รักที่หลุดลอย

รักที่หลุดลอย

 

หลายวันที่ผ่านมา ข้าพเจ้ายังคงไม่สามารถลืมเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับคนไข้รายหนึ่ง ซึ่งทารกอยู่ในภาวะอันตรายอย่างวิกฤตได้  ถ้าวันนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์ผู้ร่วมงาน ทารกน้อยคงตายในครรภ์ก่อนข้าพเจ้าเดินทางไปถึง แม้ต่อมาหลังจากคลอดแล้ว เด็กน้อยก็ยังอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วง เมื่อวานข้าพเจ้าได้ติดตามไปดูเด็กน้อยที่ห้อง ไอ. ซี. ยู.ทารกแรกเกิด จึงรับรู้ว่า  เด็กน้อยกำลังจะตาย………

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเช้าวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างความกระวนกระวายใจให้ข้าพเจ้ามากจนต้องขับรถอย่างรวดเร็ว เพื่อหาทางไปยังห้องผ่าตัดให้เร็วที่สุด ท้องถนนขณะนั้น รถติดมาก แม้ข้าพเจ้าจะอาศัยทางด่วนช่วยย่นระยะเวลา แต่การเดินทางก็ยังเชื่องช้า  โชคดีที่สุดท้าย ลูกน้อยของคนไข้ได้รับการผ่าตัดคลอดออกมาทันเวลาและมีชีวิตรอดในระยะแรก  อย่างไรก็ตาม โชคร้ายได้มาพรั่งพรูมาสู่หนูน้อยเป็นละลอก หนูน้อยที่คลอดออกมาแสดงอาการป่วยด้วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหลังจากคลอดไม่นาน จากการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือหลายๆอย่าง  สรุปรวมความว่า เป็นโรคหัวใจล้มเหลวที่รักษาไม่ได้ ( Hypoplastic left heart syndrome ) และกำลังจะตาย   พ่อแม่คนใดเล่าจะข่มใจทนรับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้

วันนั้น เป็นวันอังคาร ซึ่งข้าพเจ้าจะต้องเข้าเวรตั้งแต่ 8 นาฬิกา  เพื่อดูแลรับผิดชอบคนไข้ห้องคลอด  แต่เวลาประมาณ  7 นาฬิกา ได้มีการเรียกทางวิทยุติดตามตัวจากห้องคลอด  ขอให้โทรศัพท์กลับด่วน  เมื่อติดต่อกลับไป  พยาบาลห้องคลอดได้พูดทางโทรศัพท์กับข้าพเจ้าว่าหมอนัดคนไข้มาเร่งคลอดรายหนึ่ง ซึ่งมีอายุครรภ์ 41 สัปดาห์ 5 วัน  คนไข้มาถึงตอน 6 โมงครึ่ง ยังไม่ทันจะทำอะไรเลย  พอฟังการเต้นของหัวใจเด็ก ก็พบว่า เต้นไม่สม่ำเสมอ ( Irregular )  อัตราการเต้นอยู่ที่ 90 ถึง 120 ครั้งต่อนาที  หมอคิดว่า จะจัดการอะไรไปก่อนไหม? ”

เออ! รีบตามหมอเวรด่วนเลย กรณีเช่นนี้คงต้องผ่าตัดให้คลอดเดี๋ยวนี้ทันที  อย่ารอช้าเป็นเด็ดขาด  ข้าพเจ้าตอบไปทางโทรศัพท์ เพราะเห็นว่า ทารกตกอยู่ในภาวะอันตราย  จากนั้นไม่นาน  ข้าพเจ้าได้ออกเดินทางจากบ้าน

พอเวลา 8  นาฬิกา ข้าพเจ้าได้รับการเรียกทางวิทยุติดตามตัวจากห้องคลอดอีกครั้ง เมื่อติดต่อกลับไป  ปรากฏว่า  คุณหมอที่อยู่เวรขอพูดสายด้วย  ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ แต่พยายามตั้งใจฟังว่า มีเหตุการณ์อะไรที่พลิกผันหรือน่าตกใจเกิดขึ้น?

เออ!  พี่ครับ  คนไข้ที่พี่นัดมาเร่งคลอด   ตอนแรกหัวใจเต้นช้ามากประมาณ 90 ครั้งต่อนาที แต่หลังจากให้ออกซิเจน นอนตะแคง และเร่งน้ำเกลือเพื่อช่วยระบบไหลเวียนของเลือดแล้ว  หัวใจเด็กก็กลับมาเต้นตามปกติเหมือนเดิม  พอดี  คนไข้เพิ่งรับประทานอาหารมา  ผมเลยยกเลิกการผ่าตัด และให้รอพี่มาดูและตัดสินใจเองก็แล้วกัน  คุณหมอเวรพูดมาทางโทรศัพท์

ได้  ได้   ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเองข้าพเจ้าพูดตอบไปทางโทรศัพท์  แม้ว่า ข้าพเจ้าจะเคารพในความรู้และการตัดสินใจของสูติแพทย์ทุกท่านอยู่แล้ว  แต่กรณีคนไข้รายนี้ ในความคิดตามประสบการณ์ของข้าพเจ้า  เด็กกำลังอยู่ในภาวะอันตรายอย่างวิกฤต

ข้าพเจ้ารอเวลาให้ผ่านไปสัก 2-3 นาที จึงโทรศัพท์เข้าไปสั่งการกับพยาบาลห้องคลอดให้แจ้งห้องผ่าตัดว่า ขอผ่าตัดคลอดคนไข้รายนี้อย่างเร่งด่วน  ใจของข้าพเจ้าตอนนั้นร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟสุม ด้วยกลัวว่า ทารกจะตายก่อนเดินทางไปถึง   เพราะ ประการแรก คนไข้ตั้งครรภ์เกินกำหนดคลอดตามปกติ ( 40 สัปดาห์ ) เกือบ 2 สัปดาห์  ซึ่งมักเกิดปัญหาน้ำคร่ำน้อยและรกเสื่อม ทารกที่อยู่ในภาวะขาดออกซิเจนเช่นนี้มีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ  ประการที่สอง  การเต้นของหัวใจเด็กช้าและไม่สม่ำเสมอ  แม้จะแก้ไขจนกลับมาเป็นปกติ ก็ตาม  ด้วยเหตุนี้  ข้าพเจ้าจึงแทบจะช็อกเมื่อทราบว่า คนไข้ยังไม่ได้รับการผ่าตัดคลอดเมื่อเกือบ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งข้าพเจ้ามาทราบทีหลังว่า  ที่คุณหมอเวรไม่สามารถผ่าตัดคลอดทันที เนื่องมาจากกำลังติดผ่าตัดอยู่

เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที ข้าพเจ้ายังคงอยู่บนท้องถนนที่สภาพการจราจรแย่มาก ในวินาทีนี้  คงไม่มีอะไรดีไปกว่าขอความช่วยเหลือจากแพทย์ท่านอื่น 

มีคุณหมอสูติท่านอื่นอยู่แถวนั้นไหม? ” ข้าพเจ้าถามในขณะที่พยายามตั้งสติแก้ปัญหา อันเนื่องมาจากการเดินทางแม้จะขับรถมาทางด่วน

อาจารย์วัชรพงษ์อยู่  หมอจะคุยด้วยไหม? ” พยาบาลตอบ

อย่างนั้น  ขอเรียนสายท่านหน่อยข้าพเจ้าโล่งอกกับคำตอบนี้  จากนั้น จึงได้ขอร้องให้คุณหมอวัชรพงษ์ช่วยผ่าตัดให้ ด้วยข้อบ่งชี้ คือ เด็กในครรภ์อยู่ในภาวะอันตรายอย่างวิกฤต          ( Fetal distress ) ซึ่งท่านยินดีช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ

เวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์เข้าไปสอบถามพยาบาลห้องผ่าตัดว่าทารกน้อยเป็นอย่างไรบ้าง? ”  ซึ่งได้รับคำตอบว่าเด็กอยู่ในสภาพที่พ้นขีดอันตรายแล้ว

ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก และถามพยาบาลท่านนั้นถึงสภาพของทารกขณะที่คลอดออกมา  พยาบาลตอบว่าภายในมดลูกมีน้ำคร่ำน้อยมากและมีขี้เทาเหนียวข้นด้วย ( Thick meconium ) หมอเด็กต้องช่วยเหลืออยู่นานพอควร  เด็กมีคะแนนภาวะแรกเกิด 4 ที่ 1 นาที และ  7  ที่ 5 นาที ( จากคะแนนเต็ม 10  )  ซึ่งเท่าที่ดู  เด็กก็พอใช้ได้นะ  ตอนนี้หมอเด็กกำลังรีบส่งไปที่ห้องดูแลทารกที่อยู่ในภาวะเสี่ยง ( High  risk  room )

อึมเด็กคงไม่เป็นอะไรแล้ว โล่งอกไปเสียทีข้าพเจ้าพูดขึ้นมาลอยๆ   เหมือนกับจิตได้รับกุศลบุญไปด้วยจากการช่วยเหลือชีวิตทารกน้อยโดยคุณหมอวัชรพงษ์

เมื่อเดินทางไปถึง ข้าพเจ้าได้สอบถามถึงสภาพเด็กที่คลอดออกมาจากคุณหมอวัชรพงษ์ ซึ่งท่านบอกว่าเด็กเกือบตายแนะ เพราะน้ำคร่ำมีน้อยมากและเด็กถ่ายขี้เทาออกมาเหนียวข้น โชคดีที่ผ่าตัดทันเวลา  ช้าไปอีกสักครึ่งชั่วโมง  เด็กอาจไม่รอด

ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ไปที่ห้องดูแลทารกที่มีความเสี่ยง ( High risk room )  สอบถามเกี่ยวกับสภาพของเด็กว่าเป็นอย่างไร พยาบาลห้องเด็กบอกว่าเด็กหายใจค่อนข้างไว หมอเด็กกำลังดูและหาสาเหตุอยู่ 

ข้าพเจ้าคิดว่า เด็กคงไม่เป็นอะไรมาก การหายใจไวคงเกิดจากการที่เด็กเพิ่งผ่านพ้นสภาวะแวดล้อมภายในมดลูกที่อันตรายมาใหม่ๆ เมื่อเวลาล่วงเลยไปสักระยะหนึ่ง เด็กคงปรับสภาพได้เอง  ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยได้ขึ้นไปเยี่ยมคุณแม่คนใหม่ที่หอผู้ป่วย 6  เมื่อสอบถามพยาบาลถึงคนไข้รายที่เพิ่งผ่าตัดคลอดนี้  พยาบาลบอกว่าคนไข้ที่อาจารย์หมอวัชรพงษ์เพิ่งผ่าตัด  อยู่เตียงที่ 3  ชื่อคุณเพ็ญนภา

เออ! ลูกคุณคงไม่เป็นอะไรมากนะ ตอนแรกคิดว่า แย่เหมือนกัน เพราะตอนที่ยังไม่คลอด หัวใจเด็กเต้นช้าและผิดปกติ โชคดีที่อาจารย์หมอวัชรพงษ์อยู่แถวนั้น จึงผ่าตัดช่วยเหลือได้ทันท่วงที อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เด็กยังหายใจค่อนข้างไว หมอเด็กกำลังช่วยเหลือดูแลอย่างเต็มที่  ผมยังบอกอะไรไม่ได้มาก คงต้องรอดูสักระยะหนึ่งข้าพเจ้าแจ้งกับคุณเพ็ญนภาเกี่ยวกับสภาพของลูกชายเธอขณะนั้น

  ลูกหนู เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ  หนักกี่กิโลคุณเพ็ญนภาถาม

ผู้ชาย  น้ำหนักแรกคลอด 2650 กรัมข้าพเจ้าตอบเออ! ผมอยากจะถามหน่อยนะว่า  เมื่อคืน ก่อนมาโรงพยาบาล เด็กมีการดิ้นเป็นอย่างไรบ้าง

หนูก็ไม่ทันสังเกต  คิดว่าดิ้นปกตินะ  หนูมาถึงห้องคลอดประมาณ 6 โมงครึ่ง ยังไม่ทันจะเร่งคลอด  พยาบาลก็บอกว่า หัวใจลูกหนูเต้นผิดปกติ  ต้องปรึกษาหมอก่อน  บางทีอาจต้องผ่าตัดคลอดคุณเพ็ญนภาตอบพอ ประมาณ 8 โมงเช้า พยาบาลก็มาบอกว่า หนูต้องได้รับการผ่าตัดด่วน เพราะเด็กกำลังอยู่ในภาวะอันตราย

ข้าพเจ้าให้กำลังใจคุณเพ็ญนภาและพูดแต่ในสิ่งที่ดี โดยหวังว่า ลูกของเธอน่าจะกลับมาสู่สภาวะปกติในอีกไม่นาน  จากนั้น ก็พยายามถามไถ่อาการจากพยาบาลห้องดูแลทารกที่อยู่ในภาวะเสี่ยง ( high   risk  room )  ซึ่งพยาบาลยังให้คำตอบอะไรไม่ได้   ข้าพเจ้าคิดว่า อีกสัก 2-3 วันจะโทรศัพท์ไปสอบถามดูอีกครั้ง

เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 21 ธันวาคม  ข้าพเจ้ามีธุระที่ต้องไปทำที่ตึกกุมาร จึงนึกขึ้นได้และแวะขึ้นไปดูลูกคุณเพ็ญนภา ที่ห้อง ไอ.ซี. ยู. ทารกแรกเกิด เนื่องจากหลังคลอด 1 วัน อาการหอบเหนื่อยแย่ลง และเอกซเรย์พบ หัวใจโต เข้าได้กับภาวะหัวใจล้มเหลว  หมอเด็กจึงให้ย้ายมาอยู่ที่ห้อง ไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด

สวัสดีครับ ผมมาขอดูลูกนางเพ็ญนภาหน่อย  ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ”  ข้าพเจ้าทักทายพยาบาลห้อง ไอ. ซี. ยู. ทารกแรกเกิด และขอเยี่ยมดูลูกคนไข้ 

เด็กคงไม่รอดชีวิต  ตอนนี้ หมอเด็กหยุดให้การรักษาโรคหัวใจแล้ว เราจะรักษาแบบประคับประคองเท่านั้น   หัวหน้าพยาบาลของที่นั่นพูด

อ้าว!  ทำไมละ  เด็กเป็นโรคหัวใจอะไรร้ายแรงหรือครับข้าพเจ้าถาม

หมอไม่รู้หรือว่าเด็กเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด ( congenital anomaly )  ตอนที่คลอดออกมา  เด็กหายใจไว  พอฟิล์มเอกซเรย์ดู ก็พบว่า หัวใจโต  จึงให้ไปทำการตรวจพิเศษ ( echo cardiogram ) หมอเด็กคิดว่า หัวใจส่วนล่างซ้ายผิดปกติ เมื่อวานจึงส่งปรึกษาไปที่แผนกศัลยกรรมหัวใจเด็กที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทางโน้นวินิจฉัยเป็นโรคหัวใจด้ายซ้ายล่างผิดปกติแต่กำเนิดชนิดร้ายแรง ( Hypoplastic left heart syndrome ) ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการผ่าตัดรักษา  จึงขอส่งคนไข้เด็กกลับมาที่เรา หมอเด็กที่นี่ได้อธิบายให้พ่อแม่เด็กรับทราบ ทางพ่อแม่เด็กก็เข้าใจ เพราะทางเราช่วยเหลือเต็มที่แล้ว แต่ไม่สามารถรักษาชีวิตเด็กไว้ได้จริงๆ 

นึกไม่ถึงว่า จะมีโรคหัวใจเด็กแต่กำเนิดที่ร้ายแรงเช่นนี้ด้วยข้าพเจ้าพูดกับหัวหน้าพยาบาลห้อง ไอ.  ซี. ยู. ทารกแรกเกิด ก่อนที่จะขอตัวกลับ  หนูน้อยลูกคุณเพ็ญนภา ได้เสียชีวิตในอีก 2 วันถัดมาอย่างสงบ ซึ่ง..ทางพ่อแม่เด็กได้ขอศพไว้เพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี

เรื่องราวของลูกคุณเพ็ญนภาเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะหากทารกน้อยเสียชีวิตในครรภ์ก่อนคลอด ก็จะเกิดปัญหาตามมาอย่างมากมาย และอาจกลายเป็นความผิดของสูติแพทย์ที่ให้การดูแลรักษา  โดยทิ้งเงื่อนงำของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดของเด็กไว้เป็นความลับต่อไป

 ดังนั้น ทางหนึ่งที่ฝ่ายแพทย์จะต้องพิสูจน์เพื่อหาความจริงของสาเหตุการตายของคนไข้ที่ผิดปกติ คือ การชันสูตรพลิกศพ   ทุกวันนี้  การชันสูตรพลิกศพ ยังทำกันน้อย  เนื่องจากไม่ค่อยมีคดีฟ้องร้องแพทย์ที่ดูแลรักษา แต่แน่นอน ต่อไปข้างหน้า คงมีการทำกันมากขึ้น  ข้าพเจ้าอยากฝากความคิดเห็นไว้ว่า ไม่มีหมอคนไหนในโลก อยากให้คนไข้ที่ดูแล เสียชีวิต โดยเหตุอันไม่สมควร

 

ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างมากกับการจากไปของลูกคุณเพ็ญนภา แน่นอน! ย่อมไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับความเสียใจของคุณเพ็ญนภาและสามี   ซึ่งในตอนแรก  คล้ายๆกับว่า จะมีความหวังเกี่ยวกับชีวิตของเด็กน้อย เพราะคุณแม่ได้รับการผ่าตัดคลอดทันท่วงทีกับสภาวะวิกฤตของตัวเด็ก แต่ในที่สุด ความหวังทั้งหมดก็ต้องหลุดลอยไป  เหลือไว้เพียงความหดหู่และเหงาเศร้าของผู้เป็นบุพการี ………

.

อาจเป็นด้วยว่า  เรื่องราวในชีวิต  เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ถึง 

 สิ่งอันเป็นที่รัก ย่อมมีการพลัดพราก  เป็นธรรมดา

บทกวีที่ไพเราะเลิศหรู่   ดูจะไม่เหมาะกับสิ่งพื้นๆ

 จริงๆแล้ว หากเรารักในสิ่งใด  ต่อให้มันไร้ค่า

แต่สำหรับเรา…. มันย่อมมีค่ายิ่งกว่าบทกวีเอกของโลก..

ลูก..เป็นทั้งสิ่งล้ำค่า และเป็นที่มาแห่งบทกวีอมตะ

ทำไม  พ่อแม่บางคน ถึงชอบทอดทิ้งลูกน้อยให้อยู่เพียงลำพัง

โดยไม่ให้การศึกษา อบรม เอาใจใส่   วันหนึ่ง….เมื่อเขาจากไป….

ความเศร้าโศกเสียใจ  ก็ไม่อาจนำพาพวกเขาให้กลับคืนมาได้……

 

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

  

        

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *