ชีวิตมีค่า

สัปดาห์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ตรวจรักษาคนไข้สตรีรายหนึ่ง น่าสนใจมาก เธอชื่อ อาทิตยา เธอมาโรงพยาบาลตำรวจด้วยเรื่องคลำได้ก้อนเนื้องอกที่ท้องมานานประมาณ 2 ปี ตอนแรก เธอคิดว่า เธออ้วนและมีหน้าท้องยื่นออกมา  เธอไม่กล้าไปปรึกษาแพทย์ที่ไหน เนื่องจากเป็นคนโสดและกลัวการตรวจภายใน แต่ต่อมา ก้อนเนื้องอกยังคงโตขึ้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะยุบลง สุดท้าย เธอจึงตัดสินใจปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนๆและพี่ๆที่เป็นผู้หญิง คำตอบที่ได้ คือ ให้ไปหาหมอ

คุณอาทิตยา อายุ 40 ปี โสด หน้าตาดี  สุขภาพแข็งแรงมาตลอด  เธอไม่เคยเจ็บป่วยจนต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล  ที่น่าแปลก คือ  ระดูของเธอมาตามปกติทุกเดือน โดยไม่เคยขาดหรือมาถี่กว่ากำหนด มาคราวละ 3-4 วัน และใช้ผ้าอนามัยประมาณ 3 – 4 ผืนต่อวัน เมื่อไม่นานมานี้ คุณอาทิตยาเกิดความกลัวว่า จะเป็นมะเร็งของมดลูกหรือรังไข่ เธอจึงมาขอรับการตรวจที่แผนกสูตินรีเวชกรรม ของโรงพยาบาลตำรวจ

ความจริง ก่อนหน้านั้น 2-3 วัน มีสูตินรีแพทย์ท่านหนึ่งของโรงพยาบาลตำรวจ ได้ตรวจร่างกายของเธอและวินิจฉัยว่า เป็นเนื้องอกมดลูกหรือรังไข่และกำหนดจะผ่าตัดให้ทันทีในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากท่านได้ลาออกจากโรงพยาบาลตำรวจแล้วและจะไปปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลอื่นในอาทิตย์ถัดไป เผอิญ ตอนนั้นคุณอาทิตยากำลังมีประจำเดือน จึงรู้สึกไม่เหมาะที่จะรับการผ่าตัด ประกอบกับเธอกลัวว่า จะไม่มีแพทย์ดูแลอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น เธอจึงขอเปลี่ยนแพทย์ โดยข้าพเจ้ารับหน้าที่เป็นผู้ดูแลรักษาแทน   

ข้าพเจ้าสังเกตว่า หน้าท้องของคุณอาทิตยานูนยื่นออกมาค่อนข้างมาก ส่วนยอดของก้อนเนื้องอกอยู่ใกล้ถึงลิ้นปี่  นั่นแสดงว่า ก้อนเนื้องอกใหญ่มาก เมื่อตรวจดูด้วยอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องของคุณอาทิตยา  พบว่า ก้อนเนื้องอกเป็นเนื้อตัน มีก้อนเดียว  ความเข้มข้นของเนื้องอกไม่สม่ำเสมอ  ตอนนั้นยังแยกไม่ออกว่าเป็นเนื้องอกมดลูกหรือรังไข่   ข้าพเจ้าจึงขอตรวจดูด้วยอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดอีกครั้ง ผลปรากฏว่า มองเห็นก้อนคล้ายมดลูกอยู่ทางด้านล่าง นั่นอาจเป็นไปได้ว่า มดลูกปกติ  ดังนั้น คุณอาทิตยาน่าจะเป็นเนื้องงอกรังไข่มากกว่า ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย เพราะเนื้องงอกรังไข่ที่เป็นก้อนแข็งมักเป็นมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ามองในแง่ดีว่า เนื้องอกก้อนนี้ใช้เวลาเติบโตค่อนข้างนานประมาณ 2 ปี ดังนั้น จึงน่าจะเป็นเนื้องงอกธรรมดามากกว่าเนื้องอกมะเร็ง ข้าพเจ้าได้กำหนดวันผ่าตัดเป็นวันอังคารถัดไป โดยกำหนดให้เตรียมลำไส้อย่างดีก่อนผ่าตัด 2 วัน เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาในการผ่าตัด นอกจากนั้น ข้าพเจ้ายังชวนสูตินรีแพทย์อีกท่านหนึ่งเข้าไปช่วยผ่าตัดด้วย  เผื่อว่า จะพบเจอในสิ่งที่ไม่คาดคิดหรือยากแก่การผ่าตัด

ก่อนเข้าห้องผ่าตัด พยาบาลได้มาบอกว่า  คนไข้ขอคุยด้วย  ข้าพเจ้าคิดว่า เธอคงกลัว  แต่ที่ไหนได้  คนไข้เธอกลัวว่า แผลหน้าท้องจะไม่สวย  ข้าพเจ้าไม่ได้รับปากว่าจะดูแลเรื่องนี้ เพราะรู้แน่ว่า  ต้องกรีดลงมีดยาวตั้งแต่ ใต้ลิ้นปี่ลงมาจนถึงหัวเหน่า ซึ่งคงไม่สามารถรักษาความงามของหน้าท้องไว้ได้อย่างแน่นอน 

พอผ่าตัดเปิดหน้าท้องผ่านเข้าไป ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก เพราะก้อนเนื้องงอกที่เห็นเป็นเนื้องงอกมดลูก ไม่ใช่เนื้องอกรังไข่ ตามที่วินิจฉัยแต่แรก ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกกับการวินิจฉัยผิด สิ่งสำคัญคือการเตรียมคนไข้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าพเจ้ายกมดลูกออกจากแผลหน้าท้อง แล้วค่อยๆผ่าตัดอย่างบรรจง เพื่อเอาตัวมดลูกออก ตอนแรก  ข้าพเจ้าคิดว่า จะเก็บรังไข่ข้างหนึ่งไว้สร้างฮอร์โมน แต่ปรากฏว่า คนไข้มีโรคเยื้อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ร่วมด้วย โดยรังไข่ข้างขวามีถุงน้ำรังไข่ที่เรียกว่า Chocolate cyst ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 เซนติเมตรและมีลักษณะเป็นจุดดำๆที่บริเวณเอ็นที่ยึดมดลูกทางด้านล่าง ( sacro-illiac ligament ) รวมทั้งรังไข่ข้างซ้าย ก็มีพยาธิสภาพเป็นพังผืดที่เกิดจากเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่เต็มไปหมด

แม้ว่า ก้อนเนื้องอกมดลูกจะค่อนข้างใหญ่  แต่การผ่าตัด ก็ไม่ได้ใช้เวลานานมากนัก  ข้าพเจ้าใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น นั่นคือ การจบลงของมดลูกและรังไข่ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับร่างกายสตรีอย่างสวยงาม  แล้ววันหนึ่ง มันก็กลายสภาพไปเป็นเนื้องอกและถุงน้ำรังไข่ เวลาที่มันใช้ในการเปลี่ยนแปลง อาจเป็นเพียงไม่กี่เดือน หรือกินเวลาหลายปีก็ได้  ยิ่งเนื้องอกของมดลูกรังไข่เติบโตเร็วเท่าใด โอกาสเป็นมะเร็ง ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

สตรีทุกคนมีความเสี่ยงต่อเนื้องอกหรือมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งนั้น ยิ่งคุณแม่ คุณยาย,พี่สาวหรือน้องสาวเป็นมะเร็งของมดลูกรังไข่ โอกาสที่เธอคนนั้นจะเป็นมะเร็งคล้ายๆกันยิ่งมากขึ้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย สตรีทุกคนควรไปรับการตรวจสุขภาพและตรวจภายในเมื่อพบว่า มีความผิดปกติเกี่ยวกับระดู, มีก้อนที่หน้าท้อง, ปวดท้องน้อยหรือปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง, ตกขาวที่มีกลิ่นแปลกๆ, หรือมีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์ สุขภาพย่อมเป็นทั้งหมดของชีวิต เราควรถนอมไว้ด้วยการหมั่นตรวจรักษาเมื่อพบความผิดปกติ  โปรดอย่าอาย เพราะการวินิจฉัยและรักษาโรคร้ายในระยะแรก  จะช่วยรักษาชีวิตไว้ได้

ก่อนหน้านี้ มีเรื่องที่น่าคิดพิจารณาเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับมะเร็งรังไข่ เรื่องมีอยู่ว่า มีคนไข้สตรีรายหนึ่ง เป็นเนื้องอกรังไข่ข้างเดียว ตอนที่คุณหมอกำลังผ่าตัดเนื้องงอกรังไข่ของเธออยู่ ปรากฏว่า เนื้องอกดังกล่าวมีลักษณะภายนอกคล้ายมะเร็งรังไข่  คุณหมอท่านนั้นจึงตัดส่งชิ้นเนื้อบางส่วนของเนื้องอกไปตรวจทางพยาธิวิทยา (Frozen section)   ครึ่งชั่วโมงจากนั้น  ผลออกมาเป็นดังคาด คือ มะเร็งรังไข่ชนิดหนึ่ง ( Mucinous cystadino-carcinoma ) แต่..เนื่องจากว่า คุณหมอท่านนั้นไม่เคยคุยกับคนไข้มาก่อนว่า ถ้าพบมะเร็งรังไข่ลักษณะเช่นนี้แล้วจะตัดมดลูกและรังไข่ออกทั้งหมด ดังนั้น คุณหมอจึงผ่าตัดเอาเพียงเนื้องอกรังไข่ข้างนั้นออก โดยคงเหลือมดลูกและรังไข่อีกข้าง คุณหมอได้ให้เหตุผลว่า คนไข้อายุยังน้อยและท่านไม่เคยบอกกับคนไข้ว่า อาจจะตัดมดลูกรังไข่ออกหมดหากเป็นมะเร็ง    เพราะฉะนั้น คนไข้อาจทำใจไม่ได้ จนเกิดการฟ้องร้องในเรื่องดังกล่าว คนไข้สตรีรายนี้ได้รับเคมีบำบัดต่อไปอีก 6 เดือน ปัจจุบันยังไม่มีการเกิดซ้ำของมะเร็งรังไข่อีกข้าง แต่วันข้างหน้า   ใครเลยจะบอกได้

มีการนำกรณีเช่นนี้ มาคุยกันระหว่างสูติแพทย์ว่า ควรจะทำอย่างไรจึงจะเหมาะสม หากผ่าตัดเอามดลูกรังไข่ออกทั้งหมดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคนไข้ ผลที่อาจตามมา คือ คนไข้ฟ้องร้อง แต่หากไม่ได้ผ่าตัดเอามดลูกรังไข่ออกทั้งหมดแล้วเกิดเป็นมะเร็งซ้ำที่รังไข่อีกข้าง และคนไข้เสียชีวิตในเวลาต่อมา  ญาติคนไข้ก็อาจฟ้องร้องเช่นกัน  ขึ้นชื่อว่า ชีวิต   ทุกคนย่อมรักและหวงแหนเป็นที่สุด    ข้าพเจ้าเองต่อไปก็คงจะคุยกันกับคนไข้สตรีทุกรายว่า ในการผ่าตัดโรคที่เกี่ยวกับมดลูกรังไข่ หากเกิดปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเอามดลูกรังไข่ออกทั้งหมด  

สำหรับกรณีของคุณอาทิตยา  ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการตัดสินใจผ่าตัดเอามดลูกรังไข่ออกทั้งหมด  ทั้งๆที่เธอไม่ได้เป็นมะเร็งมดลูก  เหตุผลก็ดังที่กล่าวแล้ว ซึ่งหากเหลือรังไข่ที่มีปัญหาไว้ เธอมีโอกาสกลับมารับการผ่าตัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะตัดเอารังไข่ออกหมด

เป็นเรื่องแปลกที่ปัจจุบัน ยังมีสตรีที่มีการศึกษาและความรู้มากมายเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ยอมมาตรวจเมื่อพบว่ามีความผิดปกติขึ้นในท้องน้อย  โดยปล่อยให้เป็นเนื้องอกในท้องถึง 2 ปี ข้าพเจ้าคิดว่า คงเพราะ ความเป็นคนโสดและอายที่จะตรวจภายในนั่นเอง  แต่…เครื่องไม้เครื่องมือสมัยนี้ก็มีมาก คุณหมอผู้หญิงก็มีไม่น้อย  นั่นคือทางออกของปัญหาเหล่านี้  ยังดีที่สุดท้าย ความรักตัวกลัวตายทำให้คุณอาทิตยามาตรวจ และเนื้องอกไม่ร้ายแรง  ชีวิตของเธอจึงยังคงอยู่ต่อไปอีกยาวนานอย่างมีคุณภาพชีวิต

คนทุกคนรักชีวิต และชีวิตก็มีค่า ใครๆก็รู้  แม้กระนั้น  เวลาที่เราเหงาเศร้า  โดดเดี่ยว  ว้าเหว่  ไม่มีงานทำ  หลายคนยังอดคิดไม่ได้ว่า นี่!.. เราเกิดมาทำไม  ชีวิตเรา ช่างไม่มีค่าเอาเสียเลย    พอคิดได้อย่างนั้น  ก็พลันมีความคิดฆ่าตัวตายผุดขึ้นมาในจิตใจ  หากไม่มีสติ หรือมีคนคอยเตือนให้คืนสติ  อีกไม่นาน  คนเหล่านั้นก็จะไปฆ่าตัวตายจริงๆ  สำเร็จบ้าง  ไม่สำเร็จบ้าง  เรื่องเหล่านี้  เกิดขึ้นตลอดเวลาในสังคมยุควัตถุนิยม  วิธีแก้ไข ข้าพเจ้าคิดว่า น่าจะเริ่มต้นด้วยการมีครอบครัวและต้องเป็นครอบครัวที่ดี   อีกอย่างหนึ่ง คือ ศึกษาพุทธศาสนาในลักษณะมีสติ ไม่ใช่ด้วยความหลง ความไม่รู้  โดยสรุปลงด้วยคำสอนของพระธรรมปิฎกเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ว่า ให้มีชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา

สิ่งมีค่า   ใดใด  ในโลกนี้      ก็ไม่เหมือน  ชีวี  ที่หวงแหน

ชีวิต  หามี  สิ่งทดแทน                     สุดแสน   ลึกล้ำ  เกินคำคน

ตราบใด  ลมหายใจ  ยังเลื่อนไหล     ต้องต่อสู้  ด้วยใจ  ในทุกหน

ผิดพลาด พานพบ  มารผจญ           อดทน  ก้มหน้า   ท้าทาย

                ชีวิต ต่ำต้อย แม้นด้อยค่า   ยังดีกว่า ผักปลา ที่มาขาย

ชีวิต  มีค่า   น่าเสียดาย                  อย่าทำลาย  ให้หมอง  กองบนดิน

                ชีวิตนั้น  อันตราย อย่างร้ายเหลือ จากโรคเบื่อ  โรคอยาก  โรคถวิล

โรคเหงา  โรคเศร้า   คอยเกาะกิน         มิสุดสิ้น เรื่องโศก  วิโยคภัย  

                โรคอะไร ก็ไม่เท่า  โรคไม่รู้     ถือตัวมึง   ตัวกู  เป็นนิสัย  

ชอบก่อกรรม  ทำชั่ว   ไม่กลัวใคร       ในจิตใจ  ขาดไร้  ซึ่งไมตรี 

                ชีวิต  ที่มีค่า น่ายกย่อง         จำเป็นต้อง  มองตน  บนวิถี

มีสติ  คุณธรรม  แห่งความดี                 ด้วยวจี  ดวงใจ  ที่ใสงาม 

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

                                                            พ.ต.อ. นพ.เสรี ธีรพงษ์   ผู้เขียน 

 

 

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *