แฝดใจเพชร

แฝดใจเพชร

คนไข้สตรีที่ตั้งครรภ์แฝด ส่วนใหญ่มักดีใจที่จะได้บุตรทีเดียว 2 คน แต่ก็มีสตรีบางรายที่เกิดเหตุการณ์อันไม่พึงปรารถนาขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์  คือ ทารกตัวหนึ่งเสียชีวิตไป การจัดการและดูแลทารกตัวที่เหลือ ต้องใช้ประสบการณ์และวิจารณญาณอย่างมาก  นี่เอง….. ข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยสบายใจทุกครั้งที่ต้องดูแลคนไข้ครรภ์แฝด  ยิ่งแฝดจำนวนมากเท่าไหร่  ยิ่งไม่สบายใจเท่านั้น

หลายปีก่อน ข้าพเจ้าได้ทำกี๊ฟ ( Gamete intrafallopian transfer ) ให้กับสตรีรายหนึ่ง แล้วตั้งครรภ์แฝดสาม แต่ขณะที่เธอตั้งครรภ์ได้ 16 สัปดาห์ ทารกคนแรกก็เสียชีวิตลง  ต่อมา ทารกคนที่สองก็เสียชีวิตตามไปอีกเมื่อตั้งครรภ์ได้ 20 สัปดาห์  พอตั้งครรภ์ได้ 28 สัปดาห์  คนไข้สตรีผู้นั้นก็คลอดบุตรคนที่ 3 ออกมา ปรากฏว่า เป็นทารกเพศชาย น้ำหนักแรกคลอดเพียง 700 กรัม ทารกได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เป็นเวลานานถึง 4 เดือน ใน ห้องไอ. ซี. ยู.ทารกแรกเกิดของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ในที่สุด ทารกน้อยก็สามารถรอดชีวิตมาได้โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนทางสมอง  ยกเว้น  มีขนาดและน้ำหนักตัวที่เล็กกว่าเด็กทั่วไป 

ที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ ก็เพื่อที่จะบอกว่า การเสียชีวิตของแฝดคนใดคนหนึ่งขณะอยู่ในครรภ์นั้น  สามารถเกิดขึ้นได้และมักส่งผลถึงแฝดคนที่เหลือด้วย ซึ่งจะมีผลกระทบมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสาเหตุและจำนวนอายุครรภ์ หากแฝดคนหนึ่งเสียชีวิตตอนอายุครรภ์น้อยๆ การตั้งครรภ์ยังคงดำเนินต่อไปได้  โดยมักไม่กระทบกระเทือนมากนัก  แต่ถ้าเสียชีวิตตอนอายุครรภ์ เกินกว่า 30 สัปดาห์ขึ้นไป อาจทำให้แฝดที่เหลืออยู่มีปัญหา

หลายเดือนที่ผ่านมา  ได้เกิดเหตุการณ์ดั่งที่เกริ่นข้างต้นกับคนไข้สตรี 2 รายในเวลาที่ใกล้เคียงกัน สตรีรายแรก ชื่อคุณจินตนา เกิดเหตุการณ์ลูกแฝดคนหนึ่งตายขณะอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ ส่วนสตรีอีกราย ชื่อคุณเรณู ลูกแฝดคนหนึ่งตายขณะอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสให้คำปรึกษาและดูแลรักษาคนไข้สตรีทั้งสองคน ซึ่งจำเป็นต้องดูแลและดำเนินการด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง  มิฉะนั้น อาจเกิดปัญหาที่จะนำพาความเศร้าใจมาสู่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง

คุณจินตนา และคุณเรณูฝากครรภ์อยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนคนละแห่ง คุณจินตนาได้ฝากครรภ์กับสูติแพทย์ท่านหนึ่งจนถึงอายุครรภ์ 26 สัปดาห์ ก็ขอย้ายมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ  ส่วนคุณเรณู เธอฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชนมาโดยตลอดจนกระทั่งลูกแฝดคนหนึ่งเสียชีวิต สูติแพทย์ที่รับฝากครรภ์จึงแนะนำ ให้คุณเรณูมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจควบคู่กันไป  เพราะหากมีปัญหาเกี่ยวกับการคลอดก่อนกำหนด คุณเรณูจะคลอดบุตรที่โรงพยาบาลของรัฐเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย  แต่…หากการตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปจนใกล้ครบกำหนดได้  คุณเรณูจะขอกลับไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น

ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้น ตกใจ ดีใจคละเคล้ากันไปกับการดูแลคนไข้สตรีทั้งสองท่าน  แต่ในลักษณะที่แตกต่างกัน

กรณีของคุณจินตนา  ข้าพเจ้าได้ดูแลเธอตั้งแต่อายุครรภ์ 26 สัปดาห์  ตอนแรกไม่ทราบมาก่อนว่า  คุณจินตนา  ตั้งครรภ์แฝด   มาทราบก็ตอนตรวจดูด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ในครั้งแรกที่พบกัน  ทารกแฝดตอนนั้น มีขนาดใกล้เคียงกับอายุครรภ์ โดยมีแฝดคนหนึ่งใหญ่กว่าอีกคนหนึ่งเล็กน้อย  การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปโดยไม่มีสัญญาณอะไรบ่งบอกว่า จะเกิดปัญหา จนกระทั่งวันหนึ่งในเดือนตุลาคม   ขณะนั้นคุณจินตนา  ตั้งครรภ์ได้ 36 สัปดาห์

เวลาประมาณ 2 ทุ่ม  คุณจินตนา  โทรศัพท์เข้ามาปรึกษาข้าพเจ้าว่า หมอ! หนูรู้สึกว่า ลูกไม่ดิ้นเลยตั้งแต่ตี 5  หนูลองสังเกตอาการ  เด็กดิ้น หลังรับประทานอาหารเช้าและกลางวันตามที่คุณหมอเคยแนะนำแล้ว  เด็กก็ไม่ดิ้นเหมือนเดิม  หมอจะให้ทำยังไงดี?…ตอนนี้ หนูกำลังเดินทางมาที่โรงพยาบาล ( ขอสงวนนาม )

วันนี้ท้องแข็งเป็นพักๆหรือเปล่า? และมีอาการเจ็บครรภ์บ้างไหม? ข้าพเจ้าถาม

รู้สึกว่า  ท้องแข็งเป็นพักๆเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่า เป็นการเจ็บครรภ์หรือเปล่า หนูไม่ค่อยรู้สึกเจ็บท้องเลย   รู้สึกแค่เกร็งๆเท่านั้น..

เออ!..คุณจินตนารีบเข้าไปนอนพักที่ห้องคลอดก่อน เพื่อตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเด็ก ( non – stress  test  )  เดี๋ยว..ผมจะโทรศัพท์เข้าไปสั่งการรักษากับพยาบาล   ข้าพเจ้าแนะนำ

หลังจากคุณจินตนาเข้านอนพักที่ห้องคลอดของโรงพยาบาล ( เอกชน ) และได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเด็กแล้ว   พยาบาลห้องคลอดได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าว่า ได้ยินเสียงหัวใจเด็ก  แต่บอกไม่ได้ว่า เป็นของเด็กทั้งสองหรือเปล่า?.. หรือเป็นของเด็กตัวใดตัวหนึ่ง….

ไม่เป็นไร…..ผมกำลังขับรถอยู่ในระหว่างทาง  อีกประมาณ 5 นาที คงเดินทางไปถึง ข้าพเจ้ารีบขับรถออกจากบ้านทันที  ที่คุณจินตนาโทรศัพท์หา ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ ครึ่งชั่วโมง จึงจะถึงโรงพยาบาล

เมื่อไปถึงห้องคลอด  ข้าพเจ้าสังเกตว่า  คุณจินตนา  สามีและคุณแม่ที่ติดตามมาด้วย  มีสีหน้าตื่นตระหนก   จริงๆแล้ว   ข้าพเจ้าก็ตกใจไม่ใช่น้อย  เพราะการที่เด็กไม่ดิ้นในคนท้องนั้น  ไม่ใช่เรื่องธรรมดา   มันอาจหมายถึง  ทารกตายในครรภ์  

โชคดี  ที่คุณจินตนามีอาการเจ็บครรภ์ร่วมด้วยกับการที่เด็กไม่ดิ้น  นั่นหมายถึงว่า ทารกอาจไม่ตายในครรภ์ เพราะ ความรู้สึก เด็กดิ้น ของมารดาอยู่ที่บริเวณผนังหน้าท้อง ดังนั้น เมื่อมดลูกแข็งตัว ผู้เป็นแม่จึงอาจไม่รู้สึกว่า เด็กดิ้น

พยาบาลห้องคลอดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบในตอนแรกว่า ลูกคุณจินตนาหัวใจเต้นในอัตราปกติ และ มดลูกมีการแข็งตัวประมาณทุก 5 นาที  ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก เพราะอย่างน้อยทารกคนหนึ่งต้องรอด  แต่…ข้าพเจ้าอยากให้ทารกน้อยรอดทั้งสองคน 

ระหว่างที่รอการตรวจยืนยันการมีชีวิตของลุกคุณจินตนาด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องการตั้งครรภ์แฝดของคุณเรณู ซึ่งมีลูกแฝดคนหนี่งเสียชีวิตลงขณะอายุครรภ์ได้ 24 สัปดาห์ว่า เมื่อไม่กี่วันมานี้  มีคนไข้สตรีรายหนึ่ง ท้องแรก ตั้งครรภ์ประมาณ 6 เดือน ฝากครรภ์อยู่ที่โรงพยาบาล ( ขอสงวนนาม )…..  โทรศัพท์มาปรึกษาว่า จะทำอย่างไรดี เพราะลูกแฝดคนหนึ่งได้เสียชีวิตลงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา  มาทราบก็ตอนที่มาตรวจครรภ์ตามนัด แล้วหมอตรวจดูด้วยอัลตราซาวนด์ 

ข้าพเจ้าจึงได้แนะนำว่า ครรภ์แฝดสอง  ที่ทารกคนหนึ่งตายตอนอายุครรภ์น้อยๆ  ไม่ค่อยมีผลต่อการตั้งครรภ์มากนัก  ขอให้ใจเย็นๆ  และฝากครรภ์ตามนัดไปเรื่อยๆ  คุณหมอคงนัดถี่ขึ้นและตรวจดูด้วยอัลตราซาวนด์บ่อยๆ    หลังจากนั้นคุณเรณูก็มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจสลับกับที่โรงพยาบาลเอกชน สูติแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชน คงกลัวว่า  เด็กจะคลอดก่อนกำหนดแล้วคุณแม่จะรับภาระทางการเงินไม่ไหว  

จากการศึกษา พบว่า  ทารกแฝดคนใดคนหนึ่งมีโอกาสเสียชีวิตระหว่างตั้งครรภ์ ( single antepartum  fetal  demise ) ประมาณร้อยละ 0.5 ถึง 6.8   ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในครรภ์แฝดแท้หรือแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน ( monochorionic gestation )  ซึ่งมีสาเหตุมาจากเส้นเลือดบริเวณรกมีการไหลถ่ายเทเลือดระหว่างกัน ( placental  vascular anastomosis and twin-twin  transfusion  syndrome )  ส่วนกรณีที่เกิดในแฝดเทียม ( ไข่คนละใบ ) จะสัมพันธ์กับภาวะเส้นเลือดอุดตัน ( vascular   thrombosis )  , ภาวะเติบโตช้าในครรภ์ ( intrauterine  growth  retardation ) , รกลอกตัวก่อนกำหนด และภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์  นอกจากนั้น ยังมีสาเหตุอื่นๆอีก เช่น สายสะดือเกาะที่ขอบรก ( velamentous  cord  insertion ) และสายสะดือพันกัน 

ข้าพเจ้าได้พูดกับคุณจินตนา สามีและคุณแม่ของเธอว่า บางที คุณจินตนาอาจเกิดเหตุการณ์เหมือนกับที่เล่ามา  คงต้องตรวจยืนยันด้วยอัลตราซาวนด์ก่อน จึงจะรู้แน่

ข้าพเจ้าได้ตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องของคุณจินตนา  พบว่า ทารกมีหัวใจเต้นเพียงคนเดียว    ข้าพเจ้าได้แจ้งให้คุณจินตนา และครอบครัวทราบ โดยขอให้คุณจินตนาคลอดบุตรในทันที  โดยวิธีผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง  ( emergency cesarean  section )  เหตุผลก็คือ ทารกโตพอสมควร จนน่าจะอยู่รอดในสภาพแวดล้อมภายนอกได้แล้ว  และสิ่งแวดล้อมภายในที่ทำให้ทารกคนหนึ่งเสียชีวิต  อาจทำให้แฝดอีกคนหนึ่งเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วได้ 

ก่อนผ่าตัด  ข้าพเจ้าได้เชิญกุมารแพทย์ที่เชี่ยวชาญ  2 ท่าน มารอรับเด็ก  การผ่าตัดคลอดเป็นไปอย่างเรียบร้อย ทารกคนแรก ที่คลอดออกมา ตัวใหญ่กว่า หนัก 2300 กรัม เสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์    ทารกคนถัดมา หนัก 1900 กรัม แข็งแรง  ส่งเสียงร้องดัง  และไม่มีปัญหาเรื่องการหายใจ  นี่เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากที่สุด ที่สามารถช่วยชีวิตทารกแฝดได้หนึ่งคนให้พ้นจากภัยคุกคาม ซึ่งซ่อนอยู่ภายในมดลูก………. แม้ว่า ครอบครัวของคุณจินตนา จะต้องสูญเสียสิ่งมีค่าที่สุดไปสิ่งหนึ่ง  ก็ตาม

แนวทางการรักษาแฝดสองที่ทารกคนหนึ่งตายในครรภ์นั้น  ได้มีผู้ศึกษาไว้อย่างมากมาย สรุปได้ว่า  เมื่อครรภ์แฝดได้รับผลกระทบจากการตายของแฝดคนหนึ่ง ย่อมส่งผลให้แฝดคนที่รอดมีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด , รกลอกตัวก่อนกำหนด  และระบบอวัยวะใหญ่ๆเสียหาย ( major organ  system injury )  ทารกแฝดคนที่รอดในครรภ์ช่วงไตรมาสที่ 3 ( ตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป ) มักแสดงอาการว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ( fetal  distress ) ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากแฝดคนหนึ่งเสียชีวิตลง  ดังนั้น  สตรีผู้เป็นมารดาจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล  อย่างน้อย 12 24 ชั่วโมง เพื่อสังเกตอาการทารกแฝดคนที่รอด ( continuous fetal  monitoring )  หากมีสัญญาณบ่งบอกว่า  ทารกตกอยู่ในอันตราย   ก็ต้องทำการผ่าตัดคลอดเอาออกมาทางหน้าท้องทันที   ซึ่งส่วนใหญ่ปัญหาผลกระทบจากการคลอดก่อนกำหนดในทารกแฝดคนที่รอด ( major  morbidity ) มักจะไม่มากหลังจากอายุครรภ์ 33 สัปดาห์ขึ้นไป

สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสม ในการทำคลอดครรภ์แฝดที่ทารกคนหนึ่งเสียชีวิตนั้น ( monochorionic twins )  คือ  อายุครรภ์ตั้งแต่ 34 สัปดาห์ขึ้นไป โดยในช่วงอายุครรภ์ระหว่าง 32 34 สัปดาห์  สูติแพทย์ควรพิจารณาเรื่องการเจาะน้ำคร่ำเพื่อนำมาทดสอบว่า ปอดของทารกสามารถทำงานได้ดีหรือไม่หากทารกอยู่ในสิ่งแวดล้อมภายนอก ( lung maturity )  เมื่อการทดสอบให้ผลบวก   ก็สามารถตัดสินใจให้คลอดได้ตามความเหมาะสม

สำหรับกรณีของคุณเรณู  การตั้งครรภ์ยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น  คุณเรณูได้รับการผ่าตัดคลอดในช่วงต้นของปีใหม่ โดยสูติแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนเดิม ลูกของคุณเรณูคนที่รอด  เป็นเพศชาย   มีน้ำหนักแรกคลอด 3800 กรัม  แข็งแรงดี  ส่วนคนแฝดที่เสียชีวิต  มีน้ำหนัก 750 กรัม  ข้าพเจ้าได้แสดงความยินดีกับคุณเรณูและสามีของเธอ   ขอให้ทั้งสองท่านมีความสุขกับลูกน้อย  สมดั่งที่ตั้งตาคอยมาอย่างใจจดใจจ่อเป็นเวลานานหลายสัปดาห์  

เมื่อยามที่เกิดมา  มีใครรู้บ้างว่า  อนาคตจะเป็นเช่นไร?  เราจะต้องต่อสู้และใช้ชีวิตในโลกนี้ด้วยความยากลำบากแค่ไหน?

ข้าพเจ้าคิดว่า แค่มีชีวิตอยู่รอดได้ในสังคมและใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญ มีงานทำ มีความสุขตามอัตภาพ โดยไม่เดือดร้อนมากนัก  ก็ถือว่า  คุ้มค่ากับการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว สำหรับการมีชีวิตอยู่ในโลกภายนอก  หากสิ่งแวดล้อมไม่ดี  เรามีโอกาสหนีไปให้ไกลได้  แต่ทารกที่อาศัยอยู่ในมดลูก  หากสิ่งแวดล้อมมีปัญหา  ทารกน้อยจะหนีไปที่ไหน   

การเกิดมาพร้อมกับคู่แฝด  ซึ่งต้องเบียดแย่งแข่งกันตั้งแต่อยู่ในครรภ์  เป็นเรื่องของพรหมลิขิต  หากคู่แฝดคนหนึ่งตายไปเสียก่อน แฝดคนที่รอดชีวิตก็ต้องดิ้นรนอยู่ต่อไปในครรภ์โดยไม่รู้แน่ว่า  จะจบชีวิตลงวันไหน  สิ่งแวดล้อมภายในมีหรือ ที่จะเหมาะสมสำหรับแฝดคนที่รอด นี่เอง…….ที่ข้าพเจ้าอยากจะยกย่องจริงๆ และให้ฉายาทารกแฝดคนที่รอดว่าเป็น แฝดใจเพชร    เพราะ..เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางภยันตรายในครรภ์เป็นเวลานานหลายสัปดาห์ จนสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย.

พ.ต.อ. นพ.เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *