เพชรพญานาค

เพชรพญานาค

ที่ตรงหน้าข้าพเจ้า ขณะนี้ มีก้อนหินอยู่ 2 ก้อน ลักษณะทั่วไป ก็คือ ก้อนหินสีน้ำตาล ผิวขรุขระ มีฝุ่นจับโดยรอบ ขนาดประมาณ กำมือโอบ และมีตัวอักษร ‘พ’ อยู่บนก้อนหินทั้งสองก้อนด้วย… เชื่อหรือไม่ว่า ภายในก้อนหินทั้งสองนั้น มี ‘เพชรพญานาค’

เมื่อราว 1 เดือนก่อน น้องสาวอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านหนึ่ง ได้นำก้อนหินดังกล่าวจากนครพนม มาฝากเนื่องจากข้าพเจ้าดูแลรักษาท่านเกี่ยวกับภาวะวัยทอง ท่านนำมาให้ถึง 3 ก้อน ข้าพเจ้าได้มอบให้พยาบาลที่อยู่ร่วมดูแลท่านในวันนั้นด้วยไป 1 ก้อน

ระหว่างพูดคุย ท่านหยิบอัญมณี ‘เพชรพญานาค’ จำนวนมากมาย ที่กระเทาะนำออกมาจากหินก้อนอื่นให้ดู ลักษณะทั่วไป ก็เหมือนผลึกแก้วกลมหลากสี   มีขนาดตั้งแต่เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 – 3 เซนติเมตร สวยงามมาก

สำหรับ ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าขอเก็บไว้ในรูปร่างเป็นก้อนหินอย่างนั้นแหละ ไม่อยากกระเทาะเอาอัญมณีออกมา ทั้งนี้ ก็เพื่อเอาไว้สักการะ บนแท่นบูชาพระพุทธรูป  สิ่งมงคลนี้ คงต้องอยู่ที่ความเชื่อมั่นศรัทธา เหมือนที่ ข้าพเจ้าเชื่อถือ ในเรื่องของ ‘ทาน’ ว่าเป็นประตูสู่ทุกสิ่งที่ดีงาม แต่..หากเราไม่นับถือ… สิ่งมงคลใดๆ ก็เสมือนสิ่งไร้ค่า อะไรสักอย่างหนึ่ง

ข้าพเจ้ามีนิสัยชอบทำ ‘ทาน’ และทำในทุกรูปแบบ ไม่ว่า จะเป็นการทำบุญตักบาตรตอนเช้า การปล่อยนก ปล่อยเต่า ปล่อยปลา หรือ การช่วยเหลือรักษาคนไข้ในมืออย่างเต็มที่ (เพราะถือว่า เคยมีวาสนาช่วยเหลือกันมาในอดีตชาติ)

ไม่กี่วันที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์อกสั่น ขวัญแขวนสำหรับข้าพเจ้าหลายเรื่อง แต่ทุกเรื่อง ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี… นี่..ก็น่าจะเป็นผลแห่ง’ทาน’

เย็นวันหนึ่ง ก่อนเดินทางไปอินเดีย (7- 10 มีนาคม 53) วันนั้นเป็นวันจันทร์ ตอนช่วงเวลาราว 17 นาฬิกา ได้มีสตรีชาวโมรอคโค อายุ 32 ปี มาโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ด้วยเรื่องน้ำเดิน คนไข้ชื่อ คุณฮายัด ตั้งครรภ์แรก เธอเคยฝากครรภ์ที่ประเทศโมรอคโคมาก่อน ขณะนี้ เธอมีอายุครรภ์ ประมาณ 37 สัปดาห์ แพทย์เวรห้องฉุกเฉินได้โทรศัพท์มาปรึกษาข้าพเจ้าและขอให้รีบไปดูคนไข้โดยด่วน  

คุณฮายัด เริ่มฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้เมื่อเธออายุครรภ์ได้ 33 สัปดาห์ และมารับการตรวจครรภ์อีก 2 ครั้ง ตอนอายุครรภ์ 35 และ 36 สัปดาห์เศษ ผลเลือดต่างๆปรกติ ข้าพเจ้าไม่เห็นใบฝากครรภ์จากประเทศโมรอคโค จึงสันนิษฐานตามที่คุณหมอสูติผู้ดูแลว่า อายุครรภ์คงเป็นไปตามนั้น อายุครรภ์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคนท้องทุกคน เพราะเป็นส่วนในการตัดสินใจให้คลอด หรือยับยั้งการคลอดไว้ก่อน

เมื่อแรกเห็นคุณฮายัด ข้าพเจ้าคิดว่า เธอและบุตรน่าจะสบายดี เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอรู้สึกเด็กดิ้นดีตลอด จากการซักประวัติ สามีเธอซึ่งพอพูดภาษาไทยได้ เล่าว่า เธอมีน้ำเดินตอนเวลาประมาณ 15:00 นาฬิกา น้ำคร่ำไหลออกมาจากช่องคลอดเรื่อยๆ และเริ่มออกน้อยลงตอนที่ข้าพเจ้าเดินทางไปถึง

ข้าพเจ้าขอตรวจภายในและอัลตราซาวนด์คนไข้ในเบื้องต้น เพื่อประเมินสถานการณ์ ซึ่งพบว่า ทารกน้อยมีขนาดและน้ำหนัก ใกล้เคียงกับอายุครรภ์ตามระบุในใบฝากครรภ์ (โดยอาศัยวัดเปรียบเทียบกับส่วนต่างๆของร่างกายทารกและคำนวณจากเครื่องอัลตราซาวนด์) ตอนนั้น ข้าพเจ้าเองยังไม่วางใจนัก จึงได้ลองประเมินโดยคลำตัวเด็กทางหน้าท้องของคนไข้ ก็คะเนน้ำหนักทารกว่า น่าจะหนักประมาณ 2,500 กรัม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ทารกน้อยก็น่าจะรอดเมื่อคลอดออกมาสู่โลกภายนอก

ขณะที่กำลังเขียนผลตรวจอัลตราซาวนด์บนโต๊ะที่หน้าห้องตรวจเอกซเรย์ สามีคนไข้ได้เดินเข้ามาหาข้าพเจ้าและถามว่า “คุณหมอคิดว่า จะทำยังไงดี?”  ข้าพเจ้าตอบว่า “เท่าที่ประเมินจากอัลตราซาวนด์ ลูกคุณมีขนาดตัวโตพอสมควร หากต้องการจะรอถึงพรุ่งนี้เช้า ก็สามารถทำได้ แต่จะเสี่ยงต่อชีวิตตัวทารก ในกรณีที่น้ำคร่ำไหลออกมามาก ทำให้ตัวเด็กเบียด กดทับสายสะดือ จนลูกคุณขาดก๊าซออกซิเจน และเสียชีวิตในที่สุด วิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด คือ ผ่าตัดคลอดตอนนี้เลย”

สามีคุณฮายัด ซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา และไว้ผมยาว พูดด้วยท่าทางที่ขึ่งขังว่า “คุณหมอต้องรับผิดชอบกับลูกของผมนะ!!!” เจ้าหน้าที่พยาบาลและห้องเอกซเรย์ รวมทั้งข้าพเจ้าพากันตกใจกับถ้อยคำนี้

ข้าพเจ้าตั้งสติได้ก่อน ก็พูดโต้ตอบออกไปว่า “ผมจะทำให้ดีที่สุด”

สามีคุณฮายัดเอื้อมมือมาจับบ่าข้าพเจ้า พร้อมกับพูดว่า “ผมเชื่อใจและมั่นใจในตัวหมอ หมอจะผ่าตัดคลอด ก็ทำได้เลย”

ตอนนั้น ความมั่นใจของข้าพเจ้ารู้สึกว่า ลดน้อยถอยลงไปมาก เพราะคำพูดข้างต้นของสามีคนไข้ แต่ก็แข็งใจสั่งการกับพยาบาลว่า ‘คนไข้รายนี้…ผ่าตัดคลอดเลยนะ ช่วยตามคุณหมอดมยาและหมอเด็กด้วย’

ที่ห้องผ่าตัด สามีคุณฮายัดได้ขอเข้ามาดูการผ่าตัดคลอดด้วย ข้าพเจ้าจะห้ามปรามยังไง เขาก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง  คุณหมอดมยามาถึงห้องผ่าตัดอย่างรวดเร็วและรีบใส่ยาดมสลบเข้าไปในไขสันหลังของคนไข้ คุณฮายัดนอนนิ่งอยู่บนเตียงผ่าตัดอยู่นาน แต่การผ่าตัดก็ไม่มีทีท่าจะเริ่มต้น ทั้งนี้เพราะไม่มีกุมารแพทย์มารับเด็ก ทางโรงพยาบาลพยายามติดต่อกับกุมารแพทย์หลายท่าน ก็ไม่มีใครยินยอมมา เวลาผ่านไปประมาณ 40 นาที ข้าพเจ้าตัดสินใจโทรศัพท์ไปที่ห้องคลอดโรงพยาบาลตำรวจ ถามพยาบาลว่า ‘คุณหมอเด็กอยู่เวรคืนนี้ชื่ออะไร’ พยาบาลห้องคลอดตอบว่า ‘คุณหมอวีนัส’ ข้าพเจ้าขอเบอร์โทรศัพท์มือถือคุณหมอ และรีบโทรไป พลางขอร้องว่า “คุณหมอครับ พี่เองนะ พี่อยากจะรบกวนให้เธอมาที่โรงพยาบาล (ขอสงวนนาม)… ชั้น 3 ห้องผ่าตัด ช่วยมารับเด็กหน่อย เออ!! พอดี ที่นี่ไม่มีหมอเด็กอยู่เวรประจำการ และก็หาไม่ทันแล้ว รบกวนช่วยพี่หน่อยนะ” คุณหมอวีนัสรับปากว่าจะมารับเด็กให้

หากเป็นสมัยก่อน ข้าพเจ้าจะไม่กลัวปัญหาเช่นนี้เลย เพราะพยาบาลห้องคลอดสามารถรับเด็กและช่วยเหลือในเบื้องต้นได้ แต่เวลาสมัยเปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้ ความผิดพลาด คือ การดับวูบของอนาคตแพทย์ การจะอ้างว่า ‘คุณหมอเด็กติดธุระ’ ย่อมไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีในศาล.. ยิ่งเป็นกรณีชาวต่างชาติ  ยิ่งอาจเป็นปัญหาใหญ่โตขึ้นไปอีก

“คุณหมอครับ เวลาที่ดมยาสลบผ่านทางไขสันหลังล่วงไป 1 ชั่วโมงแล้ว หากคุณหมอไม่ลงมีด ยาสลบอาจจะไม่สามารยับยั้งอาการเจ็บปวดจากการผ่าตัดได้ ผมว่า คุณหมอรีบผ่าตัดก่อนจะดีกว่า มิฉะนั้น คงต้องใส่ท่อช่วยหายใจคนไข้ เพื่อดมยาต่อ” วิสัญญีแพทย์ผุดลุกผุดนั่งและรีบเดินมาขอร้องข้าพเจ้า เพื่อให้รีบลงมือผ่าตัดด่วน สามีคนไข้บ่นเป็นภาษาโมร็อคโค ข้าพเจ้าเอง ก็ได้แต่ปลอบใจเขาว่า ‘กุมารแพทย์คงมาช้าหน่อย เพราะรถติด’

สักครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างข้าพเจ้ากับวิสัญญีแพทย์ สามีคนไข้ก็พูดออกมาว่า “ผมจะรับเด็กเอง ลูกของผม ผมรับคลอดเองได้ และคิดว่า คงไม่เป็นไร” ข้าพเจ้าตกใจกับคำพูดนี้มาก แต่เวลาไม่รอท่าแล้ว หากใส่ท่อช่วยหายใจให้กับคุณฮายัด คงต้องเกิดความยุ่งยากภายหลังอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าพยายามโทรศัพท์ติดต่อคุณหมอเด็ก หลายครั้ง ก็ไม่สามารถติดต่อได้ อนาคตข้าพจ้าขึ้นอยู่กับการตัดสินใจครั้งนี้ ข้าพเจ้าบอกกับทีมงานว่า “ลงมือผ่าตัดเดี๋ยวนี้เลย หากเด็กคลอดออกมา แล้วหายใจไม่ดี ขอรบกวนคุณหมอดมยาช่วยใส่ท่อหายใจให้ด้วย ” ซึ่งคุณหมอก็รับปาก

ไม่รอช้า!! ข้าพเจ้าลงมีกรีดบนผนังหน้าท้องตามรอยตะเข็บกางเกงใน ก่อนลงมีด ข้าพเจ้าท่องคาถาส่วนตัวเพื่อขอสิ่งศักดิ์สิทธิช่วยเหลือ สามีคนไข้ยืนอยู่บนหัวเตียงผ่าตัดก็สวดมนต์ขอพรจากพระเจ้าให้คลุ้มครองปกป้องลูกเช่นกัน เมื่อลงมีดถึงถุงน้ำคร่ำ ข้าพเจ้าคิดว่า น้ำคร่ำยังมีมากอยู่ ทารกน่าจะปลอดภัย ใม่มีปัญหา พอทำคลอดทารกน้อย ทารกร้องเสียงดังและหายใจดี ทารกเป็นเพศหญิง น้ำหนักแรกคลอด 2,430 กรัม คะแนนศักยภาพแรกเกิด 9 และ 10 (จากคะแนนเต็ม 10) ตามลำดับ

ข้าพเจ้ารีบส่งเด็กให้กับพยาบาล เพื่อช่วยเหลือในเบื้องต้น จากนั้น ก็มีการลำเลียงเด็กส่งต่อไปที่ห้องเด็ก เพื่อให้อยู่ในตู้อบ รักษาอุณหภูมิร่างกาย เมื่อคลอดเด็กได้ 15 นาที กุมารแพทย์ก็มาถึง และขอโทษที่มาล่าช้า นอกจากนั้น เผอิญ แบตเตอรี่มือถือหมดด้วย จึงติดต่อกันไม่ได้ ข้าพเจ้าเย็บมดลูกเสร็จพอดี จึงรีบพาเธอไปดูทารกน้อย ลูกคุณฮายัด ปรากฏว่า  เด็กเริ่มหายใจไว และกลั้นหายใจเป็นระยะ โชคดีที่คืนนั้นมีหมอเด็กอยู่ด้วย คุณหมอได้อยู่ดูแลเด็กจนดึกดื่น สักพักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ขอตัวกลับก่อน เพราะเสร็จภารกิจแล้ว

นี่คือ ความโชคดีครั้งหนึ่งของข้าพเจ้า ถัดจากนั้นมาไม่ถึง 1 สัปดาห์ ก็ได้ผ่าตัดคนท้องที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษแบบรุนแรงอีกรายที่โรงพยาบาลตำรวจ คนไข้และลูกปลอดภัยดี นอกจากนั้น ตอนขากลับจากประเทศอินเดีย ข้าพเจ้าต้องออกเดินทางประมาณ 5 ทุ่ม เพื่อให้ถึงสนามบินในตอนเช้า เป็นการประหยัดเวลาการเดินทางจาก 8 ชั่วโมง เหลือเพียง 5 ชั่วโมง เพราะการจราจรที่นั่นแย่มาก

เรื่องมีอยู่ว่า ข้าพเจ้าต้องเดินทางโดยรถยนต์จากโรงเรียนกาซิกา ที่เมืองดาราดูน ซึ่งอยู่บนภูเขา ไปที่สนามบินนิวเดลลีตอนกลางคืน คุณครูท่านหนึ่งได้ขับรถส่วนตัวพาข้าพเจ้าไปส่งยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนคนขับรถ คนขับรถที่ขับต่อจากคุรครูได้ขับพาข้าพเจ้าเดินทางไปอีกราว 20 กิโลเมตร ก็ลงจากรถ และหายไปในความมืด ข้าพเจ้ารีบใส่รองเท้าและลงจากรถ มายืนข้างทาง โดยไม่ทราบว่า คืนนั้น ข้าพเจ้าจะมีชีวิตรอดกลับสู่ประเทศไทยหรือไม่

ราว 10 นาที ก็มีคนอินเดียอีกคนเดินออกมาจากความมืดและขึ้นมานั่งตรงคนขับ ข้าพเจ้าพยายามพูดภาษาอังกฤษกับเขา แต่ก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่า นี่คือ คนขับรถตัวจริง สุดท้าย เขาก็ได้พาข้าพเจ้าไปถึงสนามบินตอนราว 5 นาฬิกาของเช้าวันใหม่  โชคดีจริงๆ!!!

ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า ข้าพเจ้าจะไม่โชคร้ายหรือเสียชีวิตไปก่อนเวลาอันควร เพราะได้ประกอบกรรมดีมาตลอด แต่….นั่นแหละ!!!! ทุกสิ่งย่อมไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับโชควาสนาและความเชื่อถือศรัทธา ดุจดังเรื่องราวของ’เพชรพญานาค’ ที่บัดนี้ ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า มีจริงหรือไม่..

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&   

พ.ต.อ. นพ.เสรี  ธีรพงษื  ผู้เขียน   

โชคดี!!!..ไม่ต้องซีเรียส

โชคดี!!!..ไม่ต้องซีเรียส

ตั้งแต่เป็นเด็ก เวลาไหว้พระ ข้าพเจ้าจะอธิษฐานว่า “ขอให้(ข้าพเจ้า)โชคดี” นั่น..จึงเป็นที่มาขอคำว่า “โชคดี!!” ที่ข้าพเจ้ามักพูดกับคนไข้เกือบทุกคนที่มาเข้ารับการรักษา.. ซึ่งส่วนใหญ่ ไม่ว่าเกิดเรื่องเลวร้ายอะไร คนไข้มักรอดปลอดภัย ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า คำพูดนี้มีส่วนหรือไม่! แต่…เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คำพูดนี้ กลับต้องใช้เพื่อการปลอบใจหลังผ่าตัดให้กับคนไข้รายหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้ช่วยผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านกลางกรุง (ขอสงวนนาม)…การผ่าตัดค่อนข้างยุ่งยาก เพราะมีพังผืดมาก แต่ก็เป็นไปได้ด้วยดี… ระหว่างผ่าตัดนั้น….ข้าพเจ้าสังเกตว่า เนื้อเยื่อที่โผล่ออกมาจากปากมดลูก ซึ่งเจริญต่อเนื่องออกมาจากในโพรงมดลูก มีลักษณะยุ่ยๆ ชอบกล ข้าพเจ้าคิดว่า มันอาจเป็นมะเร็งเยื่อบุมดลูก!!! จึงไต่ถามข้อมูลประวัติการเจ็บป่วยของคนไข้..คุณหมอท่านนั้นได้เล่าให้ฟังว่า ‘คนไข้รายนี้อายุเพียง 31 ปี อาชีพเป็นนักแสดงโรงละคร ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ไม่เคยมีอาการเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด แต่..มดลูกมีขนาดโตค่อนข้างเร็ว’ ไม่กี่วันที่ผ่านมา คุณหมอท่านนั้นได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าว่า “ผลชิ้นเนื้อของคนไข้เป็น มะเร็ง (Poorly differentiated endometrioid adenocarcinoma) ของเยื่อบุโพรงมดลูก จริงๆ” ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมากกับข่าวร้ายนี้ ข้าพเจ้าขออวยพรให้คนไข้โชคดี จากการรักษาในภายภาคหน้าต่อไป

วันนี้ ก็เช่นเดียวกัน คุณอรชุลี ซึ่งเป็นคนไข้มีบุตรยากรายหนึ่ง ได้ไปเจาะเลือดทดสอบการตั้งครรภ์หลังหยอดตัวอ่อน ปรากฏว่า ‘ตั้งครรภ์’ สำเร็จ แต่…เธอกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เหตุทั้งนี้เพราะ ครรภ์แรกของเธอที่ตั้งครรภ์จากการทำเด็กหลอดแก้วเช่นกัน ปรากฏว่า ได้ทารกพิการแต่กำเนิด จนต้องทำแท้งออกมา ส่วนการตั้งครรภ์ครั้งนี้ ก็มีเลือดเก่าๆออกมาเมื่อคืนที่ผ่านมา คุณอรชุลีนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน เพราะคิดว่า ‘คงล้มเหลว’ ไม่ตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อตั้งครรภ์จริงๆ เธอก็กลัวว่า ลูกคนนี้อาจพิการเช่นเดียวกับลูกคนก่อน ข้าพเจ้าเข้าใจและเห็นใจเธออย่างมาก จึงพูดปลอบว่า “ไม่ต้องซีเรียสหรอก คนท้องหลายรายที่เกิดจากการทำเด็กหลอดแก้ว มีเลือดออกทางช่องคลอด..เป็นเลือดเก่าๆเช่นนี้ในวันทดสอบผลเลือด ดังนั้น ควรทำใจสบายๆ จะดีกว่า สิ่งที่ผมอยากให้คุณอรชุลีทำ คือ ให้ไปทำบุญใหญ่ และปฏิบัติธรรมอีกครั้งหลังจากที่เคยไปปฏิบัติธรรมกับสำนักแม่ชีแห่งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว……” นอกจากนั้น ข้าพเจ้ายังได้สั่งยากันแท้งเพิ่มเติมให้กับเธอและแนะนำให้พักผ่อนมากๆ….

วันอังคารที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเข้าเวรตามปกติ ปรากฏว่า ตลอดทั้งวัน รวมทั้งช่วงหัวค่ำ ไม่มีคนไข้สักรายให้ต้องลงมือผ่าตัด ข้าพเจ้าจึงกลับไปพักผ่อนที่บ้านและรอฟังการปรึกษาจากนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด

ประมาณ 4 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ นักศึกษาแพทย์เวรได้โทรศัพท์มาปรึกษาข้าพเจ้าว่า “มีคนท้องรายหนึ่ง มาโรงพยาบาลด้วยเรื่องน้ำเดิน และเพียงแค่ 30 นาที ที่ผ่านมา หัวใจทารกก็เต้นช้าลงอย่างผิดสังเกตถึง 3 ครั้งในขณะที่ไม่มีการหดรัดตัวของมดลูก (late deceleation) อัตราการเต้นอยู่ที่ประมาณ 90 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น” ข้าพเจ้าย้อนถามไปว่า “คนไข้ตั้งครรภ์กี่สัปดาห์?” นักศึกษาแพทย์คนนั้นตอบว่า “41 สัปดาห์ หากนับจากระดูครั้งสุดท้าย แต่หากนับจากใบฝากครรภ์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ คนไข้จะมีอายุครรภ์เพียง 36 สัปดาห์เศษ” ข้าพเจ้าฟังแล้วคิดว่า คนท้องรายนี้ค่อนข้างเสี่ยงต่อการสูญเสียลูก จึงรีบแต่งตัว ขณะที่กำลังจะขับรถออกจากบ้าน ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ไปถามพยาบาลห้องผ่าตัดอีกครั้ง เพราะยังไม่แน่ใจในคำพูดของนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด นักศึกษาแพทย์มักพูดรายงานเรื่องราวของคนไข้ไม่ชัดเจนและเกินความเป็นจริง

ข้าพเจ้าถามพยาบาลห้องคลอดว่า “เป็นยังไงบ้าง? เมื่อกี้ น้องหมอ Extern (นักศึกษาแพทย์ฝึกหัด) รายงานว่า มีคนท้องรายหนึ่งที่ลูกมีการเต้นของหัวใจช้าแบบตกวูบ (late deceleation) ”

พยาบาลห้องคลอดตอบว่า “อ๋อ คุณมาเรีย (Mrs. Marie) ชาวฟิลลิปปินส์นะเหรอ.. ตอนนี้ อัตราการเต้นเฉลี่ยของหัวใจลูกเธออยู่ที่ประมาณ 150 ครั้งต่อนาที สามีคนไข้ไม่อยากให้เธอนอนโรงพยาบาล คุณมาเรีย (Mrs. Marie) มีประวัติน้ำเดินมาเมื่อ 4 ชั่วโมงก่อน หมอ extern ตราจภายในและทดสอบแล้ว ไม่มีน้ำเดินจริง”

ข้าพเจ้าถามต่อว่า “อ้าว! แล้วเมื่อสักครู่  น้อง extern บอกว่า เด็กไม่ค่อยดี เพราะหัวใจเด็กเต้นค่อนข้างช้า (late deceleation) ในขณะที่มดลูกไม่มีการหดรัดตัว (Uterine contraction)”

พยาบาลคนเดิมตอบว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ลักษณะของกราฟจากการตรวจ NST (ย่อจาก Non-stress test) เป็น variable deceleration…กราฟที่แสดงค่าพื้นฐานการเต้นของหัวใจเด็ก (Basseline) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 150 ครั้งต่อนาที นอกจากนั้น เส้นกราฟหัวใจนั้นยังเป็นลักษณะมี variability ด้วย”

ข้าพจ้าฟังแล้ว จึงยังไม่ได้ออกเดินทางจากบ้าน เนื่องจากคนไข้รายนี้ไม่ใช่กรณีฉุกเฉินแล้ว ข้าพเจ้ามั่นใจว่า ทารกน้อยยังมีสุขภาพดีอยู่… ด้วยเหตุผล คือ

ประการที่ 1 กราฟที่แสดงอัตราการเต้นของหัวใจเด็ก ส่วนใหญ่ปกติ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 150 ครั้ง ต่อนาที (อัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ มีค่าปกติอยู่ที่ 140 -180 ครั้งต่อนาที หากมีอัตราการเต้นต่ำกว่า 120 ครั้งต่อนาที แสดงว่า ทารกเริ่มขาดก๊าซออกซิเจน… และถ้าต่ำกว่า 100 ครั้ง ต่อนาที แสดงว่า ทารกอยู่ในสภาพขาดออกซิเจนในกระแสเลือดอย่างมาก [Severe hypoxia])

ประการที่ 2 กราฟที่แสดงการเต้นของหัวใจทารกมีลักษณะ Variability ‘ดี’ หมายถึง มีการเต้นของหัวใจที่แกว่งขึ้นและลงเป็นหยักๆค่อนข้างมาก คือ มีค่าความแตกต่างระหว่างจุดสูงสุดและต่ำสุด มากกว่า 10 หน่วย

เมื่อทราบรายละเอียดของสภาพคนไข้ที่แท้จริง ข้าพเจ้าจึงยังคงพักผ่อนอยู่กับบ้าน อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าวางแผนที่จะผ่าตัดคลอดให้กับคุณมาเรีย (Mrs. Marie) ในตอนเช้า โดยให้ติดเครื่อง NST ไว้กับคนไข้ตลอดเวลา

ตอนเช้า ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงโรงพยาบาลตำรวจ เวลาประมาณ 7 นาฬิกา แล้วก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย พอเวลา 7 นาฬิกา 45 นาที เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ปลุกข้าพเจ้าตื่นจากภวังค์

นักศึกษาแพทย์ฝึกหัดคนเดิมโทรศัพท์มาปรึกษาข้าพเจ้าว่า “อาจารย์ คนไข้ฟิลลิปินส์เมื่อคืน ตอนเช้านี้ การเต้นของหัวใจเด็กผิดปกติ คือช้าลง อีกครั้งหนึ่งแล้ว (Deceleration) ”

ข้าพเจ้าถามว่า “หัวใจเด็กเต้นตอนที่มีปัญหา มีอัตราเท่าไหร่? และเต้นช้าลงกี่ครั้ง”

นักศึกษาแพทย์ตอบ “80 ครั้งต่อนาที ตอนเช้า มีการเต้นของหัวใจช้าลงเพียงครั้งเดียว”

ข้าพเจ้าถามว่า “คนไข้อายุเท่าไหร่?”  ความจริง ข้าพเจ้าน่าจะถามคำถามนี้เมื่อคืนที่ผ่านมา แต่เผอิญตอนนั้น ยังงัวเงียอยู่ จึงลืมถามไป

นักศึกษาแพทย์ตอบ “อายุ 15 ปี” ข้าพเจ้าร้องอุทานเสียงหลงว่า “โธ่เอ๋ย!! แล้วทำไม่ไม่บอกตั้งแต่แรก ” เหตุที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนั้น เพราะ เฉพาะอายุของคนท้องอย่างเดียว เราก็สามารถตัดสินใจผ่าตัดคลอดให้ได้แล้ว ในข้อบ่งชี้ Teenage pregnancy

ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าได้เห็นคุณมาเรีย เป็นครั้งแรก ตัวคนไข้ค่อนข้างใหญ่และสูง แต่หน้าท้องค่อนข้างเล็ก ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่า เด็กจะมีปัญหาหรือเปล่า บางที คุณมาเรียอาจมี ‘น้ำเดิน’ ตามที่เธอบอก พยาบาลห้องผ่าตัดเดินเข้ามาถามข้อบ่งชี้ขณะกำลังผ่าตัดอยู่ ข้าพเจ้าตอบว่า “สงสัย เป็นครรภ์เกินกำหนด (Postterrm) และมีน้ำเดิน (Premature rupture of membrane) รวมทั้งแม่มีอายุน้อย (Teenage pregnancy) ด้วย” 

ข้าพเจ้าลงมีดกรีดเป็นแผลขวางตามรอยตะเข็บกางเกง (Pfannenstiel incision) บริเวณท้องน้อยเพื่อความสวยงาม เพราะเห็นว่า เธอยังเป็นสาววัยรุ่น จากนั้น ก็ผ่าตัดเปิดเข้าไปในมดลูกส่วนล่าง เมื่อเอามือล้วงหัวเด็กเงยหน้าโผล่ขึ้นมาจากมดลูก เด็กขยับส่ายหน้าไปมา ข้าพเจ้าใช้ลูกยางแดงดูดน้ำคร่ำจากช่องปากและจมูกของเด็ก เมื่อเห็นว่า ทางเดินหายใจเด็กโล่งพอ ก็ใช้มือทั้งสองดึงตัวเด็กคลอดออกมา ข้าพเจ้าสังเกตว่า น้ำคร่ำในรายนี้มีค่อนข้างน้อย (Oligohydramnios) แต่..ไม่มีขี้เทาปะปน (Meconium stain) [ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึง ภาวะขาดอ๊อกซเจนในกระแสเลือดของทารกในครรภ์] นี่จึงเป็นการยืนยันว่า อัตราการเต้นของหัวใจลูกคุณมาเรียที่ตกวูบ 3 – 4 ครั้ง ที่ผ่านมา เป็นผลจากการถูกกดทับชั่วคราวของสายสะดือ (Variable deceleration) ไม่ใช่ทารกขาดอ๊อกซิเจนในครรภ์ ลูกคุณมาเรียืที่คลอดออกมา เป็นเพศชาย มีน้ำหนักแรกคลอด 1,990 กรัม คะแนนศักยภาพแรกคลอด เท่ากับ 10 และ 10 (คะแนนเต็ม = 10 ) ณ นาที ที่ 1 และ 5 ตามลำดับ นับว่า แข็งแรงสมบูรณืพอสมควร อย่างไรก็ตาม เด็กน้อยจะต้องถูกส่งไปที่ห้องความเสี่ยงของทารก (High risk room ) เพราะเด็กมีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่า 2,000 กรัม

ในรายนี้ ข้าพเจ้าถือว่า โชคดีมากๆ เพราะหากปล่อยเวลาผ่านไปให้เนิ่นนานกว่านี้ ทารกมีโอกาสเกิดภาวะขาดอ๊อกซิเจนจริงๆจากการที่สายสะดือถูกกดทับนานๆ ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกเสียชีวิต หรือพิการทางสมองในเวลาต่อมา การตัดสินใจผ่าตัดครั้งนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจเพียงแค่จะช่วยคนไข้เท่านั้น เพราะเห็นคนไข้มีอายุน้อย ส่วนภาวะน้ำคร่ำน้อย (Oligohydramnios) นั้น นักศึกษาแพทย์ได้พิสูจน์แล้ว แต่ให้ผลลบ ด้วยผลบุญจากความคิดดี ทำให้ข้าพเจ้าและคุณมาเรีย รวมทั้งลูกของเธอโชคดี ทุกคนมีความสุข ไม่ต้องมาคิดร้าย เคียดแค้นหรือฟ้องร้องต่อกันภายหลัง

 ไม่ว่า จะเป็นคุณมาเรีย ที่คลอดลูกปลอดภัยที่เมืองไทยทั้งแม่และลูก หรือคุณอรชุลี ที่ตั้งครรภ์จากการทำเด็กหลอดแก้วครั้งที่สอง  นั่นก็เป็นเพราะบุญเก่าที่เคยสั่งสมไว้ในอดีตชาติ ส่วนคนไข้ที่โรงพยาบาลเอกชนที่เป็นมะเร็งเยื่อบุมดลูก เธอก็อาจโชคดี ที่พบในระยะต้นๆขณะที่ยังไม่มีอาการ หากเวลาผ่านเลยเนิ่นนานกว่านี้ เธออาจไม่มีแม้กระทั่งโอกาสจะเข้ารับการผ่าตัดเอาตัวมดลูกออก เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังนี้ เป็นเพราะความโชคดี โดยแท้ สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านที่เป็นคนไข้และคนปกติ จงโชคดี ปลอดภัยจากสิ่งมีอันตรายทั้งปวง และหากพบประสบกับโรคภัยไข้เจ็บ ก็ไม่ต้องซีเรียส!!!!!! .ใจเย็น… ค่อยๆคิด ทุกอย่างมีทางออกเสมอ……

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.นพ.เสรี ธีรพงษ์ ผู้เขียน

วิบากกรรมของคนท้อง

วิบากกรรมของคนท้อง

คนเราเกิดมา ไม่มีใครหนีพ้นจากกรรมที่ตนเคยก่อไว้ได้ ไม่ว่า จะชาติไหนๆ! ใครเลยจะรู้ว่า เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามราวีเราอยู่ทุกขณะ โชคดี!! ที่หลายคนยังมีบุญเก่า คอยยับยั้งบรรเทา.. วันใดที่กรรมตามทัน ก็ย่อมทำให้คนนั้นทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรือประสบกับปัญหายุ่งยาก แต่..วันใดที่ชดใช้กรรมหมด คนผู้นั้นก็จะพบกับสันติสุข สำหรับคนท้อง นอกจากตนเองแล้ว ก็ยังมีลูกในท้องอีก ที่มาร่วมชะตากรรมในโลกมนุษย์ เด็กบางคนคลอดออกมามีรูปร่างพิกลพิการ บางคนมีปัญญาอ่อน และบางคนสิ้นสุดอายุขัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์…. .ใช่แล้ว!!  สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

หลายวันมานี้ ข้าพเจ้าเองก็พบกับวิบากกรรมไม่น้อย นอนหลับฝันร้าย จิตใจซวนเซ ไม่สงบนิ่ง จนต้องพึ่งบุญบารมีของท่านผู้รู้ ครูอาจารย์ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยเหลือ เชื่อหรือไม่!!!  ถึงแม้ข้าพเจ้าจะกำลังชดใช้กรรมอยู่ แต่ดูเหมือนว่า กำลังถูกมารทดสอบไปด้วย  ก่อนที่จะก้าวไปในเส้นทางธรรม…

วันก่อน ข้าพเจ้าอยู่เวรรับผิดชอบห้องคลอด วันนั้นเป็นวันอังคาร ตอนเช้า ไม่มีเหตุการณ์อะไรให้ต้องวิตก ทุกสิ่งดูราบรื่น คล้ายกับท้องทะเลที่ราบเรียบ  พอตกบ่าย ก็มีคนท้องรายหนึ่งถูกส่งมาจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้ป่วยรายนี้เป็นชาวเกาหลีเหนือ อายุ 29 ปี ไม่มีประวัติ  คนไข้พูดภาอังกฤษไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าตั้งครรภ์ที่เท่าไหร่ แต่ทราบคร่าวๆว่า เธอตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือน ข้าพเจ้าสอบถามจากพยาบาลห้องคลอดว่า  “มีปัญหาอะไรสำคัญ?”

พยาบาลคนนั้นบอกว่า “คนไข้มีปัญหาน้ำเดิน นักศึกษาแพทย์ได้พิสูจน์แล้ว พบว่า น้ำเดินจริง แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด”

ข้าพเจ้าพูดต่อว่า “คงต้องตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องให้คนไข้ก่อน เพื่อให้ได้อายุครรภ์ที่ใกล้เคียงความจริง” ผลปรากฏว่า ทารกในครรภ์อยู่ในท่าขวาง มีขนาดเทียบสัดส่วนเท่ากับอายุครรภ์ 32 สัปดาห์เศษ ซึ่งคำนวณน้ำหนักทารก ได้ประมาณ 1,700 กรัม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้ส่งคนไข้เข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพราะทารกขนาดเท่านี้ เขามีโอกาสรอดชีวิตในโลกภายนอกได้ ซึ่ง..หากปล่อยเวลาให้นานเนิ่นช้าเกินไป น้ำคร่ำก็จะไหลออกจากมดลูกจนหมด ทารกมีโอกาสถูกมดลูกบีบอัดให้ได้รับความลำบาก สุดท้ายอาจตายจากภาวะสายสะดือถูกดทับ   

ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าลงมีดบนผนังหน้าท้องเหนือหัวเหน่า กรีดแผลขวางตามรอยตะเข็บของกางเกงใน โดยหวังผลด้านสวยงาม เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอว่า ‘ท่านกลางความโชคร้าย ก็ยังมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตบ้าง’ ผ่าตัดไป ก็พูดเล่นกับผู้คนรอบข้างไป โดยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดไม่ถึง จู่ จู่ พอลงมีดกรีดเข้าถุงน้ำคร่ำ ที่คอมดลูกส่วนล่าง น้ำคร่ำก็ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว พอเปิดแผลบนตัวมดลูกส่วนล่างให้กว้างขึ้น ก็ต้องตกใจ เพราะทารกอยู่ท่าขวางและเอาแผ่นหลังหันลงด้นล่าง (Dorso-posterior)  ข้าพเจ้าแทบจะเป็นลม เพราะท่านี้ ทำให้ทำคลอดยาก ขณะนั้น มดลูกหดรัดตัวเข้ามาค่อนข้างเร็ว จนเหลือพื้นที่น้อยนิดที่จะล้วงเอาส่วนขาของเด็กได้ เมื่อเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงใช้เทคนิคสำคัญ คือ ใช้กรรไกรตัดขอบล่างของแผลผ่าตัดมดลูกส่วนล่าง บริเวณตรงกลางเป็นแนวตรงย้อนขึ้นไปในลักษณะตัว ที หัวกลับ ( Inverted T) จากนั้น  ก็ใช้มือล้วงเข้าไปในโพรงมดลูก ครั้งแรก ข้าพเจ้าคว้าเอาส่วนแขนของเด็กออกมา ข้าพเจ้าค่อยๆเอาส่วนแขนนั้นกลับเข้าไปในโพรงมดลูก และล้วงในทิศทางตรงข้าม คราวนี้ ข้าพเจ้าพบส่วนขาของเด็ก จึงค่อยๆดึงออกมา และทำคลอดทารกน้อยอย่างระมัดระวัง ทารกน้อยมีน้ำหนักตัว 1,800 กรัม ค่าคะแนนศักยภาพทารกแรกเกิดเท่ากับ 7 และ8 (จากคะแนนเต็ม 10) ณ เวลา 1 และ5 นาทีตามลำดับ

คุณแม่ปลอดภัย ไม่กี่วันก็ได้รับอนุญาตให้กลับได้ ส่วนทารกน้อยได้รับการช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยการใส่ท่อช่วยหายใจและส่งไปเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด ข้าพเจ้าเกือบจะผิดพลาดในเรื่องการทำผ่าตัดครั้งนี้ จนส่งผลให้ทารกน้อยได้รับอันตราย จากการบีบรัดตัวของมดลูกคนไข้ โชคดี!!! ที่มีประสบการณ์เก่าๆมาช่วยยามวิกฤติ จึงทำให้การผ่าตัดคลอด จบลงด้วยดี

คุณดวงสมร เป็นคนท้องอีกคนที่มีวิบากกรรม และมีมากกว่าคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือด้วย เพราะเธอสูญเสียบุตรตั้งแต่อยู่ในครรภ์ อายุของเธอเพิ่งย่าง 16 ปี ตอนนี้ เธอตั้งครรภ์ได้ 19 สัปดาห์ คุณดวงสมรมาตรวจตามนัด โดยหาทราบไม่ว่า ‘ลูกของเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว เพราะเธอยังไม่เคยรู้เลยว่า ลูกดิ้นเป็นยังไง?’ ข้าพเจ้าได้พบเธอครั้งแรกที่ห้องฝากครรภ์ในวันจันทร์ โดยการปรึกษาของพยาบาลว่า ‘เธอมีลูกตายในครรภ์’ ข้าพเจ้าได้สอบถามรายละเอียดของคนไข้จากสูติแพทย์ผู้ดูอัลตราซาวนด์ คุณหมอบอกว่า ‘ทารกเสียชีวิตมาหลายวันแล้ว และในโพรงมดลูกไม่ค่อยจะมีน้ำคร่ำสักเท่าไหร่?’

“ช่วยส่งคนไข้ไปหอผู้ป่วยชั้น 5 และเหน็บยา Cytotek (สารพรอสตาแกรนดิน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้ปากมดลูกนุ่มและมดลูกแข็งตัว) ทางช่องคลอด 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์ เพื่อเขียนคำสั่งการรักษา

 คุณดวงสมรถูกส่งตัวขึ้นไปยังหอผู้ป่วย 5 และได้รับการทำแท้งเพื่อการรักษาตั้งแต่นั้น พอถึงวันอังคาร ที่ข้าพเจ้าอยู่เวร ข้าพเจ้ามัวแต่สนใจคนไข้ที่อยู่ห้องคลอด จนลืมไปว่า ‘ยังมีคนไข้อีกคนที่มีปัญหารออยู่ที่หอผู้ป่วยชั้น 5’ พอตกเย็น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง นักศึกษาแพทย์ได้โทรศัพท์มาบอกว่า “คนไข้ที่ ward 5 แท้งออกมาแล้ว แต่รกค้างมานานประมาณ 1 ชั่วโมง”

“อย่างนั้น ก็ให้ส่งคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัด และset ขูดมดลูก” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์คนนั้น การที่รกยังคงค้างอยู่ในกรณีนี้ ก็เพราะคุณดวงสมรตั้งครรภ์เพียง 19 สัปดาห์ รกในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ มักฝังตัวแน่น ดุจรากไม้ของต้นไม้วัยสาวที่หยั่งลงลึก การลอกหลุดเองจึงยาก ถึงจะรอต่อไป รกก็คงไม่ลอกหลุดออกมา ดังนั้น เพื่อป้องกันการตกเลือด ข้าพเจ้าจึงต้องรีบขูดมดลูก การขูดมดลูกของคุณดวงสมรภายใต้การดมยาสลบ ถึงแม้ไม่ยากลำบาก แต่ปริมาณของชิ้นเนื้อรกมีจำนวนมาก ทำให้ต้องเสียเวลานาน คุณดวงสมรพักอยู่โรงพยาบาล 2 วัน ก็ขอกลับบ้าน โดยไม่มีปัญหาอะไร นอกจากความทุกข์ใจ ที่ยากจะอธิบาย

คุณวริษา ก็มีวิบากกรมไม่แพ้คุณดวงสมร เธอตั้งครรภ์ได้เพียง 12 สัปดาห์ แต่มีปัญหาเลือดออกกะปิดกะปรอยจากช่องคลอด หลายวันก่อนข้าพเจ้าได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้คุณวริษา ปรากฏว่า เป็น ‘ครรภ์ไข่ฝ่อ (Blighted ovum)’ ข้าพเจ้าได้ขูดมดลูกให้เธอไปในตอนบ่ายวันนั้น ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่า ‘ปากกมดลูกของเธฮเปิดน้อยมาก จึงต้องถ่างปากมดลูก ตอนแรกคิดว่า จะล้มเลิกการขูดแล้ว และนัดมาใหม่หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เพื่อให้ปากมดลูกเปิดเพิ่มขึ้น แต่พอดมยาสลบ ข้าพเจ้าก็สามารถถ่างปากมดลูกได้ประมาณเบอร์ 8 จึงตัดสินใจทำ’ การขูดมดลูกไม่ยากมาก ข้าพเจ้าไม่สามารถใช้เครื่องมือประเภทคีมปากยาว (Ovum forceps) เข้าไปในโพรงมดลูกได้ จึงใช้เพียงแต่แกนห่วงเหล็กเบอร์เล็ก (Curette) เข้าไปขูด เมื่อได้ชิ้นเนื้อพอสมควร และได้ยินเสียง (Uterine cry) ก็คิดว่า   ถุงการตั้งครรภ์และรกน่าถูกเอาออกจนหมดแล้ว’

คาดไม่ถึง!! วันต่อมาเวลาประมาณ 5 ทุ่ม คุณวริษาได้กลับโรงพยาบาลอีก ด้วยเรื่องตกเลือด สุดท้ายสูติแพทย์เวรต้องทำการขูดมดลูกซ้ำให้เมื่อเวลา 2 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ พร้อมกับให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีทางเส้นเลือดดำ  สูติแพทย์เวรได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าเมื่อวานนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และนั่งพิจารณาถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น  ก็พบว่า น่าจะเกิดจาก ปากมดลูกของคนไข้ยังแข็งอยู่ และเปิดน้อยมาก จนต้องใช้แกนเหล็ก (Hegar dilators) เข้าไปถ่างขยายในช่วงดมยา สมัยก่อน ข้าพเจ้าไม่เคยพบประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้เลย เพราะข้าพเจ้ามักนัดให้คนไข้มาตรวจอัลตราซาวนด์ซ้ำในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ปากมดลูกก็อ่อนนุ่ม รกเสื่อมสลายไปมากแล้วและกำลังจะลอกตัว เมื่อทำการขูดมดลูกจึงง่ายดาย สมบูรณ์ ปราศจากเศษรกค้าง (retained pieces of placenta)

สำหรับการปฏิบัติตัวของคนไข้หลังแท้งและหลังคลอด มีหลักคล้ายๆกัน ดังนี้

  • รักษาความสะอาด บริเวณปากช่องคลอด และสุขภาพอนามัยของร่างกายให้ดี
  • จำไว้ว่า  มดลูกจะเข้าสู่อุ้งเชิงกรานประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอด ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตในช่วงเวลาดังกล่าวว่า มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? เช่น มดลูกไม่เข้าอู่ (uterine involution) เป็นต้น   
  • ห้ามมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด หลังแท้ง ประมาณ 6 สัปดาห์ หรือรอจนกว่า จะมีระดู  
  • หมั่นสังเกต น้ำคาวปลาว่า มีสี  มีกลิ่นเหม็นแปลกๆหรือไม่ 

หากพบความผิดปกติใดๆ หรือสงสัย ควรปรึกษาสูติแพทย์

คุณดวงสมร คุรวริษา รวมทั้งคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือ ต่างก็มีวิบากกรรม ทำให้ต้องมาพบกับปัญหาลูกเสียชีวิตในครรภ์และลูกคลอดก่อนกำหนด สำหรับข้าพเจ้า ในช่วงนี้ ก็กำลังพบกับวิบากกรรมรุมเร้าเช่นกัน ทำให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากใจหลายประการ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังมีครูบาอาจารย์คอยช่วยเหลือ ทำให้กรรมเบาบางลงบ้าง

 เรื่องของกรรม เราทุกคนต้องชดใช้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง บางที ก็เป็นไปในลักษณะการสูญเสียสิ่งที่ตนรัก บางที ก็เป็นไปในลักษณะร่างกายเจ็บป่วย บางที ก็เป็นไปในลักษณะถูกฟ้อง หรือปองร้าย ใครจะเชื่อเรื่องกรรมหรือไม่ก็ตามที แต่..แน่นอน!! ในที่สุด ทุกคนก็ต้องชดใช้….

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ . เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

วิบากกรรมของคนท้อง

คนเราเกิดมา ไม่มีใครหนีพ้นจากกรรมที่ตนเคยก่อไว้ได้ ไม่ว่า จะชาติไหนๆ! ใครเลยจะรู้ว่า เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามราวีเราอยู่ทุกขณะ โชคดี!! ที่หลายคนยังมีบุญเก่า คอยยับยั้งบรรเทา.. วันใดที่กรรมตามทัน ก็ย่อมทำให้คนนั้นทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรือประสบกับปัญหายุ่งยาก แต่..วันใดที่ชดใช้กรรมหมด คนผู้นั้นก็จะพบกับสันติสุข สำหรับคนท้อง นอกจากตนเองแล้ว ก็ยังมีลูกในท้องอีก ที่มาร่วมชะตากรรมในโลกมนุษย์ เด็กบางคนคลอดออกมามีรูปร่างพิกลพิการ บางคนมีปัญญาอ่อน และบางคนสิ้นสุดอายุขัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์…. .ใช่แล้ว!!  สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

หลายวันมานี้ ข้าพเจ้าเองก็พบกับวิบากกรรมไม่น้อย นอนหลับฝันร้าย จิตใจซวนเซ ไม่สงบนิ่ง จนต้องพึ่งบุญบารมีของท่านผู้รู้ ครูอาจารย์ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยเหลือ เชื่อหรือไม่!!!  ถึงแม้ข้าพเจ้าจะกำลังชดใช้กรรมอยู่ แต่ดูเหมือนว่า กำลังถูกมารทดสอบไปด้วย  ก่อนที่จะก้าวไปในเส้นทางธรรม…

วันก่อน ข้าพเจ้าอยู่เวรรับผิดชอบห้องคลอด วันนั้นเป็นวันอังคาร ตอนเช้า ไม่มีเหตุการณ์อะไรให้ต้องวิตก ทุกสิ่งดูราบรื่น คล้ายกับท้องทะเลที่ราบเรียบ  พอตกบ่าย ก็มีคนท้องรายหนึ่งถูกส่งมาจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้ป่วยรายนี้เป็นชาวเกาหลีเหนือ อายุ 29 ปี ไม่มีประวัติ  คนไข้พูดภาอังกฤษไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าตั้งครรภ์ที่เท่าไหร่ แต่ทราบคร่าวๆว่า เธอตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือน ข้าพเจ้าสอบถามจากพยาบาลห้องคลอดว่า  “มีปัญหาอะไรสำคัญ?”

พยาบาลคนนั้นบอกว่า “คนไข้มีปัญหาน้ำเดิน นักศึกษาแพทย์ได้พิสูจน์แล้ว พบว่า น้ำเดินจริง แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด”

ข้าพเจ้าพูดต่อว่า “คงต้องตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องให้คนไข้ก่อน เพื่อให้ได้อายุครรภ์ที่ใกล้เคียงความจริง” ผลปรากฏว่า ทารกในครรภ์อยู่ในท่าขวาง มีขนาดเทียบสัดส่วนเท่ากับอายุครรภ์ 32 สัปดาห์เศษ ซึ่งคำนวณน้ำหนักทารก ได้ประมาณ 1,700 กรัม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้ส่งคนไข้เข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพราะทารกขนาดเท่านี้ เขามีโอกาสรอดชีวิตในโลกภายนอกได้ ซึ่ง..หากปล่อยเวลาให้นานเนิ่นช้าเกินไป น้ำคร่ำก็จะไหลออกจากมดลูกจนหมด ทารกมีโอกาสถูกมดลูกบีบอัดให้ได้รับความลำบาก สุดท้ายอาจตายจากภาวะสายสะดือถูกดทับ   

ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าลงมีดบนผนังหน้าท้องเหนือหัวเหน่า กรีดแผลขวางตามรอยตะเข็บของกางเกงใน โดยหวังผลด้านสวยงาม เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอว่า ‘ท่านกลางความโชคร้าย ก็ยังมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตบ้าง’ ผ่าตัดไป ก็พูดเล่นกับผู้คนรอบข้างไป โดยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดไม่ถึง จู่ จู่ พอลงมีดกรีดเข้าถุงน้ำคร่ำ ที่คอมดลูกส่วนล่าง น้ำคร่ำก็ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว พอเปิดแผลบนตัวมดลูกส่วนล่างให้กว้างขึ้น ก็ต้องตกใจ เพราะทารกอยู่ท่าขวางและเอาแผ่นหลังหันลงด้นล่าง (Dorso-posterior)  ข้าพเจ้าแทบจะเป็นลม เพราะท่านี้ ทำให้ทำคลอดยาก ขณะนั้น มดลูกหดรัดตัวเข้ามาค่อนข้างเร็ว จนเหลือพื้นที่น้อยนิดที่จะล้วงเอาส่วนขาของเด็กได้ เมื่อเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงใช้เทคนิคสำคัญ คือ ใช้กรรไกรตัดขอบล่างของแผลผ่าตัดมดลูกส่วนล่าง บริเวณตรงกลางเป็นแนวตรงย้อนขึ้นไปในลักษณะตัว ที หัวกลับ ( Inverted T) จากนั้น  ก็ใช้มือล้วงเข้าไปในโพรงมดลูก ครั้งแรก ข้าพเจ้าคว้าเอาส่วนแขนของเด็กออกมา ข้าพเจ้าค่อยๆเอาส่วนแขนนั้นกลับเข้าไปในโพรงมดลูก และล้วงในทิศทางตรงข้าม คราวนี้ ข้าพเจ้าพบส่วนขาของเด็ก จึงค่อยๆดึงออกมา และทำคลอดทารกน้อยอย่างระมัดระวัง ทารกน้อยมีน้ำหนักตัว 1,800 กรัม ค่าคะแนนศักยภาพทารกแรกเกิดเท่ากับ 7 และ8 (จากคะแนนเต็ม 10) ณ เวลา 1 และ5 นาทีตามลำดับ

คุณแม่ปลอดภัย ไม่กี่วันก็ได้รับอนุญาตให้กลับได้ ส่วนทารกน้อยได้รับการช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยการใส่ท่อช่วยหายใจและส่งไปเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด ข้าพเจ้าเกือบจะผิดพลาดในเรื่องการทำผ่าตัดครั้งนี้ จนส่งผลให้ทารกน้อยได้รับอันตราย จากการบีบรัดตัวของมดลูกคนไข้ โชคดี!!! ที่มีประสบการณ์เก่าๆมาช่วยยามวิกฤติ จึงทำให้การผ่าตัดคลอด จบลงด้วยดี

คุณดวงสมร เป็นคนท้องอีกคนที่มีวิบากกรรม และมีมากกว่าคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือด้วย เพราะเธอสูญเสียบุตรตั้งแต่อยู่ในครรภ์ อายุของเธอเพิ่งย่าง 16 ปี ตอนนี้ เธอตั้งครรภ์ได้ 19 สัปดาห์ คุณดวงสมรมาตรวจตามนัด โดยหาทราบไม่ว่า ‘ลูกของเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว เพราะเธอยังไม่เคยรู้เลยว่า ลูกดิ้นเป็นยังไง?’ ข้าพเจ้าได้พบเธอครั้งแรกที่ห้องฝากครรภ์ในวันจันทร์ โดยการปรึกษาของพยาบาลว่า ‘เธอมีลูกตายในครรภ์’ ข้าพเจ้าได้สอบถามรายละเอียดของคนไข้จากสูติแพทย์ผู้ดูอัลตราซาวนด์ คุณหมอบอกว่า ‘ทารกเสียชีวิตมาหลายวันแล้ว และในโพรงมดลูกไม่ค่อยจะมีน้ำคร่ำสักเท่าไหร่?’

“ช่วยส่งคนไข้ไปหอผู้ป่วยชั้น 5 และเหน็บยา Cytotek (สารพรอสตาแกรนดิน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้ปากมดลูกนุ่มและมดลูกแข็งตัว) ทางช่องคลอด 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์ เพื่อเขียนคำสั่งการรักษา

 คุณดวงสมรถูกส่งตัวขึ้นไปยังหอผู้ป่วย 5 และได้รับการทำแท้งเพื่อการรักษาตั้งแต่นั้น พอถึงวันอังคาร ที่ข้าพเจ้าอยู่เวร ข้าพเจ้ามัวแต่สนใจคนไข้ที่อยู่ห้องคลอด จนลืมไปว่า ‘ยังมีคนไข้อีกคนที่มีปัญหารออยู่ที่หอผู้ป่วยชั้น 5’ พอตกเย็น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง นักศึกษาแพทย์ได้โทรศัพท์มาบอกว่า “คนไข้ที่ ward 5 แท้งออกมาแล้ว แต่รกค้างมานานประมาณ 1 ชั่วโมง”

“อย่างนั้น ก็ให้ส่งคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัด และset ขูดมดลูก” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์คนนั้น การที่รกยังคงค้างอยู่ในกรณีนี้ ก็เพราะคุณดวงสมรตั้งครรภ์เพียง 19 สัปดาห์ รกในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ มักฝังตัวแน่น ดุจรากไม้ของต้นไม้วัยสาวที่หยั่งลงลึก การลอกหลุดเองจึงยาก ถึงจะรอต่อไป รกก็คงไม่ลอกหลุดออกมา ดังนั้น เพื่อป้องกันการตกเลือด ข้าพเจ้าจึงต้องรีบขูดมดลูก การขูดมดลูกของคุณดวงสมรภายใต้การดมยาสลบ ถึงแม้ไม่ยากลำบาก แต่ปริมาณของชิ้นเนื้อรกมีจำนวนมาก ทำให้ต้องเสียเวลานาน คุณดวงสมรพักอยู่โรงพยาบาล 2 วัน ก็ขอกลับบ้าน โดยไม่มีปัญหาอะไร นอกจากความทุกข์ใจ ที่ยากจะอธิบาย

คุณวริษา ก็มีวิบากกรมไม่แพ้คุณดวงสมร เธอตั้งครรภ์ได้เพียง 12 สัปดาห์ แต่มีปัญหาเลือดออกกะปิดกะปรอยจากช่องคลอด หลายวันก่อนข้าพเจ้าได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้คุณวริษา ปรากฏว่า เป็น ‘ครรภ์ไข่ฝ่อ (Blighted ovum)’ ข้าพเจ้าได้ขูดมดลูกให้เธอไปในตอนบ่ายวันนั้น ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่า ‘ปากกมดลูกของเธฮเปิดน้อยมาก จึงต้องถ่างปากมดลูก ตอนแรกคิดว่า จะล้มเลิกการขูดแล้ว และนัดมาใหม่หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เพื่อให้ปากมดลูกเปิดเพิ่มขึ้น แต่พอดมยาสลบ ข้าพเจ้าก็สามารถถ่างปากมดลูกได้ประมาณเบอร์ 8 จึงตัดสินใจทำ’ การขูดมดลูกไม่ยากมาก ข้าพเจ้าไม่สามารถใช้เครื่องมือประเภทคีมปากยาว (Ovum forceps) เข้าไปในโพรงมดลูกได้ จึงใช้เพียงแต่แกนห่วงเหล็กเบอร์เล็ก (Curette) เข้าไปขูด เมื่อได้ชิ้นเนื้อพอสมควร และได้ยินเสียง (Uterine cry) ก็คิดว่า   ถุงการตั้งครรภ์และรกน่าถูกเอาออกจนหมดแล้ว’

คาดไม่ถึง!! วันต่อมาเวลาประมาณ 5 ทุ่ม คุณวริษาได้กลับโรงพยาบาลอีก ด้วยเรื่องตกเลือด สุดท้ายสูติแพทย์เวรต้องทำการขูดมดลูกซ้ำให้เมื่อเวลา 2 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ พร้อมกับให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีทางเส้นเลือดดำ  สูติแพทย์เวรได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าเมื่อวานนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และนั่งพิจารณาถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น  ก็พบว่า น่าจะเกิดจาก ปากมดลูกของคนไข้ยังแข็งอยู่ และเปิดน้อยมาก จนต้องใช้แกนเหล็ก (Hegar dilators) เข้าไปถ่างขยายในช่วงดมยา สมัยก่อน ข้าพเจ้าไม่เคยพบประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้เลย เพราะข้าพเจ้ามักนัดให้คนไข้มาตรวจอัลตราซาวนด์ซ้ำในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ปากมดลูกก็อ่อนนุ่ม รกเสื่อมสลายไปมากแล้วและกำลังจะลอกตัว เมื่อทำการขูดมดลูกจึงง่ายดาย สมบูรณ์ ปราศจากเศษรกค้าง (retained pieces of placenta)

สำหรับการปฏิบัติตัวของคนไข้หลังแท้งและหลังคลอด มีหลักคล้ายๆกัน ดังนี้

  • รักษาความสะอาด บริเวณปากช่องคลอด และสุขภาพอนามัยของร่างกายให้ดี
  • จำไว้ว่า  มดลูกจะเข้าสู่อุ้งเชิงกรานประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอด ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตในช่วงเวลาดังกล่าวว่า มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? เช่น มดลูกไม่เข้าอู่ (uterine involution) เป็นต้น   
  • ห้ามมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด หลังแท้ง ประมาณ 6 สัปดาห์ หรือรอจนกว่า จะมีระดู  
  • หมั่นสังเกต น้ำคาวปลาว่า มีสี  มีกลิ่นเหม็นแปลกๆหรือไม่ 

หากพบความผิดปกติใดๆ หรือสงสัย ควรปรึกษาสูติแพทย์

คุณดวงสมร คุรวริษา รวมทั้งคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือ ต่างก็มีวิบากกรรม ทำให้ต้องมาพบกับปัญหาลูกเสียชีวิตในครรภ์และลูกคลอดก่อนกำหนด สำหรับข้าพเจ้า ในช่วงนี้ ก็กำลังพบกับวิบากกรรมรุมเร้าเช่นกัน ทำให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากใจหลายประการ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังมีครูบาอาจารย์คอยช่วยเหลือ ทำให้กรรมเบาบางลงบ้าง

 เรื่องของกรรม เราทุกคนต้องชดใช้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง บางที ก็เป็นไปในลักษณะการสูญเสียสิ่งที่ตนรัก บางที ก็เป็นไปในลักษณะร่างกายเจ็บป่วย บางที ก็เป็นไปในลักษณะถูกฟ้อง หรือปองร้าย ใครจะเชื่อเรื่องกรรมหรือไม่ก็ตามที แต่..แน่นอน!! ในที่สุด ทุกคนก็ต้องชดใช้….

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ . เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

วิบากกรรมของคนท้อง

คนเราเกิดมา ไม่มีใครหนีพ้นจากกรรมที่ตนเคยก่อไว้ได้ ไม่ว่า จะชาติไหนๆ! ใครเลยจะรู้ว่า เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามราวีเราอยู่ทุกขณะ โชคดี!! ที่หลายคนยังมีบุญเก่า คอยยับยั้งบรรเทา.. วันใดที่กรรมตามทัน ก็ย่อมทำให้คนนั้นทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรือประสบกับปัญหายุ่งยาก แต่..วันใดที่ชดใช้กรรมหมด คนผู้นั้นก็จะพบกับสันติสุข สำหรับคนท้อง นอกจากตนเองแล้ว ก็ยังมีลูกในท้องอีก ที่มาร่วมชะตากรรมในโลกมนุษย์ เด็กบางคนคลอดออกมามีรูปร่างพิกลพิการ บางคนมีปัญญาอ่อน และบางคนสิ้นสุดอายุขัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์…. .ใช่แล้ว!!  สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

หลายวันมานี้ ข้าพเจ้าเองก็พบกับวิบากกรรมไม่น้อย นอนหลับฝันร้าย จิตใจซวนเซ ไม่สงบนิ่ง จนต้องพึ่งบุญบารมีของท่านผู้รู้ ครูอาจารย์ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยเหลือ เชื่อหรือไม่!!!  ถึงแม้ข้าพเจ้าจะกำลังชดใช้กรรมอยู่ แต่ดูเหมือนว่า กำลังถูกมารทดสอบไปด้วย  ก่อนที่จะก้าวไปในเส้นทางธรรม…

วันก่อน ข้าพเจ้าอยู่เวรรับผิดชอบห้องคลอด วันนั้นเป็นวันอังคาร ตอนเช้า ไม่มีเหตุการณ์อะไรให้ต้องวิตก ทุกสิ่งดูราบรื่น คล้ายกับท้องทะเลที่ราบเรียบ  พอตกบ่าย ก็มีคนท้องรายหนึ่งถูกส่งมาจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้ป่วยรายนี้เป็นชาวเกาหลีเหนือ อายุ 29 ปี ไม่มีประวัติ  คนไข้พูดภาอังกฤษไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าตั้งครรภ์ที่เท่าไหร่ แต่ทราบคร่าวๆว่า เธอตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือน ข้าพเจ้าสอบถามจากพยาบาลห้องคลอดว่า  “มีปัญหาอะไรสำคัญ?”

พยาบาลคนนั้นบอกว่า “คนไข้มีปัญหาน้ำเดิน นักศึกษาแพทย์ได้พิสูจน์แล้ว พบว่า น้ำเดินจริง แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด”

ข้าพเจ้าพูดต่อว่า “คงต้องตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องให้คนไข้ก่อน เพื่อให้ได้อายุครรภ์ที่ใกล้เคียงความจริง” ผลปรากฏว่า ทารกในครรภ์อยู่ในท่าขวาง มีขนาดเทียบสัดส่วนเท่ากับอายุครรภ์ 32 สัปดาห์เศษ ซึ่งคำนวณน้ำหนักทารก ได้ประมาณ 1,700 กรัม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้ส่งคนไข้เข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพราะทารกขนาดเท่านี้ เขามีโอกาสรอดชีวิตในโลกภายนอกได้ ซึ่ง..หากปล่อยเวลาให้นานเนิ่นช้าเกินไป น้ำคร่ำก็จะไหลออกจากมดลูกจนหมด ทารกมีโอกาสถูกมดลูกบีบอัดให้ได้รับความลำบาก สุดท้ายอาจตายจากภาวะสายสะดือถูกดทับ   

ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าลงมีดบนผนังหน้าท้องเหนือหัวเหน่า กรีดแผลขวางตามรอยตะเข็บของกางเกงใน โดยหวังผลด้านสวยงาม เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอว่า ‘ท่านกลางความโชคร้าย ก็ยังมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตบ้าง’ ผ่าตัดไป ก็พูดเล่นกับผู้คนรอบข้างไป โดยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดไม่ถึง จู่ จู่ พอลงมีดกรีดเข้าถุงน้ำคร่ำ ที่คอมดลูกส่วนล่าง น้ำคร่ำก็ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว พอเปิดแผลบนตัวมดลูกส่วนล่างให้กว้างขึ้น ก็ต้องตกใจ เพราะทารกอยู่ท่าขวางและเอาแผ่นหลังหันลงด้นล่าง (Dorso-posterior)  ข้าพเจ้าแทบจะเป็นลม เพราะท่านี้ ทำให้ทำคลอดยาก ขณะนั้น มดลูกหดรัดตัวเข้ามาค่อนข้างเร็ว จนเหลือพื้นที่น้อยนิดที่จะล้วงเอาส่วนขาของเด็กได้ เมื่อเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงใช้เทคนิคสำคัญ คือ ใช้กรรไกรตัดขอบล่างของแผลผ่าตัดมดลูกส่วนล่าง บริเวณตรงกลางเป็นแนวตรงย้อนขึ้นไปในลักษณะตัว ที หัวกลับ ( Inverted T) จากนั้น  ก็ใช้มือล้วงเข้าไปในโพรงมดลูก ครั้งแรก ข้าพเจ้าคว้าเอาส่วนแขนของเด็กออกมา ข้าพเจ้าค่อยๆเอาส่วนแขนนั้นกลับเข้าไปในโพรงมดลูก และล้วงในทิศทางตรงข้าม คราวนี้ ข้าพเจ้าพบส่วนขาของเด็ก จึงค่อยๆดึงออกมา และทำคลอดทารกน้อยอย่างระมัดระวัง ทารกน้อยมีน้ำหนักตัว 1,800 กรัม ค่าคะแนนศักยภาพทารกแรกเกิดเท่ากับ 7 และ8 (จากคะแนนเต็ม 10) ณ เวลา 1 และ5 นาทีตามลำดับ

คุณแม่ปลอดภัย ไม่กี่วันก็ได้รับอนุญาตให้กลับได้ ส่วนทารกน้อยได้รับการช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยการใส่ท่อช่วยหายใจและส่งไปเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด ข้าพเจ้าเกือบจะผิดพลาดในเรื่องการทำผ่าตัดครั้งนี้ จนส่งผลให้ทารกน้อยได้รับอันตราย จากการบีบรัดตัวของมดลูกคนไข้ โชคดี!!! ที่มีประสบการณ์เก่าๆมาช่วยยามวิกฤติ จึงทำให้การผ่าตัดคลอด จบลงด้วยดี

คุณดวงสมร เป็นคนท้องอีกคนที่มีวิบากกรรม และมีมากกว่าคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือด้วย เพราะเธอสูญเสียบุตรตั้งแต่อยู่ในครรภ์ อายุของเธอเพิ่งย่าง 16 ปี ตอนนี้ เธอตั้งครรภ์ได้ 19 สัปดาห์ คุณดวงสมรมาตรวจตามนัด โดยหาทราบไม่ว่า ‘ลูกของเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว เพราะเธอยังไม่เคยรู้เลยว่า ลูกดิ้นเป็นยังไง?’ ข้าพเจ้าได้พบเธอครั้งแรกที่ห้องฝากครรภ์ในวันจันทร์ โดยการปรึกษาของพยาบาลว่า ‘เธอมีลูกตายในครรภ์’ ข้าพเจ้าได้สอบถามรายละเอียดของคนไข้จากสูติแพทย์ผู้ดูอัลตราซาวนด์ คุณหมอบอกว่า ‘ทารกเสียชีวิตมาหลายวันแล้ว และในโพรงมดลูกไม่ค่อยจะมีน้ำคร่ำสักเท่าไหร่?’

“ช่วยส่งคนไข้ไปหอผู้ป่วยชั้น 5 และเหน็บยา Cytotek (สารพรอสตาแกรนดิน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้ปากมดลูกนุ่มและมดลูกแข็งตัว) ทางช่องคลอด 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์ เพื่อเขียนคำสั่งการรักษา

 คุณดวงสมรถูกส่งตัวขึ้นไปยังหอผู้ป่วย 5 และได้รับการทำแท้งเพื่อการรักษาตั้งแต่นั้น พอถึงวันอังคาร ที่ข้าพเจ้าอยู่เวร ข้าพเจ้ามัวแต่สนใจคนไข้ที่อยู่ห้องคลอด จนลืมไปว่า ‘ยังมีคนไข้อีกคนที่มีปัญหารออยู่ที่หอผู้ป่วยชั้น 5’ พอตกเย็น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง นักศึกษาแพทย์ได้โทรศัพท์มาบอกว่า “คนไข้ที่ ward 5 แท้งออกมาแล้ว แต่รกค้างมานานประมาณ 1 ชั่วโมง”

“อย่างนั้น ก็ให้ส่งคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัด และset ขูดมดลูก” ข้าพเจ้าสั่งการกับนักศึกษาแพทย์คนนั้น การที่รกยังคงค้างอยู่ในกรณีนี้ ก็เพราะคุณดวงสมรตั้งครรภ์เพียง 19 สัปดาห์ รกในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ มักฝังตัวแน่น ดุจรากไม้ของต้นไม้วัยสาวที่หยั่งลงลึก การลอกหลุดเองจึงยาก ถึงจะรอต่อไป รกก็คงไม่ลอกหลุดออกมา ดังนั้น เพื่อป้องกันการตกเลือด ข้าพเจ้าจึงต้องรีบขูดมดลูก การขูดมดลูกของคุณดวงสมรภายใต้การดมยาสลบ ถึงแม้ไม่ยากลำบาก แต่ปริมาณของชิ้นเนื้อรกมีจำนวนมาก ทำให้ต้องเสียเวลานาน คุณดวงสมรพักอยู่โรงพยาบาล 2 วัน ก็ขอกลับบ้าน โดยไม่มีปัญหาอะไร นอกจากความทุกข์ใจ ที่ยากจะอธิบาย

คุณวริษา ก็มีวิบากกรมไม่แพ้คุณดวงสมร เธอตั้งครรภ์ได้เพียง 12 สัปดาห์ แต่มีปัญหาเลือดออกกะปิดกะปรอยจากช่องคลอด หลายวันก่อนข้าพเจ้าได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้คุณวริษา ปรากฏว่า เป็น ‘ครรภ์ไข่ฝ่อ (Blighted ovum)’ ข้าพเจ้าได้ขูดมดลูกให้เธอไปในตอนบ่ายวันนั้น ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่า ‘ปากกมดลูกของเธฮเปิดน้อยมาก จึงต้องถ่างปากมดลูก ตอนแรกคิดว่า จะล้มเลิกการขูดแล้ว และนัดมาใหม่หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เพื่อให้ปากมดลูกเปิดเพิ่มขึ้น แต่พอดมยาสลบ ข้าพเจ้าก็สามารถถ่างปากมดลูกได้ประมาณเบอร์ 8 จึงตัดสินใจทำ’ การขูดมดลูกไม่ยากมาก ข้าพเจ้าไม่สามารถใช้เครื่องมือประเภทคีมปากยาว (Ovum forceps) เข้าไปในโพรงมดลูกได้ จึงใช้เพียงแต่แกนห่วงเหล็กเบอร์เล็ก (Curette) เข้าไปขูด เมื่อได้ชิ้นเนื้อพอสมควร และได้ยินเสียง (Uterine cry) ก็คิดว่า   ถุงการตั้งครรภ์และรกน่าถูกเอาออกจนหมดแล้ว’

คาดไม่ถึง!! วันต่อมาเวลาประมาณ 5 ทุ่ม คุณวริษาได้กลับโรงพยาบาลอีก ด้วยเรื่องตกเลือด สุดท้ายสูติแพทย์เวรต้องทำการขูดมดลูกซ้ำให้เมื่อเวลา 2 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ พร้อมกับให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีทางเส้นเลือดดำ  สูติแพทย์เวรได้โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าเมื่อวานนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และนั่งพิจารณาถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น  ก็พบว่า น่าจะเกิดจาก ปากมดลูกของคนไข้ยังแข็งอยู่ และเปิดน้อยมาก จนต้องใช้แกนเหล็ก (Hegar dilators) เข้าไปถ่างขยายในช่วงดมยา สมัยก่อน ข้าพเจ้าไม่เคยพบประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้เลย เพราะข้าพเจ้ามักนัดให้คนไข้มาตรวจอัลตราซาวนด์ซ้ำในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ปากมดลูกก็อ่อนนุ่ม รกเสื่อมสลายไปมากแล้วและกำลังจะลอกตัว เมื่อทำการขูดมดลูกจึงง่ายดาย สมบูรณ์ ปราศจากเศษรกค้าง (retained pieces of placenta)

สำหรับการปฏิบัติตัวของคนไข้หลังแท้งและหลังคลอด มีหลักคล้ายๆกัน ดังนี้

  • รักษาความสะอาด บริเวณปากช่องคลอด และสุขภาพอนามัยของร่างกายให้ดี
  • จำไว้ว่า  มดลูกจะเข้าสู่อุ้งเชิงกรานประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอด ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตในช่วงเวลาดังกล่าวว่า มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? เช่น มดลูกไม่เข้าอู่ (uterine involution) เป็นต้น   
  • ห้ามมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด หลังแท้ง ประมาณ 6 สัปดาห์ หรือรอจนกว่า จะมีระดู  
  • หมั่นสังเกต น้ำคาวปลาว่า มีสี  มีกลิ่นเหม็นแปลกๆหรือไม่ 

หากพบความผิดปกติใดๆ หรือสงสัย ควรปรึกษาสูติแพทย์

คุณดวงสมร คุรวริษา รวมทั้งคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือ ต่างก็มีวิบากกรรม ทำให้ต้องมาพบกับปัญหาลูกเสียชีวิตในครรภ์และลูกคลอดก่อนกำหนด สำหรับข้าพเจ้า ในช่วงนี้ ก็กำลังพบกับวิบากกรรมรุมเร้าเช่นกัน ทำให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากใจหลายประการ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังมีครูบาอาจารย์คอยช่วยเหลือ ทำให้กรรมเบาบางลงบ้าง

 เรื่องของกรรม เราทุกคนต้องชดใช้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง บางที ก็เป็นไปในลักษณะการสูญเสียสิ่งที่ตนรัก บางที ก็เป็นไปในลักษณะร่างกายเจ็บป่วย บางที ก็เป็นไปในลักษณะถูกฟ้อง หรือปองร้าย ใครจะเชื่อเรื่องกรรมหรือไม่ก็ตามที แต่..แน่นอน!! ในที่สุด ทุกคนก็ต้องชดใช้….

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ . เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

มือถือในถังขยะ

มือถือในถังขยะ

ไม่กี่วันก่อน ข้าพเจ้าได้ไปซื้อของกินที่ร้าน เซเว่น อีเลเว่น บริเวณชั้นไต้ดิน ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จากนั้น ก็ขึ้นลิ๊ฟไปออกตรวจคนไข้สูตินรีเวช ที่ชั้นสองของโรงพยาบาลฯ  ตอนนั้น ข้าพเจ้า เดินพลางก็โทรศัพท์ด้วยมือถือเครื่องหนึ่งไปด้วย.. แต่พอไปถึงห้องตรวจ ข้าพเจ้าสังเกตว่า มือถือข้าพเจ้าอีกเครื่องหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในกระเป๋ามือถือเสียแล้ว แต่..ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจ จวบจนเช้าวันใหม่..ข้าพเจ้าจำเป็นต้องใช้มือถือเครื่องนั้น ข้าพเจ้าพยายามเสาะหา โดยการโทรฯเข้ามือถือหลายครั้ง เวลาเข้าไปในรถ หรือในห้องพัก แต่ก็ไม่ได้ยินเสียง ..เมื่อเดินทางมาถึง โรงพยาบาลตำรวจ ข้าพเจ้าได้โทรฯกลับไปที่ห้องคลอด โรงพยาบาลเอกชนนั้น แจ้งกับพยาบาล ให้ช่วยไปหามือถือในห้องพัก เจ้าหน้าที่พยาบาลหายังไง ก็ไม่พบ..ข้าพเจ้าหมดปัญญา และคิดว่า มือถือเครื่องนั้น ได้อันตระธานหายไปแล้ว  อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ามีความหวังเล็กๆว่า คงจะได้พบสักวันหนึ่ง จึงไม่ได้โทรไปยังศูนย์ เพื่อระงับสัญญาณการทำงานของมือถือ…

ราวๆ 9 นาฬิกาเช้าวันนั้น.. ภรรยา ข้าพเจ้าได้โทรฯมาเข้ามือถือหลักของข้าพเจ้า และบอกว่า ‘ข้าพเจ้าลืมมือถือเครื่องหนึ่งไว้ในถังขยะ ที่ชั้นไต้ดิน ของโรงพยาบาลเอกชน (ขอสงวนนาม)’ พลัน!!! ข้าพเจ้าก็รำลึกขึ้นได้ และจินตนาการออกมาว่า ‘พอไปซื้อขนมที่ร้านเซเว่น อีเลเวน ข้าพเจ้าก็เอามือถือใส่เข้าไปในถุงใส่ของ เมื่อรับประทานขนมหมด ก็ทิ้งถุงใส่ของ โดยไม่ได้มองว่า มีมือถืออีกเครื่องหนึ่ง อยู่ในถุงนั้น’ ข้าพเจ้าโทรฯเข้ามือถือเครื่องนั้น หลายครั้ง ก็ไม่มีคนรับสาย ก็เพราะไม่มีคนไปค้นที่ถังขยะ.. ต่อมา ภรรยาข้าพเจ้าโทรเข้าไปยังมือถือนั้นบ้าง.. เผอิญ!! แม่บ้าน ที่ทำความสะอาด ได้ยินเสียงโทรศัพท์ ดังมาจากถังขยะ เธอจึงไปได้ลื้อค้นเศษขยะดู  และรับสายโทรศัพท์… เราจึงได้รู้ว่า มือถือเครื่องนั้น อยู่ในถังขยะ..

เรื่องการลืมมือถือไว้ในถุงใส่ของ และลงไปนอนยังก้นถังขยะนั้น  สอนให้รู้ว่า หากเราไม่ใส่ใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ในที่สุด เรื่องราวนั้น มันก็จะเลือนหายไป ดุจขยะที่เราทิ้ง

ราว 1 เดือนที่ผ่านมา มีคนท้องแฝดสาม รายหนึ่ง ชื่อ คุณสุนีย์ อายุ 42 ปี มาคลอดที่โรงพยาบาลตำรวจ..เธอมีประวัติเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก ด้วยการหยอดตัวอ่อน ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เมื่อ 2 เดือนก่อน ผลคือ ตั้งครรภ์แฝดสาม (Triplet)..  คุณสุนีย์ ได้รับคำอธิบายจากคุณหมอที่นั่นว่า ‘ลูกแฝดทั้งสามของเธอมีโอกาสสูงมาก ที่จะคลอดก่อนกำหนด ซึ่ง..ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลเอกชนนั้น ย่อมสูงมาก เธอจึงควรจะไปฝากครรภ์ ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะสามีเป็นตำรวจ’ ดังนั้น คุณสุนีย์จึงตัดสินใจมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่ 12 สัปดาห์.. ตอนนั้น สูติแพทย์ที่รับฝากครรภ์ ได้แนะนำให้คุณสุนีย์เจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis) แต่..ก็แนะนำเรื่องการเจาะเลือดแม่ เพื่อส่งหาโครโมโซมลูก (Nifty’s test หรือ Non-Invasive Prenatal Test) ไปด้วย  คุณสุนีย์และสามีเลือกวิธี Nifty’s test ..ไม่เลือกวิธีเจาะน้ำคร่ำ  ผลคือ ทารกทั้งสาม ไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะโครโมโซมผิดปกติ ในคู่ที่ 13,18,21

คุณสุนีย์ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และได้รับการเจาะเลือด (Nifty’s test) ตอนอายุครรภ์ 15 สัปดาห์  หลังจากนั้น คุณสุนีย์ก็มาตามนัดทุกครั้ง คือ ทุก 4 สัปดาห์ จนอายุครรภ์ได้ 32 สัปดาห์.. ระหว่างนั้น คุณหมอสูติ ที่รับฝากครรภ์ ได้ตรวจติดตามเรื่องความพิการของทารกทั้งสาม หลายครั้ง จนมั่นใจว่า ทารกทั้งสามสมบูรณ์แข็งแรงดี มีรกแยกจากกันโดยสิ้นเชิง และความพิการแต่กำเนิด ก็ไม่มี

คุณสุนีย์ได้รับการผ่าตัดคลอด หลังจากเจ็บครรภ์เข้ามาโรงพยาบาลตำรวจในเช้าวันหนึ่ง ขณะอายุครรภ์ได้ 32 สัปดาห์ 6 วัน ทารกคนแรกเป็นเพศ หญิง หนัก 1700 กรัม, คนที่สองเป็นเพศหญิงหนัก 1552 กรัม คนที่ สามเป็นเพศชาย 1960 กรัม ฝาแฝดทุกคน มีคะแนนศักยภาพแรกคลอด 9, 10, 10 จากคะแนนเต็ม 10 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น ทารกทุกคนถูกส่งตัวไปยัง ห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด และต่อมา ก็ทะยอยส่งกลับมาที่ห้องความเสี่ยง และห้องเด็กอ่อนปกติ… หลังจากนั้น ไม่กี่วัน..    คุณสุนีย์ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านหลังคลอดในเวลาไม่นานนัก.. ส่วนลูกๆทั้งสาม ก็ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี และจะได้รับอนุญาติให้กลับบ้านได้ เมื่อมีน้ำหนักตัว ประมาณ 2500 กรัม

ถัดจากนั้นมาอีก 2 สัปดาห์.. ก็มีคนไข้น่าสนใจอีกราย ชื่อ คุณนันทภัส  อายุ 26 ปี มาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอกชน (ขอสงวนนาม) ที่ข้าพเจ้าทำงาน เธอบอกว่า ‘ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง มาประมาณ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา และตรวจการตั้งครรภ์ แล้วให้ผลบวก’

น่าแปลกใจ! ที่..พอข้าพเจ้าเห็นเธอ  เธอกลับมีอาการแสดงออกมา เสมือนว่า ‘ไม่เจ็บปวดเลย’ ซึ่ง..ความเจ็บปวดที่เพิ่งผ่านมา..อันทำให้เธอจดจำ และนำมาบอกเจ้าหน้าที่พยาบาลว่า ‘เจ็บปวดมาก คิดเป็นคะแนนความเจ็บปวด ก็มากถึง คะแนน 8 เต็ม 10’นั้น ทำให้ ข้าพเจ้าต้องนำมาคิด พิจารณาว่า ‘เป็นกรณี ท้องนอกมดลูก..ที่จำต้องผ่าตัดฉุกเฉินหรือไม่??’..ข้าพเจ้าได้ตรวจภายในและดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้กับเธอ ผลปรากฏว่า ‘ภายในช่องคลอด ไม่มีเลือด, ภายในโพรงมดลูก ไม่มีถุงการตั้งครรภ์ (Gestational sac) มีเพียงเยื่อบุโพรงมดลูกหนาประมาณ 10 มิลลิเเมตร, ข้าพเจ้าโยกปากมดลูกและเอามือกดด้านข้างของปากมดลูก.. ก็มีลักษณะตึงๆด้านขวาเล็กน้อย คนไข้ไม่ค่อยเจ็บเท่าที่เราคาด แต่..มีของเหลวจำนวนหนึ่ง อยู่ในส่วนต่ำสุดของอุ้งเชิงกราน[น่าจะเป็นเลือด]’ จากการตรวจปัสสาวะ พบว่า เธอตั้งครรภ์.. ข้าพเจ้าได้สั่งเจาะเลือดหาค่าการตั้งครรภ์ (beta HCG) ของเธอ ก็ได้ค่า เท่ากับ 1173 หน่วย..ซึ่งโดยปกติ ค่าการตั้งครรภ์ที่มากกว่า 3000 หน่วย เราจะสามารถมอเห็นถุงการตั้งครรภ์ (Gestational sac), ได้ .. ในรายนี้ ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่า เธอจะเป็น ท้องนอกมดลูก ชนิดที่เรียกว่า Tubal abortion  ..เพราะมองไม่เห็นถุงการตั้งครรภ์

Tubal abortion  คืออะไร Tubal abortion  คือ การแท้งของก้อนการตั้งครรภ์ (Conceptive product) โดยที่มันหลุดออกจากท่อนำไข่ ทั้งหมด และ เข้าไปนอนอยู่ในช่องท้อง ..ซึ่งตำแหน่งที่ ก้อนการตั้งครรภ์ เกาะติดภายในท่อนำไข่เดิมนั้น ย่อมจะมีเลือดออก.. หยดเข้าไปในช่องท้อง.. มากบ้าง…น้อยบ้าง…หยุดเองได้บ้าง..หรือไหลรินตลอดเวลา..

กรณีของคุณนันทภัส  ก็เช่นกัน.. คนไข้มีอาการปวดท้องน้อย…ลดลงอย่างมาก ที่ห้องฉุกเฉิน..จนข้าพเจ้าไม่แน่ใจ ในการวินิจฉัย..เพราะตรวจภายใน คนไข้ ไม่ค่อยเจ็บเวลาโยกปากมดลูก..ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เธอปวดท้องน้อยแทบตาย.. ข้าพเจ้าถามถึง การกินอาหารครั้งสุดท้ายว่า ‘นานเท่าไหร่แล้ว’ คนไข้ตอบว่า ‘5 โมงเย็น’ ข้าพเจ้าคิดคำนวณ ว่า ‘การผ่าตัดใดๆ ในตอนกลางคืนแบบฉุกเฉินสำหรับรายนี้นั้น อาจไม่จำเป็น ’ จึงบอกกับคุณนันทภัส  และสามีว่า ‘ขอสังเกคอาการและอาการแสดง ไปก่อน.. ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น.. จะเจาะเลือดตรวจค่าการตั้งครรภ์ ซ้ำ .. หากยังสูง และคนไข้ยังปวดท้อง ก็จะเจาะช่องท้องเข้าไปดูภายใน ว่า เป็นอะไรแน่’ คืนนั้น..ทั้งคืน คุณนันทภัส  นอนหลับได้

9 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ คนไข้ได้รับการเจาะเลือด เพื่อหาค่า Beta HCG  ซึ่งระยะเวลาของการตรวจ ห่างจากเดิม 12 ชั่วโมง ผลคือ ได้ 1033 หน่วย…ค่าลดลงจากเดิมเพียงเล็กน้อย ทำให้ข้าพเจ้า ไม่แน่ใจว่า เธอเป็นอะไรกันแน่ ระหว่าง…ท้องนอกมดลูก ในท่อนำไข่ (Tubal pregnancy) ..หรือท้องนอกมดลูก ที่แท้งเข้าไปใน ช่องท้อง (Tubal abortion)

ในสภาพการณ์ เช่นนี้ วิธีการดีที่สุด ทางการแพทย์  เพื่อให้ทราบการวินิจฉัยโรคว่า เป็นท้องนอกมดลูกหรือไม่ คือ การเจาะท้องส่องกล้องเข้าไปดู (Laparoscopy) ..เพราะการปล่อยให้คนไข้กลับบ้านไปโดยไม่แน่ใจในสภาพภายในช่องท้องของคนไข้ ..คนไข้อาจได้รับอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต..กรณีของคุณนันทภัส..ก็เช่นกัน เธอน่าจะเป็นท้องนอกมดลูก แต่..ตำแหน่งที่ก้อนเลือดอุดอยู่ภายในท่อนำไข่..มันหยุดแน่นิ่งหรือยัง??..เลือดอาจจะออกซ้ำได้อีก (Repeated bleeding)..จากท่อนำไข่ บริเวณที่ตัวอ่อนเคยเกาะหรือกำลังเกาะอยู่

จากการเจาะท้องส่องกล้อง ผลปรากฏว่า มีเลือดในช่องท้อง กองอยู่ที่ อุ้งเชิงกรานส่วนต่ำสุด ประมาณ 300 มิลลิลิตร (ซีซี) ..ปีกมดลูกด้านขวา..บวมแดงบริเวณใกล้ปลายปากแตร (Fimbrial end) ..แต่เลือดที่หยดจากปลายท่อนำไข่..หยุดแล้ว.. ข้าพเจ้าได้ใช้เครื่องมือ บีบท่อนำไข่ (milking) ..ไล่เรียงจากต้นจนถึงปลายปากแตรของท่อนำไข่ (Milking from proximal to fimbrial end) ก็ไม่มีเลือดไหลออกมาอีก ดังนั้น การผ่าตัด จึงสิ้นสุดเพียงเท่านี้ ไม่ต้องตัดท่อนำไข่ทิ้ง…คุณนันทภัส  ลุกขึ้นจิบน้ำได้หลังจากเจาะท้องส่องกล้องไม่ถึง ๖ ชั่วโมง และกลับบ้านในวันถัดไป

เรื่องราว ทั้งสองเรื่องข้างต้น น่าสนใจมาก..โดยเฉพาะ คนท้องแฝดสาม (Triplet) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและควรนำมาเผยแพร่..แต่..ข้าพเจ้า ไม่ใส่ใจ..กลับปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป จนจำรายละเอียดได้น้อยมาก ..ยังดี..ที่กรณี ท้องนอกมดลูก ที่ก้อนการตั้งครรภ์หลุดเข้าไปในช่องท้อง (Tubal abortion).. เวลาล่วงเลย ไปไม่นานมากนัก.. ข้าพเจ้ายังพอจำได้บ้าง..จึงสามารถนำมาปะติดปะต่อ เขียนเล่าสู่กันอ่านได้บ้าง..มิฉะนั้น ก็จะลืมเลือนไปอย่างสนิท.. เหมือนกับที่ข้าพเจ้าลืมมือถือไว้ในถังขยะ  นั่นเอง..

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ  นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

อิ่มบุญ

อิ่มบุญ

การทำบุญ หรือ ‘ทำทาน’ ที่ชาวบ้านเรียกนั้น จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า พบว่า มันส่งผลให้วาสนาชะตาชีวิตมนุษย์ดีขึ้นจริงๆ.. ข้าพเจ้าชอบบอกให้คนไข้หลายคนทำบุญให้ทาน และสวดมนต์บ่อยๆ.. ผลก็คือ คนไข้ที่มีบุตรยากเหล่านั้น ตั้งครรภ์จำนวนมากมาย ..ความเชื่อความศรัทธาของเราต่อคุณความดีนั้น ไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน…

ปกติ! ตอนเช้ามืดของทุกวัน ข้าพเจ้าชอบไปทำบุญที่ร้านขายอาหารปลีกแห่งหนึ่ง ซึ่งจำหน่ายอาหารใส่ถุงพลาสติก..ณ บริเวณตลาดสดพัฒนาการ.. ข้าพเจ้าทำทานด้วยเงินจำนวนเล็กน้อย เพียงแค่ร้อยบาท ก็ได้ชุดทำบุญถึง 2 ชุด ชุดหนึ่งประกอบด้วย ข้าวหุง 1 ถุง และกับข้าว 3 ถุง พร้อมกับน้ำเปล่า อีก 1 แก้ว….ร้านค้าแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ห้องแถวใกล้ปากซอยทางเข้าของตลาดพัฒนาการ.. มีอยู่วันหนึ่ง.. เจ้าของร้านผัวเมีย ได้บอกบุญกับข้าพเจ้าว่า ‘คุณหมอจะปล่อยปลาไหม?’ ตอนแรก ข้าพเจ้าคิดว่า ‘เจ้าของร้านคงหาซื้อปลาชนิดต่างๆจากที่อื่น มาให้ลูกค้านำไปปล่อยตามแม่น้ำลำคลอง’   แต่..ข้าพเจ้าเข้าใจผิด

ที่ไหนได้! ปลาเหล่านั้น เป็นปลาที่ต่างพากันหนีตายจากร้านขายปลานิลในตลาดคลองเตย..  เจ้าของร้านค้า เล่าว่า  ตอนดึกราวๆห้าทุ่มเที่ยงคืน พวกเขาจะเดินทางไปซื้อของที่ตลาดคลองเตยเพื่อมาขาย แต่ก็มักพบปลาดุก ปลาไหล หลุดออกมาจากตาข่ายรูกว้างของรถขนส่งปลานิล ที่เขานำมาขายส่งที่ตลาดคลองเตย พวกมันหลุดออกจากถุงอวนตาข่ายช่องกว้าง ลงไปตามถนน เกลื่อนพื้น คราวละ  5 – 10 ตัว ปลาเหล่านี้พยายามดิ้นรนคืบคลานไปหาพื้นที่ ที่เปียกน้ำหรือท้องร่อง…พวกคนขายที่นำปลานิลใส่ถุงอวนมาส่งนั้น ไม่สนใจปลาที่หล่นออกมาพวกนี้หรอก เพราะเวลาของพวกเขา มีน้อย พอส่งปลาให้ร้านค้าเสร็จ ก็รีบออกรถไป.. ปล่อยให้ปลาเหล่านี้ นอนแห้งตาย…ชาวบ้านแถวนั้น เห็นเข้า ก็จับพวกมันไปทำอาหาร.. แต่.. เจ้าของร้านคู่นี้ ไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาจับพวกมันขึ้นมาใส่ในกล่องโฟมที่มีน้ำหล่อเลี้ยง….. เจ้าของร้านผู้ใจบุญคู่นี้ พร้อมบุตรชาย จะเอาปลาพวกนี้ ไปปล่อย ที่วัดใกล้ๆตลาดพัฒนาการ ตอนสายๆของทุกวัน..

เนื่องจาก เจ้าของร้านค้าคู่นี้ เขาอยากให้ข้าพเจ้าได้รับอานิสงค์จากการปล่อยสัตว์ไปด้วย จึงได้บอกบุญกับข้าพเจ้าในวันหนึ่ง.. ครั้งแรกๆ ข้าพเจ้าได้พยายามเอ่ยปากขอบริจาคเงินสมทบไปทำบุญที่วัด อีกจำนวนหนึ่ง แต่..เจ้าของร้านไม่ยอม พวกเขาเพียงขอให้ข้าพเจ้าจ่ายเงิน เพียงแค่ 9 บาท เพื่อเป็นเคล็ดในการซื้อชีวิตสัตว์.. แล้วก็ให้ข้าพเจ้ายกกล่องโฟมที่มีปลาอยู่.. ขึ้นจกอธิษฐานในส่วนกุศลของการปล่อยสัตว์เดนตาย.. หลังจากได้ทำบุญปล่อยปลาเหล่านี้แล้ว.. ข้าพเจ้าจะรู้สึกอิ่มบุญไปตลอดทั้งวัน ..ปลาเหล่านี้ ประกอบด้วย ปลาดุก เล็กใหญ่ ปลาไหล ปลาหมอ ปลาช่อน…

มีอยู่เช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มีโอกาสปล่อยปลาดุกตั้งท้อง ด้วย 1 ตัว.. ซึ่งผลบุญนี้ ส่งผลให้คนไข้มีบุตรยากคนหนึ่ง ตั้งครรภ์ขึ้นมาจากการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งข้าพเจ้าหยอดตัวอ่อนเข้าไป 2 ตัว  ณ วันที่ปล่อยปลาดุกท้องนั้น….ด้วยวิธีการนี้ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกอิ่มบุญที่ได้รับ อย่างบอกไม่ถูก.. มันอิ่มเอิบใจ มากกว่าเงินมากมายที่ข้าพเจ้านำไปถวายตามวัดวาอารามต่างๆเสียอีก….ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณด้วยใจจริงต่อเจ้าของร้านค้าใจบุญทั้งสอง และบุตรชายของเขา.. ที่ทำให้ข้าพเจ้ามีส่วนร่วมในกุศลของการปล่อยชีวิตสัตว์เหล่านี้..

คุณลักขณา คือ คนไข้มีบุตรยาก ที่ได้กล่าวมาข้างต้น เธออายุ 37 ปี  แต่งงานมา 3 ปี เธอเข้ามารับรักษาภาวะมีบุตรยากกับข้าพเจ้า เมื่อ 2 ปีก่อน และตั้งครรภ์ครั้งแรกด้วยการฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก.. พออายุครรภ์ได้ 8 สัปดาห์ ก็แท้งบุตร เนื่องจากไม่มีตัวเด็กในถุงน้ำคร่ำ (no fetal echo) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ครรภ์ไข่ฝ่อ [Bloighted ovum]’    ต่อมา คุณลักขณาได้เข้ารับการขูดมดลูก ที่โรงพยาบาลในเครือประกันสังคม..

ต้นปีนี้ หลังจากแท้งบุตรได้ ครึ่งปี… คุณลักขณาและสามี ก็ปรึกษากันว่า น่าจะทำเด็กหลอดแก้ว ..การเตรียมตัวเพื่อทำเด็กหลอดแก้วนั้น.. ยังจำได้!! คุณลักขณาได้รับการกระตุ้นไข่โดยใช้สูตร Long protocol ..  ผล คือ ได้ไข่จำนวนมากมายปรากฏขึ้นที่รังไข่ทั้งสองข้าง ประมาณการว่า มีมากกว่า 20 ใบ.. โดยมีผลเลือด Estradiol (เอสโตรเจน) =  18,000 mIU/ml  Progesterone = 3.8  ในวันที่เจาะไข่…การที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนขึ้นอย่างมากมายตอนนั้น ข้าพเจ้ามีทางเลือกในการตัดสินใจได้ 2 ทาง คือ ยกเลิกการเจาะไข่  หรือ ไม่ก็ เจาะไข่ แล้วแช่แข็งตัวอ่อน โดยเฝ้าระวังภาวะรังไข่ถูกกระต้นมากเกินไป (Hyperstimulation syndrome) ของคุณลักขณา เพราะยังไงๆก็ต้องเกิดแน่ เพราะค่า Estradiol > 4000 mIU/ml ซึ่งอันตรายที่น่ากลัวของภาวะแทรกซ้อนนี้ ก็คือ น้ำท่วมปอด (Pleural effusion),ภาวะหัวใจวาย (Heart failure) และภาวะหายใจล้มเหลว (Respiratory failure)  หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต..ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจ ฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก แต่ใช้ยา ในขนาดต่ำ (Ovidel 1 หลอด [เดิม วางแผนให้ 2 หลอด])

วันนั้น ข้าพเจ้าเจาะไข่ให้กับคุณลักขณา ได้ 19 ใบ และนำไปเข้าสู่กระบวนการทำกรรมวิธี ‘อิ๊กซี่’ ผลคือ ได้ตัวอ่อน 12 ตัว ซึ่ง นับว่า มากทีเดียว ข้าพเจ้าขอให้ทางโรงพยาบาลฯแช่แข็งตัวอ่อนทั้งหมด ในระยะฝังตัว (Blastocyst) [คือ วันที่ 5 ของตัวอ่อน] เนื่องจาก หากหยอดตัวอ่อนเข้าไปในรอบเดือนนั้น แล้วคนไข้เกิดตั้งครรภ์ขึ้น..คุณลักขณาจะต้องเกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไปอย่างแน่นอนและรุนแรง อันตรายต่อชีวิต

สรุปว่า เดือนที่ข้าพเจ้าเจาะไข่ให้กับคุณลักขณา ..ตัวอ่อนทั้งหมด ถูกนำไปแช่แข็ง (Freezing) ซึ่งปัจจุบัน การแช่แข็งตัวอ่อนมนุษย์ เราจะแช่แข็งได้ ๒ ระยะ คือ ในระยะฝังตัว (Bastocyst) และระยะตัวอ่อนวันแรก (Pronuclei stage)….แต่นิยทม ระยะฝังตัวมากกว่า.. นอกจากนั้น คุณลักขณาและสามียังได้รับการแนะนำให้ทำ PGD (Preimplantation genetic diagnosis) เพื่อตรวจดูโครโมโซมของตัวอ่อนก่อนแช่แข็งด้วย….ซึ่งทั้งสองสามีภรรยาตกลงยินยอมทำตามนั้น เพราะกลัวลูกจะมีภาวะปัญญาอ่อน ที่มีโครโมโซมผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการเจริญผิดปกติ (Trisomy 13,18,21) ของโครโมโซมคู่ที่ 13,18, และ 21 ในระหว่างแบ่งตัว ผลคือ มีตัวอ่อนที่มีโครโมโซมผิดปกติ 5 ตัว และตัวอ่อนปกติ 7 ตัว

ในเดือนถัดมา ข้าพเจ้าได้หยอดตัวอ่อน (Blastocyst transfer) ให้กับ คุณลักขณา 2 ตัว ผลคือ ‘ไม่ท้อง’ ..เดือนถัดมา ..ก็วางแผนจะหยอดตัวอ่อนอีก เช่นกัน ..โดยตรวจอัลตราซาวนด์จากช่องคลอด เพื่อหาวันไข่ตกในวันที่คุณลักขณา มีระดูจากวันแรก 12 วัน.. ในเดือนดังกล่าวคุณลักขณามี ‘ไข่ตก’ ช้ากว่ากำหนดปกติ ไป 6 วัน ..วันที่ไข่ตก ..เราจะไม่นับมาคำนวณการละลายตัวอ่อน ..จากนั้น เราก็นับไปอีก 5 วัน และละลายตัวอ่อน (Blastocyst) ณ วันดังกล่าว  

ในวันนั้น ข้าพเจ้า นึกถึงบุญของการปล่อยปลาดุกท้อง และก็หยอดตัวอ่อนอย่างระมัดระวังให้กับคุณลักขณา ณ ตำแหน่งที่ห่างจากยอดมดลูกประมาณ 1 เซนติเมตร จากนั้น ก็ให้ใส่สายสวนปัสสาวะ ต่อเข้ากับถุงปัสสาวะ เพื่อให้คุณลักขณานอนพักในเตียง 6 ชั่วโมง..  โดยไม่ต้องลุกไปใหน ..ผลคือ คุณลักขณาตั้งครรภ์ ผลเลือด วันที่ 14 หรือ 9 วันนับแต่วันหยอด ได้ท่ากับ 486 หน่วย (mIU/ml) ทุกคนมีความสุขมาก

พออายุครรภได้ 5 สัปดาห์ คุณลักขณา ก็มีเลือดออกจากช่องคลอดมา 1 หยด และมีอาการปวดท้องน้อยนิดๆ เธอมาที่โรงพยาบาลเอกชน (ขอสงวนนาม) ที่ข้าพเจ้าอยู่เวร.. ข้าพเจ้าได้ให้ฉีดยากันแท้งไป 1 เข็ม ต่อมาอีก 3 วัน คุณลักขณามีเลือดออกจากช่องคลอดมากขึ้น กว่า 30 มิลลิลิตร (ซีซี).. คุณลักขณาและสามีตกใจมกและกลัวว่า จะแท้งบุตร.. ข้าพเจ้าปลอบใจอยู่นาน จึงได้ให้คนไข้นอนโรงพยาบาล..การสั่งการรักษา ข้าพเจ้าได้ให้ยาหยุดเลือด 2 ตัว (คือ Vit K1 และTransamine) โดยให้คนไข้นอนพักบนเตียงแบบไม่ต้องลุกไปไหนเลยทั้งวันทั้งคืน  ยกเว้นเข้าห้องน้ำ  (Absolute bed rest)..คุณลักขณานอนพักโรงพยาบาลถึง 7 วัน (ต่อคราวหน้า)

อานิสงค์ของการปล่อยปลาเดนตายตอนเช้า ที่ตลาดพัฒนาการ ส่งผลให้คนไข้ของข้าพเจ้าข้างต้นพ้นภัย… ภายหลังที่คุณลักขณานอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้ 1 วัน เธอก็ขอให้ข้าพเจ้าตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอด ผลปรากฏว่า มีถุงการตั้งครรภ์ภายในโพรงมดลูก 2 ถุง..ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าๆกันราว 1 เซนติเมตร แต่..ยังมองไม่เห็นตัวเด็ก (Fetal echo) เพราะอายุครรภ์ยังน้อย เพียงแค่ 5 สัปดาห์ 3 วัน.. อย่างไรก็ตาม..ปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งที่เห็นจากอัลตราซาวนด์ครั้งนี้ คือ พบถุงของเหลวอีกหนึ่งถุง ..ใหญ่มากทีเดียว ขนาดใหญ่กว่าถุงการตั้งครรภ์ทั้งสองถึง 2 เท่า.. เส้นผ่าศูนย์กลาง ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร วางอยู่เหนือถุงการตั้งครรภ์แฝด.. ลักษณะภายในถุง ดูคล้ายมีอะไรสักอย่างหนึ่ง สีขาวขุ่นขมุกขมัว (Hyperechoic or Haziness)  ข้าพเจ้าคิดว่า มันคือ ก้อนเลือด..

ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอให้คุณลักขณาพักรักษาตัวในโรงพยาบาล..โดยนอนนิ่งๆบนเตียงในห้องพักตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นเวลาทำธุระส่วนตัว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือ หมั่นสังเกตอาการสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ 1. อาการเลือดออกจากช่องคลอด  2. อาการปวดท้องน้อย …อาการปวดท้องน้อย ถือว่า สำคัญกว่า เลือดที่ออกจากช่องคลอด..เพราะอาจเกิดจากมดลูกบีบตัว เพื่อขับเอาทารกออกมา..อันจะส่งผลให้แท้งในระยะเวลาอันสั้น ช่วงนั้น คุณลักขณาและสามี มีความวิตกกังวลอย่างมาก เพราะมีอาการปวดหน่วงท้องน้อยบ่อยๆ ข้าพเจ้าได้ปลอบใจคนทั้งสองว่า ‘เคยเจอกรณีคนท้องตกเลือดขณะตั้งครรภ์น้อยๆเช่นนี้มาแล้ว.. เมื่อหลายปีก่อน มีคู่รักชาวจีนแผ่นดินใหญ่ คู่หนึ่ง ซึ่งทำงานในไทย ภรรยาเกิดตกเลือดอย่างรุนแรงช่วงอายุครรภ์ราวๆนี้.. ในเบื้องต้น ข้าพเจ้าคิดว่า เธอต้องแท้งอย่างแน่นอน แต่..เมื่อเจาะเลือดตรวจการตั้งครรภ์ 2 ครั้ง ผลคือ ผลเลือด (Beta HCG) หลังจากเจาะเลือดซ้ำใน 2 วันถัดมา เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เหมือนกับรูปแบบการตั้งครรภ์ทั่วไป ต่อมา เมื่อตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้กับคนไข้ ตอนอายุครรภ์ 8 สัปดาห์ ปรากฏว่า ทารก มีหัวใจเต้นตามปกติ ข้าพเจ้าดูแลคนไข้รายนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร จนเธอคลอดบุตรออกมา เป็นทารกปกติและแข็งแรงดี’ คุณลักขณาและสามีได้ยินดังนั้น จึงค่อยใจชื้นขึ้นมา

ปัจจุบัน ข้าพเจ้าเร่งทำบุญโดยการให้ทานและปล่อยปลาที่ตลาดพัฒนาการบ่อยมากขึ้น.. นับจากคุณลักขณาเข้านอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชน (ขอสงวนนาม)… อาการปวดท้องน้อย ของคุณลักขณาก็ลดลงตามลำดับ เลือดที่ออกจากช่องคลอด น้อยลงทุกวัน จนหยุดได้หลังจากนอนโรงพยาบาลแค่ 3 วัน.. คุณลักขณานอนโรงพยาบาลได้ 7 วัน ข้าพเจ้าก็ตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้อีกครั้ง ผลปรากฏว่า ถุงการตั้งครรภ์ทั้งสองใหญ่ขึ้น มองเห็นเงาทารกแฝดทั้งสอง พร้อมกับมีการขยับภายในเงานั้น เหมือนดวงไฟเล็กๆส่องกระพริบ.. บ่งบอกถึงว่า มีสิ่งมีชีวิต 2 คนข้างในโพรงมดลูกของเธอ ..คุณลักขณา สามีและข้าพเจ้าดีใจมาก ส่วนถุงของเหลวภายในอีกถุงหนึ่ง ก็มีสีใสขึ้น แสดงว่า เลือดมีการละลายตัว ผลจากการฉีดยา ควบคุมการละลายลิ่มเลือด (Transamine) 4 วัน แล้วเปลี่ยนเป็นชนิดยากินต่ออีก 2 สัปดาห์

คุณลักขณามาตามนัด ในอีก 2 สัปดาห์ ขณะอายุครรภ์ได้ 9 สัปดาห์ ข้าพเจ้าตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้อีกครั้ง ผลปรากฏว่า ทารกแฝดตัวใหญ่มากขึ้น พร้อมทั้งขยับตัวได้ด้วย..ในขณะที่ถุงก้อนเลือดถุงนั้นได้อันตธานหายไป.. ยากันแท้ง หลากหลายประเภท ทั้ง เหน็บ,กิน และฉีด ที่ข้าพเจ้าได้ให้กับเธอค่อยๆทะยอยหยุดไป เพราะบัดนี้ คนไข้อยู่ในขั้นปลอดภัยแล้ว เนื่องจากฮอร์โมนจากรกที่สร้างขึ้น มีมากเพียงพอที่จะดูแลการตั้งครรภ์ได้

หลังจากนั้น คุณลักขณา และสามี ก็ไม่ค่อยได้ส่งข้อความมาสอบถามข้าพเจ้าอีก..อนึ่ง  แม้ว่า ทารกทั้งสองจะได้รับการตรวจโครโมโซมตั้งแต่เป็นตัวอ่อน (PGD = prenatal genetic diagnosis) ก็ตาม ข้าพเจ้ายังได้นัดให้คุณลักขณา เข้าไปตรวจกับสูติแพทย์ อีกท่านหนึ่ง ซึ่งเชี่ยวชาญเกี่ยวกับอัลตราซาวนด์ระดับสูง ตอนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ (MFM = Maternal fetal medicine) เพื่อดูส่วนหนาของคอเด็ก (Nuchal thickness) ด้วย  ผลปรากฏว่า ส่วนคอของแฝดทั้งสอง มีความหนาเท่ากับค่าปกติ ..ทารกน้อยทั้งสอง  จึงไม่น่าจะเป็นเด็กปัญญาอ่อน..

เรื่องราวการตั้งครรภ์แฝดของคุณลักขณา ยังไม่มีทีท่าว่า จะสงบเงียบ.. ถัดจากนั้น มาได้ 2 สัปดาห์ คุณลักขณา ได้โทรศัพท์หาข้าพเจ้าในค่ำวันอาทิตย์ว่า ‘เธอมีอาการปวดท้องน้อย ในลักษณะแปลกๆ 2 – 3 คืนติดต่อกัน.. ไม่รู้ว่าเป็นอะไร และจะแท้งหรือไม่’

ข้าพเจ้าบอกเธอให้เข้ามาตรวจครรภ์ในวันจันทร์ ตอนนั้น เธอมีอายุครรภ์ได้ 14 สัปดาห์เต็ม  จากการซักประวัติ ข้าพเจ้าคิดว่า เธอน่าจะมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Cystitis) แต่..ผลการตรวจของปัสสาวะ ไม่ส่อว่า ‘มีการติดเชื้อ ยกเว้น มีแบคทีเรีย และเม็ดเลือดขาวเล็กน้อยในปัสสาวะ’ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้สั่งจ่ายยาฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะของคนท้อง ประเภท รับประทานครั้งเดียวให้เธอไป (ชื่อยา Monurol  : รับประทาน 1 ซองครั้งเดียว).. นอกจากนั้น ยังให้ยาฆ่าเชื้ออย่างดีเยี่ยม ทั้งปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง ชื่อ Meiact เตรียมไว้อีกจำนวนหนึ่ง เผื่อว่า อาการปวดท้องน้อยตอนกลางคืนไม่ดีขึ้น..จะได้รับประทานรักษาไปเลย โดยไม่ต้องกลับมาพบข้าพเจ้าอีก..ข้าพเจ้าอธิบายให้คุณลักขณาและสามี ฟังว่า ‘คุณลักขณาเป็น Asymtomatic bacteriurea หรือภาวะที่มีเชื้อโรคในกระเพาะปัสสาวะ โดยไม่มีอาการ’

หลังจากทานยา ชุดแรก ประเภท ครั้งเดียวนั้น ปรากฏว่า อาการปวดท้องน้อย ไม่ดีขึ้น ใน 2 วัน.. เธอจึงได้รับประทานยาชุดที่เตรียมสำรองไว้ให้ อีก 7 วัน ผลปรากฏว่า อาการปวดท้องน้อย ดีขึ้นอย่างมาก .. แต่ก็ยังรู้สึกปวดอยู่บ้าง เมื่อสามีเธอโทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าบอกถึงอาการดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงได้จัดยา Meiact ให้เธออีก 7 วัน.. คราวนี้ อาการปวดท้องน้อยของเธอแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง

วันนี้ คุณลักขณา มาเข้ารับการตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชน ที่ข้าพเจ้าทำงาน  อายุครรภ์ขณะนี้ คือ 17 สัปดาห์ ข้าพเจ้าตรวจอัลตราซาวนด์ ผ่านทางหน้าท้องให้กับเธอ ปรากฏว่า ‘ทารกแฝดทั้งสอง.. มีขนาดน้ำหนักตัวเข้ากันได้กับอายุครรภ์พอดี.. แฝดชายมีขนาดใหญ่กว่าแฝดหญิงเล็กน้อย..แฝดทั้งสองแข็งแรง สุขภาพดีทั้งคู่’ วันนี้ คุณลักขณามาเข้ารับการตรวจเพียงคนเดียว เนื่องจากสามียังไม่เลิกจากงานประจำ.. เธอมีความสุขใจ ยิ้มแย้ม แจ่มใสตลอดเวลา.. นี่แหละ!! ความสุขของคนที่เป็นแม่ขณะตั้งครรภ์ ..ถึงแม้ หนทางที่จะไปถึงวันให้กำเนิดบุตร ยังอีกยาวไกล.. แต่ ด้วยร่วมมือ ของคนไข้ และหมอ ..ย่อมก่อผลดีให้กับลูกทั้งสองของคุณลักขณาอย่างแน่นอน ..ข้าพเจ้าขอเป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องทุกคน ..ขอให้มีกำลังใจ และขอให้พ้นภัยจากอันตราย ที่กำลังกล้ำกลายเข้ามาคุกคาม..ไม่ว่าจะเป็น ภาวะแท้งคุกคาม, การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ, การตกเลือดจากภาวะรกเกาะต่ำ, หรือการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด  ก็ตาม…….

การทำบุญเกื้อหนุน ปลดปล่อยให้อิสระกับสัตว์ ใหญ่น้อย ต่ำต้อยด้อยศักดิ์ใดๆก็ตาม ย่อมส่งผลให้จิตใจเราอิ่มเอิบไปด้วย ความสุขใจ..ดั่งได้เสวยผลไม้ทิพย์ .. เกือบทุกวัน ตอนเช้ามืด ข้าพเจ้าจะแวะเวียนไปที่ร้านค้า หน้าปากซอยตลาดสดพัฒนาการ ด้วยถือเป็นกิจวัตร เสมือนหนึ่งว่า ไปวัดทำบุญตักบาตร ..ด้วยจิตใจผูกพัน อย่างบอกไม่ถูก ..ข้าพเจ้ามักพบกับสิ่งดีๆเสมอตลอดทั้งวัน หลังจากทำบุญปล่อยปลาเดนตายยามเช้า ..ข้าพเจ้าอยากให้ผู้อ่านทุกท่านได้อนุโมทนาบุญร่วมกับข้าพเจ้าด้วยทุกเช้า เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมุ่งจิตคิดหวังว่า คนที่มีบุตร ทุกคนจะสามารถตั้งครรภ์ได้ง่าย ..ส่วนคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ก็ขอให้พ้นภัย จากภยันตรายทั้งปวงในระหว่างตั้งครรภ์ จนคลอดบุตรหญิงชายที่แข็งแรง สุขภาพดี มีสติปัญญา ตอนครบกำหนดคลอด.. 

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.  นพ. เสรี   ธีรพงษ์    ผู้เขียน

 

 

 

    

 

 

 

การผ่าตัดผ่านกล้อง ต้องห้าม

การผ่าตัดผ่านกล้อง ต้องห้าม

                คำคมโบราณ กล่าวไว้ให้ ‘รู้จักพอ ไม่ผิดพลาด  รู้จักหยุด ไม่พินาศ’ ถ้อยคำนี้ยังคงมีมนต์ขลัง และเป็นประกาศิตที่ข้าพเจ้ายึดถือ ปฏิบัติเรื่อยมาเนิ่นนาน ด้วยว่า สิ่งต่างๆมากมาย เมื่อข้าพเจ้าทำแล้ว หากรู้สึกลึกๆว่า ‘มันอาจก่อความเลวร้าย เสียหายอย่างร้ายแรง’ ก็ควรจะหยุดทำทันที เพราะเมื่อกระทำต่อไป จากประสบการณ์..แน่นอน! ต้องพบกับความหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้….ความรู้สึกภายในจิตใต้สำนึกเช่นนี้ เชื่อเถอะว่า มักเป็นจริงเสมอ..จริงๆแล้ว!! มันก็เป็นพียงแค่ ‘ความรู้สึกของสามัญสำนึก’ เท่านั้น แต่…ส่งผลให้ปรากฏได้ตรงตามจริงเกือบทุกครั้ง.. ความรู้สึกเช่นนี้ มันช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน

หลายวันก่อน วันนั้นเป็นวันศุกร์ ข้าพเจ้าได้ออกไปทำบุญตักบาตรตอนเช้าเช่นเคย แต่..ไม่ใช่ที่ร้านค้าประจำย่านตลาดพัฒนาการ..เนื่องจากเจ้าของร้าน เดินทางไปทำบุญยังต่างจังหวัด พอตื่นขึ้น ข้าพเจ้าก็รีบขับรถไปยังโรงพยาบาลตำรวจทันที  เพื่อให้ทันทำบุญ ณ บริเวณตึกโภชนาการ ซึ่ง..ปกติ จะมีพระสงฆ์จำนวน 2 – 3 รูป จากวัดปทุมวนาราม มายืนรอรับบาตรที่ จนถึงเวลา 8 โมงเช้า..

ครั้งนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจทำบุญเป็นพิเศษ เพราะจะมีการผ่าตัดผ่านกล้อง ในเวลา 9 นาฬิกาของวันนั้น..จากประสบการณ์ ข้าพเจ้าสังเกตและพบเสมอๆว่า ‘วันไหน ที่ได้ทำบุญตักบาตร วันนั้น ข้าพเจ้าจะผ่าตัดราบรื่น ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ถึงหากแม้พบปัญหาอุปสรรคใหญ่ แก้ไขยากแค่ไหน  ก็จะกลายเป็นปัญหาเล็กน้อย แก้ไขได้ง่าย ทุกครั้งไป’

                คุณพุทธพร คือ คนไข้สตรี ที่เข้ามาในข่ายของเรื่องราวแห่งความเชื่อที่ข้าพเจ้าอยากเล่า เธออายุ 45 ปี ปวดท้องน้อยเรื้อรังมานานหลายปี.. 13 ปีก่อน เธอต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉินที่โรงพยาบาลตำรวจโดยสูตินรีแพทย์เวร และถูกตัดรังไข่ด้านขวาทิ้ง (Right salpingo-oophorectomy) เนื่องจากเป็นโรค ถุงน้ำรังไข่ ‘ช็อค โกแลต ซีส’ แตก (Ruptured Chocolate cyst)  ก่อนหน้านั้น เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงทุกครั้งที่มีระดูและกลางรอบเดือน นานถึง 5 เดือน.. วันที่เธอมาโรงพยาบาลคราวนั้น เธอมีไข้, ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงและท้องเสียหลายครั้งในเบื้องต้น จากนั้น ก็ต้องสงบเสงี่ยมอยู่ในท่านอนนิ่งๆ ไม่สามารถขยับตัวได้ เพื่อจะลดอาการปวดท้องน้อย… จากการตรวจร่างกายเบื้องต้น ลักษณะที่ตรวจพบ (Sign &symptoms) เข้ากันได้กับ ภาวะถุงน้ำรังไข่แตก…ซึ่ง..สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนควรทราบไว้ คือ การผ่าตัดแบบฉุกเฉินนั้น คนไข้จะไม่ได้รับการเตรียมตัวใดๆเลย.. คุณหมอจึงต้องผ่าตัดอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้น ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา  อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่าตัด ได้ 1 เดือน คุณพุทธพรก็เกิดภาวะลำไส้อุดตัน (Partial gut obstruction)..โชคดี!!..ที่เป็นเพียงการอุดตันของลำไส้ชั่วคราว.. เธอได้รับการใส่ท่อระบายลมผ่านรูจมูกสู่กระเพาะอาหาร (NG tube) เป็นเวลานาน 4 วัน ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน

                4 ปีก่อน คุณพุทธพรมาหาข้าพเจ้าที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ด้วยเรื่องเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก เมื่อตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอด ก็พบว่า เป็นโรคเยื่อบุมดลูกหนา (Endometrial hyperplasia) เธอได้รับการฉีดยา เพื่อหยุดการสร้างไข่ (GnRH :Enantone) และกดการสร้างฮอร์โมนเพศ  (Estrogen) เป็นเวลา 6 เดือน  จากนั้น ก็รับประทานยาคุม (YAZ) ต่ออีก 2 ปีเศษ อนึ่ง เนื่องจากเธอเป็นคนโสด ไม่เคยเพศสัมพันธ์.. ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ตรวจอัลตราซานด์ผ่านทางช่องคลอดอีกในช่วงติดตามการรักษา.. เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ตรวจร่างกายและเจาะเลือดฮอร์โมนเพศให้กับคุณพุทธพร ก็พบว่า รังไข่ของเธอหยุดทำงาน (Primary ovarian failure) โดยไม่ทราบสาเหตุ ข้าพเจ้าคิดว่า  ต่อแต่นี้ เธอคงไม่ต้องกินยาอะไรอีกแล้ว เพราะร่างกายไม่มีฮอร์โมนเพศ.. เนื้องอกมดลูก รวมทั้งเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ก็จะฝ่อ อันตรธานหายไปในที่สุด เนื้องอกมดลูกของเธอที่ตรวจพบตอนนั้น (Myoma uteri) มีขนาดไม่ใหญ่นัก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร เท่านั้น ซึ่ง..ยังไม่มีความผิดปกติใดๆเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะและอุจจาระ.. ข้าพเจ้าจึงได้แต่ติดตามเฝ้าดูคนไข้ตามนัด เท่านั้น

                แต่..เมื่อไม่นานมานี้ จากการตรวจติดตามตรวจดู พบว่า ก้อนเนื้องงอกมดลูกของเธอโตขึ้น ร่วมกับมีอาการปวดท้องน้อยบ่อยๆ นอกจากนั้น เธอยังกังวลเรื่องมะเร็งของมดลูกรังไข่ เธอร้องขอให้ข้าพเจ้าผ่าตัดเอามดลูกออกผ่านกล้อง ข้าพเจ้าตอบตกลง..หลังจากตรวจเลือด..เอกซเรย์ปอด และคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้ว ไม่พบความผิดปกติ ข้าพเจ้าก็กำหนดให้เธอเข้ารับการผ่าตัดในวันศุกร์ของสัปดาห์ที่ผ่านมา

ที่ห้องผ่าตัด..ก่อนผ่าตัด เผอิญ!! ข้าพเจ้าเหลือบมองเห็นแผลเก่าแนวตรง (Vertical incision) บนหน้าท้องของเธอ ก็ต้องตกใจ เพราะลืมประวัติการผ่าตัดครั้งก่อน โดยหลงคิดไปว่า นี่เป็นการผ่าตัดครั้งแรก คิดดังนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกประหวั่นว่า จะมีพังผืดเกิดขึ้นมากมายภายในท้องของเธอ อันเป็นผลจากการผ่าตัดเปิดหน้าท้องรักษาถุงช็อคโกแลต ซีส ที่แตก (Chocolate cyst) เมื่อหลายปีก่อน..

ข้าพเจ้าเริ่มการผ่าตัดส่องกล้องด้วยการเจาะท้องตรงรูสะดือ เพื่อสอดใส่กล้อง ซึ่งเป็นเหมือนแกนท่อเส้นผ่าศูนย์กลางราว 1 เซนติเมตรเข้าไป..ที่ไหนได้ พอมองไปรอบๆภายในช่องท้องของคุณพุทธพร ก็พบว่า มีพังผืดยึดติดกับลำไส้เล็กใหญ่หลายแห่ง.. ที่เห็นเด่นชัด คือ ขดลำไส้เล็ก 2  ส่วนเกาะย้อยยึดติดกับผนังหน้าท้องด้านบน ตรงบริเวณใกล้สะดือแห่งหนึ่ง และหน้ากระเพาะปัสสาวะอีกแห่งหนึ่ง นอกจากนั้น ข้าพเจ้ายังมองไม่เห็นตัวมดลูกอีกด้วย เพราะมีลำไส้เล็กยึดติดแผ่เป็นแผงพังผืด ไปเกาะเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ บดบังตัวมดลูกจนมิด.. เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงสั่งยกเลิกการผ่าตัดผ่านกล้องทันที และเปลี่ยนเป็นการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง (Convert to Laparotomy) นี่แหละ!! คือ สิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกว่า ‘รู้จักพอ  ไม่ผิดพลาด’ เพราะหากผ่าตัดผ่านกล้องต่อ มีหวังลำไส้ทะลุ ..จากนั้น ข้าพเจ้าก็รีบโทรศัพท์ไปปรึกษาศัลยแพทย์ เพื่อแก้ปัญหาพังผืดครั้งนี้ คาดไม่ถึงว่า ศัลยแพทย์เวร เป็นหมอผู้หญิง ขณะนั้น คุณหมอกำลังผ่าตัดอยู่ ..เมื่อทราบเช่นนั้น เพื่อไม่ให้เสียเวลา..ข้าพเจ้าจึงผ่าตัดเปิดหน้าท้องของคุณพุทธพร..เข้าไปดูพลางๆ เผื่อว่า หากพอผ่าตัดแก้ไข พังผืดที่ยึดติดลำไส้ได้..ก็น่าจะลองดู 

ที่ไหนได้!!  พังผืดที่ยึดติดลำไส้กับกระเพาะปัสสาวะของคุณพุทธพรนั้น มันเกาะติดแน่นมาก  นอกจากนั้น ตอนที่กรีดมีดผ่าเปิดผนังหน้าท้อง ก็กรีดเข้าไปถูกผิวของลำไส้เล็ก (serosa) เกิดเป็นรอยแผลขนาดประมาณ ครึ่งเซนติเมตร (Serosa)   เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็หยุดการผ่าตัดทันที และนั่งรอคุณหมอจากภาควิชาศัลย์.. ..พูดยังไม่ทันขาดคำ..คุณหมอแพทย์ประจำบ้านปี 4 ท่านหนึ่ง ก็เดินมาในห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าขอให้คุณหมอช่วยเย็บลำไส้ส่วนที่ฉีกขาด และเลาะพังผืด คุณหมอได้โทรศัพท์กลับไปรายงานกับอาจารย์แพทย์เวร สักครู่หนึ่ง.. คุณหมอก็กลับมาลงมือผ่าตัด คุณหมอศัลย์ท่านนี้เชี่ยวชาญชำนาญจริงๆ ..ไม่นานนัก ก็สามารถเลาะพังผืด แยกลำไส้ออกจากตัวมดลูกได้หมด.. ก่อนยุติ ..คุณหมอได้เย็บซ่อมผิวลำไส้เล็กที่ฉีกขาดให้ด้วย

หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ลงมือผ่าตัดเอาตัวมดลูกออกแบบเปิดหน้าท้อง การผ่าตัด ทำไม่ยากมาก เริ่มจากการตัดเอ็นที่เรียกว่า Round Ligament  และ Infundiburo-pelvic ligaments  พร้อมกับตัดรังไข่ด้านขวาทิ้ง เพราะไม่ต้องการให้เหลือเชื้อของโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ( Endometriosis)…สำหรับด้านล่างส่วนหลังของช่องท้องของคุณพุทธพร ที่เรียกว่า Culedesac  นั้น ข้าพเจ้าได้ใช้มือล้วงลงไปในอุ้งส่วนลึก (Blunt dissection)  ล้วงดึงงัดเอาตัวมดลูกให้ลอยขึ้นมา ส่งผลให้ เอ็นด้านล่างทั้งสอง (Sacro-illiac ligaments) ที่ยึดติดส่วนคอมดลูก ฉีกขาด เป็นแนวขึ้นมา (blunt dissection)..การผ่าตัดขั้นต่อไป  ข้าพเจ้าได้เย็บตัดเส้นเลือดใหญ่ (Uterine arteries) และเลาะเนื้อเยื่อ (Adnexa) ทั้งสองข้าง.. ชิดตัวมดลูก จนถึงคอมดลูก จากนั้น ก็กรีดเข้าช่องคลอดทางด้านหน้า (colpotomy) ..ตัดรอบปากมดลูก จนครบ มดลูก ก็หลุดออกมา..หากไม่มีศัลยแพทย์ มาช่วยเลาะพังผืด ข้าพเจ้าคงทำการตัดมดลูกด้วยความยากลำบาก ..ดีไม่ดี..อาจทำให้ลำไส้ทะลุหรือฉีกขาดเสียด้วยแม้จะผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ..นี่แหละ !! การประสานร่วมมือกันของคุณหมอสองแผนก ย่อมทำให้การผ่าตัดลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะอาศัยความสามารถที่ถนัดคนละด้าน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

หลังผ่าตัดวันถัดมา ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมคุณพุทธพร และอธิบายให้เธอทราบถึงความจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนมาเป็นการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง  คนไข้เข้าใจดี และบ่นปวดแผลเพียงเล็กน้อย   วันจันทร์ ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมเธออีกครั้ง คนไข้ถ่ายอุจจาระได้ดี แต่มีปัญหาปัสสาวะติดขัดเล็กน้อย ข้าพเจ้าได้ให้ยาฆ่าเชื้อรักษาทางเดินปัสสาวะอักเสบ ไปรับประทานติดต่อกัน 7 วัน และอนุญาตให้กลับบ้านได้ในวันรุ่งขึ้น

การผ่าตัดใดๆ ในช่องท้องของสตรี โดยเฉพาะการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช ถือเป็นกรรมวิธีที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูง เพราะมีความเสี่ยงสูงต่อการบาดเจ็บอวัยวะข้างเคียง.. ภายในช่องท้อง และอุ้งเชิงกรานของผู้หญิงนั้น.. ก่อนผ่าตัด..เราย่อมไม่ทราบว่า มันมีพังผืดและลำไส้พันตูกันมากน้อยแค่ไหน ยิ่งเคยผ่าตัดและมีภาวะแทรกซ้อนมาก่อน ..แน่นอน!! ย่อมมีพังผืดมากและแน่นหนา ..ถ้าเจาะช่องท้องส่องเข้าไป พบเห็นภาพลำไส้ยึดติดกัน บดบังตัวมดลูกรังไข่ดังกล่าว..คุณหมอผู้ผ่าตัด ต้องหยุดมือทันที ..และหาวิธีอื่น ในการรักษา อาทิ..ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง รวมทั้งหาศัลยแพทย์มือดี มาช่วยดังกรณีข้างต้น….หรือยุติการผ่าตัดไปก่อน..แล้วค่อยมาผ่าตัดทีหลัง..กรุณาอย่าได้ผ่าตัดต่อ..เพราะมิฉะนั้น ผลที่ตามมาอาจไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยง….ลำไส้อาจทะลุ  หลอดไตอาจฉีกขาด  จนถึงอาจเสียชีวิต ก็เป็นไปได้

หากพิจารณา พิเคราะห์ดูจนถ้วนถี่ ทุกคนจะเข้าใจเลยว่า.. นี่เอง..คือเหตุผลของคำตอบที่ว่า ‘ทำไมข้าพเจ้าจึงหยุดทำการผ่าตัดทันที..เมื่อมองเห็นว่า มันเกินความสามารถ จนอาจเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตของคนไข้’..และเป็นที่มาของถ้อยคำประกาศิต.. ที่ว่า  ‘รู้จักพอ ไม่ผิดพลาด  รู้จักหยุด ไม่พินาศ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.  นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

  

 

    

 

                  

                  

คลอดก่อนกำหนด จากภาวะน้ำคร่ำน้อย

คลอดก่อนกำหนด จากภาวะน้ำคร่ำน้อย

                ทุกวันนี้ มีผู้คนมากมาย ที่เกิดมาด้วยการคลอดก่อนกำหนด.. แต่ก็สุขภาพดี มีสมองที่ปราดเปรื่อง..ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  ทั้งนี้ก็เพราะ การแพทย์มีความเจริญก้าวหน้าไปไกล อนึ่ง คนท้องสมัยปัจจุบัน มักมีลูกตอนสูงวัย พักผ่อนน้อย เพราะต้องทำงานหาเลี้ยงชีพมากกว่าแต่ก่อน นอกจากนั้น ก็มีปัจจัยหลายอย่างรบกวนคนท้อง ขณะตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 จนคุณหมอพิจารณาแล้วว่า ต้องรีบผ่าตัดคลอดให้ มิฉะนั้น ทารกน้อยจะเสียชีวิตในครรภ์

                คลอดก่อนกำหนด (Premature Labor) หมายถึง การคลอดที่เกิดขึ้นก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ หรือ 3 สัปดาห์ ก่อนวันกำหนดคลอด (due date).. โชคดี ก็คือ คุณหมอสูติมักสามารถยับยั้ง หรือเลื่อนการคลอดออกไปได้ ยิ่งทารกอยู่ในครรภ์นานขึ้นเท่าใด ปัญหาที่จะเกิดตามมาหลังคลอด ยิ่งน้อยลงเท่านั้น.. ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดสำหรับคนท้อง ได้แก่ การสูบบุหรี่, ภาวะน้ำหนักเกิน, ดื่มสุรา/ยาดองข้างถนน, มีโรคประจำตัว อาทิ ครรภ์พิษ, เบาหวาน..  , ตั้งครรภ์ทารกพิการแต่กำเนิด /ทารกที่เกิดจากการทำเด็กหลอดแก้ว/แฝด, มีประวัติคลอดก่อนกำหนด, ตั้งครรภ์เร็วเกินไปหลังคลอดลูกไม่นาน ..

                อย่างไรก็ตาม หากทารกน้อยที่คลอดออกมา เกิดหลังอายุครรภ์หลัง 34 สัปดาห์ขึ้นไป.. ปอดของทารกก็จะพัฒนาไปพอสมควร ส่วนใหญ่ ทารกเหล่านี้ จะสามารถหายใจได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ดังนั้น เป้าหมายแรกของการยับยั้งมดลูกแข็งตัวก่อนกำหนด คือ ยึดอายุครรภ์ให้ถึง 34 สัปดาห์

                ภาวะน้ำคร่ำน้อย (Severe Oligohydramnios) สำคัญอย่างไร และมีวิธีการวัดได้ยังไง? ในทางการแพทย์ เราวัดเป็น ค่าดัชนีน้ำคร่ำ (amniotic fluid index, AFI) ค่านี้ได้จากผลรวมของค่าที่วัดจากแอ่งน้ำคร่ำที่ลึกที่สุด 4 มุมของถุงน้ำคร่ำ  (4 quardrants) ถ้าค่าดัชนีน้อยกว่า 5 ซม. ถือว่า มีภาวะน้ำคร่ำน้อย  (Oligohydramnios)  แต่..ก็ต้องเริ่มระวังตัวมากขึ้น กรณีที่ ค่า AFI น้อยกว่า 8  เพราะว่า ทารกมีโอกาสจะเบียดสายสะดือจนขาดออกซิเจนในกระแสเลือด และเสียชีวิต ในที่สุด

                คุณสุกัญญา อายุ 39 ปี มีบุตรสาวแล้ว 1 คนอายุ 18 ปี ด้วยการคลอดเองตามธรรมชาติ….หลังจากนั้น ก็ไม่ได้ตั้งครรภ์อีกเลย… 1 ปีก่อน เธอได้รับการผ่าตัดเอารังไข่ด้านซ้ายออกทั้งข้าง เนื่องจากเป็นถุงน้ำรังไข่ ที่เรียกว่า ช็อคโกแลต ซีส (Endometriotic cyst) ..มาปีนี้ จู่ๆ เธอก็โชคดี..ตั้งครรภ์ขึ้นมาตั้งแต่เดือนมกราคม..พอตั้งครรภ์ได้ ๒ เดือน  คุณสุกัญญาก็รีบมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ที่ข้าพเจ้าทำงาน ข้าพเจ้าตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดให้กับเธอ ก็พบ เงาตัวอ่อน (Fetal echo) ที่มีหัวใจเต้น มองเห็นเหมือนดวงไฟกระพริบ วัดขนาดได้เท่ากับทารก อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ …นั่นหมายถึงว่า การตั้งครรภ์ของเธอจะเติบโตต่อไปอย่างมีคุณภาพ และมีโอกาสแท้งบุตรเพียง ร้อยละ 2 – 5 เท่านั้น

                คุณสุกัญญา ถือว่า เป็นคนท้องสูงวัย ( Elderly gravida) ข้าพเจ้าจึงต้องดูแลเป็นพิเศษและแนะนำการปฏิบัติตัวอย่างมากมาย.. ตอนอายุครรภ์ได้ 12 สัปดาห์ เธอได้รับการตรวจอัลตราซาวนด์จากสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เรื่องอัลตราซาวนด์ (MFM = maternal fetal medicine) เพื่อดูความหนาของคอเด็ก (Nuchal thickness) ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยเบื้องต้นได้ว่า มีความเสี่ยงต่อภาวะปัญญาอ่อนหรือไม่..แต่ก็ไม่พบว่า ทารกมีความเสี่ยงแต่อย่างใด ที่น่าแปลก!! คือ สูติแพทย์ท่านนั้น กลับพบว่า เธอตั้งครรภ์ แฝดสอง (Twins) และมีทารกตัวหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ซ่อนขดตัวอยู่ในถุงน้ำคร่ำที่ฝ่อขนาดเล็กลงข้างๆตัวปกติ คำถามที่ตามมา คือ ‘ต่อไป เธอจะแท้งหรือไม่ หลังจากแฝดตัวหนึ่งตาย’ ข้าพเจ้าได้อธิบายให้เธอและสามีว่า ‘เราเคยพบเจอกรณีครรภ์แฝด ที่เด็กคนหนึ่งตายอยู่หลายราย เด็กที่ตายจะหดตัวเล็ก, แห้งลงเรื่อยๆ, และถูกเบียดจนบางเหมือนกระดาษทีเดียว ซึ่งจะไม่ส่งผลอะไร ต่อทารกอีกตัวหนึ่ง’

                เมื่ออายุครรภ์ 22 สัปดาห์ จู่ๆ!! คุณสุกัญญาก็เกิดกังวล เรื่องโครโมโซมลูกผิดปกติ  จึงร้องขอเจาะเลือดแม่ เพื่อหาโครโมโซมลูก ด้วยวิธีการที่เรียกว่า NIFTY  [NIFTY (Non-Invasive Fetal TrisomY test)] วิธีการนี้ เป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อแม่และลูก, ง่ายและให้ผลถูกต้องมากกว่า 99% โยเฉพาะในกลุ่มทารกปัญญาอ่อนชนิดรุนแรง ( Down’s syndrome, Edwards Syndrome และ Patau Syndrome)..วิธีการนี้สามารถทำได้ ตั้งแต่คนท้องตั้งครรภ์เพียง 10 สัปดาห์.. แต่ไม่รู้เหตุผลกลใด คุณสุกัญญา จึงเพิ่งมาตระหนักว่า ควรทำ ทั้งๆที่ข้าพเจ้าได้อธิบายให้ฟังตั้งแต่แรกฝากครรภ์ ข้อเสียในการตัดสินใจช้า ก็คือ หากพบว่า ทารกมีโครโมโซมผิดปกติ ..การทำแท้งในคนท้องที่มีอายุครรภ์มากกว่า 24 สัปดาห์ ถือว่า มีความเสี่ยงสูงต่อมารดา อาทิ ตกเลือดอย่างรุนแรง จนต้องตัดมดลูก.. สูติแพทย์ท่านใดหรือจะกล้าทำแท้งให้เธอในโรงพยาบาลเอกชน? อย่างไรก็ตาม ผลโครโมโซม ของลูกคุณสุกัญญาออกมา ปกติดี ..

                คุณสุกัญญา ยังได้รับการตรวจดูอัลตราซาวนด์จากสูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อีกครั้ง ตอนอายุครรภ์ 25 สัปดาห์ ก็พบว่า ปกติดี โดยมีนัดตรวจซ้ำตอนอายุครรภ์ 32 สัปดาห์  การตั้งครรภ์ดำเนินไป โดยไม่มีเค้าแห่งอันตราย ที่กำลังกร่ำกรายมาเยือน.. เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 33 สัปดาห์ สูติแพทย์ท่านนั้นก็ตรวจอัลตราซาวนด์ให้อีก พบว่า ทารกน้อยเติบโตปกติ แต่ค่าดัชนีน้ำคร่ำ (AFI) = 9 เท่านั้น..คราวนี้ จึงต้องนัดตรวจทุกสัปดาห์.. อีก 1 สัปดาห์ต่อมา  ค่าดัชนีน้ำคร่ำ (AFI) ลดลง เหลือ 7.4 ….อีก 1 สัปดาห์ ต่อมา ขณะอายุครรภ์ได้  35 สัปดาห์ 1 วัน  คุณหมอวัดค่าดัชนีน้ำคร่ำ (AFI) ได้เพียง 6.7 ..คุณหมอจึงได้นัดคุณสุกัญญา มาตรวจซ้ำในอีก 3 วันถัดมา ซึ่งค่าดัชนีน้ำคร่ำ (AFI) ลดลงอย่างรวดเร็วเหลือเพียงแค่ 4 คุณหมอรีบโทรศัพท์ แจ้งข้าพเจ้าทันทีในเย็นวันนั้น ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้ทำการตรวจสภาพเด็ก (NST = Nonstress test) เพื่อให้ทราบว่า ทารกน้อยขาดออกซิเจนในกระแสเลือดหรือไม่ ซึ่งถ้าพบกราฟผิดปกติ ก็จะผ่าตัดคลอดให้ในทันที ..จากการตรวจ พบว่า ลูกคุณสุกัญญาปกติดี ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกำหนดให้ผ่าตัดคลอดคุณสุกัญญาในเช้าวันรุ่งขึ้น

การผ่าตัดคลอดให้กับคุณสุกัญญา เป็นไปอย่างเรียบร้อย ทารกน้อย คลอดเมื่อเวลา 7 นาฬิกา 15 นาที เป็นทารกเพศชาย  น้ำหนัก 2720 กรัม  มีคะแนนศักยภาพแรกคลอด 8 ,9 และ 9 ณ นาทีที่ 1, 5 และ 10 ตามลำดับ (จากคะแนนเต็ม 10) วันนั้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องมีความสุขมาก เพราะลูกคุณสุกัญญาแข็งแรง แต่..ความสมหวังยังไม่ทันข้ามคืน ก็มีเรื่องให้ทุกข์ใจ เพราะลูกคุณสุกัญญาหายใจไว….คุณหมอเด็ก วินิจฉัยว่า เป็นโรค RDS (Respiratory distress syndrome) หรือ ปอดเป็นฝ้า  เมื่อปรึกษากับกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Newborn คุณหมอแนะนำให้ย้ายไปรักษาต่อ ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี

RDS (Respiratory distress syndrome)..คือภาวะที่มีการขาดสารลดแรงตึงผิว (Surfactant)ในถุงลมปอดขนาดเล็กๆ (Alveoli) ของทารกที่คลอดก่อนกำหนด เป็นเหตุให้มีการตีบตันของถุงลม (Alveolar collapse) จนการแลกเปลี่ยนก๊าซมีประสิทธิภาพลดลง ในที่สุดทารกก็จะเกิดภาวะขาดออกซิเจน (Neonatal hypoxia) , การทำงานของปอดผิดปกติ เกิดภาวะเลือดเป็นกรด (Acidosis) และมีการเพิ่มช่องทางติดต่อของก๊าซออกซิเจน(Shunt)ในปอด โดยแสดงอาการหายใจเร็ว หายใจติดขัด หายใจโดยใช้กล้ามเนื้อทรวงอก และ ตัวเขียว ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังคลอด

ภาวะแทรกซ้อนอื่น ที่อาจพบร่วมกับภาวะกดการหายใจในทารกคลอดก่อนกำหนด (Respiratory distress syndrome : RDS) ได้แก่ ลำไส้อักเสบอย่างรุนแรง (Necrotizing enterocolitis) , หลอดเลือดระหว่างหัวใจกับเส้นเลือดใหญ่ไม่ปิด ( Patent ductusarteriosus ), เลือดออกในสมอง ( Intraventricular hemorrhage) , มีการติดเชื้อ (Infection) เป็นต้น ทารกที่มีชีวิตรอดอาจต้องพบกับภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น ตาบอด, หลอดลมเสียหายเรื้อรัง (Bronchopulmonary dysplasia หรือ Chronic lung disease)

ภาวะแทรกซ้อนเลวร้ายที่กล่าวมานั้น ไม่ได้เกิดกับทารกทุกราย และมักเกิดกับทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1000 กรัม แต่ลูกคุณสุกัญญา มีน้ำหนักแรกเกิด มากถึง 2720 กรัม จึงไม่น่าจะเกิด..เมื่อ ราว 1 เดือนก่อน ก็มีคนท้องในลักษณะเช่นนี้ พอตั้งครรภ์ได้ 35 สัปดาห์ น้ำคร่ำลดลง จนเหลือเพียง แค่ 3 ข้าพเจ้ารีบผ่าตัดคลอดทารกน้อยออกมาแบบฉุกเฉิน ทารกน้อย ก็ปกติ หายใจได้เองอย่างสบาย ด้วยน้ำหนักแรกคลอด เพียง 2200 กรัม เท่านั้น

หลังจากที่ลูกคุณสุกัญญา ถูกส่งไปรักษา ทารกน้อยก็ถูกใส่ท่อช่วยหายใจ (Intubation) และอยู่ในตู้อบ 7 วัน การใส่ท่อช่วยหายใจในเด็ก ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ เพราะ เด็กเล็กนั้น สุขภาพทุกอย่างปกติ ยกเว้น เรื่องหายใจที่กำลังยังไม่ดีพอ..แต่ผู้ใหญ่ที่ถูกใส่ท่อช่วยหายใจ สุขภาพมักจะอยู่ในสภาพวิกฤต ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นานนัก ทารกก็จะกลับมามีสุขภาพดีดังเดิม..ลูกคุณสุกัญญา หลังจากถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้ว ก็กินดี อยู่ดี จนอ้วนท้วนสมบูรณ์ ทารกน้อยอยู่ รักษาตัวที่แผนกเด็ก โรงพยาบาลราธิบดี  20  วัน ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน ทุกวันนี้ครอบครัวคุณสุกัญญา มีความสุขมาก ลูกน้อย ร่าเริง อ้วนท้วนสมบูรณ์

ทากรน้อยคลอดก่อนกำหนด (Preterm birth) ใช่ว่า ทุกคนจะทุกข์ทรมาน พิการร่างกาย การแพทย์ที่ก้าวไกลในสมัยปัจจุบัน รับผิดชอบกับปัญหานี้ได้ดี..ต้นไม้ ใบหญ้าในป่าใหญ่ แม้อ่อนวัย ..ก็ยังมีเทพปกปักรักษา ดังนั้น คนท้องทุกท่าน อย่าได้ไปกังวลเลย.. ช่วงตั้งครรภ์ คุณไม่ควรทำงานหนัก ขอให้ไปตรวจตามนัด.. หากพบสิ่งผิดสังเกตหรือสงสัย ก็รีบเข้ารับการตรวจพิเศษต่างๆ เชื่อเถอะว่า ลูกของคุณจะปลอดภัย..

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ. เสรี ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

  

 

 

 

 

               

 

 

การผ่าตัดผ่านกล้องกรณีมีพังผืดยึดติด

การผ่าตัดผ่านกล้องกรณีมีพังผืดยึดติด

                ‘มดลูก’ ที่มีเนื้อเยื่อบางส่วนเติบโตเจริญเป็น ‘เนื้องอก (Adenomyosis/myoma uteri)’ นั้น..ก็ใช่ว่า ตัวมดลูกและเนื้องอก..มันจะลอยล่องเคลื่อนไหวไปมาในอุ้งเชิงกรานอย่างอิสระ บางที มันก็มีพังผืดมายึดเกี่ยวเหนียวแน่น เพราะ..เคยผ่าตัดมาก่อน หรือเป็นโรคนี้นานเกินไป..จนก่อพังผืด….เกิดเป็นปัญหาของการผ่าตัดด้วยกล้องอย่างมาก..แต่..ก็มีแนวทางแก้ไขง่ายๆ คือ ยกเลิกการผ่าตัด หรือปรับเปลี่ยนไปเป็นการผ่าเปิดหน้าท้อง (Open hysterectomy)..

                คุณชลธิชา อายุ 47 ปี  เคยคลอดบุตรชาย 1 คนราว 17 ปีก่อน.. แต่โชคร้าย.. ที่บุตรของเธอเสียชีวิต หลังจากลืมตาดูโลกเพียง 9 เดือน.. เธอเล่าว่า ‘ เธอฝากครรภ์ ที่โรงพยาบาลรัฐ (ขอสงวนนาม) แห่งหนึ่ง และเข้าไปรับการตรวจตามนัดทุกครั้ง.. วันหนึ่ง..ขณะตั้งครรภ์ครบกำหนด ..จู่ๆ!! คุณหมอที่ห้องฝากครรภ์ ก็ขอให้เธอเข้ารับการผ่าตัดคลอดด่วน ด้วยข้อบ่งชี้อะไรไม่ทราบ หลังจากที่ได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องของเธอ….หลังคลอด คุณหมอบอกเธอเพียงว่า ‘ลูกของเธอ มีลักษณะทรวงอกเล็กมาก.. กระดูกซี่โครงสองข้างยึดติดกันแน่นตรงกลางและนูนขึ้นมาเหมือนอกไก่’  เธอฟังไม่ค่อยถนัดและไม่เข้าใจว่า ‘ลูกของเธอพิการหรือเปล่า’ อย่างไรก็ตาม..เธอได้เลี้ยงดูฟูมฟักลูกน้อย อย่างทนุถนอมเรื่อยมา เป็นเวลา 9 เดือน.. ในที่สุด บุตรชายก็จบชีวิตลง ด้วยโรคปอด อันเนื่องมาจาก ความพิการของกระดูกทรวงอก ที่ไม่สามารถขยายออกได้..หลังจากนั้น เธอได้ไปเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยากที่โรงพยาบาลมหาลัยฯแห่งหนึ่ง เป็นเวลานานพอสมควร แต่ก็ไม่สำเร็จ.. จนเธอท้อแท้สิ้นหวัง และหยุดการรักษา.. เมื่อ 5 – 6 เดือนก่อน เธอรู้สึกปวดท้องน้อยเป็นกำลังขณะมีระดู.. เธอจึงมาหาสูติแพทย์ที่ รพ. เอกชนแห่งหนึ่ง คุณหมอแนะนำให้เธอเข้ารับการผ่าตัด.. ซึ่ง..เธอเลือกที่จะผ่าตัดผ่านกล้อง เพราะไม่อยากเจ็บตัวมาก’

                เนื่องด้วย ข้าพเจ้าเป็นที่ปรึกษาในโรงพยาบาลประกันสังคมที่คุณชลธิชาสังกัด ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้ลงมือผ่าตัดผ่านกล้องให้กับเธอในครั้งนี้…ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าได้ตรวจหน้าท้องของคนไข้บนเตียงผ่าตัด ก็พบรอยแผลเป็น (Surgical scar) จากการผ่าตัดคลอด (Vertical incision) เป็นแนวตรง ตั้งแต่สะดือลงมาถึงใกล้หัวเหน่า ..ข้าพเจ้าคะเนว่า น่าจะมีพังผืด ซ่อนอยู่ข้างใต้ภายในช่องท้อง ..พอเจาะท้องบริเวณสะดือเข้า ไป ก็พบว่า เป็นจริงดังคาด..

                ‘เยื่อบุลำไส้’ นั่นเอง ที่แผ่เป็นผืนพังผืดยึดติด และย้อยลงมาจากผนังหน้าท้อง เหมือนรวงผึ้ง 2 แห่ง..แผ่นเยื่อบุลำไส้ ที่ย้อยลงมาแห่งแรก อยู่ใกล้ๆสะดือ และอีกแห่ง อยู่ใกล้กับกระเพาะปัสสาวะ..ดังนั้น เริ่มต้น.. ข้าพเจ้าจึงใช้คีมคีบไฟฟ้า จับ, จี้ และตัดเยื่อบุลำไส้ ตรงบริเวณใกล้ๆสะดือ  ซึ่งส่งผลให้ข้าพเจ้าสามารถมองเห็นภาพภายในช่องท้องด้านล่างได้ทั่ว โดยเฉพาะตัวมดลูกและรังไข่ ..คราวนี้ ข้าพเจ้ามองเห็นได้ชัดเลยว่า ปีกมดลูกทางด้านซ้าย (Left adnexa) มีพังผืดหนาแน่นมาปกคลุมแบบมืดมิด..นี่แหละ เป็นเหตุให้ ข้าพเจ้าต้องใช้วิธีการพิเศษ ในการผ่าตัดคนไข้รายนี้

                ข้าพเจ้าเริ่มการผ่าตัดต่อ ด้วยการจี้ตัดเยื่อบุลำไส้ที่ย้อยลงมาข้างหน้ากระเพาะปัสสาวะ ซึ่ง..ก็ไม่ยากมาก ตอนนี้ ข้าพเจ้ามองเห็นเนื้องอกมดลูกชัดเจนทุกด้าน ด้านหน้ามีพังผืดคลุมกระเพาะปัสสาวะมายึดติดกับมดลูกส่วนกลางๆ.. ปีกมดลูกด้านข้าง (Adnexa) มองเห็นเฉพาะด้านขวาและส่วนล่างข้างใต้มดลูกเกือบตลอดแนว (Right adnexa & both Sacro-illiac ligaments) แต่..ด้านซ้ายถูกพังผืดยึดติด และปิดบังทั้งหมด จนมองไม่เห็นรังไข่..

ข้าพเจ้าใช้ตัวจี้ไฟฟ้า จี้ตัดมดลูกส่วนล่าง (Posterior surface) ข้างใต้ ในแนวขนานกับพื้นราบ (Horizontal) เหนือต่อ เอ็นรูปขากางเกงทั้งสอง (Sacro-illiact ligaments) จนทะลุเข้าช่องคลอด (Posterior Colpotomy) จากนั้น ก็ผ่าตัดปีกมดลูกทางด้านขวา โดยเริ่มจากตัดเอ็นที่ชื่อว่า  Round Ligament ที่อยู่หน้าต่อท่อนำไข่ แล้วแหวกแยกออก, เจาะทะลุเนื้อเยื่อข้างใต้ จนมองเห็นลำไส้เคลื่อนไหวทางด้านล่าง..การที่ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้ส่วนเนื้อเยื่อด้านข้าง (Adnexa) บางลงและแยกเป็น 2 ส่วน (Compartment)..ง่ายต่อการตัดทิ้ง (Adnexectomy) ..อุปกรณ์ของมีคม จะได้ไม่ไปเกี่ยวหรือข่วนถูกลำไส้ (Intestinal injury) ข้างใต้..จากนั้น ข้าพเจ้าได้เย็บเส้นเลือดใหญ่ของมดลูก (Right Uterine artery) ด้านขวา ด้วยเงื่อนกระตุก (Sliding knot) ผูกรัด..แล้วก็ตัดปีกมดลูกออกทั้งหมด โดยเริ่มจากท่อนำไข่ (Interstitial part of fallopian tube) ข้างขวาไล่ลงมา ..

สำหรับการตัด เส้นเลือดใหญ่ของมดลูกด้านขวา (right Uterine artery) นั้น ข้าพเจ้าใช้ตัวจี้ตัดในแนวขนานกับช่องคลอด.. เหนือต่อปมด้าย ที่เราเย็บผูก (Right Sliding knot) ไว้ ..จากนั้น ก็ตัดปีกมดลูกด้านขวาได้อย่างอสมบูรณ์ โดยจี้ตัดไฟฟ้าไปตามแนวขอบวงกลมช่องคลอดที่นูนขึ้นมา จากเครื่องกระดกที่ดันจากด้านล่าง วกไปทางด้านหน้า..อนึ่ง ก่อนหน้านั้น ข้าพเจ้าได้เลาะพังผืด (Adhesion) ที่ยึดเกี่ยวจากกระเพาะปัสสาวะลงมาบนมดลูก เหนือต่อรอยผ่าตัดบนมดลูกส่วนล่าง (previous incision scar of Lower uterine segment) ไปบางส่วนแล้ว.. แต่..ไม่สามารถเลาะ ปีกมดลูกด้านซ้ายได้

กรณีการผ่าตัดเลาะตัดปีกมดลูกด้านซ้าย (Left Adnexectomy) นั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถผ่าตัดผ่าน จากกล้องในช่องท้องได้..เพราะมองไม่เห็นส่วนที่ต่ำกว่าพังผืด หากผ่าตัดแบบลุย มีหวังอุปกรณ์เกี่ยวหรือขีดข่วนถูกอวัยวะใกล้เคียงให้บาดเจ็บ รุนแรง จนคนไข้อาจถึงตายได้.. ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีใหม่ด้วยการไปผ่าตัดทางช่องคลอดแทน (V – hysterectomy)

วิธีการผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด (V-hysterectomy) นั้น ข้าพเจ้าเริ่มผ่าตัดด้วยการกรีดมีดไปรอบๆปากมดลูก แล้วใช้เครื่องมือเหมือนคีม ซึ่งมีคุณสมบัติจี้ตัด และปิดกั้นเส้นเลือดได้อย่างดีเยี่ยม ค่อยๆตัดช่องคลอดในส่วนที่เจาะทะลุทางช่องท้องก่อนหน้านี้ ไปทั้งด้านล่างและด้านบน..ทางซ้ายมือ ซึ่งยังไม่สามารถตัดได้ผ่านทางกล้องได้..การจี้ตัดช่องคลอด (Posterior fornix) ด้านล่างก่อน และตัดไล่ไปทางซ้ายที่ละนิดๆนั้น ..พอตัดไปได้  1 เซนติเมตร ..ข้าพเจ้าจะใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง ดันเนื้อเยื่อส่วนที่ติดกับมดลูก ให้มันลอกไถล ขึ้นไปทางด้านตัวมดลูก (Fundus) ..แล้วจี้ตัดเนื้อเยื่อที่สูงขึ้นไป เพื่อหยุดเลือดจากเส้นเลือดใหญ่ของมดลูกด้านซ้าย (Left uterine artery)..พอจี้ตัด เส้นเลือดใหญ่ด้านซ้ายได้แล้ว. เราก็ตัดเอาเนื้อมดลูกทิ้งทีละน้อยๆ โดยเริ่มจากตัดปากมดลูกทิ้งก่อน.. แล้วใช้คีมปากแหลมจับคีบเนื้อมดลูกส่วนอื่น ดึงลงมา และใช้มีดตัดออก ทีละชิ้นๆ จนเหลือน้อย เพียงพอที่จะดึงก้อนมดลูกทั้งหมดลงมาทางช่องคลอด ..แล้วใช้คีมจับและตัดปีกมดลูกข้างซ้ายออกทิ้งทั้งหมด..

หลังจากตัดเอามดลูก&รังไข่ออกเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนกลับมาใช้กล้องส่องผ่านสะดือ เพื่อดูจุดเลือดออกภายในช่องท้อง ปรากฏว่า ที่อุ้งเชิงกรานด้านซ้าย มีเลือดพุ่งออกมาเป็นสาย ที่ปลายเส้นเลือดใหญ่ (Left uterine artery)..เป็นจังหวะตามการบีบเต้นของหัวใจ ข้าพเจ้าจึงรีบใช้ปากคีบไฟฟ้า จี้ปิดเส้นเลือดใหญ่นั้น เมื่อหยุดเลือดจุดใหญ่ได้แล้ว ..เลือดที่ซึมออกเล็กน้อยตามจุดต่างๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา จากนั้น ข้าพเจ้า ก็ทำการเย็บปิดช่องคลอดจากทางด้านล่าง..เพราะกลัวว่า การเย็บปิดช่องคลอดผ่านทางหน้าท้อง อาจกระทบกับจุดเลือดออกที่พื้นของอุ้งเชิงกราน (Raw surface) ทำให้หยุดเลือดยาก..

การเย็บปิดแผลช่องคลอดทางด้านล่าง ในส่วนที่ติดกับช่องท้อง (Vaginal stump) นั้น ข้าพเจ้าใช้ ‘ตัวจับ’ ที่เรียกว่า  Allis จับขอบของแผลช่องคลอด ทั้งบน&ล่าง.. กางออก..  แล้วใช้เข็มที่เรียกว่า J shape  เย็บจากล่างขึ้นบน โดยเย็บที่มุมแผลด้านซ้ายของช่องคลอดก่อน.. จากนั้น ก็เย็บตักขอบของผนังช่องคลอดล่างและบน.. แบบ ‘ตักขึ้น’ โดยให้ปลายเข็ม (ของการตักเข็มครั้งสุดท้าย) ชี้ออกมาทางปากช่องคลอด..จนปิดช่องคลอดสนิท (Close Vaginal stump).. การที่เราเย็บเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้ปลายเข็มทิ่มเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ อันจะนำไปสู่การเกิด V-V fistula หรือรูรั่วระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับช่องคลอด

ข้าพเจ้าส่องกล้องตรวจเช็คภายในช่องท้องและอุ้งเชิงกรานอีกครั้ง จี้ไฟฟ้าหยุดเลือดตามจุดต่างๆ เท่าที่ปรากฏ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ตาม..และเพื่อความไม่ประมาท ข้าพเจ้าได้ใส่ท่อระบาย (Drain) เพื่อให้เลือดที่ซึมออกมาภายหลัง.. ขับออกมา..แค่นี้ ก็ถือว่า การผ่าตัดได้สิ้นสุดลงแล้ว..

วันรุ่งขึ้นและวันต่อมา ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมคุณชลธิชา.. เธอบ่นปวดแผลพอสมควร และดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนเย็นของวันถัดมา เธอสามารถถอดเอาสายสวนปัสสาวะออกได้ จิบน้ำและรับประทานอาหารเหลว&อ่อนตามลำดับ…. ส่วนน้ำเลือดภายในช่องท้อง ก็ไหลออกมาทางท่อระบายพอควร ..หลังจากนั้นอีก 2 วัน เธอก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน..

การผ่าตัดผ่านกล้องกรณีมีพังผืดยึดติดภายในช่องท้องด้วยสาเหตุต่างๆ เป็นเรื่องที่ควรเตรียมการหลายอย่าง อาทิ เตรียมลำไส้ เผื่อไว้กรณี ลำไส้ถลอกหรือทะลุ, เตรียมอุปกรณ์ เพื่อจี้ตัดเส้นเลือดใหญ่ ผ่านทางช่องคลอด และแจ้ให้คนไข้ทราบไว้ก่อนว่า อาจต้องปรับเปลี่ยน เป็นการผ่าตัดเปิดทางหน้าท้อง..

โลกภายนอก วุ่นวาย ไม่รู้จบ..เรายังพอหลีกเลี่ยง  ไม่รับรู้ได้ ..แต่..ร่างกาย หรือโลกภายในตัวเรานั้น มันซับซ้อน ซ่อนโรคร้ายๆไว้..โดยไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งเราจำเป็นต้องรักษา..ความรู้ ความก้าวด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง..เจริญขึ้นมาตามลำดับ..แต่ก็ยังมีข้อจำกัด ..ดังตัวอย่างที่เล่ามา..ดังนั้น คุณหมอ จึงจำเป็นต้องหมั่นฝึกหัดพัฒนาตัวเอง อยู่ทุกวี่วัน เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยี ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อรองรับการผ่าตัดรูปแบบใหม่.. อย่างไรก็ตาม ก็ต้องไม่ทิ้งพื้นฐาน การเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง หรือผ่านทางช่องคลอดไว้ด้วย….

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.  นพ.เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน

 

 

 

 

 

                  

ลูกค้ารายใหญ่ (Dengue Hemorrhagic fever)

ลูกค้ารายใหญ่ (Dengue Hemorrhagic fever)

                ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เลวร้ายในสมัยปัจจุบัน ซึ่งข้าพเจ้าอยากจะเรียกมันว่าเป็น ‘ยุคข้าวยากหมากแพง’ จริงๆ เพราะข้าวของทุกสิ่งมีราคาสูง..แม้ไม่ใช่กลียุค ..แต่ก็วุ่นวายต่อทุกชนชั้น..คนจนแทบจะหาเงินมาซื้อข้าวกินไม่ครบทุกมื้อ ชนชั้นกลางต้องทำงานเช้ายันค่ำ เพื่อหาเงินมาใช้หนี้..แน่นอน!! แทบไม่ทันในแต่ละงวด….ส่วนคนรวยเล่า ก็เฝ้าแต่ระวังตัว กลัวถูกหลอก หรือถูกโกงจากผู้ไม่หวังดี..

วันหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าพเจ้าแวะซื้อของจุกจิก เกี่ยวกับปลั๊กไฟในราคา ประมาณ 2000 บาท ที่ห้างสรรพสินค้า ย่านถนนพระราม 9.. ข้าพเจ้าถามคนขายว่า ‘วันนี้ ขายของได้สักเท่าไหร่ สักหมื่นหนึ่งได้ไหม?’ เธอบอกว่า ‘ข้าพเจ้าคือลูกค้ารายใหญ่ วันหนึ่งๆ หนูขายของแทบไม่ได้เลย ถึงแม้ จะเพิ่งมาเปิดขายของ..และมีของดีเท่าใด ก็ขายได้น้อยมาก เพราะผู้คนไม่มีเงิน ทุกคนต้องการประหยัด’..ข้าพเจ้าฟังแล้ว ให้รู้สึกสะท้อนใจมาก กับคำกล่าวนี้..ถึงแม้ว่า มันจะเป็นความจริง    

ไม่กี่วันมานี้ ภรรยาข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhagic fever) ซึ่งกำลังระบาดขณะนี้ วันนั้น เป็นวันเสาร์….ยังจำได้..ข้าพเจ้านัดกับภรรยา จะไปกินหูฉลามที่ย่านเยาวราชในตอนค่ำ…. ราวๆเที่ยงของวันนั้น..ภรรยาข้าพเจ้าพลันรู้สึกเบื่ออาหาร..งวงหงาวหาวนอน อ่อนเปลี้ย เพลียแรงอย่างระโหย..เธอบอกว่า ‘คงไปไม่ไหว..รู้สึกครั่นเนื้อ..ครั่นตัว..และมีไข้สูง’ ข้าพเจ้าคลำที่ศีรษะของเธอ รู้สึกอุ่นๆ แต่ไม่แน่ใจว่ามีไข้หรือเปล่า..อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้เจียดยาลดไข้ และยาฆ่าเชื้ออย่างดีให้กับเธอ (Meiact) รับประทานทุกๆ 6 ชั่วโมง..ตอนเช้าวันถัดมา ข้าพเจ้ามีภารกิจ ต้องไปออกหน่วยตรวจชาวบ้านที่ย่านคลองเตย ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ..ราว 10 นาฬิกา ภรรยาข้าพเจ้าโทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าบอกว่า  ‘..รู้สึกไม่ไหวแล้ว..ช่วยพาเธอไปโรงพยาบาลหน่อย..’ ข้าพเจ้ารีบผละออกจากสถานที่นั้นทันที.. กลับมาบ้าน..และขับรถพาภรรยามาที่ โรงพยาบาลตำรวจ..ก่อนออกจากบ้าน ข้าพเจ้าได้ให้เธอกินยาฆ่าเชื้อและยาลดไข้อีกครั้ง..

ที่ห้องฉุกเฉิน..ของโรงพยาบาลตำรวจ..ข้าพเจ้าได้แจ้งให้คุณหมอเวรทราบถึงอาการป่วยของภรรยาคร่าวๆ..ซึ่งรุนแรงจนข้าพเจ้าคิดว่า ‘น่าจะป่วยเป็นไข้เลือดออก เพราะมันกำลังระบาดอยู่ในช่วงเวลานี้’….เวลาผ่านไปราว 1 ชั่วยาม ผลเลือดของภรรยาข้าพเจ้าก็ปรากฏออกมาว่า ‘เธอเป็นไข้เลือดออก เพราะ Dengue NS1 antigen1 ให้ผลบวก’ ตอนที่ภรรยาข้าพเจ้ามาถึงห้องฉุกเฉินใหม่ๆนั้น.. ลักษณะภายนอกของเธอดูดีขึ้นมาก เพราะไข้ลดลงหลังจากรับประทานยาลดไข้ไป 4 ชั่วโมง  ข้าพเจ้าเกือบทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ด้วยการชักชวนเธอกลับบ้านไปพักรักษาตัวเสียแล้ว เนื่องจากอาการภายนอกดูดีขึ้น แต่..พอผลเลือดออกมา  ภรรยาข้าพเจ้าก็ต้องเข้านอนในห้องพัก จากนั้น เธอก็มีไข้ขึ้นสูงลอย ถึง 40 องศาเซลเซียสเป็นช่วงๆ และลดลงตามยาลดไข้, เธอนอนอย่างสลบไสล ไม่สามารถโงหัวขึ้นจากหมอนได้.. รับประทานไม่ได้เลยตลอด 3 วัน 3 คืน..อาศัยก็แต่น้ำเกลือหล่อเลี้ยงชีวิต….ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนั้น ..

ที่ห้องพักชั้น 9 ของตึกเฉลิมพระเกียรติของ รพ.ตำรวจ..ภรรยาข้าพเจ้าที่ดูเหมือนจะดีขึ้นในตอนแรกตรวจ..เมื่อมาเข้าถึงห้องพัก เธอกลับมีอาการทรุดหนัก..ไม่ค่อยพูดจา ..นอนหลับใหล เหมือนถูกยาสลบ ผลความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit ชื่อย่อ คือ Hct) คือ 39% ซึ่งไม่สูงมาก ..ความเข้มข้นของเลือดที่สูงมากๆ อาทิ เกิน 60% จะทำให้เลือดหนืด จนเป็นเหตุให้เส้นเลือดอุดตันตามอวัยวะต่างๆ หากเกิดกับอวัยวะสำคัญ ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต..กรณีเกร็ดเลือดของภรรยาข้าพเจ้า ถือว่า ไม่ต่ำ คือ มีค่า 206,000 (ค่าปกติ  164,000- 414,000) หน่วย..เกร็ดเลือด (Platelets) นี่เอง หากค่าของมันลดลงต่ำกว่า 10,000 หน่วย  ก็จะทำให้เลือดออกตามอวัยวะต่างๆของคนไข้ได้เอง โดยไม่ต้องถูกกระทบกระแทก..

คำสั่งการรักษาสำหรับภรรยาข้าพเจ้าจากอายุรแพทย์ นอกจากให้น้ำเกลือ (5% dextrose saline) ผ่านทางเส้นเลือดดำ ในอัตรา 60 ซี.ซี. ต่อ ชั่วโมง  ยังมีการให้แมกนีเซียม (50%MgSo4 = 2 cc in NSS 100 cc drip every 6 hour) ด้วย, ส่วนยากิน ก็ประกอบด้วย พาราเซตามอล (Paracetamal), ยาลดการคลื่นไส้ (Motilium) , และเกลือแร่ผง (ORS) ชงกินแทนน้ำ.. ข้าพเจ้าได้อยู่นอนเฝ้าภรรยาตั้งแต่นั้นมา

ในตอนค่ำ ภรรยาข้าพเจ้ารู้สึกครั้งเนื้อครั้นตัว และหนาวมาก..ข้าพเจ้าจึงเอาผ้าห่ม ซึ่งมีอยู่ในห้อง 2 ผืนห่มให้เธอ..จากนั้น ข้าพเจ้าก็เดินไปขอผ้าห่มอีกผืนหนึ่งกับพยาบาลเวร..ภาพนั้นยังจำได้แม่นยำ..พยาบาล 2 คน และผู้ช่วย 1 คนกำลังนั่งโต๊ะทำงาน เขียนบันทึกอะไรอยู่ พยาบาลคนหนึ่งพูดตอบกับข้าพเจ้าว่า ‘ไม่มีหรอก เพราะเราได้มาแค่ 10 ใบ.. แจกจ่ายไป ก็หมดทุกที..ทะเลาะกับญาติคนไข้ เป็นประจำทุกวันเลยค่ะ’

‘ไม่เป็นไร..เดี๋ยว ผมจะไปเอาผ้าห่มที่ห้องหัวหน้ากลุ่มงานสูติฯ’ ข้าพเจ้าตอบพร้อมกับออกเดินไปที่ห้องทำงาน.. หยิบผ้าห่มหมอนมา 1 ใบ แล้วเดินกลับมาที่ห้องพักคนไข้.. ล้มตัวลงนอนที่เก้าอี้นวมโซฟา..สักพัก..พยาบาลคนหนึ่งก็เคาะประตู..แล้วเดินเข้ามาดูภรรยาข้าพเจ้า..พลางอุทานว่า ‘แย่แล้ว!! เลือดเปรอะเปื้อนผ้าห่มเต็มไปหมด’ rพยาบาลคนดังกล่าวรีบตะโกนเรียกเพื่อนพยาบาลอีกคนมาช่วย เปลี่ยนชุดสายน้ำเกลือใหม่ และเก็บผ้าห่มทั้งสองผืนออกไป..ข้าพเจ้าขอโทษขอโพยพยาบาลเหล่านั้นที่ไม่ได้ระแวดระวัง..ปล่อยให้สายน้ำเกลือหลุด โดยที่คนไข้หดมือเข้าไปซุกในผ้าห่ม จนเลือดออกเปรอะเลอะเทอะไปหมด

หลังจากนั้น ไม่นาน พยาบาลคนหนึ่ง ก็นำเอาผ้าห่มมาให้ 1 ผืน ตอนนั้น  ภรรยาผมมีอาการหนาวสั่นด้วยโรคไข้เลือดออก ข้าพเจ้าจึงเดินไปขอผ้าห่มอีกผืน แต่ผู้ช่วยพยาบาลกลับบอกว่า ‘ไม่มีหรอก เพราะผื่นที่ให้ไป ก็ไปยืมจากหอพักผู้ป่วยชั้นอื่นมา’ ข้าพเจ้างงกับคำพูดนี้ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้เดินไปเอาผ้าห่มหมอนอีกผืนมาจากห้องทำงาน เพื่อห่มตัวเอง..ข้าพเจ้ารู้สึกไม่สบายใจกับคำพูดของผู้ช่วยพยาบาลคนนั้นมาก ข้าพเจ้าจึงเดินไปถามเจ้าหน้าพยาบาลเหล่านั้นว่า ‘เรื่องผ้าห่มขาดแคลนเช่นนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย มันมีปัญหาที่ตรงไหน? พรุ่งนี้ ผมจะไปที่แหล่งจัดส่ง (Supply Unit) ว่า ทำไมถึงมีปัญหา.. ถ้าเป็นกรณีของชาวบ้าน  เขาจะมิลำบากแย่หรือ?’ พูดเสร็จ ข้าพเจ้าก็กลับเข้าไปนอน โดยใช้ผ้าห่มหมอนที่ข้าพเจ้านำมา.. สักพักหนึ่ง ก็มีพยาบาลนำผ้าห่มมาให้อีกผืนหนึ่ง พร้อมกับบอกว่า ‘ที่ช้าอยู่..นั่นเพราะให้แม่บ้านคนงานไปยืมตามหอพักต่างๆ และเพิ่งได้มา ’ ข้าพเจ้ารู้ทันทีว่า เป็นคำแก้ตัว แต่ก็ไม่ว่าอะไร วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเชิญหัวหน้าพยาบาลของหอผู้ป่วยนั้นมา และพูดคุยถึงปัญหาดังกล่าว โดยเน้นว่า สำหรับตัวข้าพเจ้านั้น ไม่เป็นไร แต่ชาวบ้านตาดำๆ  เขาจะเดือดร้อนแค่ไหนกับผ้าห่มสักผืน เพื่อกันหนาว..คำตอบที่ได้ นับว่าน่าพอใจพอสมควร คือ ‘ระบบการจัดส่งผ้าห่ม ไม่มีปัญหา แต่ผู้ปฏิบัติไม่ทราบเอง กล่าวคือ ทางหน่วยจ่ายของกลาง (Supply Unit)  จะจัดส่งมาให้ที่หอผู้ป่วยตอนเช้าวันละ ๑๐ ผืนในเบื้องต้น ..พอตกบ่าย พยาบาลประจำการจะต้องประเมินว่า ตอนค่ำและกลางคืน จะมีการใช้ผ้าห่มเพิ่มอีกกี่ผืน แล้วส่งคำสั่งขอไป ก็จะได้มาตามจำนวนที่ต้องการ..ขอยืนยันว่า  ผ้าห่มไม่มีขาดแคลน’ การที่ข้าพเจ้าต้องแก้ปัญหานี้ ก็เพื่อชาวบ้านตาดำๆ จะได้ ไม่เดือดร้อน จากความเข้าใจผิดของพยาบาลระดับปฏิบัติการและเจ้าหน้าที่ผู้น้อยต่างๆ

วันที่ 2 ของการรักษา ปรากฏว่า อาการทั่วไปของภรรยา ยังคงทรงๆ ไข้ยังคงสูงลอย เธอไม่สามารถกินข้าวได้ และนอนเกือบตลอดเวลา ยกเว้นเวลาเข้าห้องน้ำ..ความเข้มข้นของเลือด (Hct) เท่ากับ 41% , เกร็ดเลือด = 180,000 ..ตอนนั้น ภรรยาข้าพเจ้าเดินเข้าห้องน้ำลำบากมาก เพราะมีน้ำเกลือแขวนอยู่ 2 ถุง คือ ถุงน้ำเกลือธรรมดา กับถุงที่มีเครื่องนับหยด ในถุงที่บรรจุแมกนีเซียมซัลเฟต [MgSo4] (เครื่องนับหยด เป็นแบบมีแบตเตอรี่สำรองไฟ จึงสามารถถอดปลั๊กหิ้วได้) ข้าพเจ้าต้องแก้ไขสถานการณ์บางอย่าง เพื่อให้ภรรยาข้าพเจ้าหิ้วถุงน้ำเกลือเดินเข้าห้องน้ำสะดวก ยามที่ไม่มีคนช่วย ด้วยการเอาตัวตะขอเหล็กรูปตัว S มาแขวนถุงน้ำเกลือ..เพื่อให้เคลื่อนย้ายถุงน้ำเกลือสะดวก ซึ่ง..ก็เป็นจริงตามคาด วันนั้น ข้าพเจ้าให้คนใช้แม่บ้านไปเฝ้าภรรยา เพราะข้าพเจ้าเข้าเวรที่ รพ เอกชน แห่งหนึ่ง แต่..คนใช้แม่บ้านไม่ได้ช่วยเหลือภรรยาข้าพเจ้าในการเข้าห้องน้ำเลย..ภรรยาข้าพเจ้าก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

วันที่ 3 ของการรักษา  ภรรยายังคงมีไข้สูง แต่ลดลงเหลือ 38 องศาเซลเซียส และได้รับน้ำเกลือผ่านทางหลอดเลือดดำ เธอรับประทานอาหารไม่ได้เช่นเดิม..กินเพียงน้ำเกลือแร่ พอแก้กระหาย..ผลเลือดความเข้มข้น ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เกร็ดเลือดลดลงเหลือ 140,000 ..ตกกลางคืน ภรรยาข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกหิว ข้าพเจ้าบอกกับเธอว่า ’นี่คือ สัญญาณที่ดี คุณใกล้หายแล้ว ..จริงๆแล้ว ในวันที่ 3 หรือ 4 ของโรคไข้เลือดออก คนไข้ จะเข้าสู่ระยะช็อค (Shock stage) แต่กรณีของคุณ กลับอยู่ในระยะทรงตัว.. เกร็ดเลือด ลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ’ คืนนั้น แม้จะรับประทานอาหารไม่ได้ แต่ เธอสามารถกินนมร้อนได้ หมดถ้วย..

วันที่ 4 ของการรักษา..ตอนเช้า ภรรยา ข้าพเจ้าบอกว่า ‘หิว’ ข้าพเจ้าคิดว่า เธอหายแล้ว แต่ เธอยังไม่สามารถรับประทานข้าวต้มได้ รับประทานได้เพียงโจ๊กและข้าวโอ๊ต เท่านั้น..ความเข้มข้นของเลือด (Hct)  ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เกร็ดเลือด ลดลงเหลือ 120,000 หน่วย..ตอนนี้ ไข้ลดลงมาเหลือเพียง 37 องศาเซลเซียส เศษ.. เธอสามารถพูดคุยได้คล่องขึ้น แต่ยังเบื่ออาหารและอารมณ์หงุดหงิด เล็กน้อย สิ่งที่บ่งบอกว่า ใกล้จะหายจากโรคแล้ว  คือ เธอกลับมามีอาการนอนไม่ค่อยหลับ (Insomnia) อีก หลังจากนอนแบบสลบไสล มาถึง 3 วัน 3 คืน..  วันนี้ เธอมีอาการเป็นหวัด หูอื้อ เจ็บคอ ขึ้นมา.. พยาบาลได้พาเธอไปหาคุณหมอด้าน หูคอ จมูก (ENT physician) ข้าพเจ้าได้ไปเป็นเพื่อนเธอ.. คุณหมอตรวจแล้ว พบว่า เธอคออักเสบ จนท่อที่ติดต่อระหว่างจูมกกับหู (Eustachian tube) ตัน , คุณหมอสั่งยาแก้อักเสบอย่างดี (Augmentin) , ยาทำให้ของเหลวในโพรงจมูกและท่อติดต่อกับหู (Eustachian tube)  แห้ง (Psuedoephridine), ยาพ่อจมูกลดภาวะคั่ง (Decogestion), และยาลดไข้ให้เป็นเวลา 5 วัน..

วันที่ 5 อาการของภรรยาข้าพเจ้าดีขึ้นมาก จนเธอต้องการจะกลับบ้าน บัดนี้ เธอเริ่มรับประทานข้าวต้มและของว่างได้บ้างแล้ว แมัจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม  ผลเลือดที่ออกมา ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากวันก่อน กล่าวคือ ความเข้มข้นของเลือด (Hct) = 42.8% , เกร็ดเลือด (Platelets) = 121,000 …คุณหมอมาตรวจดูภรรยาข้าพเจ้าในตอนเช้า รู้สึกพอใจกับอาการที่คงที่ ดังนั้น คุณหมอจึงวางแผนจะให้คนไข้กลับบ้านในวันรุ่งขึ้น วันนั้น เพื่อนพ้องของภรรยาได้มาเยี่ยม และซื้อของกินมาฝากมากมาย..พวกเขาได้พูดคุยกันจนถึงค่ำ….วันถัดมา ภรรยาข้าพเจ้าก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านจริงๆ เพราะผลเลือดไม่แตกต่างจากวันวาน

นี่คือ เรื่องราวของโรคไข้เลือดออกของคนป่วยรายหนึ่ง..ซึ่งผลการรักษา ปรากฏออกมาดี ทั้งนี้ เพราะอะไรหรือ?? คำตอบ ก็คือ Early Diagnosis and treatment หมายถึง วินิจฉัยได้เร็ว และรักษาทันที โรคนี้ มีอาการไข้สูงเป็นวันเดียว ก็สามารถวินิจฉัยได้แล้ว.. ส่วนการรักษา ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ให้น้ำเกลือหล่อเลี้ยงเส้นเลือด.. แก้ปัญหาเลือดข้น, และเฝ้าระวังไม่ให้เกร็ดเลือดต่ำ.. เพื่อป้องกัน เลือดออกในสมอง,ไตวาย และภาวะช็อค..นี่คือ หลักการรักษา  

โรคไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhagic fever)..เป็นโรคที่น่ากลัวมาก และมีหลากหลายสายพันธุ์ คนที่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาแล้ว ก็สามารถเป็นซ้ำในกรณีติดเชื้อโรคต่างสายพันธุ์ได้อีก

โลกเรานี้ มีโรคลึกลับมากมาย..ไม่สุดสิ้น โชคดี!!  คนไข้ก็อยู่รอด ..หากโชคร้าย!! คนไข้ก็พิการร่างกายและเสียชีวิต …ค่ำคืนนี้ มีเสียงเพลงขลุย ดังก้องกังวาล พริ้วไหว ไพเราะ ด้วยอารมณ์ของผู้เป่า คละเคล้าในบรรยากาศ ที่ผู้ฟังต้องคล้อยตาม ข้าพเจ้าฟังแล้ว ให้รู้สึกว่า โชคชะตาของมนุษย์ ได้ถูกลิขิตไว้แล้ว ด้วยบุญกรรม ที่กระทำมาแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ….หากใครก็ตาม ป่วยเป็นไข้สูงลอย จนกินไม่ได้ นอนสลบไสล เหมือนคนไร้สติ จะลุกเข้าห้องน้ำ ก็แทบจะหมอบคลานไป….ขอให้นึกถึง โรคไข้เลือดออก ดังที่กล่าวมาข้างต้น (Dengue Hemorrhagic fever)..และจงรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์ เพื่อให้การวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว ส่วนการที่จะหายจากโรคหรือไม่นั้น ก็คงต้องแล้วแต่บุญกรรม ..ที่ลำนำชีวิตเรา…

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ.เสรี ธีรพงษ์  ผู้เขียน  

  

 

อุบัติเหตุ เจตคติ

อุบัติเหตุ  เจตคติ

                ไม่กี่วันก่อน ช่วงตอนเย็นหลังเลิกงาน ข้าพเจ้าได้ขับรถยนต์ออกจากอาคารจอดรถของโรงพยาบาลตำรวจ..ขณะที่กำลังจะเลี้ยวขวาไปทางด้านหลังของโรงพยาบาล ผ่านตึกคุณวิศาล ข้าพเจ้าพลันเกิดความรู้สึกเหมือนถูกบังตาจากอะไรสักอย่างหนึ่ง ทำให้มองไม่เห็นเสาปูนซิเมนต์ที่ยื่นออกมา ตรงหัวมุมด้านหน้าตึก ..รถของข้าพเจ้าชนเข้ากับเสาปูนต้นนั้นอย่างจังทางด้านขวา กระจกหูช้างหลุดออกมาทันที และห้อยต่องแต่ง ติดกับสายไฟที่เกาะเกี่ยว อยู่ที่ข้างประตูรถด้านคนขับ…คิ้วและประตูรถด้านนั้นเสียหายยับเยิน ..จากการครูดขูดขีดกับเสาปูน..ถึงแม้ว่า ความเสียหายเหล่านี้จะซ่อมแซมได้ แต่..ข้าพเจ้า ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี

                อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้เรียนรู้และได้รับข้อคิดมากมายจากอุบัติเหตุคราวนี้ เนื่องจากรถข้าพเจ้ายังไม่ได้รับการซ่อมแซมในทันที.. ช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าขับรถคันนี้ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าจำเป็นต้องยกเอากระจกหูช้างขึ้นมาวางที่ขอบหน้าต่าง ที่ลดกระจกลงจนสุด เพื่อให้มองเห็นรถที่ตามมาทางด้านหลัง.. มิฉะนั้น  ก็อาจเกิดอุบัติเหตุจากการเบียดชนรถยนต์ที่ขับเข้ามาประชิด ข้าพเจ้าทำเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง จนเกิดความคิดแวบหนึ่งขึ้นมาว่า ‘ชีวิตคนเรานั้น มีความจำเป็น ที่จะต้องมองย้อนกลับไปในอดีตและเรียนรู้จากความผิดพลาด.. เพื่อก้าวต่อไปในอนาคตอย่างปลอดภัย’  

                เรื่องราวที่ไม่คาดฝัน มักจะเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆในชีวิตของเรา .. คนทั่วไป เมื่อทำงานพลาดพลั้ง ก็ยังพอแก้ไขได้ ..แต่ในคนท้อง ไม่เหมือนกัน..หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น ทารกที่คลอดออกมา มีโอกาสพิการสมอง,ร่างกาย หรือเสียชีวิต….ดีไม่ดี..คุณแม่ก็อาจไม่ปลอดภัยไปด้วย..

วันนี้ ในการประชุมวิชาความรู้ตอนเช้า มีรายงานว่า ‘คนท้องสองคนมีปัญหา..หลังคลอด’ ข้าพเจ้าเดินลงไปเยี่ยมคนไข้ที่หอผู้ป่วยสามัญชั้น 5 เนื่องจากคนไข้รายแรกบุตรเสียชีวิตหลังคลอด ส่วนอีกราย ถูกตัดมดลูก…คุณบุษบา คือ คนไข้รายแรก เธออายุ  21 ปี ครรภ์ที่ 3.. บุตรคนก่อนหน้านี้ อายุเพิ่ง 1 ขวบ เธอตั้งครรภ์นี้ โดยไม่รู้ตัว เริ่มจาก..เธอขาดระดู 2 เดือน แล้วไปซื้อยาขับเลือดมารับประทาน 2 ขวด.. ระดูก็ยังไม่มา. ตอนนั้น..เธอยังไม่ได้คิดว่า ‘ท้อง’  จึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องยาและอาหารการกิน.. พอขาดระดูได้ 7 เดือน  คุณบุษบารู้สึกว่า มีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ในท้อง เมื่อทดสอบการตั้งครรภ์  ผลปรากฏว่า เธอ ‘ท้อง‘ เธอจึงไปฝากครรภ์ที่ โรงพยาบาลระดับโรงเรียนแพทย์ ที่จังหวัดนครนายก แต่ที่นั่น ปฏิเสธไม่รับฝากครรภ์ เนื่องจากอายุครรภ์มากเกินกำหนด  20 สัปดาห์ จากการตรวจดูด้วยอัลตราซานด์ พบว่า ลูกของคุณบุษบามีอายุประมาณ 7 เดือนตามที่ระดูขาด..ตอนนั้น สามีของเธอเดินทางเข้ามาทำงานที่กรุงเทพมหานคร.. คนไข้จึงดั้นด้นไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลรัฐย่านชานเมือง คุณหมอที่นั่นบอกว่า ‘ลูกของเธอตัวเล็กมาก ที่นั่น..ไม่มีตู้อบเด็กอย่างดีที่พอจะช่วยเหลือได้ และแนะนำให้มาที่โรงพยาบาลตำรวจ’  

คุณบุษบา เดินทางมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจ แบบทุลักทุเล เธอรู้สึกว่า ‘ชีวิตนี้ช่างรันทดเสียเหลือเกิน ไปที่ไหน ก็ไม่มีใครต้อนรับ’ วันหนึ่ง เธอเดินทางมาที่ห้องคลอดของโรงพยาบาลตำรวจ ตอนเช้ามืด  ราวตีห้า (5 นาฬิกา) ด้วยเรื่องมีน้ำเดิน และเจ็บครรภ์คลอด.. ขณะนั้น เธอตั้งครรภ์ได้ 37 สัปดาห์..พยาบาลที่ห้องคลอด ตรวจภายในให้เธอ ผลคือ ปากมดลูกเปิด 3 เซนติเมตร ความบาง 75%  เวลาผ่านไปเพียง 1 ชั่วโมง ปากมดลูกก็เปิดหมด เธอคลอดบุตรออกมา เป็นเพศหญิง น้ำหนักแรกคลอด 2222 กรัม คะแนนศักยภาพแรกคลอด เท่ากับ 5 , 6, 6 ณ นาทีที่ 1, 2 และ 5 ตามลำดับ (คะแนนเต็ม 10) ทารกน้อยลูกของเธอที่เกิดมามีปัญหา คือ ปากแหว่งในลักษณะ 2 แฉกแยกห่างกัน, เพดานโหว่ตรงกลาง..กุมารแพทย์เห็นว่า เด็กหายใจไม่ดี ก็รีบช่วยชีวิต ด้วยการบีบลมเข้าท่อทางเดินหายใจทารก (Ambu Bag) เพื่อช่วยให้ออกซิเจนเข้าไปในปอดอย่างมีประสิทธิภาพ..จากนั้น ก็รีบนำเด็กส่งห้อง ไอ.ซี.ยู. ทารกแรกเกิด

ตอนคลอดใหม่ๆ พยาบาลห้องคลอดได้นำทารกน้อยมาให้คุณแม่ดูสักครู่ แล้วก็รีบนำออกไป พร้อมกับอธิบายให้เธอฟังว่า ‘ลูกของคุณมีปากแหว่ง เพดานโหว่, ใบหูต่ำ, และหัวใจอยู่เอียงไปทางขวา รูปลักษณ์ที่ว่า น่าจะสัมพันธ์กับภาวะปัญญาอ่อน (Mental retardation)’ ตอนนั้น เป็นเวลาประมาณ 8 นาฬิกา เธอยังนอนพักอยู่บนเตียงคลอดอยู่เลย..แต่ราวๆ 10 นาฬิกา สามีของเธอก็เดินมาบอกว่า ‘ลูกเสียชีวิตไปแล้ว’ คนไข้ปล่อยโฮ ร้องไห้ สงสารลูกน้อย..แต่ก็แข็งใจเดินไปดูร่างของลูกที่ห้อง ไอ.ซี.ยู.เด็กแรกเกิด ..คุณหมอเด็กได้พูดปลอบใจ และร้องขอร่างของทารก ไปส่งตรวจชันสูตรพลิกศพ เพื่อหาสาเหตุการตาย..ซึ่งต้องส่งภายใน 24 ชั่วโมง

เมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยมคุณบุษบา เธอมีนัยน์ตาแดงกล่ำ อาบด้วยหยาดน้ำตา  ข้าพเจ้าได้บอกเล่าถึงความผิดปกติของทารก และปลอบใจคนไข้ว่า ‘ทารกน่าจะพิการสมองและร่างกายหลายแห่ง ด้วยว่า มีลักษณะหลายอย่างที่เข้ากันได้กับโรค Down’s syndrome การเสียใจจนร่างกายคนไข้ผ่ายผอมเจ็บป่วย จึงไม่สมควร’ ข้าพเจ้าแนะนำให้ คุณบุษบา ทำบุญ  อุทิศส่วนกุศลให้กับหนูน้อยผู้วายชนม์ และเริ่มต้นชีวิตใหม่

คุณนงนุช เป็นคนไข้อีกรายที่น่าสนใจ  เธออายุน้อยเพียงแค่ 19 ปี ตั้งครรภ์ที่ 2 .. ท้องแรกแท้ง เมื่อ 1 ปีก่อน ตอนอายุครรภ์ได้ 4 เดือน โดยไม่ได้รับการขูดมดลูก  

ครรภ์นี้ คุณนงนุชฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจ และเข้ารับการตามนัดทุกครั้ง เป็นจำนวนถึง 11 ครั้ง โดยเธอมาฝากครรภ์ครั้งแรก ตอนอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ ด้วยคิดว่า จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน จนกระทั่งคลอด..แต่..มันก็หาเป็นเช่นนั้นไม่.. ใช่แล้ว!!! โชคร้าย มักไม่ได้มาเพียงครั้งเดียว..มันจะมาหาคนโชคร้ายดุจห่าฝน..    

 วันศุกร์ที่ผ่านมา คุณนงนุชมีอาการท้องแข็งเกร็ง และมีมูกเลือดปนออกมาทางช่องคลอด.. โดยไม่มีน้ำเดิน.. เธอรีบเดินทางมาที่โรงพยาบาลตำรวจ และได้รับการตรวจภายใน พบว่า ปากมดลูกเปิด 1 เซนติเมตร ความบางไม่ได้บันทึกไว้.. คุณหมอเวร ให้การวินิจฉัยว่า เป็น เจ็บครรภ์เตือน (False labor) แล้ว ก็ให้กลับบ้านไป อายุครรภ์ตอนที่มา คือ 40 สัปดาห์ 5 วัน

หลังจากกลับบ้านไป 5 ชั่วโมง คนไข้ก็กลับมาที่โรงพยาบาลตำรวจอีก ด้วยเรื่องเจ็บครรภ์ถี่ สูติแพทย์เวร ตรวจภายใน พบว่า ปากมดลูกเปิด 3 เซนติเมตร ความบาง 100%  คนไข้นอนพักที่ห้องคลอด ไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็คลอดเองทางช่องคลอด (Precipitated labor) ทารกน้อย เป็นเพศ หญิง น้ำหนักแรกคลอด 3150 กรัม คะแนนศักยภาพแรกคลอด (Apgar score) 9, 10, 10 ณ นาทีที่ 1, 2 และ 5 ตามลำดับ เสียเลือดหลังคลอด 300 มิลลิลิตร (ซี.ซี.) ขณะที่คุณนงนุช นอนพักฟื้นในห้องคลอด เธอก็ตกเลือดออกมา อีก 400  มิลลิลิตร (ซี.ซี.) คูณหมอแพทย์เวรพยายามแก้ปัญหาการตกเลือดหลังคลอด ด้วยการหาสาเหตุ โดยการตรวจภายใน และดูอัลตราซาวนด์ ก็ไม่พบความผิดปกติ ใดๆ อาทิ ปากมดลูกฉีกขาด , แผลฝีเย็บที่ช่องคลอด แตกปริ จนมีเลือดออก..ภายในโพรงมดลูก ไม่มีก้อนเลือด ค้างจำนวนมาก ซึ่งจะถ่างให้โพรงมดลูกพองตัว.. เลือดของคุณนงนุชไหลออกจากโพรงมดลูกอย่างรุนแรง..จากการที่มดลูกไม่แข็งตัว (Uterine Atony)

การแก้ไข เพื่อให้มดลูกแข็งตัวขั้นต่อไป คือ การเหน็บยา ชื่อ Cytotec เข้าไปในรูก้น (Anus) จำนวน 5 เม็ด เวลาผ่านไป 10 นาที ก็ยังไม่ได้ผล..เลือดยังคงไหลรินจากโพรงมดลูก.. มาตรการสุดท้าย ที่คุณหมอได้ทำคือ หยดยา ชื่อ Nalador  ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ ทำให้มดลูกหดรัดเกร็งตัวอย่างรุนแรง (Tetanic  contraction) ผลคือ ล้มเหลว…คุณหมอ และเจ้าหน้าที่ต่างช่วยกันให้น้ำให้เลือดทางเส้นเลือดดำ ทั้งแขนซ้าย และขวา..ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีอยู่ทางเดียวที่จะลดการเสียเลือดได้ คือ ตัดมดลูก (Transabdominal hysterectomy).. 

คนไข้ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดหลังคลอด ตอน 5 ทุ่ม [คลอดเองเวลา 6 โมงเย็น]  ..คุณหมอเวรใช้เวลาดูแลเบื้องต้น 5 ชั่วโมง จากการสัมภาษณ์ คุณหมอบอกว่า ‘สภาพของมดลูกตอนนั้นแย่มาก ไม่แข็งตัวเลย อ่อนยวบยาบ จำเป็นต้องรีบตัดสินใจผ่าตัดเอามดลูกออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้… ยังดี..ที่คนไข้อายุน้อย มิเช่นนั้น สถานการณ์อาจเลวร้ายกว่านี้’ สรุปว่า แม่ลูกปลอดภัย..แต่คุณแม่อวัยวะ ส่วนมดลูกหายไป

วันนี้ ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยม คุณนงนุช  ดูเธอสดใสมาก เธอกำลังบีบน้ำนมใส่ขวด เพื่อนำไปป้อนให้ลูก ใบหน้าของเธอซีดเล็กน้อย เธอพูดจาตอบคำถามได้ดี ข้าพเจ้าบอกถึงความจำเป็นในการตัดมดลูกของเธอทิ้ง และถามเธอว่า ‘เป็นยังไงบ้าง’ เธอตอบว่า ‘สบายดี และไม่อยากมีลูกอีก’ ข้าพเจ้าบอกกับเธอว่า ‘ ตอนนี้ เธอไม่อยากมี แต่ในอนาคต  หากอยากได้ลูกของตัวเอง ก็ยังสามารถทำได้ โดย..กระตุ้นไข่ , เจาะไข่ทางช่องคลอด ผสมกับเชื้อแฟน เลี้ยงเป็นตัวอ่อน แล้วหาคนผู้หญิงมาท้องแทน ..แค่นี้เอง ไม่ยากเลย ใช่ไหมครับ.. สำหรับ เทคโนโลยี ปัจจุบัน’

เพียงแค่ 1 สัปดาห์ ความเสียหายต่างๆของรถข้าพเจ้า ก็ได้รับการแก้ไข จนเสมือนรถคันใหม่..ไร้ร่องรอยของภาพลักษณ์ที่ไม่น่าดู แต่..ความสูญเสียของคนท้องทั้งสอง..ไม่มีทางที่จะได้รับกลับคืนมา..คนหนึ่งเสียลูก…อีกคนเสียอวัยวะ นี่แหละชีวิตคนท้อง..เมื่อเดินเข้ามายังห้องคลอด ก็อย่าเพิ่งนึกว่า..จะปลอดภัย..เรื่องราวเลวร้ายที่คาดไม่ถึง ของคนท้องในห้องคลอด ล้วนเกิดขึ้นได้เสมอ  ดังนั้น คนเราจึงควรหมั่นสะสมบุญ สร้างกุศลมากๆ เพราะเมื่อยามเกิดเหตุเภทภัยขึ้น จะได้อาศัยบุญบารมีช่วยแก้ไขให้ปลอดภัย ในชีวิตได้..

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ.  นพ. เสรี  ธีรพงษ์  ผู้เขียน