โศกนาฏกรรม ของคนท้อง
ค่ำคืน..ในราตรีแห่งความเงียบ ข้าพเจ้าได้สดับฟังเพลงบรรเลงด้วยเครื่องเป่า Pan flute (ชื่อเพลง ‘Celeste’) ของนักดนตรีอินเดียแดงคนหนึ่ง ชื่อ Leo Rojas.. ให้รู้สึกกินใจ ในความไพเราะสนุกสนานเสียเหลือเกิน พลัน!! นึกถึงเรื่องราวอันน่าเศร้าของคนท้อง 2 เรื่อง ซึ่ง..เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้..ก่อให้เกิดอารมณ์ขัดแย้งกันภายในความรู้สึกของข้าพเจ้า…ใจหนึ่งเหงาเศร้า.. อีกใจหนึ่งเริงร่า.. ในห้วงเวลาเช่นนี้ ทำให้เกิดความคิดว่า ‘นี่หรือคือ รูปแบบอารมณ์ของมนุษยชาติ ..ที่สามารถโศกเศร้า และเริงร่าในเวลาเดียวกันได้..’
การตั้งครรภ์หรือ การ‘ท้อง’ที่เราชาวบ้านชอบเรียกกัน.. แท้ที่จริง!!! มันมีเรื่องราวซับซ้อนแทรกอยู่มากมาย บางเรื่องสุดแสนเศร้า.. บางเรื่อง นำเอาความสุขมาสู่ อย่างไรก็ดี ทุกคนที่ตั้งท้องควรเรียนรู้วิชาการไว้บ้าง เพื่อให้อยู่รอดปลอดภัยก่อนจะมาถึงมือหมอ.. ยามเจอสถานการณ์คับขัน แม้แต่ตอนที่ได้เข้ามาอยู่ในห้องคลอด คนท้องก็สามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสม….บางเรื่อง แม้แก้ไขเหตุการณ์ไม่ได้ แต่จิตใจ ก็มีสติระลึกรู้ ผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้…
ถึงแม้จะมีความรู้แบบชาวบ้าน ก็ถือว่า มีความสำคัญไม่น้อย.. เพราะกระบวนการ‘ท้อง’นั้น อันตรายทุกย่างก้าว บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้าและระหว่างตั้งครรภ์ สามารถนำพาคนท้องไปสู่โศกนาฏกรรมได้ ซึ่ง..แน่นอน..รุนแรงเลวร้ายอย่างที่คาดไม่ถึงทีเดียว…
เมื่อเดือนก่อน ได้เกิดเรื่องราวแสนเศร้าเรื่องหนึ่ง ถ่ายทอดจากปากของหมอสูติเพื่อนสนิทของข้าพเจ้า ซึ่งทำงาน ณ โรงพยาบาลรัฐในเขตกรุงเทพฯ คุณหมอได้ทำการผ่าตัดผ่านกล้องเอาเนื้องอกมดลูกออกให้คนไข้รายหนึ่ง (Laparoscopic myomectomy) …ต่อมา คนไข้รายนั้น ตั้งครรภ์.. เธอได้ไปฝากครรภ์ ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย (ขอสงวนชื่อ) ตั้งแต่รู้ตัวว่า’ท้อง’ ..คนไข้รายนี้ ดำเนินการตั้งครรภ์ไปตามลำดับ โดยไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไร.. จนกระทั่งอายุครรภ์ ได้ 34 สัปดาห์ จู่ๆ!! เธอก็รู้สึกปวดท้องน้อย คล้ายๆกับการมีระดู…เธอแวะมาสอบถามคุณหมอเพื่อนของข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลของรัฐ.. คุณหมอตอบว่า ‘ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่ถ้ามีปัญหา.. ก็รีบมาหา ก็แล้วกัน’
วันหนึ่ง คนไข้รายนี้ปวดท้องเจ็บครรภ์มาก เธอได้เข้าไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยฯ ผลปรากฏว่า มดลูกแตก (Uterine ruptured) ..ทารกหลุดออกมาจากตัวมดลูก เข้าไปล่องลอยอยู่ในช่องท้อง .. คณะแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์แห่งนั้น ได้ทำการผ่าตัดช่วยชีวิตเด็กอย่างสุดกำลัง.. ปัจจุบัน ทารกน้อยยังอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. และไม่ทราบชะตากรรม ..ส่วนคนไข้ผู้เป็นมารดา ได้รับการผ่าตัดเอามดลูกออกทิ้งไป (Hysterectomy) เนื่องจากมดลูกเกิดความเสียหายจนเก็บรักษาไว้ไม่ได้ ขณะนี้ เธอกำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ที่บ้าน ..เรื่องราวหลังจากนั้น คุณหมอเพื่อนข้าพเจ้าไม่ทราบ และกำลังรอฟังข่าวคราว..
โศกนาฏกรรมที่แย่กว่าเรื่องข้างต้น ยังมีอีก นั่นคือ เรื่องราวของคุณกรกช.. เธอมีอายุเพียง 26 ปี ตั้งครรภ์แฝดและเป็นครรภ์แรก.. ฝากครรภ์ที่คลินิกแห่งหนึ่ง สูติแพทย์ผู้รับฝากได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ให้ตั้งแต่แรก พบว่า เป็นครรภ์แฝด จึงส่งตัวไปฝากครรภ์ยังโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง.. เธอฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง วันหนึ่งเธอทราบข่าวว่า มีการทำเลเซอร์ที่เส้นเลือดของรก ในกรณีเพื่อการรักษาทารกแฝดที่มีขนาดต่างกันมาก (Discordant twins) เนื่องจากเส้นเลือดของรกพันกันและมีการถ่ายเทเลือดจากแฝดคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง เหมือนสภาพของบุตรแฝดของเธอ หลังจากเข้าไปรับการยิงเลเซอร์ที่เส้นเลือดของรกเธอ ณ โรงเรียนแพทย์ (ขอสงวนนาม) ผลก็ปรากฏออกมาดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ
การตั้งครรภ์แฝดของสตรีนั้น เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่ง และนำความสุขมาให้ครอบครัวของผู้นั้นมากมาย ….มีผู้คนไม่มากนัก ที่ตั้งครรภ์แฝดเองโดยธรรมชาติอย่างเช่นกรณีคุณกรกช….ไม่ว่า..จะเป็นแฝดฝาเดียวกันหรือคนละฝา ก็ตาม
แฝดมหัศจรรย์ของคุณกรกช.. เติบใหญ่ ไปตามอายุครรภ์ โดยไม่มีทีท่าว่า จะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น จนกระทั่งคุณกรกช ตั้งครรภ์ได้ 33 สัปดาห์ 4 วัน.. เธอเกิดเจ็บครรภ์ และมีน้ำเดินมาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งแรก.. เมื่อคุณหมอสูติที่นั่นตรวจภายใน ก็พบว่า ปากมดลูกเปิด 3 เซนติเมตรแล้ว ..ท่านจึงให้ยาเพื่อพัฒนาปอดเด็ก (Steroid) และขอส่งต่อ (Refer) ไปยังโรงพยาบาลศูนย์อีกหลายแห่ง.. ซึ่ง..ทุกแห่งปฏิเสธที่จะรับ เนื่องจาก ไม่มีตู้อบทารก ที่มีเครื่องช่วยหายใจประสิทธิภาพสูง ..คุณกรกช เธอจึงดั้นด้นมาที่โรงพยาบาลตำรวจ
สูติแพทย์เวรของ รพ.ตำรวจรับตัวคุณกรกชไว้ โดยปรึกษากับกุมารแพทย์ก่อน เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า ห้องไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิดยังพอรับได้… คนไข้มาถึงห้องคลอดเมื่อเวลา 16 นาฬิกาของเย็นวันหนึ่ง.. พยาบาลห้องคลอดตรวจภายในให้ พบว่า ปากมดลูกเปิด 4 เซนติเมตร ความบาง 80% ..ทารกแฝด เป็นท่า หัว,หัว (Vertex, Vertex) สูติแพทย์เวร ได้ให้ยาพัฒนาปอดต่อ อีก ๒ ครั้ง และผ่าตัดคลอดให้กับคนไข้ เมื่อเวลา 11 นาฬิกาของเช้าวันใหม่
ทารกทั้งสองคน เป็นเพศหญิง มีน้ำหนักแรกคลอด 1570 และ1716 กรัม มีคะแนนศักยภาพแรกคลอดเท่ากัน คือ 8,9,10 ตามลำดับ (คะแนนเต็ม 10) ณ นาทีที่ 1,5, 10 อย่างไรก็ตาม ..ทารกแฝดทั้งสองถูกส่งตัวไปดูแลที่ห้อง ไอ.ซี.ยู.เด็ก ตั้งแต่แรก โดยไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ..
สิ่งที่ไม่คาดคิดถึง คือ ทารกแฝดทั้งสอง เริ่มมีอาการแสดงเกี่ยวกับปอดหลังจากนั้น 2 วัน หมายความว่า ปอดเป็นฝ้า (NEC) ทารกแฝด จึงได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจทั้งสองคน ต่อมา ทารกแฝดทั้งสองรับน้ำนมจากสายยาง ได้น้อยลง.. กุมารแพทย์จึงรักษาแบบการติดเชื้อทั่วร่างกาย โดยได้ให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีทางเส้นเลือดดำ.. หลังจากนั้น ไม่นาน ภาวะการหายใจของทารกน้อย ก็แย่ลงตามลำดับ
เวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ จู่!! ทารกแฝดตัวแรก ก็เสียชีวิตจากภาวะลมหายใจล้มเหลว..ถัดจากนั้น อีกวันเดียว ทารกแฝดตัวที่สอง ก็สิ้นชีพตามไป ..ยังความโศกเศร้ามาสู่คุณกรกช สามีและญาติ รวมทั้งแพทย์,พยาบาลและเจ้าหน้าที่ห้องไอ.ซี.ยู. ทุกคนที่เกี่ยวข้อง หรือรับรู้เรื่องราว
คณะกุมารแพทย์ คิดว่า การเสียชีวิตของทารกแฝดรายนี้ น่าจะเกิดจากเส้นเลือด ที่เชื่อมระหว่างหัวใจกับปอดทารกน้อยทั้งสองผิดปกติ ..ดังนั้น จึงเกลี้ยกล่อมให้คุณกรกช มอบร่างของทารกทั้งสอง ทำการชันสูตรพลิกศพ เพื่อหาสาเหตุ.. แต่คุณกรกช ผู้เป็นมารดา ทำใจยอมรับไม่ได้ ..ไม่ยินยอม และนำร่างของเด็กน้อย กลับไปบำเพ็ญกุศล ที่วัดใกล้บ้าน ..
เรื่องราวของคุณกรกช และลูกแฝด กำลังจะเลือนหายไปจากสังคม.. วันหนึ่ง มีการพูดถึงเรื่องนี้ ในการประชุมวิชาการตอนเช้าของแผนกสูติฯ ข้าพเจ้ารับฟังด้วยความตกใจ สะเทือนใจ อย่างมาก..โดยสะท้อนใจว่า เรื่องราวเช่นนี้ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่.. จะโศกเศร้า หดหู่ใจ และเป็นทุกข์เพียงใด
ต่อไปภายภาคหน้า ปัญหา ‘การคลอดก่อนกำหนด (Preterm labor)’ ดังเช่นกรณีของคุณกชกร จะเป็นสิ่งที่สร้างความวุ่นวายไม่รู้จบ ให้กับโรงพยาบาลของรัฐ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กที่เกิดก่อนกำหนดนั้น มากมายเหลือคณานับ คิดเป็นเงินหลายแสนหรือหลายล้านบาท.. คนท้องที่ตั้งครรภ์ และเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด จะวิ่งวุ่นหาโรงพยาบาลรัฐ ที่มีศักยภาพระดับศูนย์การแพทย์ อันพรั่งพร้อมด้วยห้องไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด ที่มีเครื่องช่วยหายใจประสิทธิภาพสูง..แต่โรงพยาบาลดังกล่าว มีน้อย..เพราะรัฐ ไม่ได้ให้ความสนใจและทุ่มเทงบประมาณ เพื่อการนี้
พระพุทธเจ้า ทรงกล่าวย้ำบ่อยๆว่า ‘น้ำตาของมวลมนุษยชาติที่เหยียบย่ำอยู่บนกองทุกข์นั้น หลั่งไหลออกมา.. มากมายยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก’ ระหว่างที่กำลังเขียนเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้เปิดเพลงบรรเลงของชาวอินเดียแดงคนนั้น และสดับตรับฟังด้วยความตั้งใจ..ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เป็นสิบๆเที่ยว..โดยไม่แปรเปลี่ยนความคิด ไปจากเดิม ..คือ การที่มนุษยชาติ ยังคงเริงร่า บนกองทุกข์ ที่ทับถมกันมาแสนกัลป์แสนกัป โดยไม่รู้เดียงสา เลยสักนิด…
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
พ.ต.อ.นพ. เสรี ธีรพงษ์ ผู้เขียน