โรคหัวใจในคนท้อง

                                                     โรคหัวใจในคนท้อง

            อัน “ความตาย” นั้น หาใช่เรื่องล้อเล่น หรือจะนำมาพูดเป็นเชิงตลกขบขัน…แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน คนไข้รายหนึ่งได้พูดกับข้าพเจ้าในเชิงขำขันว่า ‘ตลกสิ้นดี!!! คุณพ่อของเพื่อนเสียชีวิต ด้วยโรคหวัด! นับว่า  เสียศักดิ์ศรีมาก’ ข้าพเจ้าถามว่า ‘เสียศักดิ์ศรียังไงหรือ?’ เธอตอบว่า ‘แต่ก่อน คุณพ่อดิฉันได้เสียชีวิตด้วยไส้ติ่งอักเสบเป็นหนองและแตก เนื่องจากไม่ยอมไปหาหมอแต่เนิ่นๆ พอรู้ตัว อาการก็กำเริบมากจนยากที่จะแก้ไข เวลาใครถามคุณแม่ถึงสาเหตุการเสียชีวิตของคุณพ่อ ดิฉันยังห้ามไม่ให้บอกเลย เพราะอายเขา ส่วนกรณีคุณพ่อเพื่อน ซึ่งเสียชีวิตจากไข้หวัด แล้วลุกลามเป็นปอดบวม…. ว่าไปแล้ว ยิ่งเสียศักดิ์ศรีใหญ่ คนเราเกิดมาทั้งที ทำไมต้องมาจบลงอย่างนี้??!!! ’

 

           โรคหัวใจในคนท้อง เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก อาจมีผลทำให้ชีวิตของตัวคนไข้เองหรือลูกน้อย สูญสิ้นเอาง่ายๆ โรคนี้อยู่ใกล้ชิดกับความตายเพียงแค่เอื้อม สำหรับการวินิจฉัยนั้น แม้ไม่ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะวินิจฉัยได้ถูกต้องง่ายๆ โดยเฉพาะในคนท้องที่ไม่เคยมีประวัติเป็นโรคหัวใจมาก่อน สิ่งสำคัญ คือ คุณหมอต้องไม่ลืมโรคนี้ยามเห็นคนไข้มาด้วยอาการหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพบเจอคนท้องที่เป็นโรคหัวใจ สูติแพทย์ต้องขอความร่วมมือจากอายุรแพทย์ในการดูแลรักษาเสมอ  มิฉะนั้น..ก็จะนำพาความหายนะมาให้  

           เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนที่ข้าพเจ้าเป็นแพทย์ใช้ทุนใหม่ๆที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด..(ขอสงวนนาม) คนท้องใกล้คลอดรายหนึ่งมาที่ห้องคลอดโรงพยาบาลด้วยเรื่องเหนื่อยหอบและนอนราบไม่ได้ แพทย์ใช้ทุนรุ่นพี่อาจวินิจฉัยไม่ได้ จึงพิจารณาตัดสินผ่าตัดคลอดให้ เมื่อเห็นคนไข้คลอดไม่ได้ ซึ่ง..ทันทีที่ดึงตัวเด็กออกจากมดลูก.. ฉับพลัน!!! คนท้องรายนั้น หัวใจก็หยุดเต้น! แพทย์และพยาบาลต่างช่วยกันปั้มหัวใจช่วยชีวิต แต่สายไปเสียแล้ว คนไข้ได้จบชีวิตลงบนเตียงผ่าตัดนั้นเอง โชคดีที่ทารกน้อยแข็งแรงน่ารัก จึง..ยังเป็นสิ่งจรรโลงใจทดแทนให้กับครอบครัวของคนไข้ต่อไป  ข้าพเจ้าได้นำเรื่องนี้มาเล่าให้เพื่อนแพทย์และอาจารย์ที่ห้องประชุมแพทย์ประจำบ้านโรงพยาบาลศิริราช ซึ่ง..สรุปเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า ‘อย่าผ่าตัดคลอดบุตรให้กับคนท้องที่อยู่ในภาวะหัวใจวาย มิฉะนั้น ตอนดึงตัวทารกคลอดออกจากมดลูก เลือดจำนวนหนึ่ง ซึ่งมากพอสมควรจะถูกบีบกลับเข้าสู่หัวใจ เพราะมดลูกหดรัดตัว อันจะส่งผลให้หัวใจคนไข้ล้มเหลวและเสียชีวิตทันที ’

            มีคนท้องรายหนึ่ง ชื่อ คุณกัลยา  อายุ 36 ปี ตั้งครรภ์ที่ 2  ฝากครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ 11 สัปดาห์ ผู้ป่วยมาฝากครรภ์ทั้งหมดกว่า 10 ครั้งจนกระทั่งเกิดปัญหาหัวใจล้มเหลว นี่..คือตัวอย่างแห่งความโชคร้ายอย่างหนึ่งของคนท้อง เพราะมีคนท้องหลายคน ฝากครรภ์นับสิบครั้งจนจำแทบไม่ได้ สุดท้าย ยังต้องมาพานพบกับอันตรายจากภาวะแทรกซ้อน!  โชคชะตาได้เล่นตลกกับชีวิตมนุษย์หรือ???

           จากการตรวจเลือดในเบื้องต้นตอนเริ่มฝากครรภ์ ทำให้ทราบว่า คุณกัลยา มีผลเลือดบวกของ HIV เธอจึงเข้ารับยาต้านไวรัสHIV ในโครงการลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพของโรงพยาบาลตำรวจ ลักษณะเช่นนี้อาจเป็นลางบอกเหตุที่ไม่ดีสำหรับเธอในการเริ่มต้นสร้างชีวิตใหม่หลังจากที่เคยทำแท้งมาแล้วเมื่อ 13 ปีก่อน ต่อมา คุณกัลยาได้รับการเจาะน้ำคร่ำเมื่ออายุครรภ์ ประมาณ 16 สัปดาห์ เนื่องจากเธอตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะปัญญาอ่อนสำหรับทารกในครรภ์ของสตรีที่มีอายุเกิน 35 ปี ซึ่งผลปรากฏว่า ทารกมีโครโมโซมปกติ และเป็นเพศชาย  พออายุครรภ์ได้ 28 สัปดาห์ คุณกัลยาก็ได้รับการตรวจเลือดทดสอบเบื้องต้นอีกว่า เป็นเบาหวานหรือไม่ (Oral glucose tolerance test) เพราะคุณแม่ของเธอเป็นเบาหวาน ผลคือ ปกติ

           เรื่องราวของคุณกัลยาน่าจะดำเนินไปตามปกติเหมือนกับคนท้องทั่วๆไป แต่..ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่!!!  เพราะบังเอิญ เธอเกิดภาวะหัวใจวายระหว่างตั้งครรภ์ โดยที่ไม่เคยมีประวัติโรคหัวใจมาก่อน  ซึ่ง..ข้าพเจ้าเองก็มีส่วนร่วมรับรู้เรื่องราวนี้ด้วย

วันนั้น เป็นวันอังคาร ตอนบ่าย สูติแพทย์ที่แผนกฝากครรภ์ได้ส่งคุณกัลยาขึ้นมานอนที่ห้องคลอด ด้วยเรื่องสงสัยเป็นภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ ตอนนั้น คุณกัลยาอายุครรภ์ได้เพียง 29 สัปดาห์เศษ ข้าพเจ้าได้เดินเข้ามาดูคุณกัลยาที่ห้องเตรียมซึ่งอยู่ด้านหน้าห้องคลอด สภาพที่เห็น คือ คุณกัลยาอยู่ในท่านั่งและไอมากแบบโยนตัว โดยเธอมีประวัติเป็นโรคหอบหืดและได้รับยาพ่นจากคลินิกใกล้บ้าน ความดันโลหิตตอนนั้น วัดได้ เท่ากับ 170/120 มิลลิเมตรปรอท คนไข้ไม่มีอาการปวดหัว ตามัว อาเจียน ซึ่งเป็นอาการนำก่อนชัก (Prodromal symptoms) ของโรคความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้คนไข้นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ด้วยการวินิจฉัยว่า เป็นความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ แม้ต่อมา ความดันโลหิตที่วัดซ้ำจะลดลงมาเหลือเพียง 150/90 มิลลิเมตรปรอท

          เนื่องจากประวัติในใบฝากครรภ์และจากการสอบถามคุณกัลยา ทำให้ทราบว่า คุณกัลยามีปัญหาไอหอบมาตั้งแต่อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ และรักษากับคลินิกแพทย์ใกล้บ้านมาโดยตลอด นี่เอง ทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้นึกถึงว่า โรคหัวใจจะเกิดขึ้นกับเธอ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้แนะนำให้คุณกัลยานอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เพื่อดูอาการและให้การรักษาตามความเหมาะสม แต่คุณกัลยาปฏิเสธและลงชื่อไว้ด้วย โดยอ้างว่า มีธุระจำเป็นและจะมาตรวจตามนัดอีก 1 สัปดาห์ ข้าพเจ้าและพยาบาลยังได้แนะนำคุณกัลยาให้รีบกลับเข้ามานอนพักโรงพยาบาลทันที หากมีอาการทางร่างกายรุนแรงขึ้น หรือลูกดิ้นน้อยลง โดยให้ยารักษาตามอาการแก่เธอไป 

           คาดไม่ถึง….ถัดจากนั้นอีก 5 วัน คุณกัลยาก็เข้ามานอนพักที่ห้องคลอดอีกครั้งในช่วงกลางดึก ด้วยอาการไอ หอบเหนื่อย  นอนราบไม่ได้  ความดันโลหิตสูงมากจนถึงขั้นวิกฤต ที่สำคัญ คือ เด็กไม่ดิ้นมาตลอดทั้งวัน  ผลการตรวจร่างกาย พบว่า ความดันโลหิต เท่ากับ 210/140 มิลลิเมตรปรอท  ชีพจรเต้น 120 ครั้งต่อนาที  หายใจ 48 ครั้งต่อนาที  ไม่มีไข้ แต่มีอาการบวม 4+ และโปรตีนรั่วออกมาทางปัสสาวะ 4+   ปัญหาคือ ทารกได้เสียชีวิตในครรภ์ไปแล้ว  ซึ่งขณะนั้น เธอตั้งครรภ์ได้ 33 สัปดาห์ 3 วัน

           สูติแพทย์เวรได้ทำเรื่องปรึกษาอายุรแพทย์ ด้วยเรื่องที่คนไข้มีอาการไอมาก จนมีเสมหะเป็นฟอง หอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ สงสัยว่าจะเป็นภาวะหัวใจวายแล้วมีน้ำท่วมปอด (Pulmonary edema) หรือมีการติดเชื้อที่ปอดอย่างรุนแรง (Pulmonary pneumonia) เนื่องจากภาพถ่ายเอกซเรย์ของปอดทั้งสองข้าง มีลักษณะเป็นฝ้า เปรอะเต็มไปหมด ดุจปุยเมฆที่แผ่ปกคลุมท้องฟ้ายามใกล้ค่ำ

ด้วยหัวใจมีขนาดใหญ่โตผิดปกติร่วมกับภาพฟิล์มเอกซเรย์ดังกล่าว ทำให้อายุรแพทย์คิดว่า น่าจะเป็นภาวะหัวใจวายมากกว่า จึงให้ส่งตรวจพิเศษเพื่อยืนยันการวินิจฉัย (Echocardiogram) ขณะเดียวกัน แพทย์เวรก็ให้ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันโลหิต รักษาภาวะหัวใจล้มเหลวและยาแมกนิเชี่ยม ซัลเฟต ป้องกันการชัก รวมทั้งเหน็บยา Cytotec เพื่อชักนำให้เกิดการแท้งไปพร้อมๆกัน

           ภาวะหัวใจวาย นำมหันตภัยมาสู่คนท้องไม่ใช่น้อย การดูแลรักษาจึงต้องกระทำอย่างเต็มที่ก่อนที่จะมีปัญหา อย่างกรณีของคุณกัลยา เธอต้องอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. ตั้งแต่แรกรับ และต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลาถึง 4 วันจึงจะถูกส่งตัวกลับมายังหอผู้ป่วยธรรมดา คุณกัลยาแท้งบุตรออกมาเมื่อเวลา 2 นาฬิกา หลังจากนอนโรงพยาบาล 3 วัน ทารกมีน้ำหนัก 2350 กรัม ไม่มีลักษณะผิดปกติใดๆ รกหนัก 600 กรัม   คุณกัลยาอยู่โรงพยาบาลต่ออีก 2 วัน ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน

           สำหรับระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิตคนท้องนั้นมีการเปลี่ยนแปลงของค่อนข้างมาก เมื่อสตรีตั้งครรภ์ การเต้นของชีพจรระหว่างพักจะเพิ่มขึ้น 10 -18 ครั้งต่อนาที ปริมาณเลือดที่บีบออกจากหัวใจ (Cardiac output) จะเพิ่มขึ้น 33 – 50% และสูงสุดช่วงใกล้ไตรมาส 2 ดังนั้น หากหัวใจคนท้องมีปัญหาหรือพยาธิสภาพ ดังกรณีของคุณกัลยา โอกาสที่จะเกิดหัวใจวาย ย่อมเป็นไปได้ไม่ยากนัก

           โรคหัวใจในคนท้อง แบ่งออกตามอาการและการทำงานได้เป็น 4 ระดับ(Classification)

ระดับที่ 1. ผู้ป่วยไม่มีอาการใดๆทางหัวใจเลย เมื่อทำงานบ้านตามปกติ

ระดับที่ 2. ผู้ป่วยไม่มีอาการใดๆทางหัวใจเมื่ออยู่ในสภาพพักผ่อน แต่เริ่มเหนื่อยเมื่อทำงานบ้านตามปกติ

ระดับที่ 3.ผู้ป่วยไม่มีอาการใดๆทางหัวใจ เมื่ออยู่ในสภาพพักผ่อน แต่เริ่มเหนื่อยเมื่อทำงานเพียงเล็กน้อย

ระดับที่ 4. ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อย แม้อยู่ในสภาพพักผ่อน

             กรณีที่คนไข้เป็นโรคหัวใจก่อนการตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์ย่อมจะทำให้โรคเลวร้ายลง หัวใจของคนไข้จะล้มเหลวทันทีที่มดลูกหดรัดตัวหลังคลอดทารกออกมา (Aortocarval compression) การคลอดทางช่องคลอดจึงเป็นหนทางเดียวที่จะชะลอการล้มเหลวของหัวใจ

ส่วนโรคหัวใจของคนท้องก็มีผลต่อการตั้งครรภ์ ดังนี้ การพยากรณ์โรคของมารดาขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค (Classification) ส่วนทารกเอง ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อภาวะความพิการแต่กำเนิด (Congenital anomaly) การเติบโตช้าในครรภ์ (Intrauterine growth retardation) รวมทั้งเกิดภาวะวิกฤติได้ง่ายระหว่างเจ็บครรภ์ (Fetal distress during labor)

กรณีของคุณกัลยา ตอนที่มาห้องคลอด เธอมีอาการเหนื่อยหอบ แม้ขณะกำลังนั่ง จึงจัดว่า เธอเป็นโรคหัวใจระดับ 4   อันตรายที่มีต่อตัวคนไข้เอง ย่อมนับว่า ไม่น้อย เธอมีโอกาสเสียชีวิตได้ทุกเวลา หากให้การรักษาไม่ทัน โชคดี!! ที่คุณกัลยาได้รับการดูแลจากอายุรแพทย์ภายในห้อง ไอ.ซี.ยู. เธอจึงรอดปลอดภัย มีชีวิตอยู่ต่อไปได้  อนึ่ง อายุรแพทย์ให้ความเห็นว่า ภาวะหัวใจวายของคุณกัลยาน่าจะเกิดจากการติดเชื้อในปอดนำมาก่อน เพราะเธอมีภูมิคุ้มกันต่ำ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงร้ายแรงขึ้นและพัฒนาเป็นโรคหัวใจ การรักษาทุกขั้นตอนที่ช่วยเหลือเป็นไปอย่างละเอียดรอบคอบ ขณะเดียวกัน เนื่องจากคุณกัลยามีภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ จึงต้องทำให้ครรภ์สิ้นสุดลง (Termination of pregnancy) เมื่อทารกที่ตายคลอดออกมาแล้ว ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็แทบจะหมดไปในทันที

               คนไข้รายนี้เป็นคนโชคร้าย ที่เป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ อันมีผลทำให้ทารกตายในครรภ์  ส่วนตัวคนไข้เองก็ตกอยู่ในภาวะวิกฤตคับขัน หากดื้อดึง ไม่รีบไปหาหมอแต่เนิ่นๆ   มีหวังต้องเสียชีวิตไปอีกคน

              เส้นทางชีวิตของคนเรานั้น ใช่ว่าจะยาวไกล แต่ใครจะรู้ได้ว่า มันจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ยามที่มีชีวิตอยู่ น่าจะหาความสุขใส่ตัวไว้บ้าง ขณะเดียวกัน ก็ต้องทำความดีไว้มากๆ เผื่อว่า เกิดเสียชีวิตไปแต่วัยหนุ่มสาว จะได้มีเสบียงติดตัวไปใช้ในชาติหน้า…….

              ขอจงอย่าอยู่และตาย อย่างเสียชาติเกิดเลย

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

 

คลอดยาก ( Dystocia )ตอนทารรกอยู่ในท่าขวาง

คลอดยาก

ตอน ทารกอยู่ในท่าขวาง

เคยมีสามีคนไข้รายหนึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า การคลอดโดยวิธีธรรมชาตินั้น มีมานานเป็นแสนๆปี ทำไม คนท้องจำนวนมากมายจึงไม่เลือกคลอดแบบวิธีธรรมชาติ ซึ่งน่าจะปลอดภัยและเหมาะสมกับคนมากที่สุด ข้าพเจ้าหยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วตอบกลับไปว่า จริงๆ ก็เป็นเช่นที่คุณพูดนั่นแหละ แต่ไม่ใช่ทุกกรณี การที่คนเราจำเป็นต้องคลอดโดยวิธีอื่นที่ไม่ใช่วิธีธรรมชาตินั้น เนื่องจากมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องช่วงที่กำลังจะคลอด เช่น ทารกอยู่ในท่าขวาง เป็นต้น

การคลอดทารกท่าขวางเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ตามวิธีธรรมชาติ นอกจากทำไม่ได้แล้ว หากชักช้า  ทารกในครรภ์อาจตายได้จากการที่สายสะดือถูกกดทับ

เมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา มีคนไข้รายหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้ทำการผ่าตัดคลอดให้ เรื่องราวของเธอน่าตกใจไม่ใช่น้อย คนไข้สตรีรายนี้ ชื่อ คุณสุรินทรา อายุ 25 ปี ตั้งครรภ์แรก เธอเป็นคนภาคใต้ อาศัยอยู่แถวจังหวัดสุราษฎร์ธานี พี่สาวของคุณสุรินทราเป็นเพื่อนสนิทของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงให้การเอาใจใส่เป็นพิเศษ

 คุณสุรินทรามาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจ  เมื่ออายุครรภ์ค่อนข้างมาก คือ 7 เดือนหรือ  28 สัปดาห์ เดิมเคยฝากครรภ์ที่ต่างจังหวัดระยะหนึ่ง และเพิ่งย้ายตามสามีเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ตอนนั้น ข้าพเจ้าได้ตรวจร่างกายและตรวจอัลตราซาวนด์ พบว่า ความสูงของมดลูกเท่ากับ 30 เซนติเมตรเมื่อวัดจากหัวเหน่า  ทารกมีขนาดพอๆกับอายุครรภ์จาการวัดเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่างใบหูของทารกทั้งสองข้าง ลูกสุรินทราเป็นเพศชาย แข็งแรงดี  ส่วนรกเกาะอยู่ทางด้านบนของมดลูก น้ำคร่ำมีปริมาณและลักษณะทั่วไปปกติดี

จากนั้น ข้าพเจ้าได้นัดคุณสุรินทรามาตรวจครรภ์ทุก 2 สัปดาห์ ซึ่งไม่พบว่า มีปัญหาอะไร   น้ำหนักตัวคุณสุรินทราเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์  ตอนอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ เธอมีมดลูกแข็งตัวบ้าง  เป็นบางครั้ง  หลังจากได้รับประทานยาคลายกล้ามเนื้อ ปัญหาดังกล่าวก็หมดไป

ขณะที่อายุครรภ์ได้ประมาณ  38 สัปดาห์  วันหนึ่งเวลาตอน 5 ทุ่มเศษ คุณสุรินทรามีน้ำเดินออกมาทางช่องคลอด จึงเดินทางไปโรงพยาบาลตำรวจ และถึงที่นั่นประมาณ 12 นาฬิกา พี่สาวของเธอได้ติดต่อมาหาข้าพเจ้าที่บ้านในระหว่างเดินทาง ข้าพเจ้าจึงขับรถติดตามไป

ระหว่างที่ข้าพเจ้าเดินทางมาที่โรงพยาบาลตำรวจ ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์เข้าไปสอบถามพยาบาลห้องคลอดว่า คุณสุรินทราเป็นอย่างไรบ้าง

พยาบาลห้องคลอดตอบว่า หมอ…..เด็กไม่ใช่ท่าหัวนะ น้ำคร่ำที่ออกมาก็มีสีเขียวข้นด้วย ( Meconium ) การที่น้ำคร่ำมีสีเขียวปน แสดงว่า เด็กถ่ายขี้เทาออกมา เนื่องจากขาดออกซิเจน อันมีผลให้หูรูดของก้นคลายตัว อุจจาระเด็กจึงไหลออกมาและปะปนในน้ำคร่ำ  หากน้ำคร่ำมีสีเขียวข้นมาก ย่อมหมายถึงว่า ทารกขาดออกซิเจนมานานและอยู่ภาวะอันตรายอย่างยิ่ง

อย่างนั้น ก็ช่วยติดต่อทางห้องผ่าตัดว่า ผมจะเข้าไปทำผ่าตัดคลอดเดี๋ยวนี้เลยนะ อีกประมาณ 10 – 15 นาที ผมคงเดินทางไปถึง ข้าพเจ้าสั่งการพร้อมกับขอให้ทางฝ่ายพยาบาลห้องคลอดส่งคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัดทันที

ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าลงมีดและผ่าตัดผ่านชั้นต่างๆของผนังหน้าท้องคุณสุรินทราอย่างรวดเร็ว เนื่องจากว่า เป็นกรณีที่ทารกอยู่ในภาวะอันตราย การที่เด็กไม่อยู่ในท่าหัว ย่อมทำให้หัวเด็กไม่ลงมาสู่อุ้งเชิงกราน และส่วนนำไม่ปิดทางออกของน้ำคร่ำ ซึ่งจะทำให้น้ำคร่ำไหลออกจากโพรงมดลูกตลอดเวลา ไม่นานนัก น้ำคร่ำก็จะหมด อันมีผลให้สายสะดือถูกกดทับและเด็กเสียชีวิตทันที

เมื่อผ่าตัดเปิดมดลูกส่วนล่างเข้าไป ปรากฏว่า ลูกคุณสุรินทรานอนขดตัวอยู่ในท่าขวาง โดยมีส่วนนำเป็นแผ่นหลัง หรือกล่าวง่ายๆ คือ  ส่วนหลังของเด็กอยู่ใกล้บริเวณปากมดลูกและช่องคลอดมากที่สุด ( Dorso – Inferior ) นั่นเอง  กรณีเช่นนี้ ย่อมเป็นการยากในการใช้มือล้วงเข้าไปจับขาเด็ก ซึ่งเป็นเทคนิคในการทำคลอดทารก เนื่องจากส่วนของเด็กจะขวางมือของสูติแพทย์

ยามผ่าตัดทำคลอดปกติ เวลาลงมีดบนตัวมดลูกนั้น สูติแพทย์ทุกคนจะลงมีดบริเวณมดลูกส่วนล่างในลักษณะเป็นแนวขวาง ( Horizontal )   ส่วนกรณีที่ตรวจพบทารกอยู่ในท่าขวางและทราบล่วงหน้าว่า ทารกเอาแผ่นหลังเป็นส่วนนำ ( Dorso – Inferior) การลงมีดบนตัวมดลูกอาจเปลี่ยนเป็นแนวตรง ( Low vertical ) เพื่อสะดวกในการล้วงมือเข้าไปจับขาเด็กและทำคลอดแบบท่าก้น

แย่แล้ว……ผมจับขาเด็กไม่ได้  ข้าพเจ้าอุทานอย่างไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าพยายามล้วงมือเข้าไปในโพรงมดลูกและควานหาขาลูกคุณสุรินทรา 2 ครั้ง 2 ครา  เมื่อทำไม่สำเร็จ  ก็ต้องเปลี่ยนวิธี

ส่งกรรไกรให้หน่อย ผมจะเปิดแผลตรงกลางเป็นรูป inverted T  ข้าพเจ้าพูดสั่งการกับพยาบาลผู้ช่วย  หลังจากนั้น จึงผ่าตัดเปิดแผลในลักษณะ ตัว T หัวกลับ คือ ใช้กรรไกรตัดบริเวณกลางรอยแผลผ่าตัดด้านบนของมดลูกเมื่อลงมีดตอนแรก  พอเปิดขยายแผลเป็นแนวยาวตรงเป็นมุมฉากขึ้นไปได้ระดับหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ใช้มือขวาล้วงเข้าไปในโพรงมดลูกจับขาลูกคุณสุรินท  พอจับขาได้ข้างหนึ่ง  ข้าพเจ้าค่อยๆดึงออกมาอย่างช้าๆจนเห็นตะโพกและต้นขาอีกข้างหนึ่ง จึงทำคลอดขาข้างที่สอง หลังจากนั้น การทำคลอดลำตัวและส่วนหัวของเด็ก ก็เป็นไปอย่างง่ายดาย  สิ่งสำคัญที่ข้าพเจ้าต้องเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ คือ ใจเย็นๆ ค่อยๆดึงขาข้างที่จับได้ก่อนและทำคลอดส่วนขาข้างนั้นอย่างช้าๆ มิฉะนั้น ขาเด็กจะหัก ถ้าเป็นไปได้ ข้าพเจ้าจะล้วงมือเข้าไปควานหาจับขาเด็กไว้ทั้งสองข้างตั้งแต่อยู่ในโพรงมดลูก แล้วค่อยๆดึงออกมา การทำคลอดส่วนที่เหลือจะง่ายกว่าวิธีจับขาข้างเดียวเสียอีก

ลูกคุณสุรินทราคลอดออกมาเมื่อเวลา 00:39 นาฬิกา เป็นทารกเพศชาย แข็งแรงดี มีน้ำหนัก 2800 กรัม และคะแนนความสามารถแรกคลอด 7 , 8 , 10  คุณสุรินทรานอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 4 วันก็กลับบ้านพร้อมบุตร โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ

ข้าพเจ้ามีโอกาสทำคลอดท่ารกท่าขวางหลายครั้ง ทำให้มีประสบการณ์มาก  แต่แม้มีประสบการณ์  ข้าพเจ้าก็หวั่นใจทุกครั้งที่ผ่าตัดทำคลอดท่ารกท่าขวาง  เพราะเด็กแรกคลอด ตัวบอบบาง  การจับการดึงส่วนแขนขาต้องกระทำด้วยความระมัดมะวังอย่างมาก  ดังที่เคยมีข่าว ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ต้นขา ( Femur ) ของทารกหัก จากการทำคลอดท่าก้น ซึ่งการรักษาต้องใช้เวลานานพอสมควร

สำหรับกรณีของลูกคุณสุรินทรา พอผ่าตัดเปิดมดลูกส่วนล่าง  แขนลูกคุณสุรินทราก็โผล่ออกมาก่อน  ข้าพเจ้าค่อยๆจับแขนเด็กงอตามแบบธรรมชาติ  ยัดใส่กลับเข้าไป  พอล้วงมือเข้าไปในโพรงมดลูกและควานหาขาเด็ก  ก็ไปจับเอาแขนเด็กอีกข้างหนึ่งออกมา  ข้าพเจ้าค่อยๆจับยัดเข้าไปใหม่ จากนั้นจึงตัดสินใจเปิดขยายแผลผ่าตัดเป็นรูปตัว T หัวกลับ ซึ่งจำเป็นต้องเปิดแผลให้กว้างพอสมควร ข้าพเจ้าถึงล้วงมือเข้าไปจับขาของลูกคุณสุรินทราและทำคลอดได้ในที่สุด นั่นคือความยากลำบากของการทำคลอดทารกท่าขวาง

หลังคลอด ข้าพเจ้าได้เข้าไปอธิบายถึงการคลอดให้คุณสุรินทราและสามี รวมทั้งพี่สาวของเธอด้วย โดยพูดถึงความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น  สำหรับแผลผ่าตัดรูปตัว T  กลับหัว บนตัวมดลูก  ข้าพเจ้าได้ตรวจดูภายหลังทำคลอดรกและมดลูกหดตัวแล้ว    คิดว่า  ไม่น่าจะมีปัญหา หากตั้งครรภ์ที่สอง  อย่างไรก็ตาม  คุณสุรินทราควรเว้นระยะการมีลูกออกไปอย่างน้อย 1 ปี  เพื่อให้มดลูกกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณพร้อมอีกครั้ง

อนึ่ง เรื่องร้ายๆมักจะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว กรณีทารกท่าขวางที่เกิดกับคุณสุรินทราซึ่งเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิท นับเป็นตัวอย่างที่ดี  หากข้าพเจ้าเดินทางไปถึงโรงพยาบาลช้ากว่านี้สัก ชั่วโมง ลูกคุณสุรินทราอาจอยู่ในสภาพที่แย่มากหรือเสียชีวิต เพราะน้ำคร่ำไหลออกจากโพรงมดลูกเกือบหมดแล้ว ข้าพเจ้าจึงเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่ง ประกอบกับได้สั่งสมประการณ์มานานหลายปี  จึงทำให้สามารถแก้ปัญหานี้ได้  แม้จะตื่นเต้นระทึกใจอย่างมากก็ตาม  ใครที่มีจินตนาการดี คงนึกวาดภาพได้ว่า การจับ การดึงรั้ง การล้วงมือเข้าไปคลำหาขาของทารกน้อยที่ลำตัวพับซ่อนอยู่ในที่แคบๆ  ย่อมเป็นไปด้วยความยากลำบากอย่างมากมาย  ตอนนั้นลูกคุณสุรินทราแสดงอาการขาดออกซิเจนด้วยการถ่ายขี้เทาออกมาจำนวนหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม คงเป็นด้วยข้าพเจ้าเคยทำบุญมามาก ทุกสิ่งทุกอย่างจึงลงเอยด้วยดี  ถึงบัดนี้  ข้าพเจ้ายังขนลุกซู่อยู่เลยเมื่อนึกถึงการทำคลอดครั้งนี้

การเผชิญหน้ากับทารกท่าขวางในครรภ์ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือพบโดยบังเอิญ สูติแพทย์มีโอกาสพบทารกท่าขวางได้บ่อยๆเวลาทำคลอดทารกตัวที่ 2 ของครรภ์แฝด ไม่ว่า การคลอดนั้นจะเป็นการคลอดโดยวิธีธรรมชาติหรือผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง  ดังนั้น จึงต้องเตรียมพร้อมเสมอเมื่อเจอครรภ์แฝด  สำหรับข้าพเจ้าแล้ว  ทันทีที่คลอดทารกตัวแรกออกไป ข้าพเจ้าจะคลำหาและจับขาข้างใดข้างหนึ่งของทารกตัวที่ 2 บนถุงน้ำคร่ำในขณะที่ถุงน้ำคร่ำยังไม่แตก จากนั้น ถึงจะเจาะถุงน้ำคร่ำและทำคลอดทารกตัวที่ 2 ออกมาอย่างไม่ยากเย็นนัก

เรื่องราวของทารกท่าขวางเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจและไม่ประมาท สูติแพทย์อาจพลาดในการวินิจฉัยเบื้องต้น แต่นั่น…ยังไม่สำคัญเท่ากระบวนการผ่าตัดและทำคลอด ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และความนุ่มนวลในการจับดึงขาทารกน้อย 

ความจำเป็นในการช่วยเหลือดูแลผู้คน เช่น หมอ , นักผจญเพลิง/อุทกภัย   ล้วนแล้วแต่จะต้องอาศัยเมตตาจิต มิตรไมตรี โชคและประสบการณ์ด้วยกันทั้งนั้น  ถ้าโชคดี  ผลลัพธ์ก็เป็นที่ชื่นชม  แต่ถ้าโชคร้าย ผู้ที่เราช่วยเหลือ เกิดทุพลภาพปางตายหรือเสียชีวิต นั่นก็อาจเปลี่ยนผู้ใจบุญเป็นปีศาจร้าย   ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว….ไม่มีใครอยากให้เป็นไปในทางที่ไม่ดี 

บางที เราน่าจะขอบคุณท้องฟ้า หรือพระเจ้า  ที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยจนถึงทุกวันนี้  การกระทำความดีต่อเพื่อนมนุษย์บ้าง  ก็น่าจะดี  และไม่ควรถือเป็นบุญคุณด้วย  เพราะบ่อยครั้งที่มีคนช่วยเหลือเรา  พอเราหันกลับไปเพื่อจะขอบคุณ  เขาก็ไม่อยู่……เสียแล้ว

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

คลอดยาก ( Dystocia )

คลอดยาก ( Dystocia )

คนที่เป็นแม่เกือบทุกคนอยากคลอดบุตรเองตามธรรมชาติ เพราะให้ความรู้สึกที่ดีของการเป็นแม่เป็นคำพูดที่ข้าพเจ้าได้ฟังจนชินหู ซึ่งดูเหมือนว่า คุณแม่มือใหม่ทุกคนจะมองการคลอดวิธีธรรมชาติเป็นเรื่องไม่ยาก ความจริง หากเป็นครรภ์ที่สอง การคลอดเองส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น แต่สำหรับคุณแม่ท้องแรก โดยเฉพาะคนที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ๆ หลายต่อหลายคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า เหมือนเพิ่งผ่านพ้นสมรภูมิรบ

มีเรื่องเล่าว่า ภรรยาของชายกินเจคนหนึ่ง เจ็บครรภ์และได้ไปนอนรอคลอดอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งนานถึง 3 วัน  สูติแพทย์ได้บอกกับชายกินเจตั้งแต่ต้นว่า ลูกของคุณตัวใหญ่มาก ภรรยาคุณสมควรได้รับการผ่าตัดคลอด ลูกของคุณจึงจะปลอดภัย

ชายคนนั้นตอบว่า ไม่ได้ไม่ได้ ผมไม่ยอมให้ผ่าตัดคลอดโดยเด็ดขาด เพราะการผ่าตัดคลอดเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ 

หมอได้พูดต่อไปอีก..เป็นทำนองขู่ว่า หากไม่ผ่าตัดคลอด  ลูกของคุณอาจจะตาย เพราะติดไหล่ และไม่แน่!… อาจตายทั้งแม่และลูก

ชายคนกินเจตอบ ถ้าเด็กจะต้องตาย หรือว่าตายทั้งแม่และลูก แม้กระทั่งตัวผมเองจะต้องตายไปด้วย นั่นก็เป็นเพราะฟ้าต้องการให้พวกเราตาย  ผมนับถือพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าสอนว่า ห้ามทำผิดธรรมชาติ  ผมต้องการให้เมียผมเบ่งคลอดออกมาเองตามธรรมชาติ การคลอดด้วยการผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้องเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติ ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด

สุดท้าย ลูกของชายกินเจสามารถคลอดออกมาทางช่องคลอดได้ แต่ร่างกายบอบช้ำและตายในเวลาต่อมาไม่นานนัก……การที่ข้าพเจ้านำเรื่องนี้มาเล่า ก็เพราะอยากจะยกเป็นอุทาหรณ์ว่า กระบวนการคลอดเอง (โดยเฉพาะในท้องแรก) เป็นเรื่องที่สมควรได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ

วันนี้มีการปรึกษาเกี่ยวกับคนไข้คลอดเอง 2-3 ราย ในลักษณะคล้ายๆกัน  พยาบาลห้องคลอดจะเริ่มต้นด้วยปัญหาโดยย่อและคำถามว่า มีคนไข้ท้องแรกปากมดลูกเปิดหมดและเบ่งคลอดมานานเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว  หมอจะให้ทำยังไงต่อไป? ”

ข้าพเจ้าถามพยาบาลห้องคลอดก่อนบอกถึงการตัดสินใจว่า เด็กตัวใหญ่ไหม?  คิดว่าเด็กหนักประมาณเท่าไหร่? 

พยาบาลตอบว่า เด็กตัวใหญ่เหมือนกัน  น้ำหนักประมาณ 3,500 กรัม

หัวเด็กลงมาในช่องคลอดระดับไหน? และแม่สูงเท่าไหร่? ” ข้าพเจ้าถามต่อ

หัวเด็กลงมาไม่มาก ประมาณ 0 ถึง+1  แม่เด็กสูง 160 เซนติเมตร พยาบาลตอบมาทางโทรศัพท์

เวลาคนไข้เบ่งคลอด หัวเด็กเคลื่อนที่ลงต่ำมาอีกมากน้อยแค่ไหน? ”  ข้าพเจ้าถาม

ไม่ค่อยจะเคลื่อนที่ลงมาเลย พยาบาลตอบ

นี่คือ คำถาม&คำตอบ เวลาที่พบปัญหาคนไข้ตั้งครรภ์ขณะคลอดซึ่งปากมดลูกเปิดหมด แล้วเบ่งคลอดนานผิดปกติ ส่วนการตัดสินใจให้คลอดด้วยวิธีใดนั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม

คำถาม ที่ถามจะมุ่งเน้นถึงกระบวนการคลอดว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ อาทิเช่นคำถามถึง 1. น้ำหนักเด็กจากการคาดประมาณ ( Estimated fetal weight )  คือ ถ้าน้ำหนักเด็กในท้องแรก เกิน 3500 กรัม หรือท้องหลังเกิน 4000 กรัม เราควรต้องระวังภาวะคลอดยาก (Dystocia) 2.ระดับส่วนนำ ว่า อยู่ระดับใด จาก –3 ถึง +3 ที่ระดับ 0 จะหมายถึง ส่วนนำอยู่ลึกเข้าไปในช่องคลอด ณ ระดับประมาณ 2-3 นิ้วจากปากช่องคลอดโดยสังเกตจากการคลำได้ส่วนปลายแหลมของกระดูกอิชเชี่ยม ( Ischial spine ) ซึ่งถ้าหัวเด็กสามารถผ่านระดับนี้ไปได้ ก็จะช่วยบอกให้เราทราบว่า เด็กน่าจะคลอดได้

ปกติ ข้าพเจ้ามักจะพบเจอคนไข้สตรีตั้งครรภ์ที่สงสัยภาวะคลอดยากอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องดูดช่วยดึงคลอด นอกนั้นมักตัดสินผ่าตัดคลอด  มีคนไข้สตรีตั้งครรภ์ที่ 2 อยู่รายหนึ่งน่าสนใจมาก ชื่อคุณปิยะวรณ์ ลูกคนแรกอายุ 5 ขวบ คลอดเองโดยวิธีธรรมชาติ น้ำหนักแรกคลอด 3,730 กรัม ซึ่งนับว่า ตัวใหญ่ไม่น้อย  ขณะนี้ แม้เวลาผ่านไป 5  ปีแล้ว  คุณปิยะวรณ์ก็ยังมั่นใจว่า จะคลอดแบบเดิมได้อย่างแน่นอน

คุณปิยะวรณ์เริ่มฝากครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ 11 สัปดาห์ และมารับการตรวจตามนัดทุกครั้ง โดย 7 เดือนแรกมารับการตรวจทุก 4 สัปดาห์ และหลังจากนั้นทุก 2 สัปดาห์ ตลอดการตั้งครรภ์ ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ตอนที่คุณปิยะวรณ์ เจ็บครรภ์และมีมูกเลือดมาโรงพยาบาล เธอมีอายุครรภ์ 39 สัปดาห์

คุณปิยะวรณ์ มาถึงโรงพยาบาลเวลาประมาณ  11 นาฬิกา พยาบาลห้องคลอดได้ตรวจภายใน ปรากฏว่า ปากมดลูกเปิดเพียง 1 เซนติเมตร ความหนา 25% ถุงน้ำคร่ำยังไม่แตก มดลูกหดรัดตัวทุกๆ 10 นาที นานครั้งละประมาณ  20 วินาที ตอนนั้น ข้าพเจ้าได้คะเนน้ำหนักทารกว่าน่าจะประมาณ 4 กิโลกรัมเศษ จึงได้บอกกับคุณปิยะวรณ์ว่า เด็กตัวค่อนข้างใหญ่ น่าจะคลอดไม่ได้ แม้ว่า คุณจะเคยคลอดเด็กตัวใหญ่มาแล้วก็ตาม ดังนั้น เพื่อเตรียมตัว คุณต้องอดอาหารและน้ำตั้งแต่นี้  หากเห็นท่าไม่ดี ก็จะตัดสินผ่าตัดคลอดทันที 

อนึ่ง คุณปิยะวรณ์เป็นคนมีรูปร่างใหญ่  สูงถึง 166 เซนติเมตร ข้าพเจ้าจึงคาดว่า เธอน่าจะมีอุ้งเชิงกรานที่กว้างพอที่จะคลอดทารกซึ่งมีน้ำหนักมากกว่า ในครรภ์แรก( 3.7 กิโลกรัม)

13 นาฬิกา ปากมดลูกของคุณปิยะวรณ์เปิด เพิ่มเป็น 3 เซนติเมตร ความหนา 80% มดลูกหดรัดตัวทุก 2 นาที 40 วินาที หดตัวแต่ละครั้งกินเวลานานประมาณ 30 วินาที ถึงช่วงนี้ ถุงน้ำคร่ำแตกเรียบร้อยแล้ว น้ำคร่ำมีลักษณะใส ไม่มีขี้เทาปน

15 นาฬิกา ปากมดลูกของคุณปิยะวรณ์เปิด เพิ่มเป็น 5 เซนติเมตร ความหนา 100% มดลูกหดรัดตัวดี แต่หัวเด็กอยู่ค่อนข้างสูง คือ ระดับประมาณ –1

15 นาฬิกา 30 นาที ปากมดลูก เปิดเพิ่มเป็น 7 เซนติเมตร มดลูกหดรัดตัวดี ส่วนหัวเด็กเลื่อนลงมาอยู่ที่ระดับ 0   ข้าพเจ้าคลำหน้าท้องของคุณปิยะวรณ์ดูอีกครั้ง มีความรู้สึกว่า เด็กตัวใหญ่เกินไป( Oversized Baby ) ไม่สมควรคลอดเอง จึงบอกกับคุณปิยะวรณ์ว่า อย่าคลอดเองเลย อันตรายเปล่าๆ   ผ่าตัดคลอดดีกว่า

คุณปิยะวรณ์ตอบว่า หนูเจ็บครรภ์มาก หมอจะผ่า ก็รีบผ่าเร็วๆเถอะ หนูแทบจะทนไม่ไหวแล้ว

ที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าลงมีดผ่าตัดด้วยความระมัดระวัง เมื่อทำคลอดส่วนหัวออกมา ข้าพเจ้าถึงกับอุทาน โอ้โห! ส่วนหัวใหญ่เหมือนกันนะ  แถมยังมีสายสะดือพันคออีก 2 รอบด้วย   พอคลอดลำตัวเด็กออกมาก็พบว่า ตัวใหญ่จริงๆ  ทารกเป็นเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 4,665 กรัม ร้องเสียงดัง  แข็งแรงดี  ส่วนรก มีน้ำหนักถึง 1,100 กรัม

เนื่องจากเด็กตัวใหญ่ ทางหมอเด็กจึงตรวจสอบน้ำตาลในเลือดของลูกคุณปิยะวรณ์หลายครั้ง  ซึ่งลูกคุณปิยะวรณ์มีปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำ จึงจำเป็นต้องได้รับน้ำเกลือทดแทน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน อย่างไรก็ตาม คุณปิยะวรณ์และลูกสามารถกลับบ้านได้พร้อมกันหลังจากนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 5 วัน

ความจริง คุณปิยะวรณ์อาจจะคลอดเองทางช่องคลอดก็ได้ หากข้าพเจ้าทำคลอดโดยใช้การดึงออกมาด้วยเครื่องดูดบริเวณหนังศีรษะตอนปากมดลูกเปิดหมด แต่ปัญหาที่จะเกิดตามมานั้น เชื่อว่า ไม่มีใครยอมรับได้ อาทิเช่น เด็กบอบช้ำมากหรือเสียชีวิต

ข้าพเจ้าบอกกับคุณปิยะวรณ์ว่า โชคดีนะ ที่ตัดสินใจผ่าตัดคลอดซะก่อน ลูกคุณตัวใหญ่มาก หากรอให้ปากมดลูกเปิดหมดและลองดึงด้วยเครื่องดูดบริเวณศีรษะเด็ก เด็กคงแย่แน่ เพราะ หนึ่ง ส่วนหัวอาจคลอดได้แต่ต้องติดไหล่(shoulder dystocia)อย่างแน่นอน เด็กติดคาช่องคลอด  นานประมาณ 3 – 5 นาทีก็แย่แล้ว  ถึงรอดชีวิตมาได้ ก็พิการทางสมอง สอง ลูกคุณมีสายสะดือพันคอ 2 รอบ การดึงคลอดจะทำให้สายสะดือยิ่งรัดคอแน่นขึ้น จนถึงขั้นขาดออกซิเจนและอาจเสียชีวิต

การที่คุณปิยะวรณ์หรือคนไข้สตรีอื่นๆอยากคลอดเองนั้น ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งเป็นครรภ์หลัง   ยิ่งคลอดง่าย  ปกติ เมื่อปากมดลูกของคนไข้เจ็บครรภ์คลอดเปิดอยู่ในช่วง 3 – 9 เซนติเมตร  การเปิดขยายตัวของปากมดลูกในครรภ์แรกและครรภ์หลังจะมีอัตราประมาณ 1.2 และ 1.5 เซนติเมตร ต่อ ชั่วโมง ตามลำดับ  ส่วนการเคลื่อนตัวลงมาของส่วนหัวจะอยู่ในอัตราประมาณ 1 และ 2 เซนติเมตรต่อชั่วโมงตามลำดับเช่นกัน   สำหรับ กรณีของคุณปิยะวรณ์ ตั้งแต่ 13 นาฬิกา ปากมดลูกเปิด 3 เซนติเมตร ความหนา 100 % ก็คาดว่า ปากมดลูกจะเปิดหมด( 10 เซนติเมตร ) ประมาณในอีก 4 ชั่วโมงข้างหน้าหรือ 17 นาฬิกา แต่ไม่ว่า ปากมดลูกจะเปิดในอัตราปกติหรือไม่ การประเมินขนาดน้ำหนักเด็กร่วมกับการเคลื่อนตัวลงมาของส่วนหัว ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ดังนั้น ประสบการณ์ของสูติแพทย์จะมีส่วนช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น แน่นอน!….ผลที่ได้ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

การคลอด เป็นเรื่องที่ธรรมชาติกำหนดมาว่า ควรจะเป็นเช่นไร แต่บางครั้ง เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการคลอด การดื้อดึงที่จะคลอดเองทางช่องคลอดนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างมากมาย เช่น เด็กตาย หรือร่างกายรวมทั้งสมองพิการ แทนที่จะได้หนูน้อยที่น่ารักออกมาเชยชม

โลกหมุนไป ก็มีการเปลี่ยนแปลงและเกิดสิ่งใหม่ๆจำนวนมาก การที่จะมายึดติดกับความคิดเก่าๆ ถือว่า ไม่สมควร ยิ่งในทางการแพทย์  ใครที่ไม่ใฝ่ไปศึกษาหาความรู้วิทยาการใหม่ๆ อาจกลายเป็นคนล้าสมัย  แต่….สิ่งใหม่ๆ ก็ใช่ว่า ต้องดีกว่า ของเก่าทุกอย่างไป  แม้แต่วิทยาการความรู้ทางการแพทย์ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการปรับใช้ แพทย์บางคนที่มีโอกาสไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ มองอาจารย์หมอรุ่นเก่าๆว่า ไม่ทันสมัย แต่หมอรุ่นเก่าๆหลายท่านได้หมั่นศึกษาอยู่เสมอ เมื่อรวมเข้ากับประสบการณ์ที่สั่งสมมา ไม่แน่!….อาจช่วยเหลือคนไข้ที่มีปัญหารุมเร้าได้อย่างมากมาย  ดีกว่า คุณหมอรุ่นใหม่ที่ชอบกอดตำรารักษาเสียอีก…….

โรคจิตขณะเบ่งคลอด

โรคจิตขณะเบ่งคลอด

 

เมื่อ 10 กว่าปีก่อน มีคนไข้รายหนึ่ง อายุ 20 ปี มานอนรอคลอดที่โรงพยาบาลตำรวจใน  ตอนบ่าย ใครจะไปคิดว่า ค่ำคืนวันนั้นจะมีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น ตอนช่วงเวลาประมาณตี 2   ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับอย่างสบายภายในห้องแพทย์เวร พยาบาลห้องคลอดได้มาปลุก และขอให้ไปดูคนไข้สตรีรายนี้ ที่กำลังโวยวายอย่างไม่รู้สึกตัวขณะเบ่งคลอด ข้าพเจ้ารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะคิดว่า คนไข้ที่กำลังเบ่งคลอดทุกคน ต้องมีอาการเจ็บครรภ์คลอดเป็นธรรมดา  การเจ็บครรภ์ตอนเบ่งคลอด ถือว่า เป็นการเจ็บปวดมากที่สุดในชีวิตของมนุษยชาติอย่างหนึ่ง    การที่คนไข้แสดงอาการโวยวายบ้าง ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

แต่..ที่ไหนได้ พอไปเห็นเหตุการณ์เข้าจริงๆ กลับรู้สึกว่า ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว  คนไข้แสดงอาการคล้ายคนเป็นโรคจิตทีเดียว คือ เอะอะโวยวาย และดิ้นกระเสือกกระสนไปมาอยู่บนเตียงคลอด แม้พยาบาล 4-5 คนจะช่วยกันจับแขนขาคนละมือ แต่คนไข้เหมือนถูกผีเข้าสิง   กลับยิ่งดิ้นรนมากขึ้น    พยาบาล  4-5  คนยังแทบจะสู้แรงคนไข้คนเดียวไม่ได้   การพูดจาของคนไข้ขณะนั้นเหมือนคนไร้สติและฟังไม่เป็นภาษามนุษย์ ข้าพเจ้าตั้งใจจะให้คนไข้คลอดทางช่องคลอด เพราะเด็กมีขนาดไม่ใหญ่นัก และปากมดลูกก็เปิดหมดแล้ว

 แต่เนื่องจากคนไข้ไม่ให้ความร่วมมือ ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า เด็กที่คลอดออกมา หายใจไม่ดีเลย และเนื้อตัวอ่อนปวกเปียก คะแนนสภาวะแรกเกิดอยู่ที่ 2 และ 4 ( ที่ 1 และ 5 นาที) ตามลำดับ ซึ่งบ่งบอกว่า  เด็กขาดออกซิเจนอย่างมากจนน่าจะมีผลต่อสมอง

ตลอดระยะเวลาที่อยู่ห้องไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด ซึ่งมีกุมารแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ทารกน้อย ก็มีชีวิตอยู่ดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน นั่นไม่ใช่ โชคร้ายเพียงอย่างเดียวของคนไข้รายนี้  ภายในห้องผ่าตัดวันนั้น หลังจากเย็บปิดมดลูกส่วนล่างเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามดลูกเกิดภาวะเฉื่อย ( Uterine Atony ) และตกเลือดอย่างรุนแรง จนไม่สามารถหยุดเลือดได้  ในที่สุด ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้ง  นั่นคือ โชคร้ายอีกครั้งหนึ่งของเธอ

วันรุ่งขึ้น คนไข้ได้สติคืนมา จึงรับรู้เรื่องราวต่างๆด้วยความเสียใจ เพราะนอกจากเสียบุตรชายแล้ว ยังต้องสูญเสียมดลูกอีกด้วย  

นั่นคือ ครั้งหนึ่งของเหตุการณ์ที่คนไข้แสดงอาการจิตวิปริต ( Psychosis ) ขณะคลอด ซึ่งข้าพเจ้าเคยหวังว่า คงจะไม่เจอกับเหตุการณ์เช่นนั้นอีก

เวลาผ่านไปกว่า 10 ปี จนกระทั่งเมื่อวานนี้ ได้เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันซ้ำขึ้นมาอีก  คนไข้สตรีรายหนึ่ง อายุ 35 ปี ตั้งครรภ์ที่ 3  อายุครรภ์ 39 สัปดาห์ มาโรงพยาบาลด้วยเรื่องน้ำเดิน หลังจากนอนรอคลอดได้ประมาณ 3 ชั่วโมง ปากมดลูกก็เปิดหมด ก่อนหน้านี้ คนไข้ให้ความร่วมมือดีมาตลอด ตอนที่ข้าพเจ้าขึ้นไปห้องคลอด ตรวจสภาพความเรียบร้อยภายในห้องคลอด ได้เปิดดูประวัติคนไข้คร่าวๆ ก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่พอพ้นออกจากห้องคลอดไปไม่นาน กลับเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

 คนไข้ร้องโวยวาย ดิ้นรนขยับร่างกาย แขนขาไปมาบนเตียงคลอดอย่างไม่รู้สึกตัวและค่อนข้างรุนแรงจนพยาบาลห้องคลอด 3-4 คนจับไม่อยู่  ปากคนไข้ก็ร้องตะโกนซ้ำๆกันหลายครั้งว่า อย่าเอาลูกฉันไป ๆ…… ” ซึ่งไม่มีใครเข้าใจความหมายที่แท้จริง

พยาบาลได้เรียกผ่านวิทยุติดตามตัวให้โทรศัพท์กลับไปยังห้องคลอดด่วน  ข้าพเจ้ารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย  แต่ก็โทรกลับไป  ในระหว่างรายงานโดยพยาบาลห้องคลอด  ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคนไข้ร้องโวยวายเสียงดังลั่น ฟังไม่รู้เรื่อง ข้าพเจ้าสั่งการทางโทรศัพท์ให้ผ่าตัดด่วนเลย

เมื่อไปถึงห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าขอตรวจภายในคนไข้รายนี้   เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของการคลอด ข้าพเจ้าพบว่า ปากมดลูกเปิดหมด ศีรษะเด็กไม่ใหญ่มากและลงมาค่อนข้างต่ำ  จากการคะเนน้ำหนัก ทารกน้อยน่าจะหนักประมาณ  3000 กรัม  ซึ่งเมื่อเทียบกับครรภ์ก่อนๆ น่าจะคลอดเองได้อย่างแน่นอน เพราะ ลูกคนแรกและคนที่ 2 ตอนคลอดมีน้ำหนักถึง 4 และ 3.6 กิโลกรัมตามลำดับ 

คนไข้รายนี้ถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดสูติฯ ตามความตั้งใจแต่แรกว่าจะผ่าเอาเด็กออกทางหน้าท้อง พยาบาลห้องผ่าตัดถามข้าพเจ้าว่า หมอจะให้คลอดเองทางช่องคลอดโดยดมยาไหม?  เพราะปากมดลูกเปิดหมดแล้ว เด็กตัวเล็กและหัวเด็กลงมาค่อนข้างต่ำ

ข้าพเจ้าหยุดชะงักกับคำทักทายนี้และสั่งชลอการผ่าตัดเอาไว้ก่อน  ข้าพเจ้าขอตรวจภายในซ้ำอีกครั้ง ซึ่งยังคงคาดคะเนเหมือนเดิมว่า เด็กตัวขนาดนั้นน่าจะคลอดทางช่องคลอดได้

เอาอย่างนี้ ใส่ท่อช่วยหายใจให้กับคนไข้ไปเลย ผมจะใช้คีมคีบศีรษะเด็กและดึงคลอดเหมือนกับคนไข้ธรรมดาที่มีปัญหาคลอดยาก ข้าพเจ้าเปลี่ยนแผนกระทันหัน หลังจากพยาบาลห้องผ่าตัดพูดทักขึ้น

แต่พอใส่คีมเข้าไปหนีบคร่อมศีรษะทารกและดึง ปรากฏว่า ศีรษะเด็กขยับตามลงมาเพียงเล็กน้อย  ข้าพเจ้าดึงคีมทำคลอดอย่างเต็มที่ 2 ครั้ง ทารกก็ไม่คลอด  

ระหว่างนั้น พยาบาลดมยารายงานว่า ปัสสาวะของคนไข้ออกมาเป็นเลือด หมอจะให้ทำอะไรไหม ? ”

ดูไปก่อน ก็แล้วกัน ลองให้น้ำเกลือมากๆหน่อย  สักพักหนึ่งปัสสาวะคงใสขึ้น  ถ้าปัสสาวะไม่ดีขึ้น เดี๋ยวให้แพทย์ฝึกหัด ( Extern ) ไปสวนล้วงกระเพาะปัสสาวะที่หอผู้ป่วย ข้าพเจ้าบอกถึงแนวทางการรักษา ซึ่งต่อมาปรากฏว่า ต้องไปสวนล้างกระเพาะปัสสาวะจริงๆ ปัสสาวะของคนไข้จึงใสขึ้น และไม่เกิดเลือดออกทางกระเพาะปัสสาวะอีกเลย บางที การมีเลือดออกทางกระเพาะปัสสาวะของคนไข้รายนี้ อาจเกิดเนื่องจากการดึงคลอดด้วยคีม ก็เป็นไปได้

มาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าไม่อยากเสี่ยงอีกต่อไป เพราะกลัวเด็กจะตายเหมือนกับกรณีของคนไข้รายแรก ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอให้พยาบาลจัดท่าให้ใหม่ เพราะเดิมคนไข้อยู่ในท่าขึ้นขาหยั่ง     ( Lithotomy position )   จากนั้น จึงลงมือผ่าตัดทันที

พอเปิดเข้าไปในโพรงมดลูกทางมดลูกส่วนล่าง  ก็พบว่า  ทารกอยู่ในท่านอนหงาย  ถึงว่าละ! ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถใช้คีมดึงศีรษะทารกคลอดทางช่องคลอดได้  ถ้าตอนนั้น เปลี่ยนเป็นใช้เครื่องดูดสุญญากาศแทนคีมดึงศีรษะทารก ข้าพเจ้าคิดว่า น่าจะดึงคลอดได้สำเร็จ เพราะเด็กตัวไม่ใหญ่และศีรษะเด็กจะต้องมีการหมุนระหว่างที่เคลื่อนตัวลงมา โดยเมื่อมาถึงบริเวณใกล้ปากช่องคลอด เด็กจะหมุนศีรษะและเงยหน้าขึ้นตามกลไกการคลอดแบบธรรมชาติ  ทำให้คลอดได้สำเร็จ

ทารกที่คลอดเป็นเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 3060 กรัม แข็งแรง ร้องดังและหายใจดี  คะแนนสภาวะแรกคลอดเท่ากับ 9 และ 10 ตามลำดับ  แต่เนื่องจากศีรษะเด็กอยู่ลึกลงไปในช่องคลอดอย่างมาก  การล้วงมือลงไปทางอุ้งเชิงกรานลึกๆ ทำให้มดลูกส่วนล่างเกิดการฉีกขาดทางด้านข้างเป็นแนวยาวมากทั้งสองข้าง 

การเย็บมดลูกส่วนล่างดังกล่าวต้องกระทำด้วยความระมัดระวังยิ่ง สูติแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์มากพอ อาจมีปัญหาเรื่องการเย็บบริเวณนี้  บางที การตัดมดลูกอาจกระทำได้ง่ายกว่า แต่ผลเสีย ก็ดั่งที่รู้ คือ คนไข้จะไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป  ข้าพเจ้าเลือกที่จะเย็บมดลูกส่วนล่างที่ฉีกขาดนี้โดยเย็บที่ละเข็ม ( Stitch ) เป็นรูปเลขแปด ( Figure of eight )    เริ่มที่มุมล่างสุดก่อน แล้วเย็บไล่ขึ้นมาตามลำดับ  ในที่สุด  ก็สามารถเย็บปิดส่วนฉีกขาดทั้งสองข้างได้  หลังจากนี้ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป …………

นี่คือ เรื่องราวของคนไข้แสดงอาการจิตวิปริตขณะคลอด ( Psychosis )  2 ราย ซึ่งผลสุดท้ายลงเอยแตกต่างกัน  ประสบการณ์จากคนไข้รายแรก ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเรื่องการรักษาในรายที่สองได้ดีขึ้น    การรอเวลาเพื่อให้คนไข้กลับมาร่วมมือในการคลอดตามธรรมชาติ  เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะคนไข้ไม่รู้สึกตัวแล้ว เสมือนจิตของเขาแตกแยกกลายเป็นอีกคนหนึ่ง  หลังจากที่คนไข้รายที่สองกลับมารู้ตัวดีในวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าได้ถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและคำพูดต่างๆที่เธอพร่ำเพ้อ  เธอบอกว่า จำอะไรไม่ได้  ตอนนั้น รู้สึกเหมือนมีใครจะมายื้อแย่งลูกไป แต่ฉันไม่ยอม  ลูกสาวคนที่เสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว ก็มาช่วยเหลือดิฉันอีกแรงหนึ่ง  แย่งลูกชายกลับมา

ลูกสาวคนที่สองอายุ เท่าไร และเสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไร? ” ข้าพเจ้าถาม

ลูกสาวอายุ 13 ขวบ  เธอเป็นโรคมาลาเรีย เสียชีวิตเมื่อปีที่แล้วนี่เอง คนไข้ตอบ

อืม! เป็นเรื่องที่แปลก เออ! ตอนนี้ ถือว่า ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรอีกแล้ว  ลูกคุณปลอดภัยดี  ส่วนคุณเอง  คงต้องดูอาการไปสัก 2- 3 วัน ปัสสาวะที่ออกมา  ก็ใสดีแล้ว  ถ้าไม่มีความผิดปกติอะไร คุณคงกลับบ้านพร้อมลูกได้ในเร็ววัน ขอให้โชคดี ข้าพเจ้าดีใจที่เห็นคนไข้อยู่ในสภาพที่สุขสบายดี ไม่ต้องถูกตัดมดลูก สุดท้าย ก็ได้อวยพรให้กับคนไข้รายนี้ ขอให้ ไม่ต้องพบกับโชคร้ายเหมือนกับคนไข้รายแรก

เรื่องราวของคนไข้ที่แสดงอาการจิตวิปริตขณะเบ่งคลอด บางทีอาจมีสาเหตุมาจากความเครียดผสมกับความเจ็บปวดอย่างที่สุด ข้าพเจ้าไม่เคยได้เรียนรู้หรือเห็นในตำราเกี่ยวกับโรคจิตชนิดนี้เลย  ในตำรามีแต่โรคจิตหลังคลอด ( postpartum psychosis )  ดังนั้น ตั้งแต่พบคนไข้รายแรกที่แสดงอาการทางจิตแปลกๆขณะคลอด  ก็ไม่เคยคิดว่า จะพบคนไข้ลักษณะแบบนี้อีก

เรื่องราวชีวิตของคนเราในอดีต ก็เหมือนกัน คงมีบ้างที่เลวร้ายจนยากจะลืมและทำให้จิตใจของเราผิดปกติไป เราอาจคิดว่า มันคงไม่เกิดขึ้นมาอีก  แต่..จู่ๆ บางทีมันก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง  อย่างไรก็ตาม เราต้องพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์เช่นนั้น และทำให้ดีที่สุด เราไม่ควรประมาทกับชีวิต  โปรดอย่าคิดว่า  อาการจิตวิปริตจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเรา  ตราบใดที่เรายังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความเครียดและการแก่งแย่งชิงดี……….

$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$

หมอกำมะลอ

หมอกำมะลอ

วันนี้ ข้าพเจ้าได้พบกับแพทย์ 2 ท่าน ในเวลาที่ห่างกันไม่ถึง 2 ชั่วยาม การที่ได้พบแพทย์ทั้งสองท่านนั้น ทำให้ข้าพเจ้านึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวของการเรียนแพทย์ชั้นปีสุดท้าย และเรื่องราวของหมอปลอม ที่เที่ยวต้มตุ๋นผู้คนที่มาเยือนกรุงปักกิ่ง เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเรื่องราวทั้งสองเรื่องเป็นการสะท้อนชีวิตของคนที่เป็นแพทย์ว่า  ควรจะทำตัวอย่างไร?????

ตอนเช้าวันนี้ ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนแพทย์สตรีท่านหนึ่ง ซึ่งไม่ได้พบกันมาประมาณ 20 ปี  หลังจากที่จบการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิตแล้ว เธอก็แต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดระนอง ข้าพเจ้ามองเธอแล้วก็นึกย้อนกลับไปที่คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   เกี่ยวกับเรื่องราวการศึกษาแพทย์ชั้นปีก่อนๆข้าพเจ้าจำไม่ได้ถนัดนัก แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าถูกกล่าวหาขณะเป็นแพทย์ฝึกหัดว่า ควรปรับปรุงตัว หรือพูดง่ายว่า ทำตัวขี้เกียจ นั้น เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ายอมรับไม่ได้  อย่างไรก็ดี  ข้าพเจ้าได้พิสูจน์ตัวเองตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาว่า ข้าพเจ้ามุ่งมั่นและได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เพื่อศึกษาหาความรู้ในหลายๆด้าน จนทำให้ตระหนักรู้เลยว่า ความรู้ทางการแพทย์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว  หากแพทย์ท่านใดหยุดการศึกษา  ท่านก็จะถูกทอดทิ้งไว้อยู่เบื้องหลัง แม้ว่า ความรู้ในอดีตจะสามารถนำมาปรับใช้ได้  แต่ความรู้ทางการแพทย์ใหม่ๆก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง   ควรที่เราจะต้องติดตามให้ทันกับยุคสมัย

ขณะที่พูดคุยกับเพื่อนแพทย์สตรีอยู่นั้น ก็มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่เข้ามาเตือนถึงการนำเสนอในที่ประชุมเกี่ยวกับ เรื่องราวของคนไข้สตรีซึ่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อ 2 3 วันก่อนขณะตั้งครรภ์ได้ 35 สัปดาห์ เรื่องราวมีอยู่ว่า คนไข้สตรีรายนี้นั่งซ้อนรถจักรยานยนต์แล้วถูกรถชน คนไข้ถูกส่งต่อจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แล้วส่งต่อมาที่ โรงพยาบาลตำรวจ  ตอนที่มาถึง ตัวคนไข้เองมีปัญหาเลือดคั่งในสมอง ( Epidural Hematoma ) ส่วนทารกในครรภ์ก็มีปัญหาเรื่องหัวใจเต้นช้ามากขณะมดลูกหดตัว ( Late deceleration ) ซึ่งเกิดจากรกกำลังลอกตัว ( Abruptio placenta ) แม้คนไข้จะได้รับการผ่าตัดอย่างรวดเร็วหลังจากตรวจด้วยเครื่อง C.T. scan  แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือทารกน้อยไว้ได้ เพราะหลักการรักษาในสตรีตั้งครรภ์ คือ หากจำเป็นต้องเลือกที่จะช่วยเหลือ  ต้องเลือกแม่เป็นอันดับแรก และลูกเป็นอันดับรอง  การผ่าตัดพร้อมๆกัน ทั้งสูติแพทย์และศัลยแพทย์ทางสมอง ตอนนั้น ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากศัลยแพทย์กลัวว่า ความดันโลหิตจะลดต่ำลงมากจากการเสียเลือดจนเป็นอันตรายต่อสมองของคนไข้ แต่ในที่สุด ทางสูติแพทย์ก็จำเป็นต้องผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง เพราะหัวใจทารกเต้นช้ามาก ประมาณ 60 ครั้ง ต่อนาที  เมื่อทารกน้อยคลอดออกมา  กุมารแพทย์ไม่สามารถช่วยเหลือชีวิตของทารกได้

ข้าพเจ้านำเรื่องราวดังกล่าวเล่าให้กับเพื่อนแพทย์สตรีฟัง  เธอรู้สึกสะท้อนใจและย้อนถามข้าพเจ้าว่า ตัวคนไข้เองจะรอดไหม?   ข้าพเจ้าตอบว่า  ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ศัลยกรรมทางสมองของที่นี่ก้าวหน้ามาก เราน่าจะช่วยเหลือคนไข้รายนี้ได้

 ตอนเย็นวันเดียวกัน ข้าพเจ้าได้พบกับแพทย์อาวุโสท่านหนึ่ง ชื่อ นายแพทย์เฉิน  นายแพทย์เฉิน เป็นคนไทยที่เติบโตในกรุงเทพฯจนอายุได้ 13 ปี แล้วถูกส่งตัวไปอยู่ที่เกาะไหหลำ ของประเทศจีน ท่านได้ศึกษาและทำงานเป็นศัลยแพทย์อยู่ที่นั่นนานกว่า 30 ปี ต่อมา เมื่อเมืองจีนเปิดประเทศ จึงได้ขอกลับมาเมืองไทยและขอเปลี่ยนสัญชาติเป็นคนไทยอีกครั้ง เชื่อหรือไม่ว่า  ช่วงที่กลับมาใหม่ๆ  ท่านแทบจะไม่มีข้าวกิน  เพราะใบประกอบโรคศิลปแพทยศาสตรบัณฑิตของจีนไม่สามารถนำใช้ในเมืองไทยได้  กอรปกับท่านมีอายุมาก จึงไม่สามารถหางานทำเป็นหลักแหล่งได้  ตอนนั้น ท่านมีโอกาสได้รู้จักกับภรรยาข้าพเจ้าและได้รับความช่วยเหลือทางด้านธุรกิจอยู่ระยะหนึ่ง  วันนี้ท่านและภรรยาข้าพเจ้าเพิ่งมีโอกาสได้มาพบกันอีกครั้ง หลังจากไม่ได้พบกันมานานกว่า 10 ปี   ปัจจุบันท่านอายุ 65 ปี ดำรงชีพด้วยเงินเล็กๆน้อยๆจากลูกสาวที่ทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าฟังเรื่องราวของนายแพทย์เฉิน แล้วก็เกิดความคิดว่า มีแพทย์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมดำเนินอาชีพเป็นแพทย์ แต่กลับเป็นนักบริหาร นักการตลาด นักการเมือง สักวันหนึ่งพวกเขาก็จะลืมความรู้ที่สู้อุตส่าห์เรียนมา หากคิดกลับตัวมาเป็นแพทย์อีกครั้ง ใครเล่าจะเชื่อถือ เพราะความรู้ทางการแพทย์มีความลึกซึ้ง และซับซ้อน แพทย์ทุกคน จำเป็นต้องหมั่นทบทวน ฝึกหัด พัฒนาและติดตามความก้าวหน้าอยู่เสมอ จึงจะดำรงชีวิตเป็นแพทย์ได้   มิฉะนั้นไซร้ ก็จะกลายเป็น คุณหมอกำมะลอไป

ขณะที่กำลังพูดคุยกับคุณหมอเฉิน ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองและภรรยาเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนที่แต่งงานใหม่ๆ  เราทั้งสองได้เดินทางไปเที่ยวที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เราเดินทางไปกันเอง เนื่องจากภรรยาของข้าพเจ้ามีเพื่อนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การท่องเที่ยวแห่งประเทศจีน  ซึ่งคอยอำนวยความสะดวกต่างๆให้

วันแรก เมื่อเราเดินทางไปถึงที่กรุงปักกิ่ง และเข้าพักที่โรงแรมระดับ 5 ดาวแห่งหนึ่ง  ตอนเย็นวันนั้น  ภรรยาข้าพเจ้าเกิดมีอาการปวดท้องน้อยขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน อาการปวดท้องน้อยไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา  ข้าพเจ้าจึงเดินไปหาผู้จัดการโรงแรมเพื่อให้แนะนำเราไปโรงพยาบาลของรัฐที่ใกล้ที่สุด ระหว่างที่รอรถแท๊กซี่อยู่นั้น  มีสตรีนางหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ อ้างตัวว่า เป็นหมอ และเดินเข้ามาถามอาการของภรรยาข้าพเจ้า  หลังจากทราบว่า เป็นอะไรแล้ว  เธอก็อาสารักษาให้  ข้าพเจ้ารู้สึกเอะใจ แต่แรกว่า  จะถูกหลอก เนื่องจากสตรีผู้นี้แต่งกายแปลกๆ ค่อนข้างโป้ เธอนุ่งกระโปรงสีขาวค่อนข้างสั้น ใส่เสื้อแขนยาวสีแดง  และใส่ถุงน่องสีดำ   ใบหน้าท่าทางของเธอ ไม่มีลักษณะของคนมีความรู้แต่อย่างใด  อย่างไรก็ตาม ภรรยาข้าพเจ้ากำลังปวดท้องอยู่ ก็ต้องลองเชื่อดูสักครั้ง โดยข้าพเจ้าได้บอกกับหมอผู้หญิงคนนี้ว่า ข้าพเจ้าเป็นสูติ-นรีแพทย์อยู่ที่เมืองไทย  ยังไงยังไง ก็เป็นหมอเหมือนกัน ขอให้ช่วยเหลือด้วย  

หมอผู้หญิงคนนี้ตอบว่า ไม่มีปัญหา เรื่องแค่นี้เล็กน้อย เดี๋ยวจะพาไปรักษาที่คลินิก  แต่ขอรอเพื่อนที่มาเที่ยวด้วยกันสักครู่นะ   พอเธอพูดจบ ก็มีเพื่อนผู้ชาย อายุประมาณ 50 ปีและหญิงสาวอายุประมาณ 25 ปี ก้าวออกมาจากห้องอาหาร  เข้ามาสมทบ  พวกเราทักทายกันพอเป็นพิธี  แล้วก็ออกเดินทางไปสู่จุดหมายด้วยรถแท๊กซี่ ระหว่างนั้น ข้าพเจ้าเริ่มทดสอบความรู้ของหมอจีนผู้หญิงคนนี้ว่า มีความรู้ทางการแพทย์หรือไม่ ด้วยการป้อนคำถามง่ายๆว่า  ผมเพียงแต่ต้องการยา บาราแกน ( Baragan ) หรือ บัสโคแปน ( Buscopan ) สัก 2 – 3 เม็ดก็พอ ไม่อยากรบกวนอะไรมาก  

เชื่อหรือไม่ว่า  หมอจีนคนนี้ไม่รู้จัก ข้าพเจ้าพยายามสอบถามเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับการแพทย์ เธอก็ตอบบ่ายเบี่ยงโน่นนี่  แล้วแต่จะพูดให้ดูแล้วดี  ข้าพเจ้านั่งนึกในใจว่า หมอจริงกำลังจะถูกหมอปลอมต้มตุ๋นเอาเสียแล้ว หมอจีนผู้หญิงคนนี้พยายามที่จะคุยโตโอ้อวดว่า เคยไปบรรยายความรู้ที่มหาวิทยาลัยต่างๆทั้งในและต่างประเทศมากมาย อาทิเช่น  มหาวิทยาลัยในกรุงปักกิ่ง และในประเทศฮ่องกง  เกาลูน มาเก๊า ไต้หวัน เป็นต้น ภรรยาข้าพเจ้าเองได้พูดคุยเรื่องทั่วไปกับเธอเป็นครั้งคราวด้วย โดยไม่สงสัยแม้แต่น้อย  เมื่อเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง ผู้ชายที่มากับเธอก็ขอลงข้างทาง แต่พวกเรายังคงเดินทางต่อไปอีกเป็นเวลานานพอสมควร จึงถึงที่หมาย  

สถานพยาบาลหรือคลินิกของเธอตั้งอยู่ในโรงแรมระดับ 3 ดาวแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าพยุงภรรยาเดินตามหมอจีนคนนี้กับคู่หูของเธอขึ้นไปยังชั้น 4 ของโรงแรม  พอหมอจีนไขกุญแจเข้าไปในห้องพัก ข้าพเจ้าสังเกตว่า ห้องพักแห่งนี้ได้ถูกดัดแปลงและตกแต่งเป็นคลินิกเล็กๆ พอเข้าไปได้สักครู่ หมอจีนคนนี้ก็เรียกผู้หญิงคูหูเธอหรือ พยาบาลผู้ช่วย ให้หยิบแก้วน้ำเปล่ามา 4 ใบ

 ข้าพเจ้าเริ่มมั่นใจแล้วว่า หมอจีนผู้หญิงคนนี้และผู้ช่วยของเธอเป็นพวกนักต้มตุ๋น แต่ก็ต้องพยายามข่มใจ ตั้งสติและหาทางออกที่เหมาะสม  ข้าพเจ้าพูดภาษาไทยกับภรรยาข้าพเจ้าว่า พวกเราถูกหลอกอย่างแน่นอน  แต่จะทำยังไงดี? ภรรยาข้าพเจ้าตอบว่า คิดไม่ออกเหมือนกัน ลองให้เขารักษาดูสักหน่อย หากเห็นไม่เข้าท่า ก็ขอกลับ  ตอนนี้ อาการปวดท้องทุเลาบ้างแล้ว  

หมอจีนผู้หญิงนักต้มตุ๋นบอกให้ภรรยาข้าพเจ้าขึ้นนอนบนเตียง แล้วเธอก็จุดไฟที่บริเวณปากแก้ว 4 ใบที่อยู่ในสภาพคว่ำ เพื่อให้เกิดอากาศภายในแก้วเบาบางลง พอวางลงบนหน้าท้องของภรรยาข้าพเจ้า แก้วทั้ง 4 ใบก็จะเกาะติดกับผนังหน้าท้องได้ เธอบอกว่า กำลังใช้พลังวิชาชี่กง   ตอนนั้น ข้าพเจ้าไม่รอช้า รีบเดินไปหาผู้ช่วยของเธอและพูดจาเพื่อขอนามบัตรของหมอนักต้มตุ๋นคนนี้ ตอนแรกผู้ช่วยของเธอทำท่าบ่ายเบี่ยง  หลังจากข้าพเจ้าพูดตื้ออยู่สักพัก  ผู้ช่วยเธอก็ไปหยิบนามบัตรของหมอจีนคนนี้มาให้  พอได้นามบัตร  ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปถามภรรยาว่า อาการปวดท้องดีขึ้นบ้างไหม?   ภรรยาข้าพเจ้าตอบว่า ดีขึ้นแล้ว

ข้าพเจ้าบอกให้ภรรยาเตรียมตัวเพื่อรับกับสถานการณ์ เพราะรู้แน่แล้วว่า กำลังถูกหมอปลอมหลอก   ข้าพเจ้าเดินไปหาหมอจีนคนนั้นและบอกว่า พอแค่นี้นะ เราอยากจะกลับบ้านแล้ว เราจะจ่ายค่ารักษาให้ คุณจะคิดเราเท่าไหร่? หมอจีนคนนั้นเดินไปเอาถ้วยทั้ง 4 ใบออกจากหน้าท้องของภรรยาข้าพเจ้า และพูดหน้าตาเฉยว่า คิดตามเวลาที่รักษา ขอ 200 ดอลลาร์ ก็แล้วกัน

อะไรนะ!… ตั้ง 200 ดอลลาร์เชียวหรือ? ข้าพเจ้าอุทานออกมา พลางหันมาพูดภาษาไทยกับภรรยาว่า จะให้เงินมันไหม?   ภรรยาข้าพเจ้าคิด  คิด คิด สักครู่ ก็พูดกับหมอปลอมคนนี้ว่า ยังงี้ก็แล้วกัน ฉันจะให้เป็นเงินจีน 200 หยวน(1000บาท) จะเอาไหม? ถ้าไม่เอา  ก็ไม่ให้  

โอ เค. 200 หยวนก็ได้ ขอบคุณมากๆ หมอปลอมตอบ หลังจากภรรยาข้าพเจ้าจ่ายเงินแล้ว เราทั้งสองก็รีบเดินออกจากห้องพักนั้น ข้าพเจ้าได้พูดกับภรรยาเป็นภาษาไทยว่า ช่างมันเถอะ! หากเราไม่จ่ายเงิน เกิดพวกมันดักรออยู่บริเวณหน้าห้องและกรุ้มรุมทำร้าย คุณกับผมอาจได้รับอันตราย  เงินแค่นี้  เราพอจะหาเอาใหม่ได้     

ภรรยาข้าพเจ้านำเรื่องหมอปลอมหลอกหมอจริงไปเล่าให้เพื่อนของเธอ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการท่องเที่ยวของประเทศจีน ได้รับรู้ในวันรุ่งขึ้นและขอให้เป็นธุระจัดการให้ด้วย  โดยมอบนามบัตรของหมอปลอมคนนี้เป็นหลักฐาน  ข้าพเจ้าและภรรยาอยู่ที่กรุงปักกิ่งต่ออีก 3 – 4  วัน ก็ต้องเดินทางไปยังสถานที่อื่นต่อไปตามหมายกำหนดการเดิม การที่นักท่องเที่ยวไม่มีเวลาอยู่ในเมืองจีนได้นาน นั่นคือ มูลเหตุจูงใจให้เหล่านักมิจฉาชีพเลือกเอานักท่องเที่ยวเป็นเหยื่อ 

เรื่องหมอปลอมหลอกหมอจริง  แม้จะมองดูเป็นเรื่องตลกขบขัน แต่ก็มีคติสอนใจแทรกอยู่ คุณหมอทั้งหลายที่จบการศึกษาไปนานๆ หรืออยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ความรู้ทางการแพทย์เลย  สักวันหนึ่ง ก็จะลืมความรู้ และทักษะในการรักษาพยาบาล  เมื่อถึงวันนั้น หากกลับมาเปิดคลินิกทำการรักษาคนไข้ทั้งๆที่ไม่มีความรู้ บางที……อาจเข้าทำนองเป็นการหลอกลวง เนื่องจากขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการใช้ยา  ทางที่ดี ก็คือ อย่าละทิ้งอาชีพแพทย์ หมั่นศึกษาทบทวนความรู้ โดยการเข้าอบรมวิชาการและฝึกทักษะอยู่เสมอ ก็จะไม่ถูกกล่าวหาว่า เป็นหมอกำมะลอ.

 

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

รักที่หลุดลอย

รักที่หลุดลอย

 

หลายวันที่ผ่านมา ข้าพเจ้ายังคงไม่สามารถลืมเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับคนไข้รายหนึ่ง ซึ่งทารกอยู่ในภาวะอันตรายอย่างวิกฤตได้  ถ้าวันนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์ผู้ร่วมงาน ทารกน้อยคงตายในครรภ์ก่อนข้าพเจ้าเดินทางไปถึง แม้ต่อมาหลังจากคลอดแล้ว เด็กน้อยก็ยังอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วง เมื่อวานข้าพเจ้าได้ติดตามไปดูเด็กน้อยที่ห้อง ไอ. ซี. ยู.ทารกแรกเกิด จึงรับรู้ว่า  เด็กน้อยกำลังจะตาย………

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเช้าวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างความกระวนกระวายใจให้ข้าพเจ้ามากจนต้องขับรถอย่างรวดเร็ว เพื่อหาทางไปยังห้องผ่าตัดให้เร็วที่สุด ท้องถนนขณะนั้น รถติดมาก แม้ข้าพเจ้าจะอาศัยทางด่วนช่วยย่นระยะเวลา แต่การเดินทางก็ยังเชื่องช้า  โชคดีที่สุดท้าย ลูกน้อยของคนไข้ได้รับการผ่าตัดคลอดออกมาทันเวลาและมีชีวิตรอดในระยะแรก  อย่างไรก็ตาม โชคร้ายได้มาพรั่งพรูมาสู่หนูน้อยเป็นละลอก หนูน้อยที่คลอดออกมาแสดงอาการป่วยด้วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหลังจากคลอดไม่นาน จากการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือหลายๆอย่าง  สรุปรวมความว่า เป็นโรคหัวใจล้มเหลวที่รักษาไม่ได้ ( Hypoplastic left heart syndrome ) และกำลังจะตาย   พ่อแม่คนใดเล่าจะข่มใจทนรับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้

วันนั้น เป็นวันอังคาร ซึ่งข้าพเจ้าจะต้องเข้าเวรตั้งแต่ 8 นาฬิกา  เพื่อดูแลรับผิดชอบคนไข้ห้องคลอด  แต่เวลาประมาณ  7 นาฬิกา ได้มีการเรียกทางวิทยุติดตามตัวจากห้องคลอด  ขอให้โทรศัพท์กลับด่วน  เมื่อติดต่อกลับไป  พยาบาลห้องคลอดได้พูดทางโทรศัพท์กับข้าพเจ้าว่าหมอนัดคนไข้มาเร่งคลอดรายหนึ่ง ซึ่งมีอายุครรภ์ 41 สัปดาห์ 5 วัน  คนไข้มาถึงตอน 6 โมงครึ่ง ยังไม่ทันจะทำอะไรเลย  พอฟังการเต้นของหัวใจเด็ก ก็พบว่า เต้นไม่สม่ำเสมอ ( Irregular )  อัตราการเต้นอยู่ที่ 90 ถึง 120 ครั้งต่อนาที  หมอคิดว่า จะจัดการอะไรไปก่อนไหม? ”

เออ! รีบตามหมอเวรด่วนเลย กรณีเช่นนี้คงต้องผ่าตัดให้คลอดเดี๋ยวนี้ทันที  อย่ารอช้าเป็นเด็ดขาด  ข้าพเจ้าตอบไปทางโทรศัพท์ เพราะเห็นว่า ทารกตกอยู่ในภาวะอันตราย  จากนั้นไม่นาน  ข้าพเจ้าได้ออกเดินทางจากบ้าน

พอเวลา 8  นาฬิกา ข้าพเจ้าได้รับการเรียกทางวิทยุติดตามตัวจากห้องคลอดอีกครั้ง เมื่อติดต่อกลับไป  ปรากฏว่า  คุณหมอที่อยู่เวรขอพูดสายด้วย  ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ แต่พยายามตั้งใจฟังว่า มีเหตุการณ์อะไรที่พลิกผันหรือน่าตกใจเกิดขึ้น?

เออ!  พี่ครับ  คนไข้ที่พี่นัดมาเร่งคลอด   ตอนแรกหัวใจเต้นช้ามากประมาณ 90 ครั้งต่อนาที แต่หลังจากให้ออกซิเจน นอนตะแคง และเร่งน้ำเกลือเพื่อช่วยระบบไหลเวียนของเลือดแล้ว  หัวใจเด็กก็กลับมาเต้นตามปกติเหมือนเดิม  พอดี  คนไข้เพิ่งรับประทานอาหารมา  ผมเลยยกเลิกการผ่าตัด และให้รอพี่มาดูและตัดสินใจเองก็แล้วกัน  คุณหมอเวรพูดมาทางโทรศัพท์

ได้  ได้   ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเองข้าพเจ้าพูดตอบไปทางโทรศัพท์  แม้ว่า ข้าพเจ้าจะเคารพในความรู้และการตัดสินใจของสูติแพทย์ทุกท่านอยู่แล้ว  แต่กรณีคนไข้รายนี้ ในความคิดตามประสบการณ์ของข้าพเจ้า  เด็กกำลังอยู่ในภาวะอันตรายอย่างวิกฤต

ข้าพเจ้ารอเวลาให้ผ่านไปสัก 2-3 นาที จึงโทรศัพท์เข้าไปสั่งการกับพยาบาลห้องคลอดให้แจ้งห้องผ่าตัดว่า ขอผ่าตัดคลอดคนไข้รายนี้อย่างเร่งด่วน  ใจของข้าพเจ้าตอนนั้นร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟสุม ด้วยกลัวว่า ทารกจะตายก่อนเดินทางไปถึง   เพราะ ประการแรก คนไข้ตั้งครรภ์เกินกำหนดคลอดตามปกติ ( 40 สัปดาห์ ) เกือบ 2 สัปดาห์  ซึ่งมักเกิดปัญหาน้ำคร่ำน้อยและรกเสื่อม ทารกที่อยู่ในภาวะขาดออกซิเจนเช่นนี้มีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ  ประการที่สอง  การเต้นของหัวใจเด็กช้าและไม่สม่ำเสมอ  แม้จะแก้ไขจนกลับมาเป็นปกติ ก็ตาม  ด้วยเหตุนี้  ข้าพเจ้าจึงแทบจะช็อกเมื่อทราบว่า คนไข้ยังไม่ได้รับการผ่าตัดคลอดเมื่อเกือบ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งข้าพเจ้ามาทราบทีหลังว่า  ที่คุณหมอเวรไม่สามารถผ่าตัดคลอดทันที เนื่องมาจากกำลังติดผ่าตัดอยู่

เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที ข้าพเจ้ายังคงอยู่บนท้องถนนที่สภาพการจราจรแย่มาก ในวินาทีนี้  คงไม่มีอะไรดีไปกว่าขอความช่วยเหลือจากแพทย์ท่านอื่น 

มีคุณหมอสูติท่านอื่นอยู่แถวนั้นไหม? ” ข้าพเจ้าถามในขณะที่พยายามตั้งสติแก้ปัญหา อันเนื่องมาจากการเดินทางแม้จะขับรถมาทางด่วน

อาจารย์วัชรพงษ์อยู่  หมอจะคุยด้วยไหม? ” พยาบาลตอบ

อย่างนั้น  ขอเรียนสายท่านหน่อยข้าพเจ้าโล่งอกกับคำตอบนี้  จากนั้น จึงได้ขอร้องให้คุณหมอวัชรพงษ์ช่วยผ่าตัดให้ ด้วยข้อบ่งชี้ คือ เด็กในครรภ์อยู่ในภาวะอันตรายอย่างวิกฤต          ( Fetal distress ) ซึ่งท่านยินดีช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ

เวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์เข้าไปสอบถามพยาบาลห้องผ่าตัดว่าทารกน้อยเป็นอย่างไรบ้าง? ”  ซึ่งได้รับคำตอบว่าเด็กอยู่ในสภาพที่พ้นขีดอันตรายแล้ว

ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก และถามพยาบาลท่านนั้นถึงสภาพของทารกขณะที่คลอดออกมา  พยาบาลตอบว่าภายในมดลูกมีน้ำคร่ำน้อยมากและมีขี้เทาเหนียวข้นด้วย ( Thick meconium ) หมอเด็กต้องช่วยเหลืออยู่นานพอควร  เด็กมีคะแนนภาวะแรกเกิด 4 ที่ 1 นาที และ  7  ที่ 5 นาที ( จากคะแนนเต็ม 10  )  ซึ่งเท่าที่ดู  เด็กก็พอใช้ได้นะ  ตอนนี้หมอเด็กกำลังรีบส่งไปที่ห้องดูแลทารกที่อยู่ในภาวะเสี่ยง ( High  risk  room )

อึมเด็กคงไม่เป็นอะไรแล้ว โล่งอกไปเสียทีข้าพเจ้าพูดขึ้นมาลอยๆ   เหมือนกับจิตได้รับกุศลบุญไปด้วยจากการช่วยเหลือชีวิตทารกน้อยโดยคุณหมอวัชรพงษ์

เมื่อเดินทางไปถึง ข้าพเจ้าได้สอบถามถึงสภาพเด็กที่คลอดออกมาจากคุณหมอวัชรพงษ์ ซึ่งท่านบอกว่าเด็กเกือบตายแนะ เพราะน้ำคร่ำมีน้อยมากและเด็กถ่ายขี้เทาออกมาเหนียวข้น โชคดีที่ผ่าตัดทันเวลา  ช้าไปอีกสักครึ่งชั่วโมง  เด็กอาจไม่รอด

ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ไปที่ห้องดูแลทารกที่มีความเสี่ยง ( High risk room )  สอบถามเกี่ยวกับสภาพของเด็กว่าเป็นอย่างไร พยาบาลห้องเด็กบอกว่าเด็กหายใจค่อนข้างไว หมอเด็กกำลังดูและหาสาเหตุอยู่ 

ข้าพเจ้าคิดว่า เด็กคงไม่เป็นอะไรมาก การหายใจไวคงเกิดจากการที่เด็กเพิ่งผ่านพ้นสภาวะแวดล้อมภายในมดลูกที่อันตรายมาใหม่ๆ เมื่อเวลาล่วงเลยไปสักระยะหนึ่ง เด็กคงปรับสภาพได้เอง  ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยได้ขึ้นไปเยี่ยมคุณแม่คนใหม่ที่หอผู้ป่วย 6  เมื่อสอบถามพยาบาลถึงคนไข้รายที่เพิ่งผ่าตัดคลอดนี้  พยาบาลบอกว่าคนไข้ที่อาจารย์หมอวัชรพงษ์เพิ่งผ่าตัด  อยู่เตียงที่ 3  ชื่อคุณเพ็ญนภา

เออ! ลูกคุณคงไม่เป็นอะไรมากนะ ตอนแรกคิดว่า แย่เหมือนกัน เพราะตอนที่ยังไม่คลอด หัวใจเด็กเต้นช้าและผิดปกติ โชคดีที่อาจารย์หมอวัชรพงษ์อยู่แถวนั้น จึงผ่าตัดช่วยเหลือได้ทันท่วงที อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เด็กยังหายใจค่อนข้างไว หมอเด็กกำลังช่วยเหลือดูแลอย่างเต็มที่  ผมยังบอกอะไรไม่ได้มาก คงต้องรอดูสักระยะหนึ่งข้าพเจ้าแจ้งกับคุณเพ็ญนภาเกี่ยวกับสภาพของลูกชายเธอขณะนั้น

  ลูกหนู เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ  หนักกี่กิโลคุณเพ็ญนภาถาม

ผู้ชาย  น้ำหนักแรกคลอด 2650 กรัมข้าพเจ้าตอบเออ! ผมอยากจะถามหน่อยนะว่า  เมื่อคืน ก่อนมาโรงพยาบาล เด็กมีการดิ้นเป็นอย่างไรบ้าง

หนูก็ไม่ทันสังเกต  คิดว่าดิ้นปกตินะ  หนูมาถึงห้องคลอดประมาณ 6 โมงครึ่ง ยังไม่ทันจะเร่งคลอด  พยาบาลก็บอกว่า หัวใจลูกหนูเต้นผิดปกติ  ต้องปรึกษาหมอก่อน  บางทีอาจต้องผ่าตัดคลอดคุณเพ็ญนภาตอบพอ ประมาณ 8 โมงเช้า พยาบาลก็มาบอกว่า หนูต้องได้รับการผ่าตัดด่วน เพราะเด็กกำลังอยู่ในภาวะอันตราย

ข้าพเจ้าให้กำลังใจคุณเพ็ญนภาและพูดแต่ในสิ่งที่ดี โดยหวังว่า ลูกของเธอน่าจะกลับมาสู่สภาวะปกติในอีกไม่นาน  จากนั้น ก็พยายามถามไถ่อาการจากพยาบาลห้องดูแลทารกที่อยู่ในภาวะเสี่ยง ( high   risk  room )  ซึ่งพยาบาลยังให้คำตอบอะไรไม่ได้   ข้าพเจ้าคิดว่า อีกสัก 2-3 วันจะโทรศัพท์ไปสอบถามดูอีกครั้ง

เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 21 ธันวาคม  ข้าพเจ้ามีธุระที่ต้องไปทำที่ตึกกุมาร จึงนึกขึ้นได้และแวะขึ้นไปดูลูกคุณเพ็ญนภา ที่ห้อง ไอ.ซี. ยู. ทารกแรกเกิด เนื่องจากหลังคลอด 1 วัน อาการหอบเหนื่อยแย่ลง และเอกซเรย์พบ หัวใจโต เข้าได้กับภาวะหัวใจล้มเหลว  หมอเด็กจึงให้ย้ายมาอยู่ที่ห้อง ไอ.ซี.ยู.ทารกแรกเกิด

สวัสดีครับ ผมมาขอดูลูกนางเพ็ญนภาหน่อย  ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ”  ข้าพเจ้าทักทายพยาบาลห้อง ไอ. ซี. ยู. ทารกแรกเกิด และขอเยี่ยมดูลูกคนไข้ 

เด็กคงไม่รอดชีวิต  ตอนนี้ หมอเด็กหยุดให้การรักษาโรคหัวใจแล้ว เราจะรักษาแบบประคับประคองเท่านั้น   หัวหน้าพยาบาลของที่นั่นพูด

อ้าว!  ทำไมละ  เด็กเป็นโรคหัวใจอะไรร้ายแรงหรือครับข้าพเจ้าถาม

หมอไม่รู้หรือว่าเด็กเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด ( congenital anomaly )  ตอนที่คลอดออกมา  เด็กหายใจไว  พอฟิล์มเอกซเรย์ดู ก็พบว่า หัวใจโต  จึงให้ไปทำการตรวจพิเศษ ( echo cardiogram ) หมอเด็กคิดว่า หัวใจส่วนล่างซ้ายผิดปกติ เมื่อวานจึงส่งปรึกษาไปที่แผนกศัลยกรรมหัวใจเด็กที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทางโน้นวินิจฉัยเป็นโรคหัวใจด้ายซ้ายล่างผิดปกติแต่กำเนิดชนิดร้ายแรง ( Hypoplastic left heart syndrome ) ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการผ่าตัดรักษา  จึงขอส่งคนไข้เด็กกลับมาที่เรา หมอเด็กที่นี่ได้อธิบายให้พ่อแม่เด็กรับทราบ ทางพ่อแม่เด็กก็เข้าใจ เพราะทางเราช่วยเหลือเต็มที่แล้ว แต่ไม่สามารถรักษาชีวิตเด็กไว้ได้จริงๆ 

นึกไม่ถึงว่า จะมีโรคหัวใจเด็กแต่กำเนิดที่ร้ายแรงเช่นนี้ด้วยข้าพเจ้าพูดกับหัวหน้าพยาบาลห้อง ไอ.  ซี. ยู. ทารกแรกเกิด ก่อนที่จะขอตัวกลับ  หนูน้อยลูกคุณเพ็ญนภา ได้เสียชีวิตในอีก 2 วันถัดมาอย่างสงบ ซึ่ง..ทางพ่อแม่เด็กได้ขอศพไว้เพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี

เรื่องราวของลูกคุณเพ็ญนภาเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะหากทารกน้อยเสียชีวิตในครรภ์ก่อนคลอด ก็จะเกิดปัญหาตามมาอย่างมากมาย และอาจกลายเป็นความผิดของสูติแพทย์ที่ให้การดูแลรักษา  โดยทิ้งเงื่อนงำของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดของเด็กไว้เป็นความลับต่อไป

 ดังนั้น ทางหนึ่งที่ฝ่ายแพทย์จะต้องพิสูจน์เพื่อหาความจริงของสาเหตุการตายของคนไข้ที่ผิดปกติ คือ การชันสูตรพลิกศพ   ทุกวันนี้  การชันสูตรพลิกศพ ยังทำกันน้อย  เนื่องจากไม่ค่อยมีคดีฟ้องร้องแพทย์ที่ดูแลรักษา แต่แน่นอน ต่อไปข้างหน้า คงมีการทำกันมากขึ้น  ข้าพเจ้าอยากฝากความคิดเห็นไว้ว่า ไม่มีหมอคนไหนในโลก อยากให้คนไข้ที่ดูแล เสียชีวิต โดยเหตุอันไม่สมควร

 

ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างมากกับการจากไปของลูกคุณเพ็ญนภา แน่นอน! ย่อมไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับความเสียใจของคุณเพ็ญนภาและสามี   ซึ่งในตอนแรก  คล้ายๆกับว่า จะมีความหวังเกี่ยวกับชีวิตของเด็กน้อย เพราะคุณแม่ได้รับการผ่าตัดคลอดทันท่วงทีกับสภาวะวิกฤตของตัวเด็ก แต่ในที่สุด ความหวังทั้งหมดก็ต้องหลุดลอยไป  เหลือไว้เพียงความหดหู่และเหงาเศร้าของผู้เป็นบุพการี ………

.

อาจเป็นด้วยว่า  เรื่องราวในชีวิต  เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ถึง 

 สิ่งอันเป็นที่รัก ย่อมมีการพลัดพราก  เป็นธรรมดา

บทกวีที่ไพเราะเลิศหรู่   ดูจะไม่เหมาะกับสิ่งพื้นๆ

 จริงๆแล้ว หากเรารักในสิ่งใด  ต่อให้มันไร้ค่า

แต่สำหรับเรา…. มันย่อมมีค่ายิ่งกว่าบทกวีเอกของโลก..

ลูก..เป็นทั้งสิ่งล้ำค่า และเป็นที่มาแห่งบทกวีอมตะ

ทำไม  พ่อแม่บางคน ถึงชอบทอดทิ้งลูกน้อยให้อยู่เพียงลำพัง

โดยไม่ให้การศึกษา อบรม เอาใจใส่   วันหนึ่ง….เมื่อเขาจากไป….

ความเศร้าโศกเสียใจ  ก็ไม่อาจนำพาพวกเขาให้กลับคืนมาได้……

 

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

  

        

 

 

มาลืม “ความแค้นเคือง” กันเถอะ (Forgive and Forget)

มาลืม ความแค้นเคืองกันเถอะ  (Forgive  and  Forget)

 

                การนอน  ช่วยผ่อนคลายสภาพร่างกายที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง  อย่างไรก็ตาม  มีบ่อยครั้งที่นัยน์ตาของข้าพเจ้าหลับได้  แต่ใจยังคงตื่นอยู่..  อย่างเช่นในตอนนี้  มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวกำลังรบกวนจิตใจ  ไม่ให้สงบ

                เหตุการณ์ที่ว่านี้  เกิดขึ้นเมื่อเช้าวันอังคารที่ผ่านมา  ขณะที่กำลังผ่าตัดคลอดบุตรให้กับสตรีนางหนึ่งอยู่  จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ภายในห้องผ่าตัด  ก็ดังขึ้น  พยาบาลห้องผ่าตัดรับสาย  และถ่ายทอดคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า  มีคนไข้ท้องที่  3  คนหนึ่ง  เจ็บครรภ์มาที่ห้องคลอด  อายุครรภ์ประมาณ 36  สัปดาห์  ท้องที่แล้วผ่าตัดคลอดเนื่องจากเด็กตัวใหญ่  น้ำหนักถึง  4.2  กิโลกรัม  ท้องนี้เจ็บครรภ์ตั้งแต่เที่ยงคืน  ตรวจภายในพบว่า  ปากมดลูกเปิด  9  เซนติเมตร  แต่.. ฟังเสียงหัวใจทารกไม่ได้ยิน  แม้จะใช้เครื่องขยายเสียง  Doptone  แล้วก็ตาม  หมอจะให้ทำยังไงดี

                ตอนนี้ผมออกจากห้องผ่าตัดไปดูคนไข้ไม่ได้ เพราะกำลังผ่าตัดอยู่ ขอให้พยาบาลห้องคลอดรีบส่งคนไข้มาห้องผ่าตัดด่วนเลย เดี๋ยวผมจะผ่าตัดทำคลอดให้ ข้าพเจ้าตะโกนบอก แล้วรีบเย็บปิดผนังหน้าท้องของคนไข้รายที่กำลังนอนอยู่ โชคดีที่เหลือการผ่าตัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

                การจัดเตรียมคนไข้รายใหม่เพื่อผ่าตัดเป็นไปอย่างรวดเร็ว  ข้าพเจ้าลงมีดที่หน้าท้องคนไข้ทันทีที่ดมยาสลบและผ่าตัดเปิดเข้าสู่ภายในช่องท้องและมดลูกในเวลาเพียงแค่  5  นาที  แต่…..  สายเกินไปเสียแล้ว  ทารกที่คลอดออกมา  อยู่ในสภาพไม่ไหวติง  น้ำคร่ำมีสีเขียวค่อนข้างข้นเพราะเด็กถ่ายขี้เทาออกมาจำนวนมาก

                ข้าพเจ้ารีบดูดน้ำคร่ำออกจากปากและจมูกเด็ก  แล้วรีบส่งให้กุมารแพทย์ที่รออยู่  พวกเราทุกคนช่วยเหลือกันอยู่อย่างรีบเร่ง  วิสัญญีแพทย์และพยาบาลต่างมาช่วยเท่าที่จะทำได้  กรรมวิธีช่วยเหลือชีวิตทารกแรกเกิดที่ไม่หายใจ คือ  การปั๊มหัวใจ  การใส่ท่อช่วยหายใจ  การฉีดยากระตุ้นการเต้นของหัวใจ  รวมทั้งการเปิดเส้นเลือดดำบริเวณสายสะดือเพื่อให้น้ำเกลือ

                หลังจากส่งเด็กให้กุมารแพทย์ไป  ใจข้าพเจ้าก็มุ่งสมาธิอยู่กับคนไข้ผู้เป็นมารดาเท่านั้น  การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อย จนเสร็จสิ้น

                ขณะที่กำลังเย็บปิดหน้าท้องของคนไข้  กุมารแพทย์ได้มากระซิบที่ข้างหูเบา ๆ ว่า  เราไม่สามารถช่วยเหลือชีวิตทารกไว้ได้  เนื่องจากทารกตายไปนานแล้ว  เลือดภายในสายสะดือจับตัวแข็งตลอดแนวของเส้นเลือด  จนไม่สามารถสอดใส่สายน้ำเกลือเข้าไปในเส้นเลือดดำได้เลย

                ข้าพเจ้ารับทราบและถอนหายในโดยไม่รู้ตัว  พลางพูดว่าเราได้พยายามกันอย่างสุดความสามารถแล้ว 

                หลังผ่าตัด  คนไข้ถูกส่งไปยังห้องพักฟื้นเพื่อสังเกตอาการหรือภาวะแทรกซ้อน  เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง  ข้าพเจ้าได้รับการเรียกตัวจากห้องคลอดให้กลับมาดูคนไข้ด่วน  เนื่องจากคนไข้มีเลือดออกจากช่องคลอดตลอดเวลา

                ตอนแรกข้าพเจ้าทำการตรวจภายในบนเตียงรถเข็น  แต่คนไข้แสดงอาการเจ็บปวดท้องน้อยอย่างมาก  จึงต้องย้ายไปตรวจยังห้องผ่าตัด  เพื่อให้ยาแก้ปวดและดมยาสลบทางสายน้ำเกลือ  ผลการตรวจปรากฏว่า  การตกเลือดหลังคลอดครั้งนี้ เกิดจาก ภาวะกล้ามเนื้อมดลูกเฉื่อย  (UTERINE  INERTIA)  หรือมดลูกไม่หดรัดตัว

                การรักษาคือ  การให้ยากลุ่มพรอสตาแกลนดิน  (Nalador)  เพื่อให้มดลูกหดรัดตัวตลอดเวลา  พร้อมกับยาฆ่าเชื้อโรคร่วมด้วย  หากการรักษาทางยาไม่ได้ผล  ข้าพเจ้าคงจำเป็นต้องตัดมดลูกของคนไข้ทิ้ง  ซึ่งถือเป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษาภาวะตกเลือดหลังคลอดชนิดเฉียบพลัน  (Immediate  Postpartum  Hemorrhage) 

                ยังโชคดีที่มดลูกของคนไข้กลับมาหดรัดตัวดีอีกครั้ง  คนไข้จึงรอดพ้นจากการตัดมดลูก  คนไข้ได้รับการส่งตัวไปยังหอผู้ป่วยชั้น  6 ในตอนบ่ายใกล้ค่ำ คืนนั้น ไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ ให้ตกใจ แต่พอรุ่งเช้า ข้าพเจ้าก็ต้องตกใจเมื่อพยาบาลประจำหอผู้ป่วยชั้น 6 โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าอย่างรีบร้อน

                หมอ  หมอ  สามีคนไข้ที่ลูกเสียชีวิตเมื่อวาน  อยากจะคุยด้วย  พยาบาลคนนั้นบอกถึงวัตถุประสงค์  และพูดต่อว่า  ดูท่าทาง  รู้สึกว่า สามีของคนไข้ไม่ค่อยพอใจ  หมอช่วยขึ้นมาคุยกับสามีคนไข้เดี๋ยวนี้เลยได้ไหม?”

                ได้  ได้  ข้าพเจ้าตอบและรีบรุดขึ้นไปพบกับสามีคนไข้ทันที  ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แล้วว่า  สามีคนไข้กำลังอารมณ์เสีย  ทันทีที่พบหน้าข้าพเจ้า เขาแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างมาก และถามว่า  ทำไมลูกผมถึงเสียชีวิต ?”

                ผมอยากจะเล่าให้ฟังว่า  เมื่อภรรยาคุณมาถึง  ผมกำลังผ่าตัดอยู่  พยาบาลห้องคลอดได้ฟังเสียงหัวใจลูกของคุณ  แต่ฟังไม่ได้ยิน  แม้จะใช้เครื่องขยายเสียง(Doptone)การเต้นของหัวใจทารกมาฟัง  ตอนนั้น ผมไม่สามารถผละออกจากคนไข้ที่กำลังผ่าตัดได้  จึงตัดสินใจให้พยาบาลส่งภรรยาของคุณเข้ามาผ่าตัดด่วน  พอภรรยาคุณมาถึง  เราได้ให้ภรรยาคุณเข้าห้องผ่าตัด และผมก็ผ่าตัดช่วยคลอดทันที  กุมารแพทย์  วิสัญญีแพทย์พร้อมอยู่ก่อนหน้า  พอเด็กคลอด  ทุกคนได้ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่  แต่เส้นเลือดในสายสะดือแข็งไปหมดแล้ว  แสดงว่าเด็กได้ตายมาก่อนหน้านี้นานพอสมควร ไม่ใช่เพิ่งมาตาย ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นพยานได้  พวกเราช่วยเต็มที่แล้ว  ข้าพเจ้าพยายามพูดด้วยความใจเย็น  และแสดงความเสียใจอย่างมากต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  พร้อมกับกล่าวว่า  พวกเราทุกคน  ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นหรอก  ผมเสียใจด้วยจริงๆ

                สามีของคนไข้ได้ซักถามเหตุการณ์อย่างละเอียด โดยเฉพาะในส่วนที่นำภรรยาของเขาเข้าห้องผ่าตัดถึง 2 ครั้ง ข้าพเจ้าได้ตอบข้อข้องใจอย่างตรงไปตรงมาว่า ที่เราจำเป็นต้องนำคนไข้เข้าห้องผ่าตัดเป็นครั้งที่ 2 ก็เพราะคนไข้ตกเลือดหลังคลอด การตรวจในห้องผ่าตัดก็เพื่อให้ยาแก้ปวดและยาดมสลบ คนไข้จะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเวลาตรวจ ซึ่งทำให้เราวินิจฉัยได้ถูกต้องและสามารถช่วยหลีกเลี่ยงการตัดมดลูกของคนไข้ ด้วยการให้ยากระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวตลอดเวลา

สามีของคนไข้เล่าว่า  ท้องนี้เป็นท้องที่  3  ท้องแรกคลอดที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด  ลูกที่คลอดออกมามีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันก็เสียชีวิต  ไม่มีใครตอบคำถามว่า  ลูกผมเสียชีวิตเพราะอะไร  ผมยังแค้นใจอยู่จนทุกวันนี้  ท้องที่ 2  ภรรยาผมไม่สามารถคลอดโดยธรรมชาติได้เนื่องจากเด็กตัวใหญ่  จึงได้รับการผ่าตัดคลอด  และลูกปลอดภัย  นี่เป็นท้องที่  3…..  ทำไมครอบครัวผมจึงต้องโชคร้ายลูกต้องมาตายซ้ำอีกเช่นนี้ด้วย

                ข้าพเจ้าพลิกดูประวัติการฝากครรภ์ของคนไข้ จึงทราบว่า คนไข้เริ่มมาฝากครรภ์เมื่อตั้งครรภ์ถึง  28 สัปดาห์  ซึ่งถือว่า ค่อนข้างช้าไปหน่อย เธอได้รับการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์  พบว่า  อายุครรภ์ขณะนั้นน่าจะเข้าได้กับ  33  สัปดาห์  ต่างจากเดิมถึง  5  สัปดาห์  วันที่เจ็บครรภ์มาคลอด คนไข้ตั้งครรภ์ได้ 31 สัปดาห์ แต่จริงๆน่าจะเป็น 36 สัปดาห์ อายุครรภ์เป็นส่วนที่สำคัญมากในการตัดสินใจรักษา ไม่ควรมีการสับสนกับการแปลผล ดังนั้น สตรีตั้งครรภ์ทุกคน จึงควรมาฝากครรภ์แต่เนิ่นๆเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว  นอกจากนั้น คนไข้ยังมีปัญหาเรื่องโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย และความดันโลหิตสูงมาก่อนด้วย  บางทีโรคต่าง ๆ ที่กล่าวมา อาจอยู่เบื้องหลังการตายของทารกในครั้งนี้ ก็เป็นได้

                การฝากท้องถือเป็นหัวใจสำคัญของการตั้งครรภ์  สตรีคนใดที่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์  ควรรีบมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลทันที  ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ระหว่างตั้งครรภ์นั้นมีไม่ใช่น้อย  บางที..มันอาจนำไปสู่การสูญเสียบุตรสุดที่รักดั่งเช่นคนไข้รายนี้

                ข้าพเจ้าได้พูดปลอบใจสามีของคนไข้อย่างมาก และสัญญาว่า หากภรรยาของเขาตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก  ข้าพเจ้าจะดูแลเป็นกรณีพิเศษจนกระทั่งคลอดอย่างปลอดภัย

                คนเรามักจะมีเรื่องเคืองแค้นกันอยู่เรื่อย ๆ ตลอดเวลา  ถ้าเก็บเอามาครุ่นคิดโดยไม่แยกแยะให้ดี  เราอาจหาความสุขไม่ได้เลยในชีวิต หลังจากเกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้แล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกปลงสังเวชกับชีวิตมนุษย์อย่างมาก เพราะมีผู้คนจำนวนมากมายที่คิดเคืองแค้นจนต้องเข่นฆ่ากันด้วยเรื่องเพียงเล็ก น้อย

 ชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน เกิดยาก  ตายง่าย  อย่ามัวแต่คิดแค้นเคืองกันด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย  เราจะสูญเสียเวลาไปโดยไร้ประโยชน์  ลืมความแค้นเคืองซะบ้าง  ชีวิตคงจะบางเบา  ยืนยาวขึ้น  และนอนหลับได้ด้วยใจสงบ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

อย่าเสียดาย

อย่าเสียดาย

 

เช้าวันนี้ มีพัศดุจากจังหวัดเชียงรายส่งมาจากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ภายในมีอาหารกล่องจำพวกแซนวิชบรรจุไว้อย่างสวยงาม ข้าพเจ้ารู้ว่า มันเป็นความปรารถนาดีของเพื่อนที่ส่งอาหารกล่อง มาจากแดนไกล แต่ไม่ว่า อาหารกล่องดังกล่าวจะเดินทางเร็วสักปานใด มันก็คงไม่เหมาะที่จะรับประทานอยู่ดี  เพราะว่าอาหารคงจะเสียไปแล้ว  อากาศในช่วงหน้าร้อนนี้เป็นตัวเร่งให้อาหาร ที่อับชื้นอยู่ภายในกล่องบูดเน่าเร็วยิ่งขึ้น  ตอนแรกที่เปิดกล่องออกมาเห็นอาหาร ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจและอยากจะรับประทาน แต่เมื่อสังเกตอาหารอย่างละเอียด  ก็มองเห็นมีรอยปื้นดำๆของเชื้อราขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ  หากกินเข้าไป  มีหวังตายแน่  ข้าพเจ้าเก็บเอาความปรารถนาดีของเพื่อนเอาไว้  แต่ได้โยนอาหารกล่องนั้นทิ้งไป อย่างไม่เสียดาย

ช่วงสายๆหน่อย  ขณะที่กำลังผ่าตัดคลอดบุตรให้คนไข้สตรีรายหนึ่งอยู่  พยาบาลห้องคลอดรายงานมาทางโทรศัพท์ว่า มีคนไข้อีกรายกำลังตกเลือดหลังคลอดค่อนข้างมาก  ขอให้รีบไปดู ข้าพเจ้าไม่สามารถทิ้งคนไข้ที่กำลังผ่าตัดไปกลางคันได้  จึงฝากพยาบาลช่วยตามสูติแพทย์ท่านอื่นที่อยู่ใกล้เคียง  ให้รีบไปดู  สักครู่ พยาบาลกลับมารายงานว่า หมอวิภาส ช่วยไปดูให้แล้ว  คิดว่าคงไม่มีอะไร

ยังงั้น! ค่อยสบายใจหน่อย ข้าพเจ้าพูดด้วยความสบายใจ แล้วรีบผ่าตัดต่อไปจนเสร็จ  จากนั้น จึงรีบรุดไปดูคนไข้รายดังกล่าว  พอไปถึง ก็เห็นหมอวิภาสกำลังง่วนอยู่กับการเย็บปากมดลูก ข้าพเจ้าได้ถามว่า เป็นยังไงบ้าง  คนไข้ตกเลือดมากไหม? ตกเลือดจากสาเหตุอะไร  พอจะบอกได้ไหม? ”

ไม่รู้เหมือนกัน ผมกำลังพยายามเย็บปากมดลูกอยู่ แต่เลือดยังคงไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา    หมอวิภาสตอบกลับมา คิดว่า คงต้องตัดมดลูก จึงจะหยุดเลือดได้

 ข้าพเจ้ารีบกล่าวขอบคุณหมอวิภาสที่ช่วยมาดูแทน เนื่องจากวันนี้เป็นเวรที่ข้าพเจ้าจะต้องรับผิดชอบ  จากนั้น ข้าพเจ้าได้หันมาสั่งการกับพยาบาลห้องคลอดว่า อย่างนั้น  เอาคนไข้เข้าห้องผ่าตัดด่วนเลย ไม่อย่างนั้น เราอาจเสียคนไข้ ขณะที่พยาบาลกำลังเตรียมคนไข้อยู่  ข้าพเจ้ารีบวิ่งไปยังห้องผ่าตัดและร้องตะโกนบอกพยาบาลห้องผ่าตัดว่า มีคนไข้ตกเลือดหลังคลอด  ขอผ่าตัดเดี๋ยวนี้เลยนะ เพราะตกเลือดมากจนช็อก

การจัดเตรียมห้องผ่าตัดและเคลื่อนย้ายคนไข้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ก่อนผ่าตัด พยาบาลห้องผ่าตัดสังเกตว่า มดลูกคนไข้หดรัดแข็งตัวดีมาก จึงพูดเป็นเชิงถามความเห็นจากข้าพเจ้าว่า มดลูกคนไข้แข็งตัวดีนะ หมอคิดว่า จำเป็นจะต้องตัดมดลูกไหม? ”

ข้าพเจ้าชะงักนิดหนึ่ง แล้วพูดว่า อึม..ขอตรวจภายในคนไข้ดูก่อน  ถ้าเลือดออกจากช่องคลอดไม่มากนัก  เราอาจงดการผ่าตัดและเฝ้าสังเกตอาการตกเลือดของคนไข้ต่อไปได้  

พอเปิดผ้าเพื่อตรวจภายใน ก็เห็นเลือดพุ่งออกมาจากช่องคลอดคนไข้อย่างมากมาย ข้าพเจ้าจึงร้องตะโกนบอกกับทุกคนว่า ทำผ่าตัดเดี๋ยวนี้เลย  เลือดไหลออกมายังกับท่อน้ำแตก  ขืนชักช้า มีหวัง..คนไข้ตายแน่ บางที การมีเลือดออกครั้งนี้อาจเกิดจากกลไกการแข็งตัวของเลือดเสียไปแล้ว ตอนนี้ต้องผ่าตัดหยุดเลือดให้ได้ก่อน  เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

หลังจากดมยาสลบ ข้าพเจ้ารีบลงมือผ่าตัดด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในขณะนั้น ข้าพเจ้าได้พูดเตือนเพื่อนร่วมงานทุกคนว่า ไม่ต้องรีบ  ใจเย็นๆ  ค่อยๆทำ ค่อยๆไป ทำตามขั้นตอน  จะได้ไม่เกิดปัญหา

ถึงแม้จะพูดว่า ไม่ต้องรีบร้อน  แต่มือข้าพเจ้าเคลื่อนไหวไม่ได้หยุด เพราะใจคอยพะวงและเร่งเร้าอยู่ตลอดเวลา  การเสียเวลาแม้สักนาทีเดียว อาจไม่เป็นผลดี  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีแพทย์ฝึกหัดเข้าช่วยผ่าตัด ข้าพเจ้าจึงพูดสอนไปด้วย ถือเป็นการผ่อนคลายความรีบเร่ง ข้าพเจ้าบอกกับนักศึกษาแพทย์คนนั้นว่า กรณีคนไข้เช่นนี้พบไม่บ่อยนัก การได้มีโอกาสเห็นการตัดมดลูกคนท้องในห้องผ่าตัด ถือว่า โชคดี  ต่อไปเมื่อเธอไปอยู่โรงพยาบาลอำเภอ เธอคงสามารถผ่าตัดคลอดลูกได้ แต่หากไม่เคยเห็นหรือเคยช่วยผ่าตัดแบบนี้มาก่อน เธอคงไม่สามารถตัดมดลูกคนท้องได้อย่างปลอดภัย

ในระหว่างผ่าตัด  วิสัญญีแพทย์ได้ให้เลือดแก่คนไข้ไปถึง 7 ถุง แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้  หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ วิสัญญีแพทย์ได้ถามข้าพเจ้าว่า อีกนานไหมครับกว่าจะผ่าตัดเสร็จ  เพราะคนไข้เสียเลือดมากเหลือเกิน  ผมคิดว่า หลังผ่าตัด คงต้องให้คนไข้ไปนอนอยู่ที่ห้อง ไอ.ซี. ยู. เพื่อดูแลต่ออย่างใกล้ชิด โดยจะไม่เอาท่อช่วยหายใจออกในวันนี้

ข้าพเจ้าพูดตอบว่า คงไม่นาน คิดว่า ประมาณครึ่งชั่วโมง  ผมจะพยายามทำให้เร็วที่สุด การผ่าตัดสิ้นสุดในเวลาประมาณ บ่ายโมงครึ่ง โดยใช้เวลาผ่าตัดเกือบ 2 ชั่วโมง คนไข้เสียเลือดไปประมาณ 2-3 ลิตร แต่ก็ได้เลือดทดแทนจำนวนมาก

ที่ห้อง ไอ.ซี. ยู.  คนไข้อยู่ในสภาพนอนสลบไสลและมีท่อช่วยหายใจคาอยู่ที่ปาก ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมตอนประมาณ 5 โมงเย็นครั้งหนึ่ง และถามกับพยาบาลห้อง ไอ.ซี.ยู. ว่า  คนไข้เป็นยังไงบ้าง  ความดันโลหิตควบคุมได้หรือไม่  ความเข้มข้นของเลือดเท่าไหร่ และปัสสาวะออกบ้างไหม  

พยาบาลประจำการตอบว่า ตอนนี้ คนไข้ยังไม่ค่อยรู้สึกตัวดี พอหายใจได้บ้าง ความดันโลหิตยังไม่ค่อยแน่นอน  แต่ก็พอไหว  ความเข้มข้นของเลือด 28%  หมอดมยาสั่งไว้ว่า เดี๋ยวจะให้เลือดต่ออีกสัก 1 ถุง  แล้วคอยวัดค่าความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะๆ  ตอนนี้ ได้จองเกล็ดเลือด และ Fresh frozen plasma ( ซึ่งมีปัจจัยช่วยในการแข็งตัวของเลือดอยู่จำนวนมาก )ไว้อย่างละ 10 ถุง ซึ่งจะให้ทันทีที่ส่งมาถึง  สำหรับปัสสาวะของคนไข้ เริ่มออกบ้างแล้ว ประมาณ 30 ซี.ซี.ต่อชั่วโมง

ประมาณ 3 ทุ่ม ข้าพเจ้า ได้แวะไปที่ ห้อง ไอ. ซี. ยู. อีกครั้ง  สังเกตว่า  อาการทั่วไปของคนไข้ดีขึ้น  ความดันโลหิตสามารถควบคุมได้  ชีพจรเต้นลดลงจาก 130 ครั้งต่อนาที เป็น 100 ครั้งต่อนาที   ปัสสาวะที่ไหลออกมา มีปริมาณเพิ่มขึ้น  เวลานั้น คนไข้ได้เลือดไปถึง 8 ถุงแล้ว จากการประเมินสภาพของคนไข้  ข้าพเจ้า คิดว่า  คนไข้รายนี้ สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างแน่นอน

ข้าพเจ้าลองมองย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์ดู  ก็พบความจริงว่า  การรักษาคนไข้กรณีฉุกเฉิน จะทำได้ดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแพทย์  ซึ่งมักขึ้นอยู่กับประสบการณ์  การตัดสินใจที่ช้าเกินไป  จะนำมาซึ่งผลเสียหายอย่างมาก  คนไข้อาจเสียชีวิต หรือเกิดกรณีไตวายเฉียบพลัน  ในกรณีคนไข้ที่รอดชีวิตแต่เป็นโรคไตวาย  ก็มีสภาพที่น่าสงสารและทุกข์ทรมานไม่น้อย ดังนั้น การที่แพทย์ตัดสินใจช้า  ส่วนใหญ่เกิดจากการเสียดายบางอย่าง  ด้วยความปรารถนาดี เช่น เสียดายมดลูก  เพราะคนไข้ยังไม่เคยมีบุตร เป็นต้น   สำหรับคนไข้รายนี้ เธอมีบุตร3 คน รวมทั้งครรภ์นี้ จึงทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจได้ง่ายเข้า  แต่ถึงแม้ ยังไม่เคยมีบุตรมาก่อน หรือบุตรที่คลอดออกมาเสียชีวิต  ข้าพเจ้าก็คงตัดสินใจเหมือนเดิม คือ ตัดมดลูกทิ้งให้เร็วที่สุด เพื่อหยุดเลือดและเป็นการช่วยชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ.

   คำพูดที่ว่า เสียแขน เสียขา  เพื่อรักษาชีวิต  เป็นคำที่ผู้คนมักนำมาพิจารณาเวลาเกิดปัญหาใหญ่ๆ   ส่วนกรณีทั่วๆไป ที่อาจดูไม่ร้ายแรง แต่ก่อความเสียหายมากพอสมควร คนเรามักเสียดายที่จะตัดสินใจยกเลิก หรือแก้ไข เช่น  ของกิน จำพวก ไขมัน นมเนย ของหวานจำนวน มากมายในงานเลี้ยง ที่คนอ้วนไม่เคยลดละ  ของใช้ ที่เราชอบใจและซื้อหามากอง เกะกะไว้เต็มบ้านโดยไม่เคยหยิบฉวย แม้กระทั่ง เวลา ที่หลายคนปล่อยมันผ่านเลยไปโดยไม่เคยนำมาให้กับครอบครัว เพราะมัวแต่ทำงานหรือเอาไปใช้ในการศึกษาหาความรู้จนลืมลูกเมีย  

ผู้ชายมากมายที่อายุเกิน 45 ปีและยังไม่มีครอบครัว มัวแต่เสียดายเวลาทำงานหาเงิน โดยไม่คิดมองหาคู่ครอง สุดท้าย เวลาที่ใช้ไปอย่างมีประโยชน์ยิ่ง กลับเป็นสิ่งที่ทำลายบั้นปลายของชีวิต

อาจมีบ้าง บางคนคิดว่า  เวลาที่พูดคุยกับบุตรภรรยา  เป็นเวลาที่สูญไปกับการพูดคุยที่ไร้สาระ ปนกับเสียงหัวเราะที่ไร้เดียงสา  ซึ่งน่าที่จะเอาเวลาไปทำในสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น ทำงาน หาเงิน  เข้าสังคม หรือสร้างชื่อเสียงให้ผู้คนรู้จัก  ข้าพเจ้าคิดว่า  นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์  เวลาที่อยู่กับครอบครัวนั้น เป็นเวลาที่มีคุณค่ามากที่สุด  คำพูดที่ไร้สาระปนกับเสียงหัวเราะภายในครอบครัว คือ คำพูดที่มีคุณค่ามากกว่า คำคมของนักปรัชญาเสียอีก ไม่มีเวลาใดในโลก ที่มีคุณค่ามากไปกว่าเวลาสำหรับครอบครัว การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อยู่กับครอบครัวและหยอกล้อกับบุตรภรรยา จึงเป็นเรื่องสมควรที่สุด ที่มนุษย์ควรทำ ขอทุกคนโปรดอย่าได้เสียดายเวลา ที่จะให้กับครอบครัว.

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

สายสะดือเกาะที่ถุงน้ำคร่ำ

สายสะดือเกาะบนถุงน้ำคร่ำ( Veramentous Insertion )

 

ทารกในครรภ์สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องกินอาหารและหายใจ เพราะได้สารอาหารและก๊าซออกซิเจนจากเลือดทางสายสะดือ พร้อมๆกันนั้น ทารกก็จะถ่ายเทของเสียแลกเปลี่ยนออกไปทางกระแสเลือดด้วย  สายสะดือมีเส้นเลือดอยู่ภายใน 2 เส้น คือ เส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำ คอยทำหน้าที่ดังกล่าว ปกติสายสะดือจะเกาะอยู่บนตัวรก  แต่ก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน ที่สายสะดือไปเกาะที่ถุงน้ำคร่ำ ( Velamentous Insertion ) เส้นเลือดทั้งสองจากสายสะดือจะแผ่กระจายไปรอบๆคลุมบนถุงน้ำคร่ำคล้ายใยแมงมุมที่ไร้ระเบียบ และเชื่อมต่อกับเส้นเลือดบนตัวรก ความผิดปกตินี้เองสามารถนำความตายมาสู่ทารกได้ในกรณีที่ถุงน้ำคร่ำเกิดฉีกขาดและไปตัดถูกเส้นเลือด เพราะเลือดที่ไหลออกมาเป็นเลือดของทารก ไม่ใช่เลือดของมารดา

สัปดาห์ที่แล้ว ข้าพเจ้าได้ผ่าตัดคลอดบุตรให้กับคนไข้สตรีรายหนึ่ง ชื่อ คุณสุจินตนา เธอตั้งครรภ์นี้เป็นครรภ์ที่ 3  ซึ่ง 2 ท้องแรกเธอคลอดบุตรโดยการผ่าตัดคลอด ลูกทั้งสองอายุ 2 และ 4 ขวบตามลำดับ ครั้งนี้คุณสุจินตนา มาฝากครรภ์ทั้งหมด  10 ครั้งสม่ำเสมอตามนัดทุกครั้ง ระหว่างตั้งครรภ์ไม่พบมีภาวะแทรกซ้อนใดๆ  เมื่ออายุครรภ์ครบ 38 สัปดาห์ ข้าพเจ้าได้นัดเธอมาผ่าตัดคลอด บุตรเหมือนกับคนไข้สตรีตั้งครรภ์ครบกำหนดทั่วไป

การผ่าตัดเปิดหน้าท้องเข้าไปในครั้งนี้ ไม่ได้พบมีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น ทุกขั้นตอนของการผ่าตัดผ่านไปอย่างราบรื่น โดยไม่มีปัญหา  พอมีดกรีดผ่านชั้นกล้ามเนื้อมดลูกถึงถุงน้ำคร่ำ ข้าพเจ้าก็เจาะถุงน้ำคร่ำเข้าไปและล้วงเอาเด็กออกมา เด็กร้องดี ไม่มีปัญหา น้ำหนักแรกคลอด 3280 กรัม เพศชาย หน้าตาน่ารักมาก

แต่…….ระหว่างที่กำลังจะล้วงรก ข้าพเจ้าสังเกตว่า สายสะดือของเด็กไม่ได้เกาะที่ตัวรกเหมือนปกติทั่วไป สายสะดือของเด็กคนนี้เกาะอยู่ที่บริเวณถุงน้ำคร่ำ ซึ่งพบได้น้อยมาก ประมาณร้อยละ 1 ของครรภ์เดี่ยว และมากขึ้นอีกเล็กน้อยในครรภ์แฝด ลักษณะการเกาะของสายสะดือบนถุงน้ำคร่ำนี้ มีชื่อเฉพาะว่า Velamentous Insertion of Cord การที่มันมีชื่อเฉพาะได้ แสดงว่า มันมีความสำคัญ ซึ่งความสำคัญที่ว่านั้น สามารถนำความตายมาสู่ทารกได้

เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ขณะที่ยังศึกษาเป็นแพทย์ฝึกหัดผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลศิริราช ได้เกิดเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าจดจำได้อย่างไม่มีวันลืม เหตุการณ์ที่ว่านั้นเกิดจากการที่สายสะดือเกาะบนถุงน้ำคร่ำเหมือนกับครั้งนี้ แต่ผลที่ได้กลับแตกต่างกันอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะครั้งนั้น ทารกเสียชีวิต  แต่ครั้งนี้ ทารกปลอดภัย

ยังจำได้ คนไข้สตรีรายนั้นอายุราว 30 ปี ใบหน้าเรียบง่าย ท่าทางคงเป็นชาวชนบทที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เธอตั้งครรภ์แรกและฝากครรภ์สม่ำเสมอ เธอมาโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บครรภ์ ยังไม่มีน้ำเดินหรือเลือดออกจากช่องคลอด  ข้าพเจ้าจำได้ว่า เธอนอนรอคลอดอยู่ที่ชั้นล่างของตึกสูติฯ  ช่วงนั้น เป็นเวลากลางวัน แพทย์ฝึกหัดผู้เชี่ยวชาญรุ่นน้องปีที่ 1 ได้เข้ามารายงานกับข้าพเจ้าเกี่ยวกับคนไข้สตรีรายดังกล่าวและเล่าถึงการเจาะถุงน้ำที่ค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตาม ภายหลังเจาะถุงน้ำ ก็มีน้ำคร่ำไหลออกมาลักษณะของสีน้ำคร่ำปกติ ไม่มีเลือดปนแต่อย่างใด ข้าพเจ้าได้ตรวจภายในเพิ่มเติม เพื่อดูว่า มีปัญหาอะไรอีกหรือไม่  ข้าพเจ้าต้องรู้สึกแปลกใจ เพราะคลำได้คล้ายเส้นเลือดหยุ่นๆบนถุงน้ำคร่ำ ข้าพเจ้าสงสัยว่าน่าจะเป็น เส้นเลือดบนถุงน้ำคร่ำและวางอยู่บริเวณด้านหน้าต่อศีรษะเด็ก( Vasa Previa )   แต่ก็ไม่มั่นใจนัก จึงเรียนปรึกษาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบในวันนั้นให้มาดู ท่านอาจารย์มาตรวจภายในคนไข้ซ้ำ ก็ยังไม่แน่ใจว่า เป็นเส้นเลือดบนถุงน้ำคร่ำหรือไม่ ( Vasa Previa )  อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์ได้ตัดสินใจให้ส่งคนไข้ไปยังห้องผ่าตัดด่วนเพื่อผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง แต่ช้าเกินไปเสียแล้ว พยาบาลประจำการห้องรอคลอดฟังเสียงหัวใจเด็กไม่ได้ยินอีกต่อไป นั่นแสดงว่า ทารกน้อยน่าจะเสียชีวิตจากการฉีกขาดของเส้นเลือดบนถุงน้ำคร่ำ  อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้ผ่าตัดคลอดเอาเด็กรายนั้นออกมาทันทีที่ตัดสินให้ผ่าตัด ด้วยยังหวังว่า พยาบาลอาจผิดพลาดในการค้นหาเสียงการเต้นของหัวใจเด็กจากเครื่องจับเสียงการเต้นหัวใจไฟฟ้า  แต่โชคไม่ได้เข้าข้างเรา…. มัจจุราชได้ชิงเอาวิญญาณของหนูน้อยออกจากร่างไปสู่แดนสุขาวดีเสียแล้ว ภาพของเด็กผู้ชายผู้น่ารักซึ่งไร้วิญญาณภายในอุ้งมือข้าพเจ้าในห้องผ่าตัด ยังคงติดตาข้าพเจ้ามาตลอดจวบจนถึงทุกวันนี้  ขอให้ดวงวิญญาณของหนูน้อยจงไปสู่สุคติด้วยเถิด

สำหรับกรณีของคุณสุจินตนา ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับภาพสายสะดือที่เกาะบนถุงน้ำคร่ำอย่างมาก เพราะถ้าเจาะถุงน้ำคร่ำพลาดไปตัดเส้นเลือด เด็กคงเสียเลือดไปมากทีเดียว เด็กแรกคลอดที่เสียเลือดเกิน 100 ซี.ซี.( มิลลิลิตร ) มีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ จึงนับเป็นโชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวซ้ำกับที่เกิดในอดีต

หลังคลอด 1 วัน ตอนที่เข้าไปเยี่ยมคุณสุจินตนา ข้าพเจ้าได้บอกกับเธอว่า ดีนะ ที่คุณยังไม่มีน้ำเดิน ถ้าคุณมีน้ำเดินออกมาละก็ แสดงว่า ถุงน้ำคร่ำได้แตกแล้ว เส้นเลือดบนถุงน้ำคร่ำ อาจฉีกขาดจนเป็นเหตุให้ทารกตกเลือดตายได้  การผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง ก็ให้ผลดีในกรณีแบบนี้แหละ .. ”

คุณสุจินตนา นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 5 วัน ก็ขอกลับบ้านพร้อมกับลูกชาย  ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจไปกับเธอด้วย ลองมองย้อนกลับไปที่ห้องผ่าตัด หากข้าพเจ้าไม่ได้สังเกตการเกาะของสายสะดือขณะล้วงรกออกจากมดลูกหลังคลอดเด็ก ข้าพเจ้าคงไม่รู้ว่า คนไข้รายนี้ มีสายสะดือเกาะอยู่บนถุงน้ำคร่ำ

การคลอดโดยวิธีธรรมชาติ ต้องระวังภาวะนี้ ( Vasa previa ) ให้มาก เพราะเด็กจะตายทันทีที่ถุงน้ำคร่ำแตก การวินิจฉัยล่วงหน้าโดยเครื่องมือใดๆ  ก็ไม่สามารถตรวจพบได้ ยกเว้นการตรวจภายในด้วยมือแล้วรู้สึกหยุ่นๆบริเวณถุงน้ำคร่ำ ซึ่งในทางปฏิบัติ ถือเป็นเรื่องยากที่จะวินิจฉัยได้ก่อนล่วงหน้า  อย่างไรก็ตาม หากสงสัย ไม่แน่ใจหลังจากตรวจด้วยมือ โปรดอย่ารอช้า  ผ่าตัดคลอดไปเลย     

การคลอดทางช่องคลอด ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ละครั้งของกระบวนการคลอด หลังจากถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว บางทีใช้เวลาเปิดขยายปากมดลูกเนิ่นนาน นับ 10 ชั่วโมง ระหว่างนั้นอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงเกิดขึ้น เมื่อปากมดลูกเปิดหมด ก็ยังมีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่างที่เป็นอันตรายต่อทารกเกิดขึ้นได้อีก เช่น คลอดติดไหล่ ( Shoulder Dystocia ) ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของทารก จึงควรคลอดบุตรโดยการผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้อง ในกรณีที่แม่หรือบุตรมีข้อบ่งชี้บางอย่างที่สมควรผ่าตัดคลอด แม้จะยังไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป อาทิเช่น แม่ตัวเตี้ยต่ำกว่า 145 เซนติเมตร คุณแม่วัยรุ่น ลูกตัวใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับแม่ เป็นต้น

เกิดเป็นคน ไม่ใช่เรื่องง่าย  ควรรักและเสียดายชีวิตตน  อย่าคิดตื้นๆ ด้วยการทำลายตัวเองด้วยวิธีใด วิธีหนึ่ง เพราะบุคคลซึ่งเสียใจมากกว่าเรา ก็คือ พ่อแม่ …………..

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ภาวะลำไส้ทะลักในทารก

 

ภาวะลำไส้ทะลักในทารก( Gastroschisis )

 

เดือนสิงหาคมของทุกปีมีวันแม่ แต่มันคงจะไม่มีความหมาย หากลูกน้อยของผู้เป็นแม่มีร่างกายหรืออวัยวะใดอวัยวะหนึ่งพิการ  ดำรงชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน อย่างไรก็ตาม บางครั้ง การที่พระเจ้าจงใจส่งลูกน้อยที่ไม่ประกอบให้มาเกิด ก็อาจเป็นบททดสอบความเป็น แม่ ได้อย่างหนึ่ง   แม่ จึงเป็นผู้ที่มีความหมายต่อลูกน้อยอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ในนิยามความหมายเท่านั้น

วันนี้ข้าพเจ้าตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้ามืด และนั่งลงทำงานทันที ทั้งๆที่ควรจะนอนต่อเพราะตอนบ่ายจะต้องเป็นสารถีขับรถพาภรรยาและลูกชายเดินทางไกลไปเยี่ยมบิดามารดาที่จังหวัดสุพรรญบุรี มูลเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้านอนไม่หลับ ก็เนื่องมาจากคิดถึงเรื่องราวของคนไข้สตรีรายหนึ่งที่มาฝากครรภ์เมื่อวันวาน

คนไข้รายนี้เป็นสตรีรูปร่างสูงโปร่ง ราว 175 เซนติเมตร ใบหน้าขาวมนรูปไข่ คล้ายอาหมวย อายุ 22 ปี ตอนแรก ข้าพเจ้าจำเธอไม่ได้เลย เพียงแต่รู้สึกคลับคล้ายว่า เคยเจอที่ไหนสักแห่งหนึ่ง

หมอ  หมอจำหนูได้หรือเปล่า? ” คุณดรุณี คนไข้กล่าวทักทายเมื่อเข้ามาในห้องตรวจ

อ้อ จำได้ สบายดีหรือครับ ข้าพเจ้าเอ่ยตอบไปก่อนในขณะที่พยายามนึกทบทวน ความจริง ก่อนที่คนไข้จะเข้ามาในห้องตรวจ พยาบาลได้บอกคร่าวๆว่า เป็นคนไข้ที่ลูกมีปัญหาและได้ส่งต่อไปคลอดที่โรงพยาบาลอื่น

ข้าพเจ้าพยายามนึกทบทวนอยู่สักพัก ก็ยังนึกไม่ออก พอเปิดสมุดบันทึกประวัติเดิมของคนไข้ จึงได้นึกออก ข้าพเจ้าแสดงอาการสะดุ้งออกมาโดยไม่รู้ตัว พลางกล่าวว่า อ้อ!….. จำได้แล้ว ที่ลูกของคุณมีลำไส้ทะลักออกมา ( Gastroschisis )นอกลำตัว และผมเขียนจดหมายส่งตัวไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลรามาฯ  เออ! เป็นยังไงบ้างตอนนี้ ลูกสบายดีใช่ไหมครับ? ”

พูดไปใจข้าพเจ้ายังรู้สึกเสียวๆเลย  กลัวเธอจะตอบว่า ลูกได้ตายไปเสียแล้ว ตอนที่คลอดออกมา   แต่..ดูจากสีหน้าคนไข้ คิดว่า คำตอบคงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะสีหน้าของเธอดูสดใส ท่าทางสดชื่นมีชีวิตชีวา จากนั้น คุณดรุณีก็เริ่มเล่าเรื่องราวของลูกเธอให้ฟัง ตามคำถามที่ข้าพเจ้าอยากรู้

ตอนนี้ ลูกอายุเท่าไร แข็งแรงดี ไม่มีปัญหาใดๆเลยใช่ไหม ข้าพเจ้าถามนำขึ้นก่อน

ลูกแข็งแรงดี ไม่มีปัญหาอะไรเลย ซนน่าดูเลย ตอนนั้นที่หมอบอกว่า ลูกมีปัญหา ลำไส้ทะลักออกมา  และให้ไปหาอาจารย์คนหนึ่งที่โรงพยาบาลรามาฯ อาจารย์คนนั้นก็ช่วยดูแลให้ แต่ท่านบอกว่า ลูกพิการร่างกายมาก นอกจากจะมีลำไส้ทะลักออกมา ยังมีแขนขาสั้นและพิการอีกหลายอย่าง หนูฟังแล้ว บอกตรงๆ ใจรับไม่ได้เลย แต่พอเด็กคลอดออกมา กลับปรากฏว่า เด็กมีความผิดปกติเฉพาะตรงที่ ลำไส้ทะลักออกมานอกตัวเท่านั้น ในขณะที่ร่างกายส่วนอื่นปกติดี

ลูก.. รักษาอยู่ที่นั่น( โรงพยาบาลรามาฯ) นานไหมครับ ข้าพเจ้าถามต่อ

เดือนกว่าเอง พอเด็กโตขึ้นมาหน่อย หมอก็ผ่าตัดเอาลำไส้ยัดใส่กลับเข้าไปในช่องท้องให้ ตั่งแต่นั้นมา ลูกก็ไม่เคยเจ็บป่วยอะไรเลย  หนูต้องขอบพระคุณคุณหมอมากที่ส่งตัวหนูไปรักษาต่อที่นั่น ไม่เช่นนั้น คง… ” คุณดรุณี พูดจาต่อด้วยน้ำเสียงที่สดใส แต่หยุดคำพูดไว้แค่นั้น

 ยินดีด้วยจริงๆ ข้าพเจ้ากล่าวแสดงความยินดีด้วยความจริงใจกับเธอ

ตอนนี้ หนูท้องอีกแล้ว ท้องได้ประมาณ 5 เดือน แต่หนูอยู่ต่างจังหวัดและฝากท้องอยู่ที่นั่น หนูกลัวว่าจะเกิดแบบเดิมขึ้นมาอีก จึงเข้ามากรุงเทพฯหาหมอ เพราะหมอรู้ประวัติการตั้งครรภ์ครั้งก่อนของหนูดี คุณดรุณีพูดถึงวัตถุประสงค์ของการมาฝากครรภ์ครั้งนี้ และถามว่า ภาวะลำไส้ทะลักในทารก จะเกิดซ้ำไหมคะ

ไม่น่าจะเกิดซ้ำนะ แต่ระหว่างที่คุณฝากครรภ์ เราจะต้องติดตามตรวจดูเด็กในครรภ์ด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าบอกกับคุณดรุณี และพูดต่อว่า ตอนนี้ เราควรไปตรวจดูเด็กด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์กันก่อนซักครั้ง ไม่ทราบว่า ตอนนี้ท้องได้กี่เดือนแล้ว

ประมาณ 5 เดือน  คุณหมอช่วยดูให้อีกที ก็แล้วกัน คนไข้ตอบ

พอเปิดผ้าคลุมหน้าท้องของคนไข้เพื่อตรวจอัลตราซาวนด์ ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นรอยแผลผ่าตัดคลอด บริเวณท้องน้อยเหนือหัวเหน่า จึงอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า เอ๊ะ! นี่คุณไม่ได้คลอดโดยการผ่าตัดคลอดหรอกหรือ ผมนึกว่าอาจารย์ที่ผมฝากไป จะผ่าท้องทำคลอดบุตรให้เสียอีก

อาจารย์บอกว่าทารกพิการร่างกายหลายอย่าง จึงไม่ควรผ่าตัดคลอด  ตกลง หนูจึงคลอดเองตามธรรมชาติ แต่ลูกของหนูที่คลอดออกมา นอกจากเรื่องของลำไส้แล้ว เขาก็ไม่มีอะไรผิดปกติ คนไข้เล่าและถามว่า  ภาวะลำไส้ทะลัก แบบลูกหนูเกิดจากอะไร? มีความผิดปกติทางโครโมโซมร่วมด้วยหรือเปล่าและพบบ่อยไหมคะ? ”

คือ ในทางทฤษฎี โรคลำไส้ทะลักออกมานอกลำตัว นี้มีด้วยกัน 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเด็กมีโครโมโซมผิดปกติร่วมด้วยและร่างกายมีความพิการหลายอวัยวะ ( Omphalocele ) ส่วนอีกชนิดหนึ่ง ( Gastroschisis )จะเหมือนกับที่ลูกคุณเป็น เด็กมีความผิดปกติเฉพาะส่วนที่ ลำไส้ออกมากองภายนอกตัวเด็ก เท่านั้น ไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับโครโมโซมและอวัยวะอื่น ข้าพเจ้าพยายามแก้ข้อข้องใจของคนไข้และสรุปต่อว่า ลูกของคุณเป็นคนโชคดี จัดอยู่ในชนิดที่มีความผิดปกติเฉพาะส่วนของลำไส้เท่านั้น ภายหลังจากผ่าตัดเอาลำไส้กลับเข้าไปในช่องท้องแล้ว เขาก็เหมือนกับเด็กอื่นทั่วๆไป

หมอตรวจดูลูกของหนูในครรภ์ครั้งนี้ด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง? ” คุณดรุณีถาม

เท่าที่ดู ก็ยังไม่พบความผิดปกติอะไร ส่วนหัวของเด็ก มีความกว้างเทียบเป็นอายุครรภ์ได้ประมาณ        19 สัปดาห์ หัวใจเต้นสม่ำเสมอปกติดี บริเวณท้องน้อย ก็ไม่เห็นมีลำไส้ออกมานอกลำตัวเด็ก  แต่คงต้องติดตามดูด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าตอบ

คราวที่แล้ว คุณหมอตรวจพบความผิดปกติของลูกหนูตอนอายุครรภ์ได้ 7 เดือนเศษ ตอนนี้หนูท้องได้ ประมาณ 5 เดือน ฝากท้องอยู่ที่จังหวัดระยอง หนูกลัวจะเป็นแบบครั้งที่แล้ว เลยรีบเข้ามาตรวจกับหมอ คนไข้พูดต่อ

คือโรคนี้ เด็กจะมีความผิดปกติที่ผนังหน้าท้องบริเวณสะดือ ขณะที่อายุครรภ์น้อยๆ  ลำไส้ของทารกมีไม่มากนัก จึงยังคงอยู่ในช่องท้องได้ พอเด็กโตขึ้น ลำไส้ในท้องยืดยาวขยายตัวมากขึ้น ก็จะเกิดแรงดันทำให้ลำไส้ทะลักผ่านผนังหน้าท้องบริเวณสะดือ ออกมากองอยู่ข้างนอก ข้าพเจ้าอธิบายเสียยืดยาว และพูดว่า ความจริง เราสามารถตรวจพบภาวะนี้ตั้งแต่อายุครรภ์  3 เดือนขึ้นไปแล้วแต่ว่า ลำไส้ออกมานอกลำตัวมากน้อยแค่ไหน หมอมีความชำนาญเรื่องอัลตราซาวนด์และตรวจดูละเอียดทั่วถึงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้จะตรวจละเอียดอย่างไร ก็มีโอกาสผิดพลาด  ตรวจไม่พบได้ถึง 2 ใน 3 ราย  สำหรับกรณีของคุณ ช่วงนี้ ถ้าเกิดซ้ำ เราพอจะตรวจพบได้จากอัลตราซาวนด์ แต่เท่าที่ดู ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร 

คนไข้รู้สึกพอใจกับคำตอบที่ได้รับ เธอกล่าวคำอำลาและขอบคุณที่ข้าพเจ้าให้ความกระจ่างแก่เธอหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะต่อกรณีที่ทำให้เธอได้ลูกกลับคืนมา คือ เธอคิดว่า ลูกของเธอได้ตายไปแล้วหลังจากทราบว่าเกิดภาวะนี้ แต่ในที่สุด ก็รอดชีวิตกลับมาและเป็นเด็กที่สมบูรณ์เหมือนเด็กคนอื่นๆ

ข้าพเจ้าพลอยดีใจไปกับคนไข้ด้วยและอวยพร  ขออย่าให้คุณพบพานกับเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้อีก

ข้าพเจ้านั่งทบทวนถึงเหตุการณ์วันวานสักพักหนึ่ง ก็กลับไปนอนพักเพื่อเก็บแรงเอาไว้เดินทาง มาตื่นนอนอีกทีตอนเกือบ 11 โมงเช้า ข้าพเจ้าและครอบครัวไม่ได้รีบร้อนอะไร เพราะตั้งใจจะไปค้างคืนที่จังหวัดสุพรรณบุรีอยู่แล้ว

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อย จึงเริ่มออกเดินทาง เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงตัวเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี แต่เราไม่ได้แวะเข้าไปเยี่ยมพ่อแม่ของข้าพเจ้าในทันที เราขับรถเลยออกไปนอกตัวเมืองยังที่พักที่จองไว้ล่วงหน้า คือ วังรี รีสอร์ท  เพื่อให้ลูกได้พักผ่อนสักหน่อย หลังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง

จากนั้น ข้าพเจ้าจึงขับรถพาครอบครัวเข้าไปในตัวเมือง เพื่อเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ตามที่ได้ตั้งใจไว้

คุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้ายังคงยังแข็งแรงดี แม้จะดูแก่ไปบ้าง คุณพ่อคุณแม่และพี่ๆน้องๆของข้าพเจ้าได้ไปรวมตัวกันที่บ้านพี่เขย เพราะเป็นบ้านหลังใหญ่  ทุกคนอยู่สุขสบายดี บรรดาพี่น้องของข้าพเจ้า ต่างมีลูกกันครอบครัวละ 3 คน คงมีแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่มีลูกเพียงคนเดียว ถึงแม้พวกเราพี่น้องจะนัดพบกันบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่วันนี้เป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่เพราะเป็นวันแม่  

สังคมบ้านเราอยู่กันอย่างง่ายๆ มีความอบอุ่นทางใจภายในครอบครัวค่อนข้างมาก ถึงแม้จะแยกครอบครัวกันไป  แต่ก็ไม่ถึงกับห่างไกลเหมือนกับครอบครัวของฝรั่ง  แม่ ยังเป็นบุคคลที่มีบทบาท ความหมายและยิ่งใหญ่เสมอ    แม่ เป็นตัวแทนแห่งความเสียสละและความรักที่ปราศจากเงื่อนไข  แม่ ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดๆจากลูก  ท่านเพียงแต่ดีใจที่เห็นลูกๆได้ดี

วันนี้มีแต่เสียงหัวเราะ เพราะมีแต่เรื่องความสุข พวกเราพี่น้องทุกคนได้เห็นคุณแม่และคุณพ่อยิ้มอย่างสบายใจ แต่วันเวลาของท่านเหลือน้อยลงทุกที ไม่นาน..ท่านก็ต้องจากพวกเราไป วันนี้ยังพอมีเวลาและท่านยังยิ้มได้  มีเวลาว่างจากการทำงาน พวกเราลูกๆตั้งใจจะชักชวนกันพาหลานๆไปเยี่ยมท่านอีกเหมือนวันนี้

เมื่อเราทุกคนแก่เฒ่าลง ก็คงเหมือนกันกับท่าน ที่ไม่ได้วาดหวังสิ่งใดในชีวิตอีกแล้ว นอกเสียจากการได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุขของลูกๆหลานๆที่มาเยี่ยมเยียนในบางครั้งบางคราว.

 

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&