วิบากกรรมของคนท้อง

คนเราเกิดมา ไม่มีใครหนีพ้นจากกรรมที่ตนเคยก่อไว้ได้ ไม่ว่า จะชาติไหนๆ! ใครเลยจะรู้ว่า เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามราวีเราอยู่ทุกขณะ โชคดี!! ที่หลายคนยังมีบุญเก่า คอยยับยั้งบรรเทา.. วันใดที่กรรมตามทัน ก็ย่อมทำให้คนนั้นทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรือประสบกับปัญหายุ่งยาก แต่..วันใดที่ชดใช้กรรมหมด คนผู้นั้นก็จะพบกับสันติสุข สำหรับคนท้อง นอกจากตนเองแล้ว ก็ยังมีลูกในท้องอีก ที่มาร่วมชะตากรรมในโลกมนุษย์ เด็กบางคนคลอดออกมามีรูปร่างพิกลพิการ บางคนมีปัญญาอ่อน และบางคนสิ้นสุดอายุขัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์…. .ใช่แล้ว!! สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
หลายวันมานี้ ข้าพเจ้าเองก็พบกับวิบากกรรมไม่น้อย นอนหลับฝันร้าย จิตใจซวนเซ ไม่สงบนิ่ง จนต้องพึ่งบุญบารมีของท่านผู้รู้ ครูอาจารย์ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยเหลือ เชื่อหรือไม่!!! ถึงแม้ข้าพเจ้าจะกำลังชดใช้กรรมอยู่ แต่ดูเหมือนว่า กำลังถูกมารทดสอบไปด้วย ก่อนที่จะก้าวไปในเส้นทางธรรม…
วันก่อน ข้าพเจ้าอยู่เวรรับผิดชอบห้องคลอด วันนั้นเป็นวันอังคาร ตอนเช้า ไม่มีเหตุการณ์อะไรให้ต้องวิตก ทุกสิ่งดูราบรื่น คล้ายกับท้องทะเลที่ราบเรียบ พอตกบ่าย ก็มีคนท้องรายหนึ่งถูกส่งมาจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้ป่วยรายนี้เป็นชาวเกาหลีเหนือ อายุ 29 ปี ไม่มีประวัติ คนไข้พูดภาอังกฤษไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าตั้งครรภ์ที่เท่าไหร่ แต่ทราบคร่าวๆว่า เธอตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือน ข้าพเจ้าสอบถามจากพยาบาลห้องคลอดว่า “มีปัญหาอะไรสำคัญ?”
พยาบาลคนนั้นบอกว่า “คนไข้มีปัญหาน้ำเดิน นักศึกษาแพทย์ได้พิสูจน์แล้ว พบว่า น้ำเดินจริง แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด”
ข้าพเจ้าพูดต่อว่า “คงต้องตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องให้คนไข้ก่อน เพื่อให้ได้อายุครรภ์ที่ใกล้เคียงความจริง” ผลปรากฏว่า ทารกในครรภ์อยู่ในท่าขวาง มีขนาดเทียบสัดส่วนเท่ากับอายุครรภ์ 32 สัปดาห์เศษ ซึ่งคำนวณน้ำหนักทารก ได้ประมาณ 1,700 กรัม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้ส่งคนไข้เข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพราะทารกขนาดเท่านี้ เขามีโอกาสรอดชีวิตในโลกภายนอกได้ ซึ่ง..หากปล่อยเวลาให้นานเนิ่นช้าเกินไป น้ำคร่ำก็จะไหลออกจากมดลูกจนหมด ทารกมีโอกาสถูกมดลูกบีบอัดให้ได้รับความลำบาก สุดท้ายอาจตายจากภาวะสายสะดือถูกดทับ
ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าลงมีดบนผนังหน้าท้องเหนือหัวเหน่า กรีดแผลขวางตามรอยตะเข็บของกางเกงใน โดยหวังผลด้านสวยงาม เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอว่า ‘ท่านกลางความโชคร้าย ก็ยังมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตบ้าง’ ผ่าตัดไป ก็พูดเล่นกับผู้คนรอบข้างไป โดยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดไม่ถึง จู่ จู่ พอลงมีดกรีดเข้าถุงน้ำคร่ำ ที่คอมดลูกส่วนล่าง น้ำคร่ำก็ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว พอเปิดแผลบนตัวมดลูกส่วนล่างให้กว้างขึ้น ก็ต้องตกใจ เพราะทารกอยู่ท่าขวางและเอาแผ่นหลังหันลงด้นล่าง (Dorso-posterior) ข้าพเจ้าแทบจะเป็นลม เพราะท่านี้ ทำให้ทำคลอดยาก ขณะนั้น มดลูกหดรัดตัวเข้ามาค่อนข้างเร็ว จนเหลือพื้นที่น้อยนิดที่จะล้วงเอาส่วนขาของเด็กได้ เมื่อเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงใช้เทคนิคสำคัญ คือ ใช้กรรไกรตัดขอบล่างของแผลผ่าตัดมดลูกส่วนล่าง บริเวณตรงกลางเป็นแนวตรงย้อนขึ้นไปในลักษณะตัว ที หัวกลับ ( Inverted T) จากนั้น ก็ใช้มือล้วงเข้าไปในโพรงมดลูก ครั้งแรก ข้าพเจ้าคว้าเอาส่วนแขนของเด็กออกมา ข้าพเจ้าค่อยๆเอาส่วนแขนนั้นกลับเข้าไปในโพรงมดลูก และล้วงในทิศทางตรงข้าม คราวนี้ ข้าพเจ้าพบส่วนขาของเด็ก จึงค่อยๆดึงออกมา และทำคลอดทารกน้อยอย่างระมัดระวัง ทารกน้อยมีน้ำหนักตัว 1,800 กรัม ค่าคะแนนศักยภาพทารกแรกเกิดเท่ากับ 7 และ8 (จากคะแนนเต็ม 10) ณ เวลา 1 และ5 นาทีตามลำดับ
คุณแม่ปลอดภัย ไม่กี่วันก็ได้รับอนุญาตให้กลับได้ ส่วนทารกน้อยได้รับการช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยการใส่ท่อช่วยหายใจและส่งไปเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด ข้าพเจ้าเกือบจะผิดพลาดในเรื่องการทำผ่าตัดครั้งนี้ จนส่งผลให้ทารกน้อยได้รับอันตราย จากการบีบรัดตัวของมดลูกคนไข้ โชคดี!!! ที่มีประสบการณ์เก่าๆมาช่วยยามวิกฤติ จึงทำให้การผ่าตัดคลอด จบลงด้วยดี
คุณดารณี เป็นคนท้องอีกคนที่มีวิบากกรรม และมีมากกว่าคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือด้วย เพราะเธอสูญเสียบุตรตั้งแต่อยู่ในครรภ์ อายุของเธอเพิ่งย่าง 16 ปี ตอนนี้ เธอตั้งครรภ์ได้ 19 สัปดาห์ คุณดารณีมาตรวจตามนัด โดยหาทราบไม่ว่า ‘ลูกของเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว เพราะเธอยังไม่เคยรู้เลยว่า ลูกดิ้นเป็นยังไง?’ ข้าพเจ้าได้พบเธอครั้งแรกที่ห้องฝากครรภ์ในวันจันทร์ โดยการปรึกษาของพยาบาลว่า ‘เธอมีลูกตายในครรภ์’ ข้าพเจ้าได้สอบถามรายละเอียดของคนไข้จากสูติแพทย์ผู้ดูอัลตราซาวนด์ คุณหมอบอกว่า ‘ทารกเสียชีวิตมาหลายวันแล้ว และในโพรงมดลูกไม่ค่อยจะมีน้ำคร่ำสักเท่าไหร่?’
“ช่วยส่งคนไข้ไปหอผู้ป่วยชั้น 5 และเหน็บยา Cytotek (สารพรอสตาแกรนดิน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้ปากมดลูกนุ่มและมดลูกแข็งตัว) ทางช่องคลอด 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์ เพื่อเขียนคำสั่งการรักษา
คุณดารณีถูกส่งตัวขึ้นไปยังหอผู้ป่วย 5 และได้รับการทำแท้งเพื่อการรักษาตั้งแต่นั้น พอถึงวันอังคาร ที่ข้าพเจ้าอยู่เวร ข้าพเจ้ามัวแต่สนใจคนไข้ที่อยู่ห้องคลอด จนลืมไปว่า ‘ยังมีคนไข้อีกคนที่มีปัญหารออยู่ที่หอผู้ป่วยชั้น 5’ พอตกเย็น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง นักศึกษาแพทย์ได้โทรศัพท์มาบอกว่า “คนไข้ที่ ward 5 แท้งออกมาแล้ว แต่รกค้างมานานประมาณ 1 ชั่วโมง”
“อย่างนั้น ก็ให้ส่งคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัด และset ขูดมดลูก” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์คนนั้น การที่รกยังคงค้างอยู่ในกรณีนี้ ก็เพราะคุณดารณีตั้งครรภ์เพียง 19 สัปดาห์ รกในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ มักฝังตัวแน่น ดุจรากไม้ของต้นไม้วัยสาวที่หยั่งลงลึก การลอกหลุดเองจึงยาก ถึงจะรอต่อไป รกก็คงไม่ลอกหลุดออกมา ดังนั้น เพื่อป้องกันการตกเลือด ข้าพเจ้าจึงต้องรีบขูดมดลูก การขูดมดลูกของคุณดารณีภายใต้การดมยาสลบ ถึงแม้ไม่ยากลำบาก แต่ปริมาณของชิ้นเนื้อรกมีจำนวนมาก ทำให้ต้องเสียเวลานาน คุณดารณีพักอยู่โรงพยาบาล 2 วัน ก็ขอกลับบ้าน โดยไม่มีปัญหาอะไร นอกจากความทุกข์ใจ ที่ยากจะอธิบาย
คุณอลิสา ก็มีวิบากกรมไม่แพ้คุณดารณี เธอตั้งครรภ์ได้เพียง 12 สัปดาห์ แต่มีปัญหาเลือดออกกะปิดกะปรอยจากช่องคลอด หลายวันก่อนข้าพเจ้าได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้คุณอลิสา ปรากฏว่า เป็น ‘ครรภ์ไข่ฝ่อ (Blighted ovum)’ ข้าพเจ้าได้ขูดมดลูกให้เธอไปในตอนบ่ายวันนั้น ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่า ‘ปากกมดลูกของเธฮเปิดน้อยมาก จึงต้องถ่างปากมดลูก ตอนแรกคิดว่า จะล้มเลิกการขูดแล้ว และนัดมาใหม่หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เพื่อให้ปากมดลูกเปิดเพิ่มขึ้น แต่พอดมยาสลบ ข้าพเจ้าก็สามารถถ่างปากมดลูกได้ประมาณเบอร์ 8 จึงตัดสินใจทำ’ การขูดมดลูกไม่ยากมาก ข้าพเจ้าไม่สามารถใช้เครื่องมือประเภทคีมปากยาว (Ovum forceps) เข้าไปในโพรงมดลูกได้ จึงใช้เพียงแต่แกนห่วงเหล็กเบอร์เล็ก (Curette) เข้าไปขูด เมื่อได้ชิ้นเนื้อพอสมควร และได้ยินเสียง (Uterine cry) ก็คิดว่า ถุงการตั้งครรภ์และรกน่าถูกเอาออกจนหมดแล้ว’
คาดไม่ถึง!! วันต่อมาเวลาประมาณ 5 ทุ่ม คุณอลิสาได้กลับโรงพยาบาลอีก ด้วยเรื่องตกเลือด สุดท้ายสูติแพทย์เวรต้องทำการขูดมดลูกซ้ำให้เมื่อเวลา 2 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ พร้อมกับให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีทางเส้นเลือดดำ สูติแพทย์เวรได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าเมื่อวานนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และนั่งพิจารณาถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ก็พบว่า น่าจะเกิดจาก ปากมดลูกของคนไข้ยังแข็งอยู่ และเปิดน้อยมาก จนต้องใช้แกนเหล็ก (Hegar dilators) เข้าไปถ่างขยายในช่วงดมยา สมัยก่อน ข้าพเจ้าไม่เคยพบประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้เลย เพราะข้าพเจ้ามักนัดให้คนไข้มาตรวจอัลตราซาวนด์ซ้ำในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ปากมดลูกก็อ่อนนุ่ม รกเสื่อมสลายไปมากแล้วและกำลังจะลอกตัว เมื่อทำการขูดมดลูกจึงง่ายดาย สมบูรณ์ ปราศจากเศษรกค้าง (retained pieces of placenta)
สำหรับการปฏิบัติตัวของคนไข้หลังแท้งและหลังคลอด มีหลักคล้ายๆกัน ดังนี้
– รักษาความสะอาด บริเวณปากช่องคลอด และสุขภาพอนามัยของร่างกายให้ดี
– จำไว้ว่า มดลูกจะเข้าสู่อุ้งเชิงกรานประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอด ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตในช่วงเวลาดังกล่าวว่า มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? เช่น มดลูกไม่เข้าอู่ (uterine involution) เป็นต้น
– ห้ามมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด หลังแท้ง ประมาณ 6 สัปดาห์ หรือรอจนกว่า จะมีระดู
– หมั่นสังเกต น้ำคาวปลาว่า มีสี มีกลิ่นเหม็นแปลกๆหรือไม่
หากพบความผิดปกติใดๆ หรือสงสัย ควรปรึกษาสูติแพทย์
คุณดารณี คุรอลิสา รวมทั้งคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือ ต่างก็มีวิบากกรรม ทำให้ต้องมาพบกับปัญหาลูกเสียชีวิตในครรภ์และลูกคลอดก่อนกำหนด สำหรับข้าพเจ้า ในช่วงนี้ ก็กำลังพบกับวิบากกรรมรุมเร้าเช่นกัน ทำให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากใจหลายประการ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังมีครูบาอาจารย์คอยช่วยเหลือ ทำให้กรรมเบาบางลงบ้าง
เรื่องของกรรม เราทุกคนต้องชดใช้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง บางที ก็เป็นไปในลักษณะการสูญเสียสิ่งที่ตนรัก บางที ก็เป็นไปในลักษณะร่างกายเจ็บป่วย บางที ก็เป็นไปในลักษณะถูกฟ้อง หรือปองร้าย ใครจะเชื่อเรื่องกรรมหรือไม่ก็ตามที แต่..แน่นอน!! ในที่สุด ทุกคนก็ต้องชดใช้….
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.นพ. เสรี ธีรพงษ์ ผู้เขียน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *