อัลตราซาวน์ (คลื่นเสียงความถี่สูง) เขาว่า มีอันตราย…?จริงหรือ

 

           อัลตราซาวน์ คืออะไรกันแน่? รังสีหรือคลื่นเสียง ทำไมใคร ๆ บอกว่า "อันตราย..! อย่าได้ไปทำโดยเด็ดขาด    สตรีทั่วไป ทำบ่อย ๆ อาจเป็นมะเร็ง    สตรีตั้งครรภ์ ทำบ่อย ๆ  เด็กจะพิการ"   ความจริงเป็นอย่างไร

         อัลตราซาวน์ คือ คลื่นเสียงความถี่สูง ไม่ใช่รังสีหรือเอ็กซเรย์   เหมือนอย่างที่ชาวบ้านบางคนเข้าใจ     สามารถใช้ได้ทั้งเพื่อการวินิจฉัย   (DIAGNOSIS)  และการรักษา (TREATMENT)    แต่ผลกระทบต่อเนื้อเยื่อและเซลล์มีชีวิตจากคลื่นเสียงของเครื่องอัลตราซาวน์  ชนิดที่ใช้เพื่อการวินิจฉัย จะน้อยกว่า ชนิดที่ใช้เพื่อการรักษา และถือว่า"ปลอดภัย" แน่นอน ซึ่งรับรองโดยราชวิทยาลัยสูติ-นรีแพทย์แห่งประเทศสหรัฐ   (ROYAL COLLEGE OF OBSTETRICS AND GYNECOLOGISTS)       และสถาบันด้านอัลตราซาวน์ในทางการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (AMERICAN INSTITUTE OF ULTRASOUND IN MEDICINE)

         จากงานวิจัยด้วยการสัมภาษณ์  มารดาจำนวน 400,000 คน ที่เคยทำการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวน์มาก่อน พบว่า "มีความพอใจเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีผลเสียใด ๆ ต่อทารกแรกเกิด" อันได้แก่ 

             * ไม่มีความพิการแต่กำเนิดหรือเป็นมะเร็ง มากกว่าปรกติ

             * ไม่มีการเจริญเติบโตช้ากว่าปรกติ

             * ไม่มีความบกพร่องในเรื่องการได้ยิน,การเรียนรู้,พัฒนาการและพฤติกรรม

         นอกจากนั้น ในบางครั้งบางคราว ยังได้ใช้ตรวจร่างกายมารดาขณะที่ "ตัวอ่อน"  มีการแบ่งตัวระยะต่าง ๆ ก็ไม่พบว่า จำนวนและโครงสร้างของโครโมโซมผิดปรกติแต่อย่างใด

         เครื่องตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง (เพื่อการวินิจฉัย) แต่เดิมมา ใช้ตรวจทางหน้าท้อง (ABDOMINAL ULTRASOUND)      ซึ่งเหมาะสำหรับอวัยวะที่อยู่ในช่องท้องส่วนบนเหนือกระดูกเชิงกรานโดยเฉพาะ  ดังนั้น หากต้องการตรวจอวัยวะภายในของสตรี ก็จำเป็นต้องกลั้นปัสสาวะ  เพื่อให้กระเพาะปัสสาวะซึ่งอยู่ติดกันดัน มดลูก & รังไข่ ให้ลอยขึ้นมาอยู่เหนืออุ้งเชิงกราน จึงจะตรวจเห็นได้    การกลั้นปัสสาวะต้องกลั้นจนทนแทบไม่ได้จึงจะสามารถมองเห็นภาพมดลูกชัดเจน    สร้างความทุกข์ทรมานให้กับสตรีที่มาตรวจอย่างมาก บางคนถึงกับเป็นลมสลบหรือวิ่งเข้าห้องน้ำไม่ทัน เนื่องจากกลั้นไม่อยู่ กลายเป็นภาพที่ไม่น่าดู  นอกจากนั้น ภาพที่ได้จากการตรวจทางหน้าท้อง  ในบางราย    ก็ไม่ชัดเจนเท่าที่ควร เช่น ในรายที่อ้วน,อุ้งเชิงกรานลึกและมีพังผืดมาก เป็นต้น

         ต่อมา   จึงได้มีการพัฒนาสร้างเครื่องตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง  (เพื่อการวินิจฉัย)ทางช่องคลอด (TRANSVAGINAL ULTRASOUND)      เพื่อใช้ตรวจเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์สตรี โดยเฉพาะทำให้มีข้อได้เปรียบ  คือ  แปลผลสะดวก  ถูกต้อง  แม่นยำ  ภาพคมชัด   และเห็น รายละเอียดเพิ่มขึ้น

         อย่างไรก็ตาม  การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอดไม่สามารถทดแทน  การตรวจทางหน้าท้องได้   ในกรณีที่อวัยวะหรือก้อนเนื้อที่ต้องการตรวจโผล่พ้นจากอุ้งเชิงกรานขึ้นไปแล้ว เพราะภาพที่คมชัดจะห่างไม่เกิน 6-8 เซนติเมตรจากหัวตรวจทางช่องคลอด เท่านั้น

         ประโยชน์ของ การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด

         1. ช่วยในการตรวจ (EXAMINATION) และติดตามผล (FOLLOW UP)

            * ตรวจหาสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก

            * ติดตามการเจริญเติบโตของ "ไข่"

            * ศึกษาลักษณะของเยื่อบุโพรงมดลูก

            * ตรวจวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อนและประเมินการตั้งครรภ์ในระยะแรก ๆ (FIRST

              TRIMESTER EVALUATION)

         2. ช่วยในการทำหัตถการ (ASSISTED OPERATION)

            * เจาะเก็บไข่

            * ใส่ "ตัวอ่อน" ในโพรงมดลูก

            * ใส่ "เซลล์สืบพันธ์" (ไข่&อสุจิ) หรือ "ตัวอ่อน" เข้าท่อนำไข่

            * ลดจำนวน "ทารก" ในกรณีตั้งครรภ์แฝดหลายคน

         การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อการรักษาภาวะมีลูกยาก       จะใช้เครื่องตรวจ

อัลตราซาวน์ทางช่องคลอดเป็นหลัก

         * การตรวจหาสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก   ส่วนใหญ่เป็นการตรวจหาความผิดปรกติของ มดลูก,รังไข่ และท่อนำไข่  แต่ความผิดปรกติอื่น ๆ ในอุ้งเชิงกราน ก็สามารถตรวจพบได้                               

         มดลูก (UTERUS) มีขนาดแตกต่างกันไปตามอายุ   ในวัยหมดระดู มดลูก จะมีขนาดเล็กลงมาก    สำหรับเยื่อบุโพรงมดลูกในช่วงครึ่งแรกของรอบเดือน    (PROLIFERATIVE ENDOMETRIUM) จะมีความหนาประมาณ 4-8 มิลลิเมตร     ส่วนในช่วงครึ่งหลังของรอบเดือน (SECRETORY ENDOMETRIUM)  ความหนาจะเพิ่มขึ้นเป็นระหว่าง 8-14 มิลลิเมตรและมีลักษณะที่แตกต่างออกไป

         มดลูก ก่อให้เกิดภาวะมีลูกยากได้  โดยอาจจะเป็นส่วนของตัวมดลูกเอง ที่มีเนื้องอก(MYOMA UTERI OR ADENOMYOSIS)   หรือในโพรงมดลูกมีเนื้องอกย้อยออกมาจากผนังด้านบน(ENDOMETRIAL POLYP OR SUBMUCOUS MYOMA)  ซึ่งขนาด,จำนวนและตำแหน่งของเนื้องอก มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเดินทาง & ฝังตัวของ "ตัวอ่อน"   การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทาง ช่องคลอดจะช่วยบอกถึงสิ่งเหล่านี้ได้

         รังไข่ (OVARY) มีขนาดแตกต่างกันไปตามอายุและช่วงเวลาของรอบเดือน  ในเด็กและสตรีวัยหมดระดูจะมีขนาดเล็ก  ส่วนสตรีวัยเจริญพันธ์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะมี "ไข่" ขนาดต่าง ๆ กันมากมายเจริญเติบโตขึ้นมา   โรคของรังไข่ในภาวะมีลูกยากที่พูดถึงกันมาก มี 2 โรค คือ

         1. โรค พี.ซี.โอ.(PCO) หรือ พี.ซี.โอ.ดี.(PCOD)  ซึ่งย่อมาจาก POLYCYSTIC OVARY OR OVARIAN DISEASE  พบบ่อยมากใน "คนมีลูกยาก" เนื่องจากมีปัญหาสำคัญ คือ "ไข่" ไม่ตกตามที่ควรจะเป็น (ANOVULATION)  ลักษณะที่แสดงออก คือ สตรีผู้นั้นจะมีระดูมาแต่ละครั้งห่างกันมาก (OLIGOMENORRHEA) เช่น 2 เดือน,3 เดือน หรือ 6 เดือน   จะมาสักครั้งหนึ่ง

            รังไข่ จะมีลักษณะเฉพาะ คือ มีขนาดโตกว่าปรกติเล็กน้อย มีถุงน้ำเล็ก ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-8 มิลลิเมตร  จำนวนมากเรียงรายตามขอบของรังไข่คล้ายวงแหวน (รายละเอียดจะได้กล่าวต่อไป)

         2. ถุงน้ำเนื้องอกรังไข่ที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (ENDOMETRIOMA) ซึ่งวินิจฉัยได้ง่ายมากและแม่นยำด้วยการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด    ลักษณะที่เห็นจะเป็นถุงน้ำค่อนข้างกลม มีการสะท้อนคลื่นเสียงต่ำ   มองเห็นเป็นเนื้อเนียนละเอียดนวลสีดำตลอดแนวขอบของถุงน้ำ      ส่วนใหญ่ถุงน้ำเนื้องอกรังไข่นี้จะอยู่ติดกับมดลูกทางด้านหลังหรือด้านข้าง(รายละเอียดอยู่ในเรื่อง ENDOMETRIOSIS)

         "ท่อนำไข่" (FALLOPIAN TUBES)    โดยปรกติ จะมองเห็นได้ยากจากการดูด้วยเครื่องอัลตราซาวน์    ยกเว้น มีความผิดปรกติเกิดขึ้น เช่น มีการอุดตันที่ส่วนปลายของท่อนำไข่ จนเกิดมีน้ำขังอยู่ภายใน (HYDROSALPINX)    การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด  จะมองเห็นพยาธิสภาพเช่นนี้ได้ชัดเจนมาก

         นอกจากนั้น เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการศึกษาหาวิธีการตรวจโพรงมดลูก และ ท่อนำไข่ที่ทำได้ง่ายขึ้น กว่าวิธีการเดิม เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และไม่ต้องอาศัยผู้ช่วยหลายคน  วิธีการนี้เรียกว่า HYSTEROSALPINGO-CONTRAST-SONOGRAPHY     ซึ่งกระทำโดยการฉีดสารทึบแสงเข้าทางปากมดลูก พร้อมกับการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด  ปรากฏว่า สามารถบอกความผิดปกติภายในโพรงมดลูก และท่อนำไข่ ได้ดี โดยไม่ต้องเอกซเรย์

         * การติดตามการเจริญเติบโตของ "ไข่" ในคนไข้มีลูกยาก   ด้วยเครื่องตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด มีข้อดีอย่างน้อย 3 ประการ

           1. ติดตามดูการเจริญเติบโตของ "ไข่" ตามธรรมชาติและจากการกระตุ้น   ซึ่งโดยปรกติ "ไข่" ที่สมบูรณ์พร้อม (DOMINANT FOLLICLE)  จะเติบโตในอัตรา 1-2 มิลลิเมตรต่อวัน   การติดตามที่ดี ควรกระทำควบคู่ไปกับการเจาะเลือดตรวจฮอร์โมนด้วย เพราะในขณะที่"ไข่" (FOLLICLES) เจริญเติบโต จะมีการสร้างฮอร์โมนเพิ่มขึ้นด้วย

             2. ช่วยกำหนดเวลาที่ "ไข่" ตกได้    โดยการฉีดยา (HUMAN CHORIONIC GONADOTROPIN) กระตุ้น     เมื่อเวลาที่ "ไข่" โตจนมีขนาดเหมาะสม คือ ประมาณ 18-20 มิลลิเมตร  หลังจากไข่ตกไปแล้ว ยังสามารถฉีดยากระตุ้นให้รังไข่ทำงานสร้างฮอร์โมนต่อไปได้ดีอีกด้วย

             3. ช่วยในการวินิจฉัยภาวะที่ "ไข่"  สุกแต่ไม่มีการตกออกมา (LUTEINIZED UNRUPTURED FOLLICLE ชื่อย่อ "LUF")   ซึ่ง "ไข่" เหล่านี้จะเสียคุณสมบัติในการปฏิสนธิไปเลย                              

         * การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูก (ENDOMETRIUM)    การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอดจะบอกถึง ความหนา และลักษณะ ของเยื่อบุโพรงมดลูกได้ดี   ซึ่งมีหลายรายงานพบว่า ความหนา และลักษณะของเยื่อบุโพรงมดลูก  ก่อนการเจาะเก็บไข่หรือในวันหยอด"ตัวอ่อน"   สัมพันธ์กับการตั้งครรภ์

         * การตรวจวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อน    และประเมินการตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสแรก (FIRST TRIMESTER EVALUATION)  ด้วยเครื่องตรวจอัลตราซาวน์ทางช่องคลอด  จะได้ประโยชน์ในการ

           1. วินิจฉัยยืนยันการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูก   และช่วยวินิจฉัยแยกโรคจาก "ท้องนอกมดลูก"

           2. บอกการมีชีวิต จำนวนทารก และอายุครรภ์ได้

           3. บอกภาวะแทรกซ้อน,ความผิดปรกติและความพิการของทารกในระหว่างตั้งครรภ์

           4. ช่วยเหลือในการทำหัตถการ เช่น เจาะดูดน้ำคร่ำ เป็นต้น

           1. การวินิจฉัยยืนยันการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูก   และวินิจฉัยแยกโรคจาก "ท้องนอกมดลูก"

              เมื่อสตรีมีบุตรยากตั้งครรภ์ขึ้นมา      จำเป็นจะต้องยืนยันให้ได้ว่า เป็นการตั้งครรภ์ภายใน โพรงมดลูก  ไม่ใช่ "นอกมดลูก"    ซึ่งการตรวจอัลตราซาวน์ทางช่องคลอดจะช่วยเหลืออย่างมาก  โดยเฉพาะ เมื่อแปลผลร่วมกับค่า BhCG (เบต้า เอช.ซี.จี.)   จากซีรั่ม

              กรณีทราบระดูครั้งสุดท้าย หรืออายุครรภ์แน่นอน พบว่า

              ขณะอายุครรภ์ 5 สัปดาห์  จะตรวจพบเพียงลักษณะเป็นถุงน้ำเล็ก ๆ ในโพรงมดลูก (GESTATIONAL SAC) ซึ่งกินเนื้อที่ประมาณ 25% ของโพรงมดลูก     แต่ยังมองไม่เห็นเงาของทารก (FETAL POLE)

              ขณะอายุครรภ์ 6 สัปดาห์  จะตรวจพบถุงน้ำ (GESTATIONAL SAC)  ซึ่งกินเนื้อที่ประมาณ 35% ของโพรงมดลูก  และมองเห็น เงาของทารก (FETAL POLE) ด้วย

              ขณะอายุครรภ์ 8 สัปดาห์  จะตรวจพบถุงน้ำ (GESTATIONAL SAC)  ซึ่งกินเนื้อที่ 50% ของโพรงมดลูก นอกจากมองเห็น เงาของทารก (FETAL POLE) แล้ว ยังมองเห็น การเต้นของหัวใจ (FETAL HEART ACTION) คล้ายไฟกระพริบ ด้วย                               

              ขณะอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ ถุงน้ำ (GESTATIONAL SAC) นั้น   จะกินเนื้อที่ตลอดภายในโพรงมดลูก และสามารถมองเห็นส่วนต่าง ๆ ของทารก เช่น หัว,ลำตัว,แขนขา ได้

              กรณีไม่ทราบอายุครรภ์แน่นอน  ควรแปลผลร่วมกับค่า BhCG โดย

              ถ้าค่า BhCG มากกว่า 2000 หน่วย โดยการตรวจอัลตราซาวน์ทางช่องคลอดหรือมากกว่า 6500 หน่วย  โดยการตรวจอัลตราซาวน์ทางหน้าท้อง       เราควรจะตรวจพบ ถุงน้ำเล็ก ๆ (GESTATIONAL SAC) ในโพรงมดลูก    หากตรวจไม่พบถุงน้ำเล็ก ๆ ใน โพรงมดลูก ให้สันนิษฐานว่า น่าจะเป็น "ท้องนอกมดลูก" (ECTOPIC PREGNANCY)   อย่างไรก็ตาม  ควรประเมินผลร่วมกับ  ประวัติ,ตรวจร่างกาย,อาการแสดง,การติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด  และ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่น ๆ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอน  และการรักษาที่ถูกต้อง

           2. บอกการมีชีวิต,จำนวนทารกและอายุครรภ์

              การมีชีวิตของทารก ดูได้จาก การเต้นของหัวใจ   ซึ่งพบได้ตั้งแต่ 8 สัปดาห์ขึ้นไป หรือจากการเคลื่อนไหวของแขนขา,หน้าท้อง และกระบังลมของทารก

              ส่วนจำนวนของทารกดูได้ตั้งแต่ 5 สัปดาห์ ซึ่งพบจำนวนถุงน้ำ (GESTATIONAL SAC)เท่ากับจำนวนทารก  แต่จะมีจำนวนเท่าไรแน่นอน ก็ต่อเมื่อพบ เงาของทารกร่วมกับ การเต้นของหัวใจ ในถุงน้ำ (GESTATIONAL SAC) แต่ละใบนั้น

             สำหรับอายุครรภ์ในช่วง 5-8 สัปดาห์  ต้องอาศัยขนาดของถุงน้ำ  (GESTA-TIONAL SAC),เงาของทารก (FETAL POLE) และการเต้นของหัวใจ (FETAL HEART ACTION) มาคาดคะเนเทียบเคียงกับอายุครรภ์ขณะนั้น  ส่วนหลังจาก อายุครรภ์ 7-8 สัปดาห์ไปแล้ว   สามารถใช้ความยาวระหว่างศีรษะและก้นกบของทารก (CRL = CROWN RUMP LENGTH)  มาเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน ก็จะได้อายุครรภ์   เมื่ออายุครรภ์มากกว่า 10-12 สัปดาห์ขึ้นไป เราจะใช้การวัดส่วนอื่น ๆ ของทารกนำมาเทียบเคียงได้อีก และค่อนข้างแม่นยำ เช่น ความยาวของเส้นผ่าศูนย์กลางศีรษะระหว่างกกหูทั้งสองข้าง      ส่วนกว้างที่สุด (BPD = BIPARIETAL DIAMETER) เป็นต้น

           3. บอกภาวะแทรกซ้อน,ความผิดปรกติและความพิการของทารกในครรภ์ อันได้แก่

              * การตั้งครรภ์ที่  ตัวเด็ก  ไม่เจริญ  และฝ่อไปจนไม่ปรากฏให้เห็นในครรภ์

                (BLIGHTED OVUM)

              * แท้งคุกคาม (THREATENED ABORTION)                              

              * แท้งไม่ครบ (INCOMPLETE ABORTION)

              * ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก (HYDATIDIFORM MOLE)

              * แท้งค้าง (MISSED ABORTION)

           4. ช่วยเหลือในการทำหัตถการ  

              เจาะดูดน้ำ (ASCITIC FLUID)  ออกจากช่องท้องในกรณีเกิดภาวะรังไข่ถูก

กระตุ้นมากเกินไป

              * การลดจำนวนทารกในกรณีตั้งครรภ์แฝดหลายคน 

         การใช้อัลตราซาวน์ทางช่องคลอดในขบวนการรักษาภาวะมีลูกยาก

         1. การเก็บ "ไข่" (OOCYTE RETRIEVAL)   โดยทำหน้าที่เป็นตัวชี้นำให้มองเห็น

"ไข่" ในเวลาที่เจาะดูด   การเจาะเก็บ "ไข่" ทางช่องคลอดนี้ สะดวก ถูกต้องแม่นยำและได้

"ไข่" จำนวนมากถึง 90% ของทั้งหมดทีเดียว

         2. การใส่ "ตัวอ่อน" ในโพรงมดลูก  โดยปรกติไม่จำเป็นต้องใช้อัลตราซาวน์  แต่ในกรณีที่ไม่สามารถสอดหลอดที่บรรจุ "ตัวอ่อน" เข้าไปในโพรงมดลูกได้  เราสามารถใช้อัลตราซาวน์ช่วยตรวจดูทิศทางของคอมดลูก และ โพรงมดลูก     ก่อนหรือขณะหยอด "ตัวอ่อน" ทำให้สะดวกยิ่งขึ้น และอาจมีผลให้อัตราการตั้งครรภ์สูงขึ้นด้วย

            ในรายที่ปากมดลูกตีบหรือมดลูก[1]คว่ำมาก จนไม่สามารถหยอด "ตัวอ่อน" ได้  มีผู้ศึกษาว่า  ใช้เข็มแทงทะลุผ่านกล้ามเนื้อมดลูกโดยให้ปลายเข็มไปอยู่ที่ชั้นเยื่อบุโพรงมดลูก   แล้วหยอด "ตัวอ่อน" ไปฝังตรงตำแหน่งนั้น ผลการตั้งครรภ์ก็ไม่น้อยไปกว่าการหยอดทางปากมดลูก

         3. การใส่ "เซลล์สืบพันธุ์"(ไข่ & อสุจิ) หรือ "ตัวอ่อน"   เข้าไปไว้ในท่อนำไข่

ผ่านทางช่องคลอด (TRANSVAGINAL "GIFT" OR "ZIFT")

            มีข้อดี คือ คนไข้สตรีผู้นั้นไม่ต้องเจ็บตัวจากการเจาะท้องส่องกล้อง แต่ผลสำเร็จ ยังไม่มากนัก และมีข้อจำกัดที่แพทย์ผู้ทำต้องมีความชำนาญและประสบการณ์

         4. การลดจำนวนทารกในครรภ์แฝด    การรักษาภาวะมีลูกยาก มีโอกาสเกิดภาวะครรภ์แฝดได้ประมาณ 20%   ในกรณีที่เป็นแฝดมากกว่า 2 คน จะมีภาวะแทรกซ้อนสูงมาก  โดยเฉพาะตั้งแต่แฝดสี่ขึ้นไป   เช่นนี้แล้ว เราสามารถลดจำนวนทารกลงได้ตามต้องการ  ด้วยวิธีใช้เข็มยาวเจาะผ่านผนังช่องคลอดเข้าไปแทงหรือทำร้ายทารก โดยอาศัยอัลตราซาวน์ทางช่องคลอดช่วยส่องชี้นำ (รายละเอียดอยู่ในบท "แฝดใจเพชร")                               

 

        การตรวจอัลตราซาวน์ทางหน้าท้อง (ABDOMINAL ULTRASOUND) ในทางสูติกรรมสามารถใช้ยืนยันหรือประเมินการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูก  และวินิจฉัยแยกโรค "ท้องนอกมดลูก" ในขณะอายุครรภ์น้อย ๆ ได้ แต่ไม่ดีเท่าอัลตราซาวน์ทางช่องคลอด   ส่วนใหญ่จะใช้ตรวจการตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 2 และ 3 เพราะมดลูกโตโผล่พ้นจากอุ้งเชิงกรานขึ้นมาแล้ว

       การตรวจอัลตราซาวน์ทางหน้าท้องขณะตั้งครรภ์ในไตรมาสสองและสาม   (SECOND AND THIRD TRIMESTER EXAMINATION)

         ส่วนมากใช้วัดส่วนต่าง ๆ ของทารก เพื่อบ่งบอก อายุครรภ์ น้ำหนัก ภาวะการเจริญเติบโตช้าในครรภ์       นอกจากนั้นยังสามารถดูเพศ,ใช้ประเมินสภาพความเป็นอยู่ (FETAL WELL-BEING),ความผิดปรกติของทารก และช่วยเหลือการทำหัตถการบางอย่างได้ดี

         * อายุครรภ์ (GESTATAONAL AGE)     การวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของศีรษะ (BPD) และความยาวของกระดูกขาส่วนต้น (FEMUR LENGTH) ช่วยบอกได้ดี      แต่ยังมีส่วนอื่น ๆ ที่สามารถบอกได้อีก  ซึ่งบางครั้งอาจต้องใช้หลาย ๆ ค่า มาประเมินเพื่อหาค่าที่เหมาะสมที่สุด

         * น้ำหนักเด็ก (FETAL WEIGHT) คำนวณจากเครื่องอัลตราซาวน์ โดยใช้ค่า ความกว้างของศรีษะ (BPD),ความยาวของกระดูกต้นขา (FEMUR LENGTH) และเส้นรอบวงของท้อง (ABDOMINAL CIRCUMFERENCE) จะได้น้ำหนักทารกใกล้เคียงความเป็นจริง และผิดพลาดไม่เกิน 10%

         * ภาวะเติบโตช้าในครรภ์ (INTRAUTERINE GROWTH RETARDATION)  เป็นการประมวลข้อมูลหลาย ๆ อย่าง   จากเครื่องอัลตราซาวน์เข้าด้วยกันแล้วนำมาประเมินว่า  ทารกเติบโตช้าหรือไม่ เช่น อัตราส่วนระหว่างเส้นรอบวง ศีรษะ กับหน้าท้องเด็ก  (FETAL HEAD :  ABDOMINAL CIRCUMFERENCE),ค่าปริมาณน้ำคร่ำ (AMNIOTIC FLUID VOLUME) และค่าอื่น ๆ ที่กล่าวไปแล้ว เป็นต้น

         * เพศของทารก เราสามารถดูเพศของทารกได้  ตั้งแต่อายุครรภ์ 16 สัปดาห์ขึ้นไป แต่จะดูชัดเจนหรือไม่   ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องตรวจ,ความหนาของหน้าท้องมารดา,ท่าของเด็ก,ตำแหน่งที่รกเกาะและความชำนาญของหมอ    เพราะฉะนั้น จะให้มั่นใจว่า ทารกเป็นเพศชายหรือหญิงแน่ ควรรอตรวจภายหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ไปแล้ว                                

        * ความผิดปรกติและความพิการของทารก (CONGENITAL ANOMALY)   โดยปรกติเกือบจะเป็นกฎตายตัวว่า ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ควรจะตรวจอัลตราซาวน์ อย่างน้อย 1 ครั้งเพื่อประเมินสภาพต่าง ๆ ของทารก ที่สำคัญ คือ หากพบความพิการที่รุนแรงมาก เช่น ทารกไม่มีกระโหลกศรีษะ (ANENCEPHALY)  ก็สามารถจะพิจารณาทำแท้ง (THERAPEUTIC ABORTION) ให้ได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ตั้งครรภ์จนคลอด ทารกผิดปรกติออกมา

         * การประเมินสภาพความเป็นอยู่ (FETAL WELL-BEING) ของทารก    เพื่อดูว่าทารกยังดีอยู่หรือไม่ในขณะนั้น   เช่น   การตรวจวัดการเคลื่อนไหวของการหายใจ   (FETAL BREATHING MOVEMENT), การเคลื่อนไหวของร่างกาย  (FETAL MOVEMENT),การตอบสนอง การเต้นของหัวใจเมื่อทารกดิ้น (NON-STRESS TEST) เป็นต้น    เราอาจแปลผลโดยตรงเมื่อตรวจทดสอบแต่ละครั้ง หรือให้เป็นคะแนน (SCORE) ในแต่ละการทดสอบ  แล้วนำมาประเมินผล ร่วมกันก็ได้  ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความชำนาญของแพทย์แต่ละคน

         * การทำหัตถการต่าง ๆ ในขณะตั้งครรภ์ มักต้องใช้อัลตราซาวน์ช่วยเหลือเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากที่สุด  เช่น การเจาะดูดน้ำคร่ำขณะอายุครรภ์ 14-16 สัปดาห์ เพื่อนำไปตรวจโครโมโซม (AMNIOCENTESIS) เป็นต้น

         เครื่องตรวจอัลตราซาวน์ทางช่องคลอด  มีประโยชน์มากในภาวะมีลูกยาก     ยามตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก ก็ยังมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย   แต่หลังจาก 3 เดือน ไปแล้วมักไม่ค่อยได้ใช้ ยกเว้น   จำเป็นต้องทำหัตถการผ่านทางช่องคลอดหรือมีเลือดออกจากช่องคลอดที่หาสาเหตุไม่ได้  จากอัลตราซาวน์ทางหน้าท้อง

         สำหรับเครื่องตรวจอัลตราซาวน์ทางหน้าท้อง  สามารถใช้ตรวจอวัยวะในช่องท้องได้ทุกอย่าง และแยกความแตกต่างของความผิดปรกติได้ดี   แม้แต่อวัยวะสืบพันธุ์สตรีในอุ้งเชิงกราน (กรณีที่ไม่มีหัวตรวจทางช่องคลอด)

         อัลตราซาวน์ (คลื่นเสียงความถี่สูง)   จึงนับว่า มีประโยชน์ต่อวงการแพทย์มากมาย   โดยยังไม่เคยปรากฏมีผลร้ายต่อร่างกายสตรีและทารกในครรภ์แต่อย่างใด

         มีผู้คนไม่น้อยที่ยังเข้าใจผิดหรือมองในแง่ลบ   เมื่อตรวจพบความผิดปรกติจากเครื่องอัลตราซาวน์ เขามักจะกล่าวโทษว่า ความผิดปรกตินั้นเกิดจากอัลตราซาวน์      แท้จริง ความผิดปรกตินั้นมีมาแต่เดิมแล้ว  จะตรวจหรือไม่ตรวจก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  หากแต่การตรวจอัลตราซาวน์จะช่วยให้เรารู้ก่อนและตัดสินใจดำเนินการได้ถูกต้อง    ดีกว่าปล่อยไว้ให้เหตุการณ์ล่าช้าไปจนสายเกินแก้

         เครื่องไม้เครื่องมือที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในทางการแพทย์     ล้วนแล้วแต่ได้ผ่านการพัฒนามาตามลำดับ ขณะเดียวกัน ได้มีการวิจัยถึงความปลอดภัยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน     สำหรับเครื่องตรวจอัลตราซาวน์ เรามีข้อสรุปแล้วว่า [1]อัลตราซาวน์เพื่อการวินิจฉัยนั้น ปลอดภัยแน่นอน

         ความคิดของคนเรา บางทีกว้างไกลจนคนอื่นตามไปไม่ถึง ถึงแม้จะพยายามอธิบายให้เข้าใจก็ไร้ประโยชน์ เพราะคนเราชอบยึดมั่นอยู่กับอวิชชา ตราบจนได้พิสูจน์ด้วยตนเอง หรือเห็นความจริงด้วยตา จึงจะรู้ว่า ความคิดนั้นเป็นความจริง และความจริงนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมาก

                         @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

                                                   พ.ต.อ. นพ.เสรี ธีรพงษ์   ผู้เขียน

     

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *