ลูกผู้หญิงในวัยเด็กนั้น มีความสดใส ไร้เดียงสา และบริสุทธิ์ เปรียบประดุจได้กับอัญมณี หรือ หยกอันล้ำค่า แน่นอน..พ่อแม่ย่อมรักและถนุถนอมอย่างมาก ซึ่ง..หากมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นกับลูกสาวของตนแล้ว พ่อแม่คงต้องปวดร้าวใจเป็นที่สุด แต่..หากเป็นสิ่งที่ดี..ละก็ พ่อแม่จะภูมิใจ พูดถึงเรื่องราวเหล่านั้น ไม่มีหยุด
ไม่นานมานี้ ข้าพเจ้าได้ผ่าตัดคลอดบุตรสาว ให้กับคนไข้รายหนึ่ง ปรากฏว่า ลูกสาวของเธอเกิดวันเดียวกับลูกสาวคนแรกที่ข้าพเจ้าผ่าตัดคลอดให้ ซึ่งอายุห่างกัน 6 ปี นอกจากนั้น ยังเกิดวันเดียวกับข้าพเจ้าด้วย นี่กลายเป็นว่า ทั้งสามคนเกิดวันเดียวกัน…. เท่านั้นยังไม่พอ ลูกสาวคนนี้ ยังนำโชคลาภมาสู่บ้านของเธออีกด้วย คือ ทำให้เธอได้เงินรางวัลจากสลากกินแบ่งรัฐบาลและหวยไต้ดิน ดังนี้ งวดถัดมา สลากกินแบ่งรัฐบาลได้ออกเลขท้ายสองตัวล่างเป็นเลข 25 ตรงกับวันเกิดของหนูน้อย รวมทั้งออกเลขท้ายสามตัวเป็นเลข 803 ซึ่งตรงกับเวลาเกิดของหนูน้อยด้วย คือ เกิดเวลา 8 นาฬิกา 3 นาที… ลูกสาวของคนไข้มีลักษณะแปลกอย่างหนึ่ง คือ ชอบกำมืออยู่เกือบตลอดเวลา งวดถัดมา หนูน้อย กางนิ้วก้อยออกมาเพียง 1 นิ้ว แล้วก็กำมือ สักพักหนึ่ง ก็กางนิ้วออกมา 2 นิ้ว รวมเป็นเลข 12 ซึ่งคนไข้ข้าพเจ้าก็ถูกหวยไต้ดินอีก ต่อมา อีกงวด ก็กางนิ้วมือออกทำนองเดียวกัน แต่เป็น 3 นิ้ว สองครั้ง คนไข้ข้าพเจ้าก็ถูกหวยใต้ดินอีก ในเลข 33 เธอบอกว่า ลูกสาวคนนี้เป็นลูกนำโชค
หลายวันก่อน มีเรื่องราวเกิดขึ้นกับเด็กหญิงคนหนึ่ง ขอให้นามสมมติว่า ชื่อ เพชรลดา เธออายุ 12 ปี ยังเรียนหนังสืออยู่ ปัญหาก็คือ เด็กหญิงเพชรลดามีเพศสัมพันธ์กับแฟน แล้วหลังจากนั้น 7 ชั่วโมง เกิดมีอาการปวดท้องน้อย แต่..เนื่องจากถูกคุณแม่จับได้ จึงเกิดการแจ้งความ และนัดให้เด็กหญิงเพชรลดามาตรวจที่แผนกสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับคดีทางเพศ การตรวจโดยทั่วไปไม่พบมีปัญหาอะไร เพียงแต่การรักษา คุณหมอจำเป็นต้องให้ยาป้องกันการตั้งครรภ์กับเด็กหญิงเพชรลดาไว้ แม้จากการซักประวัติ เธอจะมีประจำเดือนมาเมื่อราว 1 เดือนก่อน
ต่อมา เด็กหญิงเพชรลดา ได้กลับมาที่แผนกสูติ – นรีเวชกรรมอีก ด้วยเรื่องปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง จากการตรวจภายในโดยสูติแพทย์หญิง พบว่า น่าจะเข้าได้กับ ‘โรคท้องนอกมดลูก’ แต่ผลการทดสอบการตั้งครรภ์โดยน้ำปัสาวะให้ผลลบ เมื่อทดสอบการตั้งครรภ์ซ้ำจากเลือดก็ให้ผลลบทำนองเดียวกัน อย่างไรก็ตาม จากการตรวจอัลตราซาวนด์ พบว่า มดลูกของเด็กหญิงเพชรลดามีขนาดปกติ ไม่มีถุงการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูก (no gestational sac) แต่ทางด้านขวาของอุ้งเชิงกราน พบมีก้อนเนื้อ (Complex mass) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.6 เซนติเมตร นอกจากนั้น ยังพบของเหลวจำนวนมาก (น่าจะเป็น‘เลือด’) ในอุ้งเชิงกราน คุณหมอผู้ตรวจจึงให้เด็กหญิงเพชรลดานอนพักรักษาตัวที่หอผู้ป่วย เพื่อสังเกตอาการ
วันรุ่งขึ้น ตอนเช้า เด็กหญิงเพชรลดามีอาการปวดท้องน้อยรุนแรงมากขึ้น คุณหมอผู้หญิงได้ทำการตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดซ้ำ และปรึกษาข้าพเจ้าให้ช่วยเจาะท้องส่องกล้อง เพื่อดูพยาธิสภาพภายในอุ้งเชิงกราน (Diagnostic laparoscope) ขณะที่กำลังจะดำเนินการ ปรากฏว่า เวลาได้ล่วงเลยไปจนถึงช่วงบ่ายมากแล้ว ซึ่งวันนั้น ทางห้องผ่าตัดยังไม่ได้เตรียมเครื่องมือให้พร้อม เนื่องจากมีการถูกนำไปใช้ก่อนตอนเช้า ฝ่ายพยาบาลห้องผ่าตัด แนะนำให้ข้าพเจ้าผ่าตัดโดยการเปิดหน้าท้อง (Exploratory laparotomy) แต่ข้าพเจ้าไม่ยอม เนื่องจากคนไข้เป็นเด็ก ข้าพเจ้าไม่อยากให้เธอต้องเจ็บตัวมาก มีแผลผ่าตัดใหญ่ และฟื้นตัวนาน ซึ่ง…เด็กหญิงเพชรลดาจำเป็นต้องกลับไปเรียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การผ่าตัดจึงเลื่อนออกไปอีก หนึ่งวัน
ข้าพเจ้ายังจำได้ วันนั้นเป็นวันศุกร์ ช่วงตอนเช้า เมื่อจัดเตรียมท่าของเด็กหญิงเพชรลดาเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็เจาะผนังหน้าท้องของเธอ 3 จุด คือ ที่สะดือ 1 จุดและอีก 2 จุดบริเวณผนังหน้าท้องด้านข้างในระดับเดียวกัน เมื่อสอดใส่กล้องเข้าไปดูที่ช่องรูตรงสะดือ ก็พบว่า มีกองเลือดอยู่ในอุ้งเชิงกราน (Cul de sac) ประมาณ 500 มิลลิลิตร เมื่อใช้อุปกรณ์ลักษณะเป็นท่อดูดเอาเลือดออกหมดแล้ว สังเกตว่า รังไข่ข้างขวามี ‘เนื้อเยื่อปนกับก้อนเลือดจุกอยู่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร’ ข้าพเจ้าจึงใช้อุปกรณ์ ‘ปากคีบ’ (Grasping forceps) จับก้อนเนื้อเยื่อปนเลือดตรงบริเวณนั้นออก คราวนี้ ก็เห็นเป็น ‘พื้นเรียบๆของเนื้อรังไข่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร มีเลือดซึมออกมาตลอดเวลา’ ข้าพเจ้าได้ใช้ไฟฟ้าจี้บริเวณนั้นจนเลือดหยุด
จากนั้น ก็ทำการเอาชิ้นเนื้อที่เป็นปัญหา ออกมานอกช่องท้อง โดยใช้อุปกรณ์‘ถุง’สอดใส่เข้าไปบรรจุก้อนชิ้นเนื้อในช่องท้อง พร้อมกับดึงออกมาผ่านทางช่องรูที่ผนังหน้าท้องบริเวณสะดือ (Trocar port 10 millimetre) ข้าพเจ้าทำการล้างภายในช่องท้องด้วยน้ำเกลืออีกครั้งจนสะอาด จึงยุติการผ่าตัด ข้าพเจ้าได้ให้วินิจฉัยขั้นสุดท้ายในรายนี้ ว่าเป็น‘ถุงน้ำรังไข่แตกบริเวณไข่ตก (Ruptured corpus luteal cyst)’
corpus luteal cyst คือ ถุงน้ำรังไข่ที่เกิดขึ้น ณ บริเวณที่ไข่ตก ของเหลวภายในส่วนใหญ่เป็นน้ำเลือด (Hemorrhagic cyst) ที่ซึมออกมาจากบริเวณนั้น ถุงน้ำชนิดนี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 1.5 – 4.8 เซนติเมตร มีค่าเฉลี่ยประมาณ 3 เซนติเมตร มันมีโอกาสที่จะแตกได้ในผู้หญิงทั่วไปและในคนท้องขณะตั้งครรภ์อ่อนๆ ในอัตราที่ไม่สูงนัก
corpus luteal cyst พบได้น้อยกว่า ถุงน้ำรังไข่ที่พัฒนาขึ้นมาจากถุงไข่ (folicular cysts) Corpus luteum cysts เกิดขึ้นภายหลังจากไข่ตกและเกิดุถุงน้ำขึ้นตรงบริเวณนั้น (corpus luteum or yellow body) มีขนาดกว่า 3 เซนติเมตร การแตกของถุงน้ำรังไข่ประเภทนี้ส่วนใหญ่เกิดข้างขวา มักเกิดขณะมีเพศสัมพันธ์และช่วงมีประจำเดือนวันหลังๆเมื่อ cyst มีขนาดใหญ่ที่สุด ถ้า cyst มีขนาดใหญ่มากเกินไป คือ มากกว่า 6 เซนติเมตรขึ้นไป การผ่าตัดอาจจำเป็นต้องทำ
‘ถุงน้ำรังไข่แตกบริเวณไข่ตก’ เราไม่พบบ่อยนัก การวินิจฉัยแยกยากจากโรคท้องนอกมดลูกและใส้ติ่งอักเสบ อย่างไรก็ตาม ทั้งสามโรคที่กล่าวมา จะต้องจบลงด้วยการผ่าตัด ซึ่ง..ปัจจุบัน การผ่าตัดด้วยกล้องทำได้งง่ายดายและคนไข้ไม่ค่อยเจ็บตัว สำหรับกรณีเด็กหญิงเพชรลดา หลังผ่าตัด 3วัน ก็ขอกลับบ้าน
ปัญหาสำคัญของเด็กหญิงเพชรลดา มี 2 อย่าง คือ ปัญหาเรื่องเพศสัมพันธ์และถุงน้ำรังไข่แตก
การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเด็กอายุ 12 ขวบนั้น เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆ เด็กหญิงในวัยนี้ จิตใจยังเหมือน ‘น้ำใส’ เมื่อมีสิ่งแปลกปลอม ซึ่งเปรียบได้กับของโสโครก เข้ามาในความคิด ย่อมทำให้เธอกลายเป็น ‘น้ำเสีย’ สุดท้าย ก็ต้องถูกปล่อยทิ้งสู่แม่น้ำลำคลอง อย่างไร้ค่า
การมีเพศสัมพันธ์ในเด็กหญิงที่อายุน้อยกว่า 18 ปีนั้น ก่อให้เกิดปัญหาหลายสิ่งหลายอย่างที่พึงสังวร อาทิ โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์, การตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์, การถูกรังเกียจจากสังคมรอบด้าน, การถูกพักหรือไล่ออกจากโรงเรียน, การหยุดเติบโตทางด้านส่วนสูง เนื่องจากได้รับยาฮอร์โมนเพศ (Estrogen) เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์
ส่วนปัญหาถุงน้ำรังไข่แตก (Ruptured corpus luteal cyst) ก็พบมีปัญหาไม่น้อย ซึ่งเราจำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรคให้ได้ (Differentiate) เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้อง ส่วนใหญ่มักลงเอยด้วยการผ่าตัด คนไข้จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการตกเลือดจนช็อค, ภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัดและดมยา
อันเด็กผู้หญิงนั้น ทุกคนล้วน มีความน่ารัก
อ่อนหวาน ปานดอกไม้ ที่ไร้มลทิน
สามารถส่งกลิ่นหอมกระจาย ฟุ้งไปไกล
ดลใจให้ผู้พบเห็น นิยม ชื่นชอบ อย่างจริงใจ
หากเราปล่อยให้ ดอกไม้นั้นคงอยู่ตามธรรมชาติ
มันก็จะสวยงาม บริสุทธิ์ อยู่เป็นเวลานาน
แต่หาก เราไม่ระวัง ปล่อยให้ แมลงและเพลี้ยลงไปดอมดมชมเล่น
ดอกไม้นั้น พลันก็จะเหี่ยวเฉา หมดคุณค่า
เหมือน หยก หรือ มณีที่มีรอยแตกร้าว สีสรรหม่นหมอง…………..
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
พ.ต.อ. นพ.เสรี ธีรพงษ์ ผู้เขียน