ดอกเตอร์ จีบสาว

ดอกเตอร์    จีบสาว

 

                   เพื่อนข้าพเจ้ามีหลายคนที่เรียน ดอกเตอร์   ถึงปัจจุบันนี้    อายุเกิน  40  ปี   ก็ยังไม่ได้แต่งงาน   ไม่ใช่ว่า ดอกเตอร์ เพื่อนข้าพเจ้า   หน้าตาไม่ดี   ขี้เหร่   หรือหยาบคาย  แต่ละคนรูปร่างสูงสง่า    หน้าตาใช้ได้   และเงินเดือนค่อนข้างดี  แต่เหตุที่ไม่ได้แต่งงาน    เป็นเพราะอะไร    เรื่องที่จะเล่าต่อไป      คงบอกเหตุผลได้ 

                   ก่อนอื่น   อยากพูดถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับคู่ครองของ ดอกเตอร์    ที่ข้าพเจ้ารู้จักว่า   ชอบวาง  "กรอบคุณสมบัติ"    ของผู้หญิงในอุดมคติไว้เสียเลิศเลอจนเกินไป   เช่น   ต้องสวย    รวย  เก่ง  นิสัยดี  หรือเป็นหมอ  อะไรทำนองนี้   แค่คุณสมบัติใดคุณสมบัติหนึ่ง  ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ  ก็ไม่ใช่หาง่าย ในชีวิตคนธรรมดาเช่นเรา  

                   ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่า   "ชีวิตคู่  เป็นเรื่องของวาสนา   ไม่ควรไปดิ้นรนค้นหาจนเดือดร้อนตนเอง และผู้อื่น"   

                   มีเพื่อนคนหนึ่ง    เรียนจบ  ดอกเตอร์   จากประเทศสหรัฐอเมริกา   ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง รายได้สูงมาก ใคร ชมว่า เป็นอัจฉริยะ   เพราะทำงานทุกอย่างสำเร็จรวดเร็ว  เขามีอายุราว  45 ปี  รูปร่างสูงใหญ่   ผิวขาว  สวมใส่แว่นตาตลอดเวลา ลักษณะท่าทางเป็นคนมีความรู้ 

                   วันหนึ่ง  ข้าพเจ้าได้จัดเลี้ยงแนะนำทำความรู้จักระหว่าง  ดอกเตอร์  คนนี้กับหญิงสาว หน้าตาดีเพื่อนของภรรยา ที่ภัตตาคาร มีชื่อแห่งหนึ่ง

                   ที่ไหนได้ นัด  1 ทุ่ม  เวลาล่วงเลยจน 2 ทุ่มครึ่ง  ฝ่ายชายถึงจะมา  เมื่อนั่งลงสนทนา กลับไม่กล่าวคำขอโทษที่มาช้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อฝ่ายหญิง  ปากพร่ำพูดแต่ว่า งานออฟฟิศยุ่งยังไง คอมพิวเตอร์มีปัญหาอะไร  ทั้งยังไม่ทักทาย   ไม่ถามชื่อฝ่ายหญิง  รวมทั้งสภาพของผมบนศีรษะ    ก็ไม่เรียบร้อย  เสื้อผ้าสกปรกและยับยู่ยี่ 

                   ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจ   คิดว่า "เอ๊ะ!    เราแนะนำเพื่อนหญิงให้      ทำไมจึงไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย  ผมเผ้าไม่หวี การแนะนำครั้งนี้กระทำอย่างเป็นทางการ   ไม่ใช่ทำเล่น "

                   ฝ่ายหญิงรู้สึกว่า ฝ่ายชายไม่ให้เกียรติ แต่ข่มใจไม่พูดอะไรออกมา

                   ข้าพเจ้าเองอยากให้  ดอกเตอร์ คุยกับฝ่ายหญิงบ้าง   จึงพยายามพูดจาเปิดทางให้อยู่หลายครั้ง   แต่เวลา ดอกเตอร์ พูด  เขาจะพูดเฉพาะเรื่องงานของตัวเอง   พูดเล่าอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่สนใจเรื่องอื่น  และไม่นำพาต่อสีหน้าท่าทางของผู้ฟัง เขาคงคิดว่า  สิ่งที่พูดนั้นน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก แท้จริง   เป็นสิ่งที่น่าเบื่อในความรู้สึกของคนอื่น  

                   ข้าพเจ้าพยายามพูดเตือน ดอกเตอร์ เป็นนัยอยู่บ่อยๆ แต่ดูเหมือน ดอกเตอร์  คนนั้น  จะไม่เข้าใจในเจตนา     เขายังคงพูดจาคนเดียวต่อไปอย่างเมามัน    สร้างความเบื่อหน่ายให้กับทุกคน   ตลอดช่วงเวลาของอาหารค่ำ

                   เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ    ข้าพเจ้าเปิดโอกาสให้ ดอกเตอร์ ไปส่งฝ่ายหญิงกลับบ้าน  ในใจคิดว่า  ได้ทำหน้าที่แม่สื่อดีที่สุดแล้ว

                   เวลาผ่านไปประมาณ  1  ชั่วยาม    ญาติทางฝ่ายหญิงได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า   และเล่าว่า  "ดอกเตอร์ คนนี้  แย่มาก หลังจากเดินทางออกจากภัตตาคารเพื่อส่งน้องสาวดิฉัน     แทนที่จะขับตรงมาส่งบ้าน   กลับแวะไปออฟฟิศของเขาก่อน  บอกว่าจะขึ้นไปเพียงครู่เดียว  แต่หายไปนานมาก  น้องสาวดิฉันเห็นว่า   ครึ่งชั่วโมงแล้วเขายังไม่ลงมา     รู้สึกอดรนทนไม่ได้จึงเปิดประตูรถเดินออกมา   เพื่อเรียกรถแท็กซี่     โชคไม่ดี   แถวนั้นมีหมาดุอยู่ตัวหนึ่ง    พอหมาเห่า   น้องสาวดิฉันตกใจวิ่งหนี  เลยถูกหมากัด  เมื่อขึ้นรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาล  หมอต้องทำแผลอยู่นาน และฉีดยาป้องกันบาดทะยักให้ด้วย  น่าเจ็บใจจริง      เธอขอให้ช่วยโทรมาบอกว่า   ต่อไปผู้ชายคนนี้ ไม่ต้องพามาให้เห็นหน้า

                   เพื่อน ดอกเตอร์  อีกคนหนึ่ง   เป็นสถาปนิกออกแบบ    เรียนจบจากประเทศสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับคนแรก  สถาปนิกท่านนี้มีออฟฟิศเป็นของตนเอง

                   ลักษณะหน้าตาของ ดอกเตอร์ คนนี้จัดว่าดี  ท่าทางเรียบร้อยเป็นสุภาพบุรุษมาก เขามาชอบเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของข้าพเจ้า  ฝ่ายหญิงก็มีใจชอบเขาอยู่  ทั้งสองจึงคบหากัน

                   แรก   เวลาไปไหน  จะไปเป็นกลุ่ม    เมื่อคุ้นเคยกันพอสมควร    ทั้งสองจึงนัดรับประทานอาหารกันเองที่ภัตตาคารอาหารทะเลแห่งหนึ่ง

                   อาหารทะเลที่สั่งมารับประทานมีหลากหลาย อาหารมีชื่ออย่างหนึ่งของภัตตาคารแห่งนั้น   คือ กุ้งก้ามกรามเผา ซึ่งคนทั้งสองสั่งมาหนึ่งกิโล  จานที่สั่งมีกุ้งอยู่ถึง 20 ตัว

                   "คุณชอบกินกุ้งใช่ไหม "  ดอกเตอร์ สถาปนิกหนุ่มถาม

                   "ชอบมากค่ะ  กุ้งที่นี่ตัวใหญ่ เนื้อดี และสดมาก" ฝ่ายหญิงตอบ

                   "คุณชอบกินส่วนไหนของกุ้งเผาละ"  ดอกเตอร์ สถาปนิกถามต่อ

                   "ชอบกินมากที่สุดส่วนหัว  ใครไม่รู้จักกินหัวกุ้ง คนนั้นถือว่ากินกุ้งไม่เป็น"   ฝ่ายหญิงพูดติดตลก

                   คาดไม่ถึง !   เรื่องราวที่เกิดตามมา    ทำให้ฝ่ายหญิงขำไม่ออก บอกไม่ถูก ได้แต่ยิ้มเฝื่อน   เพราะสถาปนิกหนุ่มถือคำพูดของฝ่ายหญิง  "ชอบกินส่วนหัวกุ้ง"   เป็นจริงเป็นจัง     และประพฤติตามนั้นทุกประการ  ดอกเตอร์ สถาปนิกจะเด็ดส่วนหัวของกุ้งเผาทุกตัวใส่จานสะอาดแยกให้กับฝ่ายหญิง ส่วนลำตัวของกุ้งนั้น เขารับหน้าที่กินเองเพราะเขาชอบกินเนื้อส่วนลำตัวกุ้งมาก  เป็นอันว่า  ไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบ เพราะต่างกินในส่วนที่ชอบมากที่สุดของกุ้งเผาในจานนั้น

                   "คุณคิดดู  ดอกเตอร์ คนนั้นกินกุ้งหมดทั้งจานเลย เหลือแต่ หัวกุ้ง ให้ดิฉัน   ไม่เหลือกุ้งที่เป็นตัวครบ เลยแม้สักตัวหนึ่ง  เขาไม่รู้หรือว่า  ส่วน หัวกุ้ง ที่เหลือไว้ในจานทั้งหมดนั้น เทียบได้กับเศษอาหารที่ทิ้งไว้  ถึงแม้ฉันจะชอบกิน หัวกุ้ง แต่ก็ชอบกินกุ้งทั้งตัวเหมือนกัน  ฝ่ายหญิงโทรมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังในวันหนึ่ง คิดไม่ถึงว่า มันสมองระดับดอกเตอร์ จะไม่เข้าใจเรื่องง่าย แค่นี้     หรือเป็นเพราะเขาเรียนจบจากต่างประเทศ  จึงเป็นคนที่ทำอะไรตรงไปตรงมา…… ใครที่ได้ทราบเรื่องราวข้างต้น  คงเดาได้ว่า ตอนจบเป็นเช่นไร

                   สำหรับเรื่องราวของ ดอกเตอร์  รายที่ 3 นี้  เป็นเรื่องเล่าจากพี่ชายของ ดอกเตอร์ เอง   เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับข้าพเจ้าที่จะช่วยแนะนำเพื่อนหญิงให้

                   "เขาเป็นหนุ่มวัยกลางคน    กตัญญูและขยันทำมาหากินมาก     เรียบจบจากประเทศอังกฤษ  ตอนที่อยู่อังกฤษ  เขาต้องทำงานหาเงินเรียนหนังสือ จึงทำให้มีนิสัยประหยัดอย่างมาก

                   เวลาไปจีบผู้หญิง  ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่  (ตามภาษาของ ดอกเตอร์)  คือ  "TAKE  A WALK"  เพราะเวลาของ ดอกเตอร์ มีค่าเป็นเงินเป็นทอง

                   ดังนั้น   ส่วนใหญ่ของค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับการจีบสาว   จึงเป็นเพียงการให้  "เวลา"  เดินทอดน่องอย่างช้า   คุยกันอย่างมีสาระ  ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก         สถานที่ร่มรื่นแห่งใดแห่งหนึ่ง   อาจมีการรับประทานอาหารข้างถนนเล็กๆ  น้อย   พอหอมปากหอมคอ  แล้วก็พาเพื่อนหญิงไปส่งบ้าน

                   สำหรับการรับประทานอาหารตามภัตตาคาร  ดอกเตอร์ บอกว่า  "แพงเกินความจำเป็น    การเสียเงินจำนวนมากเพื่อ  "กินบรรยากาศ" ตามภัตตาคาร ไหนเลย จะสู้ บรรยากาศธรรมชาติจริง ได้" 

                   มีผู้หญิงหลายคนที่โชคร้าย  ได้ไปนั่งรับประทานอาหารตามข้างถนน     ซึ่งมีผ้าใบกั้นแดดฝน   แล้วเผอิญฝนตกลงมา  ละอองฝนกระเด็นเปื้อนกระโปรงและรองเท้า  ฝ่ายหญิงขอให้เขาพาไปร้านอาหารตามภัตตาคาร   แต่ ดอกเตอร์ กลับเร่งเร้าให้รีบ รับประทาน   และพาไปส่งบ้านในทันที    โดยอ้างว่า "บรรยากาศไม่ดี    เอาไว้วันหลัง  ค่อยออกมาเดินเล่นใหม่"  

                   ใครได้ฟังเหมือนดังข้าพเจ้าคงตัดสินใจได้ว่า      ควรแนะนำเพื่อนหญิงให้ดีไหม?..

                   ข้าพเจ้าคิดว่า   ไม่มีผู้หญิงคนใดเลือกผู้ชายที่มีพฤติกรรมจีบสาวดังที่เล่ามา ถึงแม้ผู้หญิงบางคนหลงผิดยอมแต่งงาน สุดท้ายก็ต้องหย่าขาดแยกทางไป เนื่องจากผู้หญิงสมัยใหม่แตกต่างจากผู้หญิงสมัยก่อนค่อนข้างมาก

                   ผู้หญิงสมัยนี้ ไม่ได้สงบเสงี่ยมเจียมตัวหรืออยู่ในลักษณะ "ตั้งรับ"      เหมือนกับผู้หญิงสมัยก่อน  เจ้าหล่อนสามารถตอบโต้ผู้ชายได้อย่างเจ็บแสบ  ลักษณะของผู้หญิงสมัยนี้    คือ  มีการศึกษา   กล้า   ท้าทาย  และไม่ปิดตัวเอง  ชายใดที่คิดจะเลือกเป็นคู่ครอง   ต้องไม่มองข้ามสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความงาม

                   เช้าวันนี้ ข้าพเจ้าไปจอดรถ   ที่จอดรถแห่งหนึ่ง เผอิญข้าง รถของข้าพเจ้ามีรถเก๋งอีกคันหนึ่งจอดอยู่ก่อน ข้าพเจ้าไม่ได้สังเกตว่ามีใครนั่งอยู่ในรถ จึงได้วางสิ่งของไว้ที่กระโปรงรถข้างท้าย ผู้หญิงภายในรถคันนั้นได้เปิดประตูออกมาและด่าว่าเสียยกใหญ่  ข้าพเจ้าได้แต่กล่าวคำ "ขอโทษ" และเดินจากไปอย่างเงียบ   หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อย  และได้ย้อนกลับมาเพื่อเอารถออก ปรากฏว่า มีกระดาษปิดอยู่หน้ากระจกรถ  เขียนข้อความว่า  "สันดาน…"   คำกล่าวนี้ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่า  ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ขี้อายอีกต่อไป

                   ข้าพเจ้าเป็นหมอรักษาภาวะมีบุตรยาก พบเห็นคู่สมรสที่มารักษาส่วนใหญ่อายุมาก ทั้งนั้น     หลายคู่อายุเกิน  40  ปี  บางคู่อายุเกิน  50 ปี  เมื่อสอบถามดู  หลายคู่ตอบว่า  แต่งงานช้า  กว่ากามเทพจะดลใจ  ชีวิตวัยล่วงไปมากแล้ว

                    แต่ก่อน    วงการแพทย์   เข้าใจว่า  อายุของฝ่ายชายไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการรักษาภาวะมีบุตรยาก ปัจจุบัน เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า สิ่งแวดล้อม  (ENVIRONMENT),  กรรมพันธุ์ (GENETIC)   และสภาพจิตใจ  (PSYCHOSOCIAL)      ของผู้ชายยุคปัจจุบันมีผลทำให้เกิดความผิดปรกติเกี่ยวกับการสร้าง อสุจิ (SPERM  PRODUCTION  DISORDERS) โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน  50  ปี  ซึ่งถึงแม้  จำนวนเชื้ออสุจิ (QUANTITATIVE)  อาจไม่ลดลง  แต่คุณภาพเชื้ออสุจิ (QUANTITATIVE)   ลดลงตามอายุอย่างแน่นนอน

                   เพราะฉะนั้น ผู้ชายเองจึงไม่ควรแต่งงานช้าจนเกินไป ใครจีบสาวไม่เป็น    ใช่ว่า  จะหมดโอกาสมีครอบครัว  ดูข้าพเจ้าเป็นตัวอย่าง ซึ่งบางทีกลับเป็นข้อดีอีกด้วย   แต่ถ้าจีบสาวเป็น ก็ยิ่งดี เพราะชีวิตคู่จะได้เริ่มต้นแต่ในวัยหนุ่มสาว  และไม่เป็นปัญหาด้านการรักษามากนัก  ขออย่างเดียว  อย่าใช้พฤติกรรมจีบสาว เหมือนดัง ดอกเตอร์ ที่เล่ามาข้างต้น

                   ข้าพเจ้าเป็นคนที่จีบผู้หญิงไม่เป็น แต่เป็นคนใจเย็นและสุขภาพจิตดี  จริงๆ แล้ว ข้าพเจ้าไม่เคยจีบผู้หญิงสำเร็จสักราย แม้กระนั้น สุดท้ายก็ได้แต่งงานอย่างมีความสุขกับผู้หญิงที่เรียบจบจากประเทศไต้หวัน เมื่ออายุล่วงเลยไปถึงวัยกลางคน  ข้าพเจ้าคิดว่า  ที่ข้าพเจ้าได้แต่งงาน คงเนื่องด้วยอาศัยความเป็นเพื่อน  และความจริงใจแบบผู้ใหญ่มากกว่า การจีบผู้หญิงแบบหนุ่มวัยรุ่น

                   การจีบสาวนั้น ไม่ใช่หนทางเดียวในการมีชีวิตคู่ ชีวิตคู่ที่มีความสุขต้องมีความรักเป็นพื้นฐาน  ซึ่งบางทีความรักที่เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน  อาจดีกว่า ที่เริ่มต้นจากการจีบกันตามแบบฉบับของหนุ่มสาว  ข้าพเจ้าเคยจีบผู้หญิงมามากมาย ทุกครั้งจบลงด้วยความผิดหวัง  อย่างไรก็ตาม  ข้าพเจ้าไม่เคยเสียใจที่จีบผู้หญิงไม่เป็น และแต่งงานช้า  เมื่ออายุล่วงเลยถึง  35  ปี  เพราะการแต่งงานในวัยนี้  มีความพร้อมค่อนข้างมาก และเข้าใจชีวิตคู่ค่อนข้างดี

                   ภรรยาข้าพเจ้าชอบพูดล้อเล่นว่า  "ดีนะ คุณจีบผู้หญิงไม่เป็น ไม่เช่นนั้น  ฉันคงไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก"  คำพูดนี้อาจเป็นคำปลอบใจ  แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดี ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขและมีรอยยิ้มอยู่ในใจ

 

@@@@@@@@@@@@@@@

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *