ข่มขืนเด็ก
เด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาอย่างสวยงามอาจถูกคุกคามได้ด้วยคนใกล้ชิด การคุกคามทำลายนั้นอาจเพียงแค่การทำอนาจาร หรือรุนแรงถึงขั้นข่มขืนก็เป็นได้ ทำไม…. คนใกล้ชิดพวกนี้ ถึงได้มองเห็นตัวน้อยๆ เหล่านั้นเป็นทาสบำเรอ แทนที่จะมองเป็น "เจ้าหญิงน้อยผู้น้อยน่ารัก" ?
ชาวบ้านธรรมดาๆ ก็สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ คนใกล้ชิดพวกนี้จิตคงไม่ปกติและขาดความผูกพันทางจิตใจกับเด็กหญิงตัวน้อยๆ เหล่านั้น
ก่อนวันของแม่ปีนี้ 1 วัน เจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ได้พาเด็กหญิงคนหนึ่งมาตรวจในคดีล่วงละเมิดทางเพศ คาดคะเนจากสายตา อายุร่าจะอยู่ในราว 5 ขวบ แต่ความจริง อายุมากถึง 9 ขวบ ใบหน้าของเธอแสดงความหวาดผวาตลอดเลา ไม่ไว้ใจใคร รูปร่างค่อนข้างเตี้ย มีส่วนสูงเพียง 120 เซนติเมตร และนำหนัก 19.5 กิโลกรัม ผิวค่อนข้างคล้ำ แต่งตัวอยู่ในชุดนักเรียนที่ทางกรมประชาสงเคราะห์จัดให้
เจ้าหน้าที่สตรีของประชาสงเคราะห์ เล่าว่า “เด็กคนนี้ พ่อติดคุก แม่หนีตามผู้ชายไป ทิ้งลูกให้อยู่กับลุงและป้า ซึ่งมีลูกชายโตเป็นหนุ่ม 2 คน อายุราว 15-16 ปี ที่พักอาศัย คือ ห้องพักในคอนโดแห่งหนึ่ง ตอนเช้า ลุง ป้า และลูกชายทั้งสอง จะออกจากบ้านเพื่อไปทำงานและเรียนหนังสือ หนูน้อยจะถูกขังอยู่ภายในห้องพักคนเดียว ซึ่งหนูน้อยสามารถหาอาหารรับประทานเองได้จากอาหารปรุงสำเร็จที่จัดเตรียมไว้ให้ นอกจากนั้นยังดูหนังฟังเพลงจากโทรทัศน์ วิทยุ ได้ด้วย ตกเย็น ลุงและลูกชายมักจะกลับมาก่อนป้า จึงทำให้เกิด “ช่องว่างแห่งความปลอดภัย” บางทีลุงก็ล่วงละเมิดทางเพศ บางทีลูกชายทั้งสองก็กระทำอนาจาร เป็นเช่นนี้นานกว่า 1 ปี เพื่อนบ้านหลายคนรับรู้ และทนไม่ได้ จึงแจ้งกรมประชาสงเคราะห์มาดำเนินการ”
ที่ห้องตรวจแผนกสูตินรีเวช ข้าพเจ้า ได้ถามหนูน้อยว่า “ครั้งสุดท้ายที่มีคนทำกับหนูเกิดขึ้นเมื่อใด และใครเป็นคนทำ”
หนูน้อยไม่มองหน้าข้าพเจ้า แต่หันไปมองและเล่ากับเจ้าหน้าที่สตรีของกรมประชาสงเคราะห์ว่า “พี่หนุ่มจับหนูแก้ผ้าเมื่อ 2 วันก่อน และนอนทับหนูแต่ไม่ได้ทำอะไรให้หนูเจ็บ”
เจ้าหน้าที่สตรีท่านนั้นเล่าต่อไปว่า “ลุงใช้นิ้วแหย่อวัยวะเพศของหนูเล่น ส่วนลูกชายของลุงทั้งสองคน รับสารภาพว่า ใช้อวัยวะเพศสัมผัสถูกับอวัยวะเพศของหนูน้อย แต่ไม่มีใครข่มขืนเข้าไปในช่องคลอดของเด็ก”
“เด็กคนนี้ตัวเล็กมาก ถ้ามีการข่มขืนเข้าไปในช่องคลอดเด็ก ช่องคลอดต้องฉีกขาดเป็นแผลใหญ่มาก เลือดต้องออกอย่างมากมาย และเด็กอาจตายก่อนมาถึงโรงพยาบาล การผ่าตัดเย็บแผลในเด็กหญิงตัวเล็กขนาดนี้ทำได้ยากมาก เป็นไปได้ที่อาจห้ามเลือดไม่อยู่ และเด็กอาจเสียชีวิตแม้อยู่ในมือสูติแพทย์” ข้าพเจ้าตอบ
“รุนแรงขนาดนั้นเชียว” เจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ อุทาน
“หนู…หมอตรวจภายในนิดเดียวนะ” ข้าพเจ้าพูดกับเด็กเพื่อดำเนินการตรวจภายในหาร่องรอยและหลักฐานการถูกข่มขืน
“ไม่นะ หนูกลัว ไม่…ไม่ หนูกลัว” เด็กหญิงผู้ถูกล่วงละเมินทางเพศ ไม่ร่วมมือและกอดเจ้าหน้าที่สตรีอย่างแน่น
“เมื่อวาน เด็กได้รับการตรวจภายใน ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการหมอเอาไม้พันสำลีแหย่เข้าไปในช่องคลอด เด็กเจ็บมาก จึงไม่ยอมให้ตรวจภายในซ้ำอีก” เจ้าหน้าที่สตรีผู้พาเด็กมาอธิบายถึงสาเหตุการไม่ให้ความร่วมมือของเด็ก
“ความจริง ถ้าโรงพยาบาลแห่งนั้น ไม่มีเครื่องมือสำหรับการตรวจหาหลักฐานทางนิติเวชหมอที่นั่นควรระบุเพียงสิ่งที่มองเห็นจากภายนอก และรีบส่งมาตรวจที่โรงพยาบาลตำรวจ จากประสบการณ์ของผม โรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ทางห้องปฏิบัติการไม่มีความรู้ ความเข้าใจดีพอเกี่ยวกับการพิสูจน์หลักฐาน วัตถุพยานในคดีข่มขืน ทางที่ดีควรจัดให้มีการอบรมเจ้าหน้าที่ทางห้องปฏิบัติการ รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์เครื่องตรวจพิสูจน์หลักฐานไว้ในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ” ข้าพเจ้าอธิบายถึงความบกพร่องของการตรวจพิสูจน์หลักฐานวัตถุพยาบาลของการตรวจพิสูจน์หลักฐานวัตถุพยานตามโรงพยาบาลต่างๆ และกล่าวต่อไปว่า
“เรื่องที่ว่านี้ เป็นเรื่องระดับประเทศ และไกลตัวสำหรับพวกเรา เอาเป็นว่า หากมีกรณีเด็กหญิงหรือสตรีถูกข่มขืน ควรส่งผู้เสียหายไปโรงพยาบาลใหญ่ๆ ระดับมหาวิทยาลัยฯ หรือโรงพยาบาลตำรวจโดยตรง เพื่อให้ได้ประโยชน์ปละหลักฐานพยานมากที่สุด”
“เด็ก..ไม่ยอมตรวจภายใน จะให้ทำอย่างไรดี” เจ้าหน้าที่สตรีท่านนั้นถาม
“คงต้อง ตรวจภายใน ภายใต้การดมยา” ข้าพเจ้าบอกกับเจ้าหน้าที่สตรีและติดต่อไปยังห้องผ่าตัด เพื่อปรึกษากับวิสัญญีแพทย์ ขณะนั้นเองพยาบาลท่านหนึ่งได้ถามขึ้นว่า “จะคุ้มไหม กับการตรวจภายในเด็กผู้หญิงด้วยการใช้ยาสลบ”
ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า “คุ้มค่าอย่างแน่นอน เพราะประการแรก ต้องการหลักฐานวัตถุพยาน ประการที่สองการบังคับ ขืนใจเด็กเพื่อตรวจภายใน จะเป็นการทำร้ายจิตใจของเธอไปตลอดชีวิต”
ที่ห้องผ่าตัด เด็กหญิงผู้เสียหายยังคงไม่ให้ความร่วมมือ ไม่มีใครรวมทั้งวิสัญญีแพทย์ และพยาบาลดมยาสามารถกล่อมให้เด็กขึ้นนอนบนเตียง เพื่อให้น้ำเกลือได้
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าพูดเสนอความคิดเห็นกับแพทย์วิสัญญีว่า
“น่าจะให้เด็กกินยานอนหลับ (Dormicum) ชนิดให้ผลทันทีและหลับลึก”
“ถ้าเด็กยอมกินยา คงไม่ต้องเสียเวลามาจนถึงขณะนี้หรอก ผมคิดว่าจะใช้ยานอนหลับ (Dormicum) ชนิดหยอดจมูกก่อน พอเด็กหลับแล้วค่อยดมยาสลบ” วิสัญญีแพทย์อธิบายแผนการดมยาสลบให้ฟัง อย่างไรก็ตาม กว่าจะหลอดเด็กให้ยอมหยอดยานอนอหลับเข้าจมูกได้ เวลาก็ล่วงเลยไปอีกครึ่งชั่วโมง
หลังจากหยอดยานอนหลับเข้าจมูกเด็ก ยาออกฤทธิ์ทันที ภายในระยะเวลาไม่ถึง 15 นาที หนูน้อยก็นอนหลับและได้รับการฉีดยาสลบผ่านทางสายน้ำเกลือ การตรวจภายในจึงไม่ยุ่งยากอีกต่อไป
โชคดี อวัยวะเพศของเด็กหญิงรายนี้เล็กมากจนไม่สามารถสอดใส่นิ้วมือ หรือองคชาติของผู้ใหญ่ได้ เป็นผลให้ไม่ถูกข่มขืน และถูกล่วงละเมิดทางเพศแต่เพียงภายนอกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม จากการตรวจภายใน ข้าพเจ้าตรวจไม่พบรอยฟกช้ำ รวมทั้งบาดแผลใดๆ บริเวณปากช่องคลอดของเด็ก
ข้าพเจ้าใช้ไม้พันสำลีเล็กๆ สอดเข้าไปในช่องคลอดเด็ก เช็ดหาคราบอสุจิที่อาจมีอยู่ข้างใน และส่งไปตรวจยังสถาบันนิติเวช บางที…อาจโชคดีมีหลักฐานวัตถุพยานสนับสนุนการดำเนินคดีนี้
เด็กหญิงเล็กๆ เหยื่อกามารมณ์ ไม่ใช่มีเพียงรายนี้รายเดียว เท่าที่มีการส่งผู้เสียหายมาตรวจยังโรงพยาบาลตำรวจ ปีหนึ่งหลายสิบราย ส่วนใหญ่กว่า 90เปอร์เซ็นต์ เป็นภัยร้ายที่เกิดจากคนใกล้ชิด เช่น พี่ พ่อ พ่อเลี้ยง ลุง น้า อา เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง เป็นต้น มีน้อยรายที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนที่ไม่รู้จัก
มหันตภัยร้ายใกล้ตัวเด็กหญิงเล็กๆ ยังคงไม่หมดไปอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อย ผู้ล่วงละเมิดทางเพศที่ถูกจับกุมมานั้น ควรได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม เราไม่ควรปล่อยให้เขาเหล่านั้น หลุดออกจาห้องขังไปเพียงเพราะขาดหลักฐานวัตถุพยาน
ข้าพเจ้าอยากให้ผู้ใหญ่สำคัญในบ้านเมือง มองเห็นความสำคัญในการให้ความรู้เกี่ยวกับการตรวจหาวัตถุพยานจากคดีข่มขืนแก่ เจ้าหน้าที่, แพทย์ พยาบาล, เทคนิคการแพทย์ รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือด้านนี้ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อปิด “ช่องว่างทางกฎหมาย” ที่จะเป็นการช่วยเหลือผู้กระทำผิด
ใคร..จะช่วยเหลือ เด็กหญิงเล็กๆ รายอื่นๆ ที่กำลังถูกคุกคามทางเพศได้?…
กรมประชาสงเคราะห์แห่งประเทศไทย มีหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วและตำรวจนอกเครื่องแบบคอยให้การช่วยเหลือ เหยื่อกามารมณ์ผู้ถูกข่มขืนทุกราย โดยเฉพาะเด็กหญิงอายุน้อยๆ นอกเหนือจาก ช่วยเหลือทางด้านสวัสดิภาพแล้ว ยังจัดหาที่พักพร้อมอาหารและให้การศึกษาอีกด้วย
ข้าพเจ้าเคยชักชวนสมาชิกของมูลนิธิแสงพุทธธรรมแห่งประเทศไทยมาบริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้กับที่นี่ เพื่อเป็นกองทุนช่วยเหลือเด็ก และสตรีที่ถูกข่มขืน ใครก็ตาม หากต้องการทำบุญบริจาคเงินหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเด็กและสตรีที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ โปรดติดต่อ กองคุ้มตรองสวัสดิภาพเด็กและสตรี กรมประชาสงเคราะห์ หมายเลขโทรศัพท์ (02) 2468652, 1479485 หรือมูลนิธิคุ้มครองเด็ก โทร. (02) 5394041, 5286227
เราคนไทยซึ่งมีวัฒนธรรมที่ดีงาม ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล และไม่ควรปล่อยให้ผู้ใหญ่คนใกล้ชิดที่มีจิตผิดปกติ ทำร้ายและ “ข่มขืนเด็ก” ในปกครองได้ มิฉะนั้น เจ้าตัวน้อยในวันนี้ จะเติบโตขึ้นมาอย่างฝันร้าย และชีวิตของเธอกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
PPPPPPPPPPPP