เพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์
วันนี้ ขณะที่ข้าพเจ้านั่งรับประทานอาหารที่แยกไว้จากการทำบุญ อันมีไข่พะโล้ 2 ฟองและผัดฟักทองเป็นของคาว เจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลตำรวจ ได้ช่วยจัดเตรียมของคาวเหล่านั้นให้ เธอเอามีดมาผ่าไข่พะโล้ออกเป็นสองซีกทั้งสองฟอง ปรากฏว่า ข้างในมีไข่แดง 2 ใบซ้อนกันอยู่ทั้งสองฟอง ข้าพเจ้าเห็นเป็นเรื่องประหลาด จึงถามเธอว่า รู้ได้อย่างไรว่าเป็น ‘ไข่แฝด’ เธอบอกว่า ‘หมออาจไม่รู้ แต่หนูสังเกตว่า ไข่มันใบใหญ่กว่าปกติ ก็นึกถึงไข่แฝด ซึ่งก็เป็นจริง’ ข้าพเจ้าพิจารณาดูแล้ว คิดว่า เรื่องบางเรื่องนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนพวกหนึ่ง แต่อาจเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนอีกพวกหนึ่งที่ไม่รู้ อย่างเช่นเรื่อง ‘เพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์’ หลายคนอาจทราบว่า ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร แต่ก็มีคนอีกมากมายยังไม่รู้
‘เพศสัมพันธ์’ นับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในชีวิตมนุษย์และสัตว์ ธรรมชาติได้สรรสร้างไว้ ไม่ใช่เพียงเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ แต่ยังให้ความสุขอย่างที่สุดแก่บรรดาสัตว์โลกเหล่านั้น…มองด้วยความเป็นธรรมแล้ว ‘เพศสัมพันธ์’หาใช่สิ่งเลวร้าย ที่มุ่งทำลายมโนธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ หากแต่เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งของชีวิตคู่ ความบกพร่องของกิจกรรมทางเพศต่างหากกลับเป็นตัวนำมาซึ่งรอยร้าวแห่งชีวิตครอบครัว อย่างไรก็ตาม สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ‘เพศสัมพันธ์’ ถือเป็นสิ่งที่ควรนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบ ด้วยเหตุที่ว่า มีสองชีวิตอยู่ในบุคคลคนเดียว….และเพศสัมพันธ์อาจก่อผลเสียหายที่คาดไม่ถึง
มีตำรามากมายทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ ได้แสดงความเห็นในประเด็นนี้โดยแบ่งคร่าวๆออกเป็น 3 แนวทาง คือ 1. สามีภรรยาสามารถมีเพศสัมพันธ์กันได้ตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์ (แต่ต้องระมัดระวังอย่างที่สุดในช่วงเดือนสุดท้ายก่อนถึงกำหนดคลอด) ถ้าไม่มีข้อห้าม เช่น มีเนื้องอกมดลูก รกเกาะต่ำ มีน้ำเดิน เลือดออกจากช่องคลอด เป็นต้น 2. ควรมีเพศสัมพันธ์อย่างระมัดระวังในช่วง 3 เดือนแรกและ 3 เดือนสุดท้าย เนื่องจากเสี่ยงต่อการแท้งบุตรและการคลอดก่อนกำหนด 3. ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 6 สัปดาห์สุดท้ายและ 6 สัปดาห์หลังคลอด ด้วยเหตุผลเรื่องการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่ไม่อาจคาดเดาได้ กล่าวโดยสรุป คือ ช่วงไตรมาสที่ 2 อันได้แก่ ช่วงอายุครรภ์ระหว่าง 13 ถึง 28 สัปดาห์ น่าจะปลอดภัยมากที่สุดสำหรับคนท้องในการมีเพศสัมพันธ์
ข้าพเจ้าเอง ก็เคยมีความคิดทำนองเดียวกันนี้เกี่ยวกับ ‘เพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์’ แต่จากประสบการณ์ของข้าพเจ้าที่จะเล่าต่อไปนี้ อาจมีข้อขัดแย้งจากความรู้ดังกล่าวข้างต้น
เมื่อ 10 ปีก่อน คนไข้ของข้าพเจ้ารายหนึ่ง อายุยังอยู่ในวัยรุ่น เธอมีเพศสัมพันธ์กับสามีตอนเที่ยงคืนขณะตั้งครรภ์ได้ 20 สัปดาห์ พอรุ่งเช้าก็มีอาการเจ็บครรภ์ เธอได้เข้ามานอนพักที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ข้าพเจ้าได้ให้ยายับยั้งการแข็งตัวของมดลูกโดยหยดยาผ่านทางสายน้ำเกลือ เวลาผ่านไปประมาณ 6 ชั่วโมง ปรากฏว่า ปากมดลูกเปิดมากขึ้น และแท้งบุตรออกมา ในตอนนั้น ข้าพเจ้าได้เตือนเธอว่า หากตั้งครรภ์อีกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ เมื่อไม่นานมานี้ เธอได้เข้ามารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกกับข้าพเจ้า จึงทราบว่า เธอยังไม่ได้ตั้งครรภ์อีก
หลังจากนั้น เมื่อพบเจอคนท้องที่แท้งในขณะอายุครรภ์พอๆกันนี้ ข้าพเจ้ามักสอบถามคนไข้เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับสามีภายใน 24 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น ซึ่งปรากฏว่า มีคนท้องจำนวนมากที่แท้งบุตรเนื่องจากสาเหตุนี้
กลางเดือนที่แล้ว มีคนท้องรายหนึ่ง ชื่อคุณนงลักษณ์ อายุ17 ปี ตั้งครรภ์แรก อายุครรภ์ 5 เดือน ฝากครรภ์ที่ศูนย์อนามัยใกล้บ้าน วันนั้น เธอมีอาการปวดหน่วงบริเวณหัวเหน่า มดลูกแข็งเกร็ง และมีเลือดออกจากช่องคลอด เธอถูกนำตัวส่งห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลตำรวจ แพทย์ที่นั่นได้ตรวจอาการและวินิจฉัยเบื้องต้นว่า เป็นแท้งคุกคาม โดยตรวจพบว่า มดลูกมีขนาดระดับสะดือ จากนั้น ก็รีบส่งมาที่แผนกสูตินรีเวช คุณนงลักษณ์มาในสภาพนอนบนเตียงเข็น เธอนอนขดงอ อยู่ในท่าคุดคู้ ร้องครวญครางและดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวด ตอนนั้น ข้าพเจ้ายังนึกไม่ออกว่า เธอเป็นอะไร? พอตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องของเธอ ก็พบว่า ทารกมีอายุประมาณ 18 สัปดาห์ โดยเทียบจากการวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของศีรษะและกระดูกขาส่วนต้น ยังมีชีวิตอยู่ หัวใจเต้นโดยเฉลี่ย 140 ครั้งต่อนาที ข้าพเจ้าได้ฉีดยาแก้ปวด (Buscopan) ให้กับเธอทันที เพื่อลดความทุกข์ทรมาน และสงสัยว่าจะเป็นการปวดจากแผลในกระเพาะลำไส้
เมื่อคุณนงลักษณ์มีอาการทุเลาลง ข้าพเจ้าได้ตรวจภายในให้ เพื่อประเมินสภาพเกี่ยวกับการแท้งบุตรว่า เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน? ผลการตรวจ ปรากฏว่า ปากมดลูกเปิด 4 เซนติเมตร ความบาง 100 % ที่สำคัญ คือ มีถุงน้ำคร่ำโป่งออกมาจากปากมดลูก (Bulging of amniotic sac) ซึ่งบ่งบอกว่า ไม่สามารถยับยั้งการแท้งได้อีกต่อไป ในที่สุด ก็แท้งบุตรออกมา เป็นเด็กชาย มีน้ำหนักรวมกับรกได้ 390 กรัม ข้าพเจ้าได้สอบถามจากสามีเธอว่า มีเพศสัมพันธ์กันมาก่อนหน้านี้หรือไม่ สามีเธอตอบว่า ‘มี…เมื่อคืนที่ผ่านมา’ ซึ่งแน่นอนว่า นั่นคือ สาเหตุของการแท้งในครั้งนี้ คุณนงลักษณ์นอนพักที่โรงพยาบาลตำรวจ 2 วัน ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน เมื่อกลับมาตรวจติดตามผลการรักษา ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร
อีกรายหนึ่ง เป็นคนไข้ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ชื่อ คุณกรรณิกา คนไข้รายนี้อายุ 22 ปี ตั้งครรภ์แรก อายุครรภ์ 21 สัปดาห์เศษ เธอมีอาการปวดท้องน้อยมา 1 วัน มดลูกแข็งเกร็ง ลูกดิ้นน้อย แต่ไม่มีเลือดออกจากช่องคลอด โดยเธอมีเพศสัมพันธ์กับสามีตอน 4 นาฬิกาของวันนั้น พอถึงเวลาประมาณ 18 นาฬิกา คุณกรรณิกา ก็เริ่มเจ็บครรภ์อย่างมาก จึงเข้ามานอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เวลาผ่านไปจนถึง 23 นาฬิกา ปรากฏว่า คุณกรรณิกามีเลือดออกและออกมากขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงถูกส่งตัวมานอนที่ห้องคลอด ในช่วงเวลาประมาณ 4 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ คุณกรรณิกามีอาการปวดท้องรุนแรงมาก พยาบาลห้องคลอดได้ตรวจภายในให้ ปรากฏว่า ปากมดลูกเปิดประมาณ 3 – 4 เซนติเมตร และมีถุงน้ำคร่ำโป่งออกมา (Bulging of amniotic sac) ไม่นานนัก ถุงน้ำคร่ำก็แตก เด็กและรกจึงคลอด ทารกเป็นเด็กชาย น้ำหนักแรกคลอด 580 กรัม ยังมีชีวิต แต่ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา คุณกรรณิกากลับบ้านในวันรุ่งขึ้นโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ
การแท้งบุตรของทั้งสองรายข้างต้นเป็นการแท้งในไตรมาสที่ 2 ซึ่งพบได้ถึงร้อยละ 15 ของการแท้งทั้งหมด สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากมดลูกมีรูปร่างผิดปกติ(Uterine malformation) มีเนื้องอกมดลูก (Fibroid) ปากมดลูกหลวม (Cervical incompetence) หรือมีโรคแทรกซ้อน เช่น เบาหวาน ต่อมธัยรอยด์ทำงานบกพร่อง แต่แทบไม่มีการอ้างถึงสาเหตุจาก ‘เพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์’
ในน้ำอสุจิของผู้ชายนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า มีปริมาณของสาร Prostagrandin อยู่เป็นจำนวนมาก สารตัวนี้มีผลต่อการแข็งตัวของมดลูกและทำให้ปากมดลูกนุ่ม ซึ่งสามารถก่อให้เกิดการแท้งบุตรได้ในผู้หญิงที่มดลูกมีความไวต่อสารตัวนี้ (oversensitive)
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า ฝ่ายหญิงจะมีปัญหาดังที่กล่าวมาหรือไม่?(มดลูกมีความไวต่อสาร Prostagrandin) ข้าพเจ้า คิดว่า คู่สามีภรรยาไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กันเลยตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ เพราะหากมีการแท้งเกิดขึ้น ย่อมไม่คุ้มค่ากับความสุขชั่วแล่น จากการศึกษาวิจัย พบว่า ‘ฝ่ายหญิงมักมีความรู้สึกทางเพศลดลงเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อีกทั้งยังหาได้มีความสุขทางเพศ เหมือนช่วงปลอดครรภ์’ ข้าพเจ้าเห็นว่า ควรเก็บความรู้สึกทางเพศเหล่านั้นไว้และนำไปชดเชยในยามปกติ จะดีกว่า
ลองหันมามองในช่วงเวลาธรรมดาของชีวิตครอบครัวบ้าง จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า พบว่า คู่รักมักมีเพศสัมพันธ์กันบ่อยครั้งและสม่ำเสมอช่วงก่อนแต่งงาน แต่หลังแต่งงานทั้งสองกลับห่างเหิน ราวกับว่า เพศสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีคู่รักที่เรียนสูงด้วยกันทั้งคู่ หรือเป็นคนที่ได้รับยกย่องว่าเป็นคนดี..ความจริงแล้ว เราสามารถมอง ‘เพศสัมพันธ์’ เป็นสิ่งที่สวยงามได้ จึงไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดอะไร ที่คู่รัก ซึ่งเป็นคนดีหรือมีการศึกษาสูง จะมีเพศสัมพันธ์กันบ่อยครั้ง…….การหมางเมินห่างเหินจาก ‘เพศสัมพันธ์’ ของคู่ชีวิตนั้น มักก่อปัญหาครอบครัวบ่อยๆ นั่นคือ การสอดแทรกเข้ามาของบุคคลที่สาม อันไม่ได้ถือกำเนิดมาจากเทวดาหรือมนุษย์ในชาติก่อน..
ท้ายที่สุด ข้าพเจ้าได้เขียนบทกลอน ‘เมียน้อย มิตรภาพจอมปลอม’ ฝากไว้เพื่อเป็นข้อคิดเตือนใจสำหรับคนทั่วไปและคู่ชีวิตที่เหนื่อยหน่ายกับการมี ‘เพศสัมพันธ์’
มิตรภาพ คือ สวนสวย แสนสำรวย ด้วยพฤกษา
เพื่อนดี มีจรรยา ล้ำเลอค่า ยิ่งกว่าทอง
“มนุษย์” คือคำเรียก ยินสำเหนียก อย่างยกย่อง
ว่าเหนือ สัตว์ทั้งผอง ตามครรลอง ของปัญญา
เพื่อนชั่ว ดุจผีเปรต คอยหาเศษ แห่งตัณหา
ชักชวน สิ่งมายา เชิญเข้ามา พาให้หลง
คนเลว ใจโสโครก อุปโลกน์ ตัวเป็นหงส์
แปดเปื้อน เพื่อนเผ่าพงศ์ น่าสงสาร ผู้พานพบ
คนดี ถูกทำร้าย อย่างมากมาย ไม่รู้จบ
ล้มลุก หลายตลบ กว่าจะพบ กับความจริง
มิตรภาพ อันฉาบฉวย อวดร่ำรวย ด้วยทุกสิ่ง
สรรหา คำอ้างอิง มาเรียงร้อย ถ้อยคารม
เมียน้อย คราบผู้ดี ดูแล้วมี ชั้นสังคม
แต่จิต คิดโสมม ดังอาจม ห่มติดตัว
ใช้ลูก เป็นเครื่องมือ เพื่อยึดยื้อ ดื้อกับผัว
บาปกรรม ไม่เคยกลัว มักเกลือกกลั้ว มั่วกามา
หลอกลวง อยู่เป็นนิตย์ ชอบทำกิจ คิดมิจฉา
โหยหิว แต่เงินตรา ชักนำพา ให้ฉิบหาย
ผู้ใด ได้เป็นเพื่อน ก็เสมือน ถูกซื้อขาย
บางคน ล้มละลาย ฆ่าตัวตาย ชีพวายปราน
เมื่อเห็น เป็นเช่นนี้ ขอจงมี ความกล้าหาญ
เพียรใช้ ปัญญาญาณ เพื่อล้างผลาญ มารผจญ
นี่คือ เหตุแห่งมิตร ทุรจิต อกุศล
ศีลธรรม มิ่งมงคล ช่วยให้พ้น จากผลภัย
ครอบครัว ที่อบอุ่น ถือเป็นคุณ คอยแก้ไข
เกี่ยวก้อย คล้อยกันไป สุขสดใส ไม่เสื่อมคลาย.
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&.