หนึ่งทิวาราตรีของชีวิตการทำงาน

หนึ่งทิวาราตรีของชีวิตการทำงาน

               

                ทุก ๆ วันอังคาร  ข้าพเจ้าจะอยู่เวรประจำการโรงพยาบาลตำรวจ  ตั้งแต่  4  โมงเย็น จนถึง  8  โมงเช้า  แต่วันอังคารที่ผ่านมาเป็นวันพ่อแห่งชาติ  5 ธันวามหาราช  ข้าพเจ้าพร้อมกับแพทย์หลาย ๆ ท่านจำเป็นต้องมาอยู่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้า โดยมีภารกิจส่วนหนึ่ง  คือ  ช่วยดูแลผู้คนที่หลั่งไหลกันมาเพื่อบริจาคเลือด  ข้าพเจ้าลองลำดับเหตุการณ์ทั้งวันทั้งคืนดู  รู้สึกว่า  ชีวิตการทำงานของสูติแพทย์ใน  1  เวร  มีอะไรที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

                ตอนเช้าก่อนมาทำงาน  ภรรยาข้าพเจ้าได้ล่วงหน้าออกจากบ้านไปทำงานให้กับมูลนิธิของชาวไต้หวัน  .  ท้องสนามหลวง  ซึ่งกว่าจะกลับบ้านคงค่ำมืด  ข้าพเจ้าเอง..ตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมา  จึงยังคงโอ้เอ้ดูโทรทัศน์เพื่อรอทักทายกับลูกชายก่อนออกจากบ้าน

                7  นาฬิกาเศษ  ลูกชายตื่นและลงมาพูดคุยกับข้าพเจ้า  เรามีเวลาอยู่ด้วยกันเพียง  15-20  นาที  ข้าพเจ้าก็ต้องเดินทางออกจากบ้าน

                ในระหว่างเดินทาง  ข้าพเจ้ามีความคิดว่า  วันนี้  เป็น วันพ่อ  แต่ตัวเราไม่ได้ทำอะไรที่สำคัญให้กับลูกแม้แต่น้อย  ตรงกันข้าม  กลับทิ้งลูกน้อยไว้กับคนใช้  ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเลย

                8  นาฬิกา  30  นาที  ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงโรงพยาบาลตำรวจ  พบเห็นผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่บริเวณชั้นล่างอาคารตึกอำนวยการ  หลายคนกำลังไปเจาะเลือดบริจาค  หลายคนมาที่นี่เพื่อเที่ยวสนุก  หลังจากเดินทักทายกับเพื่อนแพทย์พยาบาลที่มาปฏิบัติหน้าที่  ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปตรวจดูคนไข้สตรีในห้องคลอด

                พยาบาลประจำห้องคลอดได้รายงานความเป็นไปของคนไข้รอคลอดในแต่ละเตียงว่า  เตียงหนึ่ง  อายุ  30  ปี  ท้องแรก  (อายุครรภ์)  40  สัปดาห์  ปากมดลูกเปิด  5  เซนติเมตร  ถุงน้ำยังไม่แตก  เตียงที่  2  แม่อายุ  32  ปี  ท้องที่สาม  37  สัปดาห์  น้ำเดินมาตอนตี  4   เตียงที่  3  อายุ  19  ปี  ท้องแรก  อายุครรภ์  20  สัปดาห์  เจ็บท้องมาตั้งแต่เที่ยงคืน  ปากมดลูกเปิด  1  เซนติเมตร  เตียงที่  4  อายุ  28  ปี  ท้องแรก  40  สัปดาห์  ปากมดลูกเปิด  4  เซนติเมตร เตียงที่  5  และ  6   ปากมดลูกยังไม่เปิด  เจ็บครรภ์ห่าง ๆ ไม่มีปัญหาอะไร  หัวใจเด็กเต้นดี

                อย่างนั้น  เตียง 1  และ เตียง 4  ให้หมอ  Extern  (แพทย์ฝึกหัด)  เจาะถุงน้ำคร่ำ  เตียง  2  ให้ยาเร่งคลอด  เตียง 3  ฉีด  Bricanyl  (ยายับยั้งการหดรัดตังของมดลูก)  ½  หลอด (ampule)  ทุก  6  ชั่วโมง  ส่วนเตียง  5, 6  ไม่ต้องทำอะไร   ข้าพเจ้าสั่งการกับพยาบาลและแพทย์ฝึกหัดที่รออยู่

                แพทย์ฝึกหัดเดินเข้าไปที่เตียงคนไข้รอคลอดเตียงแรก  และลงมือเจาะถุงน้ำคร่ำ  สักพักหนึ่ง  แพทย์ฝึกหัดคนนั้นได้เดินมากระซิบบอกกับข้าพเจ้าว่า  เจาะไม่ได้  เกิดมา..หนูยังไม่เคยเจาะถุงน้ำคร่ำในชีวิตเลย  เพิ่งไปอ่านหนังสือมาเมื่อตะกี้นี้เอง  พอเจาะจริง ๆ ก็เจาะไม่ได้

                เออ!  ไม่เป็นไร  เดี๋ยวผมจะเจาะถุงน้ำคร่ำให้ดู  ข้าพเจ้าพูดพร้อมกับเริ่มสาธิต  ขณะเดียวกัน  ได้อธิบายถึงประโยชน์การเจาะถุงน้ำคร่ำไปด้วย การเจาะถุงน้ำคร่ำ  จะช่วยเร่งให้คนไข้คลอดเร็วขึ้น  ที่สำคัญ  คือ  เราสามารถมองเห็นสีของน้ำคร่ำ ซึ่งบ่งบอกถึงสภาพของเด็กว่าขาดออกซิเจนหรือไม่? ถ้ามีสีเขียวปนในน้ำคร่ำ  (Meconium) แสดงว่าเด็กขาดออกซิเจน  อันเป็นผลให้หูรูดที่รูก้นเด็กคลายตัวและถ่ายขี้เทาออกมา  ถ้าน้ำคร่ำมีปริมาณน้อยและสีเขียวข้น  (Thick  meconium) แสดงว่าเด็กขาดออกซิเจนมานาน  หากคาดว่าคนไข้ไม่สามารถคลอดภายในเวลาครึ่งชั่วโมง  เราควรรีบผ่าตัดเอาเด็กออก  มิฉะนั้น  เด็กจะได้รับอันตรายมากจากการสำลักน้ำคร่ำปนขี้เทา  ความรุนแรงมีตั้งแต่ปอดอักเสบจนถึงตาย

                หลังจากนั้น  ข้าพเจ้าได้บอกแพทย์ฝึกหัดให้ไปเจาะถุงน้ำคร่ำของคนไข้เตียงที่ 4  พอเจาะถุงน้ำคร่ำได้ไม่นาน  พยาบาลเดินมาบอกว่า  เสียงหัวใจของเด็กเต้นผิดปรกติ  บางทีเต้นช้าถึง  70  ครั้งต่อนาที  แต่….สักพักหนึ่ง ก็กลับมาเต้นตามปรกติ

                ข้าพเจ้าเปิดดูประวัติการฝากครรภ์ของคนไข้รายดังกล่าว พบว่า  คนไข้มีความสูงเพียง  145  เซนติเมตร   อายุครรภ์ครบกำหนด  และปากมดลูกเปิดเพียง  4  เซนติเมตรข้าพเจ้าจึงบอกกับพยาบาลห้องคลอดว่า  ตอนนี้เด็กน่าจะยังดี แต่เนื่องจากคนไข้ตัวเตี้ยมากและปากมดลูกยังเปิดน้อยอยู่ หากปล่อยให้คลอดเองจะกินเวลานานหลายชั่วโมงจนเด็กเป็นอันตรายจริงๆ  นอกจากนั้น ยังมีโอกาสคลอดยากหรือคลอดติดไหล่อย่างมาก เพื่อตัดปัญหาต่างๆ  ผ่าตัดเดี๋ยวนี้จะดีกว่า

                ปกติ  คนไข้สตรีตั้งครรภ์ครบกำหนดที่จะคลอดเองตามธรรมชาติ  ควรมีความสูงมากกว่า  150  เซนติเมตร  หากมีความสูงต่ำกว่า  145  เซนติเมตรลงมา  คนไข้มักจะเกิดปัญหาคลอดยากหรือคลอดไม่ได้  จึงไม่ควรปล่อยให้คลอดเองตามธรรมชาติ

                ขณะที่กำลังผ่าตัดคนไข้รายตัวเตี้ยนี้อยู่  ปรากฏว่า  คนไข้สตรีที่ตั้งครรภ์  20  สัปดาห์  เกิดแท้งบุตรในห้องน้ำ  หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว  ข้าพเจ้าจึงเดินไปดูคนไข้รายที่แท้ง  พบว่า  เด็กมีขนาดน้ำหนักประมาณ  400  กรัม  ซึ่งพยาบาลได้ช่วยเหลือหอบหิ้วเอาออกจากโถส้วมมาวางไว้ที่เตียงคลอด  ทารกอยู่ได้ไม่นานก็เสียชีวิต  ข้าพเจ้าซักประวัติถึงสาเหตุการเจ็บครรภ์ที่อาจเป็นไปได้  คนไข้บอกว่า  ก่อนเจ็บครรภ์  คนไข้มีการร่วมเพศกับสามี  ข้าพเจ้าจึงสรุปว่า  นั่นอาจเป็นสาเหตุของการแท้งบุตรครั้งนี้  พร้อมกับพูดเตือนคนไข้ว่า  การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่กระทำได้  แต่ต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง  ภายในน้ำอสุจิ  มีสารจำพวก  พรอสตาแกลนดิน  ที่ทำให้มดลูกหดรัดตัวอย่างรุนแรง  ถ้าสตรีคนใดเคยมีประวัติแท้งบุตรอย่างนี้  จะต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ตลอดการตั้งครรภ์

                14  นาฬิกา  ข้าพเจ้าเดินลงมาจากห้องคลอด  เพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน  ผู้คนที่มามากมายในตอนเช้านั้นพากันกลับไปหมดแล้ว  รวมทั้งเจ้าหน้าที่ แพทย์ พยาบาลด้วย  ข้าพเจ้าคิดถึงลูกมาก จึงขับรถกลับบ้านและพาลูกชายไปรับประทานอาหารที่ร้านแมคโดนัล ย่านถนนพัฒนาการ  ข้าพเจ้าเฝ้าดูลูกชายสนุกกับการลอดอุโมงค์ของเล่นภายในร้านอยู่นานประมาณ  2  ชั่วโมง  จึงพาลูกชายกลับบ้าน  นี่คือ กิจกรรมเดียวที่ข้าพเจ้าได้ทำให้กับลูกในวันพ่อ

                ภรรยาข้าพเจ้ากลับมาบ้านในตอนเย็น  ข้าพเจ้าจึงปลีกตัวมาอยู่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวรับกับปัญหาต่างๆตอนกลางคืน สำหรับ เหตุการณ์ในห้องคลอดระหว่างนั้น คนไข้เดิมต่างทยอยคลอดไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีปัญหาใด ๆ   คนไข้ท้องรายใหม่ ๆ ก็มีเข้ามาเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา

                ตลอดทั้งคืน เวลาผ่านไปอย่างช้าๆคล้ายกับว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวเที่ยงคืน มีเหตุการณ์

เพียงเล็กน้อย คือ คนไข้สตรีรายหนึ่ง ครรภ์ที่ 2 อายุครรภ์ประมาณ  37  สัปดาห์  ตกเลือด  (Antepartum)  มาห้องคลอดชนิดเปียกชุ่มผ้าถุงทั้งผืน  แต่เลือดหยุดแล้ว  ข้าพเจ้าได้ให้การวินิจฉัยเบื้องต้นว่า  เป็นรกเกาะต่ำ  (Placenta  previa)  และให้ยายับยั้งการแข็งตัวของมดลูกเข้ากล้ามไปหนึ่งเข็ม  คนไข้ก็ไม่มีเลือดออกมาจากช่องคลอดอีกเลย 

                6  นาฬิกาของเช้าวันใหม่  ข้าพเจ้าตรวจดูอัลตราซาวนด์ให้คนไข้รายที่ตกเลือดมาตอนเที่ยงคืน พบว่า  เป็นรกเกาะต่ำ  (Placenta  Previa  Marginalis) ชนิดที่ปลายขอบรกมาปิดบริเวณปากมดลูกเพียงเล็กน้อย  ข้าพเจ้าคิดว่า น่าจะลองให้คลอดเอง และได้ตรวจภายในอย่างระมัดระวัง  ปรากฏว่า ปลายนิ้วมือชนหัวเด็กโดยมีเยื่อถุงน้ำคร่ำบาง ๆ ขั้นอยู่ระหว่างกลาง  เมื่อเป็นดังนี้ จึงเจาะถุงน้ำคร่ำ  ที่ไหนได้  หลังจากเอามือออกจากช่องคลอด  ก็มีเลือดสด ๆ พรั่งพรูตามออกมาจำนวนมาก  ข้าพเจ้าตกใจอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ดังกล่าว และรีบผ่าตัดคลอดบุตรให้เป็นการฉุกเฉิน โชคดี ทารกปลอดภัย  แต่ใจข้าพเจ้าซิตื่นเต้นตกใจอย่างบอกไม่ถูก

                7  นาฬิกา  นักศึกษาแพทย์ฝึกหัด  โทรศัพท์มาจากห้องฉุกเฉินว่า  มีคนไข้สตรีชาวเขมรจากกองตรวจคนเข้าเมือง  อายุ  54  ปี  ปวดท้องน้อยและตกเลือดมา  ตรวจภายใน  ปากมดลูกมีชิ้นเนื้อคาอยู่  ได้คีบออกมาส่งตรวจ  น้ำหนักประมาณ  5  กรัม  ตัวมดลูกโตประมาณ  10-12  สัปดาห์  ตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์  ให้ผลลบ  อาจารย์จะให้ทำยังไงคะ

                ให้คนไข้นอนโรงพยาบาลที่หอผู้ป่วยสูติกรรมชั้น 6 และจัดเตรียมเพื่อขูดมดลูกด้วย  เดี๋ยวจะตามไปดู  ข้าพเจ้าตอบไปทางโทรศัพท์

                คนไข้สตรีชาวเขมร  ขึ้นเตียงตรวจภายใน  ข้าพเจ้าซักประวัติอีกครั้ง  ประจำเดือนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่  มีลูกกี่คน  ลูกคนสุดท้ายอายุเท่าไหร่  ตกเลือดประมาณมากน้อยแค่ไหน  คนไข้ตอบไม่ได้  ข้าพเจ้าจึงหันมาถามแพทย์ฝึกหัดว่า  ได้ประวัติคนไข้ว่าอายุ  54  ปี  มาจากไหน  แพทย์ฝึกหัดตอบว่า  จากใบส่งตัวของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมือง  นอกนั้น  ใช้ภาษาใบ้และเดา ๆ เอาจากคำพูดของคนไข้

                ขณะที่ตรวจภายใน  ข้าพเจ้าเห็นมีก้อนชิ้นเนื้อกลม ๆ สีน้ำตาลจุกอยู่บริเวณปากมดลูก  ตอนแรกคิดว่าเป็นเนื้องอก  พอลองคีบออกมาดู  ปรากฏว่า  เป็นส่วนหัวของเด็กที่ตายแล้ว  ส่วนความยาวของเด็กทั้งตัวประมาณ  6-7  เซนติเมตร  มีแขนขาลำตัวอยู่ครบในสภาพที่ตายมานาน  หลังจากเอาตัวเด็กและรกออกมาแล้ว  จึงได้ขูดมดลูกต่ออีกเล็กน้อย

                ข้าพเจ้าพูดกับแพทย์ฝึกหัดว่า  คนไข้รายนี้เป็นสตรีตั้งครรภ์อายุมากที่สุดที่ผมเคยเจอมาในชีวิต และพูดเสริมว่า เกิดเป็นหมอ ก็มักเจอเรื่องแปลกๆคล้ายกับการผจญภัย มีทั้งสุข ทุกข์ เศร้า ตื่นเต้นเหมือนกับในนิยาย  เวลาในชีวิตจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน เวลามันก็จะกลืนกินเราไปด้วย สิ่งสำคัญ คือ อย่าลืมให้เวลากับครอบครัวโดยเฉพาะลูก

                การอยู่เวรในช่วงหนึ่งวันกับหนึ่งคืนของข้าพเจ้า  ผ่านไปได้ด้วยดี  เรื่องราวของคนไข้สตรีที่มีปัญหา ยังคงมีอีกมากมายไม่รู้จักจบสิ้น  ปัญหาของคนหนึ่งหมดไป  ปัญหาของอีกคนหนึ่งกำลังเกิดขึ้น  ไม่มีสตรีท่านใดอยากเป็นคนไข้  แต่เรื่องการเจ็บป่วยย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ  การตรวจร่างกายประจำปีสำหรับสตรี  ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น  โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุเกิน  40  ปีขึ้นไป….

 ถ้าท่านไม่อยากเป็นคนไข้ที่มาโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉิน….ก็ไม่ควรเกลียดโรงพยาบาลหรือเบื่อการไปหาหมอ……

 

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ.เสรี  ธีรพงษ์ ผู้เขียน

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *