คาราโอเกะข้างถนน (4)
เสียงเพลงร้านข้าวต้มคาราโอเกะดึกดื่นคืนนี้ น่ารำคาญมากกว่าที่จะให้ความสำราญ เพราะคนร้อง ร้องเพลงเสียงดังและฟังไม่ไพเราะสักนิด แต่เมื่อใจเราอยู่ในสภาพอารมณ์ที่ปั่นป่วน และระทึกขวัญ ก็คงต้องทนนั่งฟังไปก่อน
“ วันนี้หลุดโลกสักวันเถอะ” สาวน้อยนางหนึ่งร้องตะโกนพร้อมกับลากแขนของเพื่อนหญิงที่นั่งอยู่ ออกมาเต้นรำประกอบเพลง ส่วนวัยรุ่นสาวอีกคนหนึ่ง ก็ลุกฃึ้นจับไมค์ร้องเพลงอีสานตามจังหวะคาราโอเกะ ถึงแม้ท่วงทำนองเพลงจะสนุกเร้าใจ แต่เสียงของผู้ร้องกลับทำให้เพลงลดความไพเราะลง นี่อาจเป็นเพราะฤทธิ์สุราที่เธอดื่มเข้าไป
เมื่อคืนนี้ ข้าพเจ้าได้นำคนไข้สตรีตั้งครรภ์เกินกำหนด 2 คน มาเหน็บยาเพื่อเตรียมปากมดลูกให้นุ่ม โดยกะว่ารุ่งขึ้นตอนเช้าวันถัดมา จะได้เร่งคลอดด้วยการหยดยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกทางกระแสเลือด
สตรีมีครรภ์ ปกติจะครบกำหนดคลอดเมื่อตั้งครรภ์ได้ 40 สัปดาห์ แต่คนไข้สตรี 2 คนที่ว่า มีอายุครรภ์เกินกำหนดไปถึง 2 สัปดาห์ ทารกจึงมีโอกาสตายในครรภ์สูง
ยาที่ใช้เตรียมปากมดลูกชนิดนี้ มีราคาถูกมาก เพียงแค่เม็ดละไม่ถึง 10 บาท แต่ผลของมันกลับมากมายเกินคาดอย่างน่าประหลาดใจ แต่ก่อนเคยให้ผลเป็นที่น่าพอใจ ไม่พบมีปัญหา อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ได้ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจ เลิกใช้ยาตัวนี้ไปเลยตลอดชีวิต
คนไข้สตรีตั้งครรภ์เกินกำหนดรายแรก เป็นครรภ์ที่ 2 ตอนแรกคิดว่า จะไม่มีปัญหาอะไร ที่ไหนได้
ตอนดึกประมาณ 2 นาฬิกา พยาบาลห้องคลอดโทรศัพท์มารายงานว่า “ หมอ หมอ เสียงหัวใจเด็กเต้นไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ บางทีเร็ว บางทีช้า ช่วงที่หัวใจเต้นช้า น่ากลัวมาก หมอช่วยมาดูหน่อย ”
ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับรายงาน จึงสั่งการรักษาไปว่า “ตรวจภายในดูซิว่า ปากมดลูกเปิดเท่า.ใด อย่าลืมให้คนไข้นอนตะแคง เร่งน้ำเกลือเร็วหน่อยและให้ออกซิเจนด้วยนะ”
คนไข้ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาเรื่องหัวใจทารกเต้นช้าผิดปรกติ การรักษาเบื้องต้น คือ เพิ่มอัตราของน้ำเกลือเพื่อไม่ให้คนไข้อยู่ในสภาพขาดน้ำ (DEHYDRATION) ส่วนการที่ให้คนไข้นอนตะแคงซ้ายหรือขวา ก็เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปสู่ทารก
“ปากมดลูกเปิด 6 เซ็นติเมตร” พยาบาลห้องคลอดบอกมาทางโทรศัพท์
“ อย่างนั้น ช่วยเจาะถุงน้ำคร่ำให้ที เพื่อดูว่า เด็กขาดออกซิเจนและถ่ายขี้เทาออกมาหรือเปล่า” ข้าพเจ้าสั่งการรักษาต่อ และรอคำตอบว่า จะเป็นอย่างไรต่อไป สักครู่หนึ่ง พยาบาลโทรกลับมารายงานว่า “ปากกมดลูกเปิดหมดแล้ว”
“โล่งอกไปที ทารกคงคลอดในเวลาอีกไม่นานนัก เพราะเป็นครรภ์ที่สอง” ข้าพเจ้าพูดพร้อมกับล้มตัวลงนอน ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายและหลับไปทันที
ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า เพิ่งหลับไปไม่กี่นาที ก็ต้องมาตกใจตื่นเพราะมีเสียงเรียกจากวิทยุติดตามตัวให้โทรกลับไปยังห้องคลอดอีกครั้ง ข้าพเจ้าคิดว่า คงเป็นปัญหา “รกค้าง” จากคนไข้รายเดิม แต่…จริงๆ…ไม่ใช่ พยาบาลคนเดิมรายงานว่า “ มีปัญหาอีกแล้ว คนไข้อีกรายหนึ่งที่หมอเหน็บยาไว้ ตอนนี้ หัวใจของทารกเต้นผิดปรกติเช่นกัน นับได้ประมาณ 70 ถึง 120 ครั้งต่อนาที”
ข้าพเจ้าสั่งการรักษาแบบเดิม คือ ให้ตรวจภายในและจับคนไข้นอนตะแคง สักครู่หนึ่ง พยาบาลเดินกลับมารายงานว่า “ หมอ หมอ ปากมดลูกเปิดแค่ 2 เซ็นติเมตร แต่ตอนนี้หัวใจของทารกเต้นลดลงเหลือ 60 ครั้งต่อนาที มดลูกก็หดรัดตัวถี่มาก จากเดิมทุก 3 นาที ขณะนี้เหลือเพียงทุกนาทีครึ่งเท่านั้น ”
“ตายแล้ว! สงสัยรกลอกตัวก่อนกำหนด” ข้าพเจ้าร้องอุทาน พลางร้องสั่งการให้ผ่าตัดเป็นการด่วน ไม่รอช้า ข้าพเจ้ารีบขับรถออกจากบ้านย่านถนนพัฒนาการทันที โดยกะเวลาที่จะไปถึงโรงพยาบาลประมาณครึ่งชั่วโมง แต่…จริง ๆ ข้าพเจ้าใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที
ข้าพเจ้าจำได้ว่า ขับรถยนต์บนถนนพัฒนาการด้วยอัตราเร็ว 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และฝ่าไฟแดง 1 แห่ง พอรถลัดเลี้ยวเข้าถนนทางด่วนได้ ข้าพเจ้าเหยียบคันเร่งด้วยอัตราเร็วสูงขึ้นไปอีก ประมาณ 140-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในใจภาวนา “ขอหย่าให้ทารกเป็นอะไรเลย”
อันตรายจากการขับขี่รถยนต์ ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะ จากการขับขี่ด้วยความเร็วสูง โดยเฉพาะบริเวณทางโค้ง รถยนต์ส่วนใหญ่ที่คนขับไม่มีสมาธิ มักจะหลุดออกจากแนวถนนและชนกับสิ่งกีดขวางจนตนเองได้รับอันตราย ข้าพเจ้าเคยประสบปัญหาเรื่องรถชนมาแล้ว 2 ครั้งบริเวณทางโค้ง จึงพยายามขับรถด้วยความระมัดระวัง โชคดี..ที่ชะตาของข้าพเจ้ายังไม่ถึงคาด ดัวยไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดๆเกิดขึ้นในระหว่างทาง
ตอนที่มาถึง รพ. จำได้ว่า เป็นเวลา 3 นาฬิกา โดยข้าพเจ้าได้ฝ่าไฟแดงอีกหนึ่งครั้งบริเวณสี่แยกก่อนเข้าประตูด้านแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลตำรวจ เมื่อผ่านป้อมยาม ข้าพเจ้าตะโกนบอกยามให้ช่วยอำนวยความสะดวกโดยรีบเลื่อนสิ่งกีดขวางออก เนื่องจากกำลังจะไปผ่าตัดคนไข้เป็นการด่วน
ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้ารีบวิ่งถลาเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว และวิ่งไปล้างมือโดยไม่ได้ใส่รองเท้ายางเพื่อกันเลือด
ข้าพเจ้ากรีดลงมีดที่หน้าท้องของคนไข้อย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่ถึง 5 นาที ก็สามารถทะลุเข้าโพรงมดลูก พอเห็นสีน้ำคร่ำ ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ เพราะน้ำคร่ำมีสีใส ไม่ใช่สีเขียวขุ่นจากขี้เทาเด็ก(เด็กที่ขาดออกซิเจนจะถ่ายขี้เทาเสมอ) พอเอามือล้วงลงไปเพื่อทำคลอดศีรษะเด็ก ข้าพเจ้าก็ต้องอุทาน ออกมา “เอ๊ะ..ทำไมหัวเด็กเล็กจัง” พอดึงส่วนของศีรษะทารกโผล่พ้นขอบแผลมดลูก จึงได้รู้ว่า “เป็นทารกที่ไร้กะโหลกศีรษะ (ANENCEPHALY) “
“ ถึงว่าละ เป็นทารกพิการนี่เอง หัวใจจึงเต้นผิดปกติ” ข้าพเจ้ากล่าวต่อ “รีบแทบตาย! ผมขับรถบนทางด่วนด้วยความเร็ว 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และฝาไฟแดง 2 ครั้ง โชคดีที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ ต่อไป ผมเข็ดแล้ว เรื่องใช้ยาเหน็บเตรียมปากมดลูกเพื่อเร่งคลอด”
“หมอรู้หรือเปล่า ไม่กี่เดือนมานี้ มีหมอดมยาคนหนึ่ง ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง เพื่อไปช่วยชีวิตคนไข้ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่ประสบอุบัติเหตุชนกับรถยนต์คันอื่นและเสียชีวิต หมอโชคดีแล้ว ที่คลาดแคล้วจากอุบัติเหตุ”
“ใครจะไปคิดถึงเล่าตอนนั้น พยาบาลรายงานว่า หัวใจทารกเต้นช้าเพียง 60 ครั้งต่อนาที (ปกติ 140 ครั้งต่อนาที) และมดลูกแข็งตัวทุก 1 นาที จึงคิดว่า เป็นรกลอกตัวก่อนกำหนด (Apruptio Placenta) ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เวลาเพียงแค่ 5-10 นาที ทารกก็อาจตายได้ ผมจึงจำเป็นต้องขับรถเพื่อให้ถึงโรงพยาบาลเร็วที่สุด โดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น” ข้าพเจ้าพูดต่อ
ภายหลังจากผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าได้ติดตามไปดูทารกที่ห้องทารกแรกเกิด พบว่า ทารกเป็นเพศหญิง น้ำหนัก 2750 กรัม เนื้อตัวเขียวคล้ำ หายใจนาน ๆ ครั้ง ส่วนของศีรษะทารก มีเพียงแค่ระดับดวงตา มองดูรูปหน้า คล้ายกับกะโหลกลิงที่ถูกตัดส่วนบนบริเวณเหนือหูออก เพื่อทำเป็นอาหารชุดเปิบพิศดาร
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ารู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้ผ่าตัดเอาทารกปกติซึ่งไร้ชีวิตออกมา จิตใจผ่อนคลาย ลดความกังวลไปมาก ข้าพเจ้ารีบโทรศัพท์กลับบ้านเพื่อบอกข่าวดีว่า ปัญหาต่าง ๆ ได้คลี่คลายลงแล้ว การที่โทรศัพท์กลับบ้าน เป็นเพราะรู้ว่า ภรรยาของข้าพเจ้าคงนอนไม่หลับและรอฟังข่าวอยู่ เนื่องจากทราบเรื่องราวมาตั้งแต่ต้น หลังจากนี้เธอคงนอนหลับได้ แต่..ข้าพเจ้าเองต่างหาก ที่ยังคงนอนไม่หลับต่อไป
ข้าพเจ้าขับรถวนเวียนหาร้านข้าวต้ม แถวใกล้ ๆ โรงพยาบาล แต่ไม่รู้สึกถูกใจสักร้านหนึ่งเนื่องจากไม่มีตู้เพลงคาราโอเกะ จึงขับรถย้อนกลับมาแถวบ้านย่านถนนพัฒนาการ บังเอิญได้พบร้านข้าวต้มคาราโอเกะร้านหนึ่งยังเปิดทำการอยู่ ขณะนั้นเป็นเวลา 4 นาฬิกา 30 นาทีแล้ว ข้าพเจ้าสั่งอาหาร 2-3 อย่าง และนั่งลงเขียนบันทึกเหตุการณ์ระทึกขวัญครั้งนี้
ตอนแรก ในใจไม่มีสมาธิ เนื่องจาก สาว ๆ ที่ร้องเพลง ส่งเสียงหนวกหู และเต้นรำกันไปรอบ ๆ โต๊ะทั้งๆสถานที่คับแคบ แต่ต่อมา หลังจากเขียนบันทึกเหตุการณ์ไปได้สักพัก จิตใจจึงค่อยสงบลง
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังคงนึกถึงคำพูดของภรรยาที่ตอบมาทางโทรศัพท์ว่า “คืนนี้ คุณจะนอนค้างที่โรงพยาบาลหรือเปล่า? ที่นั่น มีผ้าห่มหนาๆไหม? เดี๋ยวจะหนาวแย่เลย เพราะอากาศช่วงนี้เย็นมาก ถ้าไม่มีผ้าห่มหนาๆ ก็กลับมานอนที่บ้านเถอะ”
ใช่แล้ว! ในโลกนี้ ไม่มีที่ไหน อบอุ่นเท่าบ้านของเราหรอก
&&&&&&&&&&&&&&&