไม่เอา  ก็ไม่ให้  

โอ เค. 200 หยวนก็ได้ ขอบคุณมากๆ หมอปลอมตอบ หลังจากภรรยาข้าพเจ้าจ่ายเงินแล้ว เราทั้งสองก็รีบเดินออกจากห้องพักนั้น ข้าพเจ้าได้พูดกับภรรยาเป็นภาษาไทยว่า ช่างมันเถอะ! หากเราไม่จ่ายเงิน เกิดพวกมันดักรออยู่บริเวณหน้าห้องและกรุ้มรุมทำร้าย คุณกับผมอาจได้รับอันตราย  เงินแค่นี้  เราพอจะหาเอาใหม่ได้     

ภรรยาข้าพเจ้านำเรื่องหมอปลอมหลอกหมอจริงไปเล่าให้เพื่อนของเธอ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการท่องเที่ยวของประเทศจีน ได้รับรู้ในวันรุ่งขึ้นและขอให้เป็นธุระจัดการให้ด้วย  โดยมอบนามบัตรของหมอปลอมคนนี้เป็นหลักฐาน  ข้าพเจ้าและภรรยาอยู่ที่กรุงปักกิ่งต่ออีก 3 – 4  วัน ก็ต้องเดินทางไปยังสถานที่อื่นต่อไปตามหมายกำหนดการเดิม การที่นักท่องเที่ยวไม่มีเวลาอยู่ในเมืองจีนได้นาน นั่นคือ มูลเหตุจูงใจให้เหล่านักมิจฉาชีพเลือกเอานักท่องเที่ยวเป็นเหยื่อ 

เรื่องหมอปลอมหลอกหมอจริง  แม้จะมองดูเป็นเรื่องตลกขบขัน แต่ก็มีคติสอนใจแทรกอยู่ คุณหมอทั้งหลายที่จบการศึกษาไปนานๆ หรืออยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ความรู้ทางการแพทย์เลย  สักวันหนึ่ง ก็จะลืมความรู้ และทักษะในการรักษาพยาบาล  เมื่อถึงวันนั้น หากกลับมาเปิดคลินิกทำการรักษาคนไข้ทั้งๆที่ไม่มีความรู้ บางที……อาจเข้าทำนองเป็นการหลอกลวง เนื่องจากขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการใช้ยา  ทางที่ดี ก็คือ อย่าละทิ้งอาชีพแพทย์ หมั่นศึกษาทบทวนความรู้ โดยการเข้าอบรมวิชาการและฝึกทักษะอยู่เสมอ ก็จะไม่ถูกกล่าวหาว่า เป็นหมอกำมะลอ.

 

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *