อยากมีลูก แต่ไม่อยากไปหาหมอ

 

                       อยากมีลูก แต่ไม่อยากไปหาหมอ

          มีผู้คนมากมาย ที่แต่งงานมานานจนความหวานเริ่มจืดจาง ก็ยังไม่มีบุตร  บางทีอาจ

เป็นเพราะไม่มีวาสนา บางทีอาจเป็นที่ไม่ได้รับคำปรึกษาถูกต้องกับปัญหา ไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุใด วิทยาการสมัยใหม่ช่วยเหลือได้ แต่หากไม่อยากไปหาหมอ ยังพอมีวิธีการแก้ไขอยู่

          คู่สามีภรรยาที่จะลองรักษาเอง  ควรจะต้องไม่มีความผิดปรกติใด ๆ เกี่ยวกับระบบ

สืบพันธุ์ชัดเจน ซึ่งท่านสามารถรู้ได้ง่าย ๆ โดยตอบคำถามต่อไปนี้

          1. แต่งงานมานานกว่า 1 ปี ใช่หรือไม่

          2. มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ (อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง) ใช่หรือไม่

          3. อายุของฝ่ายหญิง น้อยกว่า 40 ปี ใช่หรือไม่

          4. มีระดูสม่ำเสมอทุกเดือน ใช่หรือไม่

          5. ทั้งสามีภรรยา ไม่เคยมีโรคหรือได้รับอุบัติเหตุบริเวณอัวยะสืบพันธุ์ ใช่หรือไม่

          6. เคยท้อง,แท้งมาก่อน ใช่หรือไม่

          ถ้าคำตอบของคำถามทั้ง 6 ข้อ  คือ "ใช่"  คู่ชีวิตของท่านมีโอกาสอย่างมากที่จะมี

บุตร โดยไม่ต้องไปหาหมอ   แต่ถ้าคำตอบบางคำถามยังไม่สมบูรณ์ เช่น ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกัน  จึงมีเพศสัมพันธ์น้อย คงต้องแก้ไขในส่วนที่บกพร่องนั้นสักระยะหนึ่งก่อนที่จะคิดถึงการรักษาอย่างอื่น

          ประวัติการตั้งครรภ์ครั้งไหน ๆ ย่อมมีความสำคัญ

          – สามีหรือภรรยาเคยอย่าร้างและมีบุตรมาก่อน

          – สตรีที่เคยทำแท้งหรือแท้งบุตรเองมาก่อน

          – สามีที่ภรรยาน้อยมีบุตรหรือกำลังตั้งครรภ์

          ประวัติเหล่านี้   ล้วนชี้แสดงให้เห็นว่า ศักยภาพการสืบพันธุ์ของคนผู้นั้นสมบูรณ์พร้อม

ยกตัวอย่าง สามีภรรยาคู่หนึ่ง อายุ 40 ปีพอ ๆ กัน   แต่งงานมานาน 20 ปี ยังไม่เคยตั้งครรภ์ 

วันหนึ่งจึงได้มารับการรักษากับข้าพเจ้าเกี่ยวกับปัญหาภาวะมีบุตรยาก

          เมื่อรักษาไปสักระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ทำ "กี๊ฟ" ให้  ผลปรากฏว่า ตั้งครรภ์สำเร็จ 

โชคไม่ดี ที่การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงเพียงแค่อายุครรภ์ 2 เดือน และได้รับการขูดมดลูกรักษา

          ต่อมาได้ทำ "ซี๊ฟ" ให้อีก ปรากฏว่า ไม่ตั้งครรภ์ สองสามีภรรยา รู้สึกท้อถอย และ

กล่าวว่า "จะไม่รักษาใด ๆ อีก"

          ก่อนจะกลับ ข้าพเจ้าได้พูดให้กำลังใจว่า  "คนไข้สตรีที่เคยตั้งครรภ์ (รวมทั้งที่เคย

แท้งด้วย) มาก่อน ต่อไปจะตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น  เพราะสิ่งแวดล้อมภายในร่างกายได้เปลี่ยนแปลง

ไปจนเหมาะสมกับการตั้งครรภ์แล้ว    เดิมที สิ่งแวดล้อมภายในมดลูกและท่อนำไข่อาจจะมีปัญหา  แต่เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมาครั้งหนึ่ง จะด้วยวิธีการใดก็ตาม  ภาวะความผิดปรกติต่าง ๆ ภายในอวัยวะสืบพันธุ์ของสตรีผู้นั้นจะได้รับการแก้ไขโดยอัตโนมัติ  ไม่แน่…อีกไม่นาน คุณทั้งสองอาจจะมีข่าวดี ขอให้โชคดีนะครับ"

          หลังจากนั้น 3 เดือน   สองสามีภรรยาได้กลับมาหาข้าพเจ้าพร้อมกับนำ ข่าวดี มา

บอก "ภรรยาผมท้องแล้ว ตามคำทำนายของหมอจริง ๆ แต่ไม่ทราบว่า จะมีปัญหาหรือเปล่าครับ" คำถามแรกที่ฝ่ายสามีถาม

          "ไม่มีปัญหาหรอก สบายใจได้ แต่ตอนอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ ควรจะเจาะดูดน้ำคร่ำ

ไปตรวจโครโมโซม เพราะคุณแม่อายุเกิน 35 ปี เป็นข้อบ่งชี้อันหนึ่งที่ควรทำ" ข้าพเจ้าตอบ

          "ดิฉันขออนุญาตไม่ทำกรรมวิธีเจาะดูดน้ำคร่ำตรวจโครโมโซม เพราะผู้หญิงข้างบ้าน

ทำแล้ว ต่อมาก็แท้ง เราทั้งสองกลัวคะ ถ้ามีปัญหาอะไร เรารับได้  แต่จะไม่ยอมทำวิธีการนี้โดย

เด็ดขาด" ฝ่ายภรรยายืนยันอย่างแข็งขันที่จะปล่อยการตั้งครรภ์ให้เป็นไปอย่างธรรมชาติที่สุด

          การตั้งครรภ์ดำเนินไปโดยไม่มีปัญหา   และคลอดบุตรโดยการผ่าตัดออกมาเมื่อครบ

กำหนด ได้ทารกเพศชายแข็งแรงดี ไม่มีความผิดปรกติใด ๆ หนักประมาณ 3,000 กรัม

          หลังจากคลอดบุตรคนแรกได้ 8 เดือน คนไข้สตรีตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก  ขณะนั้นเธออายุ

ได้ 42 ปีแล้ว และผ่าตัดคลอดบุตรเมื่อครบกำหนดอีกครั้ง    ปรากฏว่า ทารกเป็นเพศชาย หนัก

3,200 กรัม แข็งแรงสมบูรณ์เช่นเดียวกับครรภ์แรก

          ที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า ศักยภาพการมีบุตรของมนุษย์ อาจถูกบดบังได้

แม้โครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ภายในปรกติ    การช่วยเหลือด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ นับว่า มี

ประโยชน์ แต่ต้องไม่ลืมว่า "ธรรมชาติของมนุษย์นั้น ยังมีศักยภาพด้านการสืบพันธุ์อยู่สูงมาก ในวิถีทางของธรรมชาติเอง"

          รอบระดูปรกติสม่ำเสมอ มีความสำคัญเกี่ยวกับการมีบุตร

          สตรีทั่ว ๆ ไป ปรกติจะมีรอบระดูอยู่ระหว่าง 26-30 วัน (แต่ไม่ควรเกิน 35 วัน)

หากมีช่วงห่างของรอบระดูมากหรือน้อยกว่านี้ สันนิษฐานว่า การทำงานของรังไข่น่าจะมีปัญหา

          กรณีที่รอบระดูห่างมากกว่า 35 วัน น่าจะเกิดจากภาวะไข่ไม่ตก (ANOVULATION)

ส่วนกรณีที่รอบระดูสั้นกว่า 26 วัน อาจเป็นไปได้ว่าบริเวณที่ไข่ตก (CORPUS LUTEAL DEFECT)  ทำงานบกพร่อง ทั้งสองกรณี ควรไปหาหมอรักษาจะดีกว่า

          การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกของระดูปกติ มี 2 ระยะ ดังต่อไปนี้

          1. ระยะครึ่งแรกของระดู (PROLIFERATIVE PHASE)  ระยะนี้เริ่มตั้งแต่วันแรก

ของระดู จนถึงวันที่ "ไข่ตก"   ช่วงระยะเวลานี้ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญหนาขึ้นเรื่อย ๆ   โดย

อาศัยฮอร์โมนเอสโตรเจน (ESTRADIOL)  ที่สร้างจาก "ไข่" (OVARIAN FOLLICLES) เป็น

ตัวกระตุ้น

          2. ระยะครึ่งหลังของระดู (SECRETORY PHASE) เริ่มนับตั้งแต่วันที่ "ไข่ตก" ไป

จนถึงวันแรกของระดูในครั้งถัดมา   ระยะนี้กินเวลาคงที่ คือ 13-14 วัน   แต่ระยะก่อนหน้านั้น

(PROLIFERATIVE PHASE) อาจสั้นหรือยาวกว่า 14 วันก็ได้   เยื่อบุโพรงมดลูกในระยะนี้จะมี

การเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับการฝังตัว    โดยอาศัยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สร้างจาก

บริเวณที่ "ไข่ตก" (CORPUS LUTEUM)  หากไม่มีการปฏิสนธิ เยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกตัวออกมา

พร้อมระดูอย่างสมบูรณ์

                 อยากมีลูก ต้องรู้ว่า เมื่อไหร่ "ไข่" จะตก (OVULATION)

          ในแต่ละรอบเดือน มี "ไข่" เจริญเติบโตขึ้นมาหลายใบ   แต่อาศัยกลไกธรรมชาติ

ช่วยคัดเลือกให้เหลือ "ไข่" สมบูรณ์ตกออกมาเพียงใบเดียว ซึ่งเราสามารถทำนายวันที่ "ไข่ตก"

ได้ โดย

          1. วัดอุณหภูมิร่างกาย (BASAL BODY TEMPERATURE ; BBT) ก่อนตกไข่ไม่นาน

จะมีการลดลงของอุณหภูมิร่างกาย (BBT) เล็กน้อย จากนั้นจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และคงอยู่

เช่นนั้นเป็นเวลานานจนกว่าจะมีระดู วันใดที่อุณหภูมิร่างกาย (BBT) มีลักษณะลดลงและเพิ่มสูงขึ้นทันที วันนั้นเป็นวันที่ "ไข่ตก"

          2. ก่อน "ไข่ตก" 12-24 ชั่วโมง   จะมีการเพิ่มสูงขึ้นของ "LH" อย่างรวดเร็ว

ทันทีทันใด (เรียกว่า "LH SURGE")       ช่วงเวลานี้จะมีฮอร์โมน "LH" อยู่ในกระแสเลือด

ปัสสาวะหรือน้ำลายจำนวนมาก    ปัจจุบัน มีอุปกรณ์ทดสอบ "LH SURGE" มากมาย จึงเป็นการง่ายที่จะทราบเวลา "ไข่ตก"   หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาหลังทดสอบผลบวก 12-24 ชั่วโมง  โอกาสตั้งครรภ์จะมีสูงมาก

          3. น้ำเมือกภายในช่องคลอดสตรี  ช่วงเวลาใกล้  "ไข่ตก"  จะมีจำนวนมากและ

ยืดหยุ่นได้ดี     ในช่วงเวลานี้ สตรีผู้นั้นจะมีความรู้สึกเปียกชุ่ม (WETNESS) ในช่องคลอดตลอดเวลา  และหากนำน้ำเมือกขณะนั้นมาทำให้แห้งบนแผ่นกระจก และส่องขยายดู   จะเห็นเป็นผลึกรูปเฟิร์นอย่างสวยงาม

          4. เราสามารถคำนวณหา วันที่ "ไข่ตก" ได้ง่าย ๆ      โดยการเอาจำนวนวัน

(เฉลี่ย) ของรอบระดู (วันแรกของระดูถึงวันแรกของระดูถัดมา) เช่น 28,30 หรือ 35 ลบด้วย

ตัวเลข 14 (ระยะครึ่งหลังของรอบระดูซึ่งเป็นระยะเวลาคงที่) จะได้วันที่ "ไข่ตก" พอดี  

          ยกตัวอย่าง สตรีนางหนึ่งมีระดูทุก 30 วัน ดังนั้น จะมี "ไข่ตก" ในวันที่ (30-14)

16 ของรอบเดือน โดยนับวันที่ระดูมาวันแรกเป็นวันที่ 1 ของรอบเดือน หากมีเพศสัมพันธ์ ในช่วง

นั้น น่าจะมีโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จ

            อยากมีลูก ฝ่ายชายน่าจะละความอายไปตรวจ "อสุจิ" สักครั้ง

          เป็นการยากมากที่จะคาดเดาว่า ฝ่ายชายมี "อสุจิ" ปรกติ ในกรณีที่ไม่เคยมีประวัติ

ภรรยาตั้งครรภ์มาก่อน แต่เป็นการง่ายมาก สำหรับการตรวจวิเคราะห์ "อสุจิ" ด้วยกรรมวิธีทาง

วิทยาศาสตร์ โดยที่ไม่ต้องเจ็บตัวสักนิด

          ดังนั้น เพื่อตัดปัญหาจากฝ่ายชาย   สามีควรละความอายไปตรวจวิเคราะห์ "อสุจิ"

ตามหลักวิทยาศาสตร์สักครั้งหนึ่ง

          หากพบว่า ผลปรกติในการตรวจเพียงครั้งเดียว  ก็ไม่ต้องวิตกที่จะทดลองวิธีธรรม-

ชาติต่อไป

          แต่ถ้าผลผิดปรกติจากการตรวจวิเคราะห์ 2 ครั้ง ย่อมสรุปได้ว่า ควรพิจารณาไปหา

หมอรักษา ดีกว่า จะเสียเวลาทดลองวิธีธรรมชาติ

          "อสุจิ" ของผู้ชายปรกติ ที่สามารถทำให้สตรีตั้งครรภ์ได้  มักจะมีปริมาณ "ตัวอสุจิ"

40-50 ล้านตัวต่อมิลลิลิตรขึ้นไป   หากมีปริมาณน้อยกว่า 20 ล้านตัวต่อมิลลิลิตร จะมีปัญหาเรื่องภาวะมีบุตรยาก

            คุณสมบัติของ "น้ำเชื้ออสุจิ"

          น้ำเชื้ออสุจิ ที่หลั่งออกมาใหม่ ๆ จะจับตัวรวมกันเป็นก้อน "ตัวอสุจิ" ส่วนใหญ่จะอยู่

ภายในก้อน "อสุจิ" นั้น ลักษณะคล้าย ๆ กับ ปลาจำนวนมากที่ขังอยู่ภายในถุงตาข่าย      ก้อน

 "อสุจิ" นั้นจะใช้เวลาละลายตัว (LIQUIFACTION) ประมาณ 15-30 นาที เมื่อละลายตัวเรียบ

ร้อยแล้ว   "ตัวอสุจิ" จะว่ายออกมาดุจปลาที่ถูกปล่อยออกจากถุงตาข่าย

           แนวทางการมีลูก ด้วยวิธีธรรมชาติ

          ก่อนอื่น หาวันที่ "ไข่ตก" ให้ได้ โดยเอาจำนวนวันของรอบเดือน (วันแรกของระดู

ถึงวันแรกของระดูถัดมา)   ลบด้วย 14 จะได้[1]วันที่ "ไข่ตก" (นับจากวันแรกของระดู) คร่าว ๆ 

นำอุปกรณ์ทดสอบ "LH SURGE" (ซื้อจากร้านขายยาทั่ว ๆ ไป) เพื่อหาช่วงเวลา "ไข่ตก"  ไป

ทดสอบปัสสาวะ (หรือน้ำลาย)  ตอนเช้าในวันก่อน "ไข่ตก" (จากการคำนวณ) ล่วงหน้า 2 วัน  และทดสอบติดต่อกันทุกวัน วันใดปรากฏผลบวก ให้มีเพศสัมพันธ์ในคืนนั้นและคืนถัดไป

          ในช่วงใกล้ "ไข่ตก" ปฏิกริยาของร่างกายที่จะช่วยยืนยัน คือ ภายในช่องคลอด จะ

มีน้ำเมือกเหนียวใสยืดหยุ่นได้ดีผลิตออกมาจำนวนมาก   ก่อให้เกิดความรู้สึกชุ่มชื้นและเปียกตลอดเวลา  อีกอย่างหนึ่ง คือ ร่างกายจะรู้สึกอุ่น ๆ คล้ายจะมีไข้ต่ำ ๆ ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนโปรเจส-เตอโรนดังที่กล่าวข้างต้น

          การมีเพศสัมพันธ์เพื่อหวังผลมีบุตร ควรปฏิบัติดังนี้

          ฝ่ายหญิง ควรทำธุระเกี่ยวกับห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนมีเพศสัมพันธ์   และเมื่อมีเพศ

สัมพันธ์แล้ว ไม่ควรลุกเดินไปห้องน้ำทำความสะอาดอีก   เพราะ "อสุจิ" ที่จับตัวเป็นก้อนจะร่วง

หลุดออกจากช่องคลอด   ทำให้ "ตัวอสุจิ" ส่วนใหญ่ที่ติดอยู่ในก้อน "อสุจิ" นั้น สูญหายไป  ทางที่ดี  ควรนอนพักผ่อนสบาย ๆ บนเตียงต่อไปนานประมาณ 30 นาที  เพื่อให้ "ก้อนอสุจิ" ละลายตัว   "ตัวอสุจิ" จึงจะแหวกว่ายออกมาและสามารถเข้าไปทำหน้าที่ปฏิสนธิภายในท่อนำไข่ได้

          คู่สามีภรรยาที่อยากมีลูกเอง โดยไม่ยอมไปหาหมอ ภรรยาควรมีอายุน้อยกว่า 40 ปี

และมีระดูสม่ำเสมอ     ส่วนสามีควรมีน้ำเชื้ออสุจิปกติ  ซึ่งคงต้องอาศัยการตรวจวิเคราะห์ทาง

วิทยาศาสตร์ช่วย    นอกจากนั้น คนทั้งสองจะต้องมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกวิธีในช่วงเวลา "ไข่ตก"

พอดีอีกด้วย   อย่างไรก็ตาม หากความพยายามล้มเหลว เมื่อระยะเวลาผ่านไปนานปี   คงไม่มี

ทางหลีกเลี่ยงที่จะต้องไปปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการด้านภาวะมีบุตรยาก

                         @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

                        พ.ต.อ.เสรี  ธีรพงษ์   ผู้เขียน         

         

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *