ไม่มีข่าว นั่นแหละ ข่าวดี( 2)

ไม่มีข่าว นั่นแหละ ข่าวดี( 2)

นี่เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับการรายงานของพยาบาลหอผู้ป่วยโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ( ขอสงวนนาม ) ที่ว่า คนไข้ตกเลือดหลังคลอด  เพราะนั่นคือ ข่าวที่ไม่ดีเลย  แต่การแก้ปัญหาเช่นนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญา ครวญคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ  ถ้าตื่นเต้น  ตกใจเกินไป  เหตุการณ์อาจเลวร้าย จนยากจะแก้ไข

ตอนเช้าของวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา คุณทิพวัลย์ คุณแม่ครรภ์ที่สาม ได้เลือกเอาเวลาประมาณ 9 นาฬิกาเป็นฤกษ์ให้กำเนิดทารกน้อย   ในอดีต 2 ครรภ์ก่อน  คุณทิพวัลย์คลอดบุตรด้วยการผ่าตัดคลอด ท้องนี้จึงต้องผ่าคลอดเช่นเดียวกัน

ข้าพเจ้าไม่เคยมีความคิดเลยสักนิดว่า  การคลอดครั้งนี้จะพบกับปัญหา เพราะระหว่างฝากครรภ์  คุณทิพวัลย์ ไม่เคยมีภาวะแทรกซ้อนใดๆ นอกจากนั้น ในการผ่าตัดคลอด 2 ครรภ์แรก ก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน

สำหรับ การผ่าตัดคลอดในห้องผ่าตัดครั้งนี้ เป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่ว่า จะเป็นการเย็บหรือการหยุดเลือด ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปโดยไม่มีปัญหาน่าหนักใจแต่อย่างใด

เริ่มต้น ด้วยการลงมีดบนผิวหนัง ตามรอยแผลเก่า  การกรีดมีดผ่านผนังหน้าท้องที่ละชั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว  ข้าพเจ้าหยุดเลือดด้วยจี้ไฟฟ้า ซึ่งง่ายดาย ไม่มีเลือดออกมากนัก  เมื่อเข้าสู่ช่องท้อง  ก็มาถึงส่วนของตัวมดลูก  ข้าพเจ้าสังเกตว่า มดลูกส่วนล่างบางมาก จนมองเห็นเส้นผมของเด็กที่อยู่ข้างใต้ผนังมดลูกเลยทีเดียว ข้าพเจ้าพูดลอยๆ เป็นเชิงคุยกับคุณทิพวัลย์และพยาบาลผู้ช่วยผ่าตัดว่า มดลูกส่วนล่างของคุณทิพวัลย์บางมาก บางพอๆกับแผ่นกระดาษ การเย็บปิดบริเวณนี้ต้องระวังมากๆ  ต้องเย็บให้ดี และท้องต่อไป คงต้องเว้นไว้นานๆหน่อย ประมาณสักปีหนึ่งเป็นอย่างน้อย   จากนั้นก็กรีดมีดผ่านส่วนนี้เข้าไป เมื่อถึงส่วนของศีรษะเด็ก  ข้าพเจ้าได้ใช้มือช้อนและคีมคีบศีรษะเด็กดึงคลอดออกมาอย่างง่ายดาย

คุณทิพวัลย์ได้ลูกสาวนะ แข็งแรงดี ไม่มีอะไรผิดปกติ ข้าพเจ้าชะโงกหน้าบอกกับคนไข้

หลังจากส่งเด็กให้กับกุมารแพทย์  ทุกสิ่งทุกอย่างของการผ่าตัดดูเหมือนจะสิ้นสุดแล้ว  การผ่าตัดครั้งนี้ช่างผ่านไปอย่างเรียบร้อย  คุณทิพวัลย์ ได้ลูกน้อย เป็นทารกเพศหญิง  ตัวค่อนข้างใหญ่  น้ำหนักแรกคลอด 3800 กรัม

หลังจากคุณทิพวัลย์ จุมพิตลูกน้อย เธอก็หลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาสลบ ข้าพเจ้าเดินออกจากห้องผ่าตัดอย่างอารมณ์ดีและไม่รีบร้อน  มุ่งหน้าตรงไปยังลานจอดรถ และขับรถออกไป    แต่ขณะที่อยู่ในรถยนต์ เพื่อเตรียมตัวจะเคลื่อนรถออก  ข้าพเจ้าได้ยินเสียงตามสายกระจายเสียงภายในโรงพยาบาลดังลอดออกมาว่า ให้ข้าพเจ้าโทรติดต่อกลับยังห้องผ่าตัด แต่….ตอนนั้นคิดว่า ข้าพเจ้าควรจะโทรศัพท์กลับเข้ามาในโรงพยาบาลขณะขับขี่รถอยู่บนท้องถนน เพราะสะดวกกว่า โดยกะว่า จะเดินทางไป พร้อมๆกับสั่งการรักษาไปด้วย

ความคิดนี้ผิดอย่างยิ่ง  เพราะเมื่อโทรศัพท์กลับเข้าไปในโรงพยาบาล กลับได้รับรายงานจากพยาบาล ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเลี้ยวรถ หวนกลับไปยังโรงพยาบาลอีกครั้ง  พยาบาลห้องผ่าตัดรายงานว่า หมอ! หลังผ่าตัด  หนูได้พยายามกดมดลูกของคนไข้ ไล่เลือดอย่างเต็มที่แล้ว  ไม่มีเลือดออกมาจากช่องคลอดของคนไข้เลยสักนิด ไม่ทราบว่า ปากมดลูกของคนไข้ตีบหรือเปล่า? ”

เป็นไปไม่ได้  คนไข้ท้องที่ 3 นะ ปากมดลูกต้องเปิดอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ 2-3 เซนติเมตร  คุณคิดว่า มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับคนไข้หรือเปล่า  เออ! เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมจะกลับไปดูเองก็แล้วกัน ข้าพเจ้าตอบ พร้อมกับนึกว่า ระหว่างผ่าตัดคลอด ทำไมเราถึงไม่ใช้นิ้วมือล้วงผ่านทางมดลูกส่วนล่างไปที่ปากมดลูก เพื่อถ่างปากมดลูกให้กว้างออก เลือดในโพรงมดลูกที่คั่งค้าง จะได้มีทางระบายออก อย่างสะดวกสบาย

ขณะนั้น คุณทิพวัลย์ได้รับการนำตัวออกจากห้องผ่าตัดไปยังห้องพักฟื้นเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเดินตรงไปห้องพักฟื้น เพื่อดูอาการของคุณทิพวัลย์ โดยไม่เสียเวลาแวะที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการตรวจภายในคุณทิพวัลย์ เพราะคนไข้อยู่บนเตียงนอนเปล อย่างไรก็ตาม หลังจากลองใช้เครื่องมือจับปากมดลูก และแยงเหล็กถ่างปากมดลูก ( Hegga dilator ) เข้าไป ก็ไม่ปรากฏว่า ปากมดลูกตีบ เหล็กถ่างปากมดลูกสามารถผ่านปากมดลูกเข้าไปได้อย่างง่ายดาย หลังปฏิบัติการดังกล่าว ก็มีเลือดออกมาบ้างเล็กน้อย ข้าพเจ้าคิดว่า ทำสำเร็จแล้ว  จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก

ที่ไหนได้!….ตอนเที่ยงวัน พยาบาลหอผู้ป่วยได้โทรศัพท์มารายงานครั้งแรกกับข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงที่ตกใจว่า หมอ! คุณทิพวัลย์มีเลือดออกจากช่องคลอดประมาณ 500 มิลลิลิตร เป็นทั้งก้อนและน้ำเลือด หมอจะให้ทำอะไรไหม? 

ข้าพเจ้าไม่ชอบใจกับรายงานนี้เท่าไหร่  เพราะรายงานด่วนแบบนี้ ทำให้มีลางสังหรณ์ว่า จะเกิดเหตุการณ์ร้ายตามมา  อย่างไรก็ตาม  ข้าพเจ้าได้ตอบกลับไปว่า  ผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่  คุณพยายามให้น้ำเกลือให้พอและเฝ้าสังเกตเลือดออกทางช่องคลอดให้ดีก็แล้วกัน ถ้าเห็นมีอะไรผิดปกติอีก  รายงานได้ทันทีเลยนะ    

บ่ายโมงครึ่ง  เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกแล้ว  ข้าพเจ้าตั้งใจฟังรายงานด่วนด้วยใจระทึก พยาบาลรายงานว่า หมอ! คุณทิพวัลย์มีเลือดออกจากช่องคลอดมาอีกแล้ว ประมาณ 500 ซี.ซี. ( มิลลิลิตร ) คราวนี้ทะลักออกมาเลย และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียด้วย  คุณหมอ ช่วยรีบมาดูคนไข้เร็วๆหน่อย  หรือว่า จะฝากให้คุณหมอท่านอื่น มาช่วยดูก่อนไหมคะ? ”

เออ! ผมจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ช่วยเจาะดูความเข็มข้นของเลือดของคนไข้ และให้เลือดไปเลย 2 ถุง ( Unit)  ข้าพเจ้าโทรศัพท์สั่งการรักษากับพยาบาล และพูดต่อว่า อีกสักพัก ช่วยติดต่อห้องผ่าตัดและส่งคุณทิพวัลย์ไปตรวจภายในที่นั่น เพราะคงต้องผ่าตัด เย็บปากมดลูก….. ตอนนี้ ผมกำลังเดินทาง คาดว่า จะถึงโรงพยาบาลประมาณ ครึ่งชั่วโมง

ในระหว่างเดินทาง  ข้าพเจ้ารวบรวมสติ พยายามคิดใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ของสาเหตุการตกเลือดของคุณทิพวัลย์ครั้งนี้  ข้าพเจ้าปักใจในเบื้องต้นว่า น่าจะเกิดจากการจับและถ่างปากมดลูกของคุณทิพวัลย์เมื่อตอนเช้า  ข้าพเจ้าวางแผนการเย็บปากมดลูกของคนไข้ในใจว่า จะเริ่มต้นเย็บอย่างไร ใช้ด้ายอะไร เบอร์เท่าไหร่  หากมีปัญหา ควรจะทำอย่างไรต่อไป   จินตนาการของข้าพเจ้า  วาดภาพการผ่าตัดเป็นขั้นเป็นตอน  สุดท้ายถ้าหยุดเลือดไม่ได้ คงต้องตัดมดลูกทิ้ง.

พอมาถึงห้องผ่าตัด  คุณทิพวัลย์อยู่ในท่าขึ้นขาหยั่ง ( Lithotomy position ) และปูผ้าสะอาดคลุมร่างกายเรียบร้อยแล้ว  ข้าพเจ้าขอตรวจหน้าท้องของคุณทิพวัลย์ก่อน พบว่า ยอดมดลูกลอยอยู่เหนือสะดือ  ทั้งๆที่คนไข้ใส่สายสวนปัสสาวะ ( กระเพาะปัสสาวะที่โป่งพอง จะดันมดลูกให้ลอยขึ้นไปสูง  แต่เมื่อใส่สายสวนปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะจะแฟบ  มดลูกจึงไม่ควรลอยตัวดังที่ได้กล่าวมา )  เมื่อลองบีบและเค้นบริเวณยอดมดลูก ปรากฏว่า มีก้อนเลือดทะลักออกมาประมาณ 500 ซี.ซี. ( มิลลิลิตร ) ข้าพเจ้าพยายามไล่เลือดออกให้มากที่สุดด้วยการล้วงนิ้วทางช่องคลอด เข้าไปในโพรงมดลูกแล้วกวาดเอาก้อนเลือดภายในออกมา  แต่ก็ยังไม่หมด จึงต้องใช้เครื่องมือลักษณะเป็นปากคีบ ( Sponge forceps )  สอดใส่เข้าไปจับก้อนเลือดออกมาหลายครั้ง  รวมทั้งใช้เครื่องมือขูดมดลูกเบาๆ เพื่อเอาก้อนเลือดออกมาให้หมด  จากนั้น  จึงใช้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกอย่างแรง ( Nalador) ฉีดเข้าไปทางเส้นเลือดครึ่งหลอด  ยาตัวนี้ทำให้มดลูกหดรัดตัวตลอดเวลา  แต่คนไข้เนื้อตัวจะสั่นและรู้สึกหนาว  เราต้องให้ยาแก้แพ้ ( Piriton ) ตามไปด้วยทุกครั้ง

หากเป็นเพียงแค่นี้  ก็คงจะดี  แต่ไม่ใช่….  ข้าพเจ้าต้องสำรวจดูบริเวณปากมดลูกที่คิดไว้ในตอนแรกว่า  น่าจะเป็นจุดเลือดออก  ข้าพเจ้าใช้นิ้วมือคลำบริเวณปากมดลูก   พบว่า  ปากมดลูกบางมากและเปิดกว้างถึง 4 เซนติเมตร ตำแหน่งที่เย็บของมดลูกส่วนล่างก็บางและคลำได้จากทางด้านล่างเป็นสันเล็กๆ  โชคดี ที่ข้าพเจ้าเย็บแผลผ่าตัดบนตัวมดลูกทางด้านบนอย่างดี  โดยแยกเย็บที่ละครั้งๆ ( Stitch) ด้วยเทคนิคเย็บคร่อมเส้นเลือดรูปเลขแปด ( Figure of eight)  ยิ่งบริเวณมุมของแผลผ่าตัด  ยิ่งเย็บหลายครั้งอย่างแน่นหนา  ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจระดับหนึ่งเกี่ยวกับการตกเลือดว่า ไม่ได้มาจากแผลเย็บบนมดลูกส่วนล่างอย่างแน่นอน  อย่างไรก็ตาม  ข้าพเจ้าได้ใช้ปากคีบตัวแบน ( Sponge Forceps ) จับปากมดลูกส่วนบน  แล้วถ่างขยายช่องคลอดดูตำแหน่งปากมดลูกว่า มีเลือดออกหรือไม่

โชคไม่ดี  ที่ตำแหน่งด้านข้างและปากมดลูกส่วนล่าง ( Posterior lip of cervix ) มีเลือดออกจากเส้นเลือดแดง ในลักษณะพุ่งเป็นสายออกมา มองดูแล้วน่าตกใจมาก  ข้าพเจ้าใช้เวลาเย็บอยู่นานด้วยด้ายเบอร์ 1 ( Catgut No 1 ) เข็มใหญ่  เย็บคร่อมเส้นเลือดรูปเลขแปด ( figure of eight )  ยิ่งเย็บ เลือดยิ่งออก ในลักษณะพุ่งเป็นสายเหมือนเดิม  ตอนนั้นเลือดออกมากเหลือเกิน  คาดการณ์ว่า  เสียเลือดมากกว่า 2 ลิตร  แม้จะให้เลือดไป 2 ถุงก่อนหน้านี้  ก็ยังไม่พอ  จำเป็นต้องให้เลือดเร็วๆเพิ่มอีก 2 ถุง     

ข้าพเจ้าเย็บอยู่นานประมาณหนึ่งชั่วโมงจนท้อใจว่า ทำไมเลือดจึงไม่ยอมหยุด  ตอนนั้นกำลังตัดสินใจจะตัดมดลูกอยู่แล้ว  หากเย็บอีกครั้งหนึ่ง  ไม่สามารถหยุดเลือดที่ปากมดลูกได้ ก็คงต้องตัดมดลูก ข้าพเจ้าขอเปลี่ยนด้ายมาเป็นเบอร์ศูนย์ ( Catgut No 0 ) เข็มเล็ก ซึ่งมีส่วนโค้งแคบ  ภายในช่องคลอดมีพื้นที่ในการเย็บน้อยมาก การเย็บผิดพลาดเพียง 1 ครั้ง อาจทำให้เกิดรูบนปากมดลูกและเลือดออกมากยิ่งขึ้น ตอนนั้นมีปัญหาว่า หากเย็บเข้าไปในห่วงซึ่งอยู่ส่วนปลายของปากคีบ ( sponge forceps ) จะทำให้ไปผูกรัดปลายเครื่องมือ และต้องเย็บใหม่ เราจึงเปลี่ยนตัวจับเส้นเลือดบนปากมดลูกอีกครั้ง เป็นเครื่องมือตัวที่ไม่มีห่วงบริเวณส่วนปลาย

คราวนี้ถ้าเย็บไม่สำเร็จ  คงต้องตัดมดลูก ข้าพเจ้าบอกกับพยาบาลและวิสัญญีแพทย์   ข้าพเจ้าหลับตาอธิษฐาน ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลก ช่วยเหลือให้ข้าพเจ้าสามารถหยุดเลือดครั้งนี้ได้ด้วยเถิดจากนั้น จึงเย็บ โดยตักเข็มเพียงครั้งเดียว คล้องบริเวณที่เครื่องมือจับเส้นเลือด การผูกด้ายครั้งนี้  ข้าพเจ้าตัดปลายเข็มทิ้งก่อน  แล้วปล่อยชายเส้นด้ายยาวๆ เพื่อให้ผูกง่าย จากนั้นจึงผูกด้ายด้วยเงื่อนตาย 2 ชั้น ( Surgical Knots )  ข้าพเจ้าค่อยๆรูดเส้นด้ายช้าๆอย่างระมัดระวัง เพราะ ความหวังครั้งสุดท้ายที่จะหยุดเลือดอยู่ที่การผูกครั้งนี้

ระหว่างที่ผูกด้ายครั้งสุดท้ายนี้ พอดีสูติแพทย์อีกท่านที่ผ่าตัดอยู่ห้องข้างๆ เดินเข้ามา  เพราะข้าพเจ้าให้พยาบาลไปเรียนเชิญ  เพื่อมาช่วยตัดมดลูก  แต่….เหมือนปาฏิหาริย์หรือบุญของคุณทิพวัลย์    เลือดที่เคยเอ่อล้นออกมาจากจุดเลือดออกของปากมดลูก หยุดนิ่งทันที  สูติแพทย์ที่เดินเข้ามา หัวเราะชอบใจ ข้าพเจ้าเองก็ยิ้มออก และถอนหายใจเฮือกใหญ่

หลังการผ่าตัด  ข้าพเจ้าเดินไปบอกญาติ ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ญาติที่มารอ ก็เป็นน้องสาวที่ข้าพเจ้าผ่าตัดคลอดให้เช่นกัน  เธอแสดงอาการตกใจที่ได้ยินเรื่องเล่า เพราะข้าพเจ้ายังอยู่ในอารมณ์ของเหตุการณ์

การตัดมดลูกเป็นเรื่องง่าย  แต่ผมคงไม่สบายใจไปตลอด อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างได้จบลงด้วยดี  ช่วยโทรบอกสามีคุณทิพวัลย์ที่กำลังเดินทางมาโรงพยาบาลว่า ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว คุณทิพวัลย์ปลอดภัยและไม่ต้องตัดมดลูก ข้าพเจ้าทิ้งท้ายไว้ ก่อนที่จะขอตัวไปทำธุระ

ตอนกลางคืน ประมาณ 5 ทุ่ม ข้าพเจ้าได้แวะมาดูคนไข้อีกครั้งตามที่นัดกับญาติไว้ ก็ไม่พบว่า คุณทิพวัลย์มีปัญหาตกเลือดจากช่องคลอดอีก ข้าพเจ้ากลับบ้านและนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย  แต่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

เช้าวันใหม่ ไม่มีเสียงโทรศัพท์จากหอผู้ป่วยมาตามตัวข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าต้องโทรไปถามเป็นระยะๆ   คุณทิพวัลย์ยังคงไม่มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด  ตอนเย็น ข้าพเจ้าได้แวะไปดู คนไข้รู้สึกตัวดี  ข้าพเจ้าได้ขอให้วิสัญญีแพทย์ช่วยเติมยาชาเข้าในสายพลาสติกเล็กๆที่สอดใส่เข้าไปในกระดูกสันหลังอีกครั้ง  และยังไม่ต้องเอาสายพลาสติกออก เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้ใส่ยาชาอีกครั้ง  คุณทิพวัลย์ต้องนอนบนเตียง 2 วันโดยใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ เพราะเธอยังคงลุกไม่ไหว และข้าพเจ้าอยากให้เธอพักผ่อนมากๆ

วันที่ 2 หลังผ่าตัด คุณทิพวัลย์สามารถยิ้มได้และพูดคุยด้วยความสบายใจ ข้าพเจ้าบอกกับเธอว่า ตอนเย็นๆ ค่อยเอาสายปัสสาวะออกพร้อมกับน้ำเกลือ ครั้งนี้นอนและอดอาหารนานหน่อย  คุณคงเบื่อเลย  แต่ก็เพื่อความปลอดภัย  ตอนเย็น คุณทิพวัลย์ค่อยๆลุกขึ้นนั่งก่อน  นั่งได้ถึงค่อยยืนหรือเดิน เพราะเราเติมยาชาเข้าไปในกระดูกสันหลัง จะทำให้ขาเราอ่อนแรงในช่วง 6 ชั่วโมงหลังเติมยาชา   ตลอดวันที่ 2 หลังผ่าตัด ก็เช่นเดียวกับวันแรก ไม่มีเสียงเรียกหรือรายงานด่วนจากพยาบาลทางโทรศัพท์ ข้าพเจ้าต้องโทรศัพท์เข้าไปถามข่าวคราวของคุณทิพวัลย์เอง แต่ทุกครั้ง จะได้รับคำตอบที่น่าพอใจ

หลังจาก 48 ชั่วโมงหลังคลอด  คุณทิพวัลย์ สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ดังใจปรารถนา น้ำคาวปลาออกตามปกติ โดยไม่มีไข้หรือปวดท้องน้อย  เธอมีอาการท้องเสียบ้างเล็กน้อย แต่สามารถให้นมบุตรได้ตามกำหนดทุกมื้อ  ข้าพเจ้ารู้สึกสบายใจและอวยพรให้เธอปลอดภัยไปตลอด   เวลาผ่านไปทีละวันอย่างเชื่องช้า เพราะ ข้าพเจ้าคอยติดตามว่า จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ระหว่างนอนโรงพยาบาล แต่ก็ไม่มีเสียงโทรศัพท์เข้ามารายงานเหตุการณด่วนอีก ข้าพเจ้าอนุญาติให้คนไข้กลับบ้านหลังจากนอนพักโรงพยาบาล 6 วัน  ก่อนกลับได้บอกกับคุณทิพวัลย์ว่า ถ้ามีปัญหาให้รีบโทรศัพท์ติดต่อมาทันที

คุณทิพวัลย์ เพิ่งกลับมาตรวจตามนัดเมื่อวานนี้ ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส  ตลอดระยะเวลาที่กลับไปอยู่บ้าน เธอไม่เคยโทรศัพท์กลับมาปรึกษาปัญหาเลย พอพบเจอหน้าครั้งนี้  ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก เพราะ เหตุการณ์ได้ผ่านไปเป็นนานถึง 2 อาทิตย์แล้ว คงน่าจะไม่มีปัญหาอีก 

ข้าพเจ้าเห็นคุณทิพวัลย์ทำท่าว่า อยากจะพูดอะไร ซักอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าจึงตั้งใจฟังว่า คำๆนั้น คืออะไร  บางทีอาจเป็นสิ่งค้างคาอยู่ในใจว่า  โชคดีที่ไม่ต้องสูญเสียมดลูก แต่เธอกลับบอกว่า  หมอรู้ไหม  ครั้งนี้เสียเงินไปตั้งแสนหนึ่งแน่ะ รู้สึกว่าแพงจังเลย  ข้าพเจ้าเข้าใจ จึงได้แต่ปลอบใจไป  พูดจาล้อเล่นในตอนสุดท้ายว่าไม่เป็นไรหรอก..  คราวหน้ามาผ่าคลอดลูกอีก  จะแถมตัดมดลูกให้ฟรี

เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าเพิ่งคิดได้ โดยปรับแนวความคิดใหม่ว่า มีข่าว นั่นแหละข่าวดี และเสียงโทรศัพท์ คือเพื่อนแก้เหงา ช่วยกระตุ้นให้เราตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะหากไม่คิดเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็อาจเป็นโรคประสาทได้ เพราะมีข่าวร้ายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา แล้วใครจะมาช่วยรักษาให้เรา

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *