บทเพลงแห่งทะเล

           คืนนั้นเป็นวันจันทร์ที่ 13 เมษายน ซึ่งอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปีนี้   เรา 3
คน พ่อแม่ลูก  กำลังนั่งรับประทานอาหารทะเล   อยู่ที่ริมชายหาดแห่งหนึ่งของจังหวัดระยอง
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าหาดนี้มีชื่ออะไร หรือว่ายังไม่มีใครตั้งชื่อ เท่าที่สังเกต หาดแห่งนี้ค่อนข้างสวยงาม
และสะอาด  มีถนนลาดยางเลียบชายทะเลเป็นแนวไปโดยตลอด  ระยะทางยาวประมาณ 10 กิโลเมตร ริมถนนด้านชายหาดมีเพิงร้านค้าเล็ก ๆ เรียงรายเป็นช่วง ๆ   ช่วงหนึ่ง ๆ จะมีเพิงร้านค้าประมาณ 5-6 แห่ง
          เพิงร้านค้าที่ว่านี้ มีลักษณะเป็นเพิงที่พักชั่วคราว แลดูโล่ง ๆ สบาย ๆ อากาศถ่ายเทสะดวก มีหลังคาปิดกั้นพอที่จะกันฝนและแสงแดดได้ ด้านข้างไม่มีฝาผนัง  ส่วนด้านหลังทางร้านจัดทำเป็นห้องพักสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ สำหรับเจ้าของไปพักซุกตัวนอนเวลาไม่มีลูกค้า  ถัดจากห้องพักออกไปทางทะเล มีการจัดเตรียมโต๊ะไว้ให้แขก 2-3 ตัวบนชายหาด เพื่อจะได้สัมผัสกับบรรยากาศชายทะเลอย่างแท้จริง
          \”เสียงคลื่นทะเลที่สาดซัดกับหาดทราย ฟังดูคล้ายกับเสียงเพลงจากทะเล  ยิ่งอยู่ใน
ความมืด ยิ่งมีมนต์ขลัง ฟังไพเราะจับใจ\” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นลอย ๆ
          \”ครอบครัวใด ได้มาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ นับว่า คุ้มค่ากับการมาพักผ่อน\” ภรรยา
ข้าพเจ้ากล่าวขึ้นบ้าง
          \”อยากจะแต่งบทเพลงแห่งทะเลยามนี้เสียเหลือเกิน เพราะกำลังอยู่ในบรรยากาศ\”
ข้าพเจ้าพูดต่อไปเรื่อย ๆ\”  แม้จะไม่ใช่จินตกวีที่มีชื่อเสียงอะไร    แต่วิญญาณของคนรักกวีทำให้
เหมือนมีพรายมากระซิบให้เขียนบทเพลง\”   
          ข้าพเจ้าหยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาแผ่นหนึ่ง       แล้วลองเขียนดู แต่เขียนไปไม่ได้
สักเท่าไร อาหารทะเลบนโต๊ะก็หมด   
          \”กลับโรงแรมที่พักกันเถอะ จะได้พาลูกไปนอน\” ภรรยาข้าพเจ้าเอ่ยชวน
          ข้าพเจ้าจึงต้องยุติการเขียนกลางคัน และเก็บความรู้สึกนี้ไว้   รอว่ามีเวลาเมื่อไร
จะหยิบขึ้นมาเขียนใหม่
          วันรุ่งขึ้นเป็นวันอังคาร ราชการยังหยุดทำงานต่อ     แต่ข้าพเจ้ามีเวรรับผิดชอบที่
โรงพยาบาลตำรวจ ในเวลา 8 นาฬิกา  ดังนั้นครอบครัวของเราจึงจำเป็นต้องออกเดินทางจาก
จังหวัดระยองแต่เช้ามืด
          ระหว่างทางกลับ    ข้าพเจ้ามองเห็นถนนเส้นทางด่วนที่เรียกว่า  \”มอเตอร์เวย์\”
บริเวณอำเภอ ศรีราชา จึงขับรถเลี้ยวไปทางนั้น
          เส้นทาง \”มอเตอร์เวย์\” เป็นทางลัดมุ่งสู่กรุงเทพฯ ถนนค่อนข้างเรียบและตรงเป็น
ระยะทางยาว   ทำให้ผู้ใช้เส้นทางส่วนใหญ่ขับรถเร็วมาก  โดยเฉลี่ยความเร็วจะเกินกว่า 100
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
          ในเวลาเช้าตรู่อย่างนี้ เห็นมีรถยนต์ขับขี่น้อยมาก   ทำให้มองดูถนนโล่ง สะอาดตา
เหมือนราวกับว่า ถนนสายนี้ยาวไกลไปสิ้นสุดยังฟากฟ้าอีกด้านหนึ่ง      ข้าพเจ้าขับรถไป ก็เกิด
จินตนาการและความคิดว่า \”การดำเนินชีวิตของคนเรา   ช่างไม่แตกต่างกับการเดินทางไกลสัก
เท่าไร    บางคนดำเนินชีวิตด้วยตัวคนเดียว บางคนมีครอบครัวร่วมเดินทางไปด้วย  คนที่อยู่ตัว
คนเดียวไม่มีครอบครัว คงจะเหงาและเปล่าเปลี่ยว   ไม่มีคนคอยให้กำลังใจยามล้มเหลว ปลอบ
โยนยามเสียใจ ชื่นชมยินดียามประสบความสำเร็จ  แต่ก็ดีอย่างหนึ่งคือ เวลาจากโลกนี้ไปไม่ต้อง
เป็นห่วงใคร   ส่วนคนที่มีครอบครัว ไปที่ไหนก็ไม่ค่อยกลัว เพราะมีเพื่อน มีคนคอยปลอบ คอยให้
กำลังใจ เดินทางไปอย่างมีจุดหมาย และมีความหวัง      สองข้างทางมีความสวยงามอย่างไร
สามารถถ่ายทอดความรู้สึกกับคนรอบข้างได้  แต่หัวหน้าครอบครัวผู้ซึ่งถือพวงมาลัย   ต้องมีความ
รับผิดชอบ และไม่ประมาท มิฉะนั้นจะผิดพลาดทำให้ครอบครัวเป็นอันตราย\”
          ขณะกำลังขับรถอยู่ดี ๆ บริเวณใกล้จะถึงเขตกรุงเทพฯ ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
ข้าพเจ้าเหลือบดูเวลา ขณะนั้นเป็นเวลา 8 นาฬิกาพอดี
          \”ฮัลโหล สวัสดีครับ\” ข้าพเจ้ารับสายโทรศัพท์
          \”นี่พี่เองนะ\” พยาบาลที่รู้จักกันคนหนึ่งเอ่ยขึ้น \”รบกวนหน่อย…จะขอย้ายคนไข้สตรี
รายหนึ่งจากโรงพยาบาลเอกชนที่ พัทยา เข้ามานอนที่แผนกสูติโรงพยาบาลตำรวจ\”
          \”ทำไมหรือ…\” ข้าพเจ้าถาม
          \”คนไข้สตรีรายนี้ ไปเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ที่ พัทยา   ปรากฏว่า เกิดปวดท้องน้อย
และปัสสาวะไม่ออกขึ้นมากระทันหัน จึงต้องเข้าไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแถวนั้น หมอที่นั่นบอก
ว่า เป็นเนื้องอกมดลูก และเนื้องอกไปกดทับบริเวณคอของท่อทางเดินปัสสาวะ ต้องผ่าตัดด่วน แต่
พอใส่สายสวนปัสสาวะ ปัสสาวะขับถ่ายได้สะดวก คนไข้หายปวดจึงของดผ่าตัดไว้ก่อน เพื่อขอย้าย
ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลของรัฐบาล จะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย  คนไข้รายนี้รู้จักกับพี่   จึงขอร้องให้
ช่วยเหลือเพื่อย้ายมาผ่าตัดยังโรงพยาบาลตำรวจ จะผ่าตัดด่วนหรือไม่ ก็แล้วแต่หมอ\”
          \”พี่ย้ายคนไข้มาได้เลย แต่จะผ่าตัดด่วนหรือไม่ ต้องขอตรวจดูก่อน   ถ้าจำเป็น…
จะผ่าตัดฉุกเฉินให้ แต่ถ้ารอได้ อยากให้รออีก 2 วัน ให้ราชการเปิดทำการก่อน จะได้มีบุคลากร
เพียงพอ และเพื่อเตรียมความพร้อมของคนไข้ด้วย\” ข้าพเจ้าตอบไปทางโทรศัพท์
          เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้ไปตรวจดูคนไข้ ปรากฏว่าเป็นเนื้องอกมดลูกชนิดไม่
ร้ายแรง (MYOMA UTERI)   ขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร  ย้อยลงมาในอุ้งเชิงกรานส่วนลึก   
ข้าพเจ้าพยายามดันกลับให้เนื้องอกลอยพ้นอุ้งเชิงกรานเข้าไปในส่วนของท้องน้อย แต่ทำไม่สำเร็จ
เพราะเนื้องอกค่อนข้างแน่นคับภายในอุ้งเชิงกราน และคนไข้ปวดมากจนทนไม่ได้
          ข้าพเจ้าได้ทำการตรวจดูด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอด       พบว่า
เนื้องอกก้อนนี้อยู่ภายในตัวมดลูก  มีขอบเขตชัดเจน (WELL CIRCUMSCRIBED)  ขนาดประมาณ
8 เซนติเมตร   จึงบอกกับคนไข้ว่า \”สามารถผ่าตัดเอาเฉพาะตัวเนื้องอกออกและคงเหลือมดลูก
ไว้สำหรับตั้งครรภ์ต่อไปได้ด้วย แต่คงต้องดูพยาธิสภาพในขณะผ่าตัดอีกทีว่าน่าจะสมควรเก็บมดลูก
เอาไว้หรือเปล่า\”
          นอกจากนั้น ยังได้ตรวจดูทางห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการทำงานของไตและการอุดตัน
ของท่อไต ปรากฏว่า ไม่มีปัญหาอะไรและท่อไตไม่โป่งขยายจากการคั่งของปัสสาวะที่เกิดจากการ
กดของก้อนเนื้องอก
          ภายในห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าได้ตัดเลาะเอาเฉพาะเนื้องอกออกมาก่อน    ปรากฏว่า
เนื้องอกมีการเน่าสลายภายใน (NECROSIS DEGENERATION)   และมีน้ำสีคล้ายน้ำปูนปนสีแดง
ทะลักออกมาตามรอยรั่วของเนื้องอก ปรากฏการณ์เช่นนี้พบเห็นได้ไม่มากนัก      อย่างไรก็ตาม
ข้าพเจ้าสามารถเอาตัวเนื้องอกออกได้หมด โดยมดลูกส่วนใหญ่ไม่ถูกทำลาย
          ข้าพเจ้าได้ให้พี่พยาบาลคนที่เป็นญาติไปถามสามีคนไข้ว่า  \”จะเก็บมดลูกเอาไว้ไหม
ยังพอทำได้ เผื่อว่าอยากจะมีลูกต่อไป\”  ที่ให้ถามเช่นนั้น เพราะคนไข้อายุเพียง 35 ปี และมีลูก
คนเดียว   แต่เนื่องจากแผลผ่าตัดบนตัวมดลูกค่อนข้างใหญ่ ซึ่งอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์
ครั้งต่อไป       ประกอบกับมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (ENDOMETRIOSIS) อยู่ด้วยใน
บริเวณใกล้เคียงกันนั้น    จึงสามารถตัดสินใจออกมาได้ใน 2 ลักษณะ คือเก็บมดลูกไว้หรือตัดทิ้ง
ไปทั้งหมด สามีของคนไข้ยืนยันให้ตัดมดลูกออกไป    ข้าพเจ้าจึงทำตามความประสงค์แต่ได้เหลือ
รังไข่ข้างหนึ่งเพื่อเอาไว้สร้างฮอร์โมนเพศ
          บัดนี้ ภารกิจความรับผิดชอบต่อคนไข้รายนี้หมดไปแล้ว แต่อารมณ์ความรู้สึกกับบรรยากาศ
ชายทะเลวันนั้นยังคงอยู่ ข้าพเจ้าได้เขียน \”บทเพลงแห่งทะเล\” ต่อจนจบ ด้วยจิตใจที่สงบและเบิกบาน
ยิ่ง ดังนี้

 ชีวิตคน เวียนวน แหวกว่าย         เกิดแก่ เจ็บตาย ในสงสาร         
   ขึ้นลง คล้ายดั่ง ทะเลธาร               ใครหาญ ฝ่าคลื่น ฝืนลม               
         ชีวิต วันนี้ มีค่า                  เกินกว่า เงินตรา ที่สั่งสม         
   พรุ่งนี้ ยังไม่มา อย่าปรารมภ์             จะตรอมตรม กับวันวาน ผ่านไปใย              
          ขอเพียง ใช้ชีวิต ไม่ประมาท        ผิดพลาด ผ่อนปรน แก้ไข         
   ทำดี ฝึกจิต ฟอกใจ                    ห่างไกล ความชั่ว มัวเมา              
          อย่าหลง ระเริง ในความสุข        ทะเลทุกข์ กว้างใหญ่ กว่าขุนเขา         
   เกลียวคลื่น ซัดกระหน่ำ ชีวิตเรา          เหมือน \”เงา\” ติดตาม ทุกยามไป              
         คิดจะข้าม ทะเล แห่งชีวิต          ต้องมีจิต แน่วแน่ ไม่หวั่นไหว         
   มีปัญญา กล้าแกร่ง มองการณ์ไกล          พลังใจ เข้มแข็ง แห่งศรัทธา              
         จงเป็นดั่ง เม็ดทราย ที่ชายหาด      องอาจ ทนทาน ปานภูผา         
   แข็งแกร่ง นุ่มเนียน สะอาดตา            สู้ฟ้า ท้าคลื่น เป็นหมื่นปี                        @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

    พ.ต.อ. นพ.เสรี ธีรพงษ์  ผู้เขียน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *