\”ลูก\” มีความหมายเกินค่ากว่าที่จะบอกว่า \”เป็นเพียงเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา\”
เท่านั้น \”ลูก\” มีคุณค่าต่อจิตใจ และแทรกอยู่ในความรู้สึกนึกคิดตลอดเวลาของผู้เป็นบุพการี จึง
ควรที่พ่อแม่จะต้องเฝ้าทนุถนอมกล่อมเลี้ยงอย่างดี เพื่อให้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพทั้งร่างกายและ
จิตใจ
แต่ก็ยังมีใครบางคนที่ประพฤติตนไม่สมควรเป็น \”พ่อแม่\” บุพการี นี่…เป็นเพราะ
อะไร ใครรู้บ้าง
ในความคิดของข้าพเจ้า \”ความรัก ความผูกพัน\” ซึ่งกันและกันระหว่างพ่อแม่ลูก จะ
เป็นตัวกำหนดบทบาทพฤติกรรมของพ่อแม่และลูก
เรื่องราวของ พ่อแม่ลูก ในแง่ความรักความผูกพันซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันมาก จนถึงขั้น
ฟ้องร้องเป็นคดีดังและประหลาดระดับโลก คงหนีไม่พ้น เรื่องราวต่อไปนี้
เรื่องที่ 1
ที่ประเทศไต้หวัน เมื่อ 10 กว่าปีก่อน มีคดีสะเทือนขวัญสั่นประสาทคนทั่วเมือง เรื่อง
หนึ่ง เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาติดตามหาความจริงอยู่หลายปี
มีผู้ชายคนหนึ่ง ภรรยาได้ถึงแก่กรรมไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้ครอบ
ครัวมากมาย พร้อมทั้งคำสั่งเสียสุดท้ายว่า \”ขอให้เลี้ยงดูลูกให้ดี\”
ดังนั้น เขาจึงทำประกันชีวิตชนิดเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูกทั้ง 2 คน โดยกำหนดไว้
ว่า เมื่อลูกทั้งสองมีอายุครบ 20 ปี จะได้รับเงินจากบริษัทประกันชีวิตฯ เป็นเงินทุนการศึกษา
คนละ 3 ล้านเหรียญ
แต่ที่ไหนได้ เมื่อเวลาผ่านไปได้ 2 ปี ลูกสาวคนโตอายุได้ 6 ขวบ ซึ่งกำลังน่ารัก
ช่างพูด ขี้เล่น ไร้เดียงสา ก็ต้องมาตายเนื่องจากตกรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ขณะที่เดินทางกับ
พ่อ เพื่อไปท่องเที่ยวทางภาคใต้ของประเทศในช่วงปิดภาคเรียน
ความเศร้าสลดใจได้แผ่ซ่านเข้ามาในครอบครัวนี้ และผู้คนที่ได้ทราบเรื่อง บริษัทประ
กันชีวิตฯ ตกลงจ่ายค่าสินไหมชดเชยการเสียชีวิตครั้งนี้ให้เป็นเงิน 3 ล้านเหรียญ โดยไม่มีการ
บิดพริ้วแม้แต่น้อย
เมื่อเป็นดังนี้ คุณพ่อจึงตกลงใจเพิ่มวงเงินประกันชีวิตให้กับลูกชายคนเล็กอีก 3 ล้าน
เหรียญ รวมเป็น 6 ล้านเหรียญ โดยอ้างว่า ขณะนี้เขาเหลือลูกชายเพียงคนเดียว ย่อมต้องรัก
และเป็นห่วงมากยิ่งขึ้น การทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้นเช่นนี้ ก็ด้วยหวังว่า อนาคตของลูกชายคงจะดี
มีเงินทุนไว้ใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตมากพอสมควร เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
แต่อีกนั่นแหละ หรือจะเป็นเพราะพระเจ้าลงโทษคนในครอบครัวนี้ ลูกชายก็ต้องมา
ตายในลักษณะเดียวกันในอีก 2 ปีถัดมา โดยคำอ้างเดิม ๆ คือ เด็ก ๆ มักซนและชอบวิ่งเล่น
ไม่ดูตาม้าตาเรือ จึงเกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากรถไฟ บริเวณรอยเชื่อมต่อระหว่างตู้รถไฟ
แต่ใครจะเชื่อ บริษัทประกันชีวิตฯ แห่งนั้น จึงต้องขอให้มีการสอบสวนสืบคดีนี้ขึ้น การ
สืบสวนสอบสวนกินเวลาอยู่นาน เพราะต้องหาหลักฐานและพยานมากมาย รวมทั้งหลักฐานพยานใน
การตายครั้งแรกของบุตรสาวคนโตเมื่อ 2 ปีก่อนด้วย
ในที่สุด ชายคนนี้ก็ต้องจำนนต่อหลักฐานพยาน ยอมรับสารภาพว่า ได้ทำการฆาตกรรม
\”ลูก\” ทั้งสองคนจริง แต่ความผิดเช่นนี้ ย่อมไม่สมควรที่จะได้รับการให้อภัย ศาลจึงตัดสินลงโทษ
ประหารชีวิตให้ตายตกไปตามกัน กรรมใดใครก่อ ย่อมได้รับกรรมนั้นคืนสนอง
เรื่องที่ 2
ยังมีอีกครอบครัวหนึ่ง ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ฟ้องร้องกันถึงโรงถึงศาล แต่เป็น
การฟ้องเพื่อร้องขอต่อศาล พิจารณาพิพากษาให้ \”ลูก\” ของตน ตายอย่างสงบและมีความสุขตาม
สมควรด้วย
เนื่องจาก ลูกชายของตระกูลนี้ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวขณะอายุเพียง 13 ปี
เด็กน้อยผู้นี้เป็นเด็กที่น่ารัก ร่าเริง ช่างพูด ช่างคุย พ่อแม่ก็รักจนหมดหัวใจ แต่สวรรค์ไม่ได้
เมตตา ปล่อยให้เด็กน้อยผู้นี้ป่วยเป็นโรคมะเร็งร้ายที่ยากแก่การเยียวยารักษา
เป็นเวลานาน 2-3 ปี แล้วที่เด็กน้อยคนนี้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งรัฐ
ที่ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ เด็กต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากจากการเจาะเลือด ให้เลือด ให้น้ำเกลือ
รับประทานยาและฉีดยาเคมีบำบัดเพื่อทำลายมะเร็งร้าย
การรักษาเช่นนี้ ทางแพทย์อ้างว่า จะช่วยยืดชีวิตของเด็กน้อยคนนี้ออกไปอีกระยะหนึ่ง
แต่รับรองไม่ได้ว่า นานเท่าไร
ทุก ๆ วัน แทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย เด็กน้อยไม่เคยได้ใช้เวลาเป็นเด็ก
ส่วนใหญ่ ใช้เวลาสำหรับทำหน้าที่เป็น \”คนไข้\” เขาไม่เคยเล่นหรือออกไปเที่ยวที่ไหนไกล ๆ
เลย
หากเด็กน้อยไม่ยอมไปรับการรักษาตามกำหนดนัด ทางโรงพยาบาลจะเป็นฝ่ายติดต่อ
มาเอง โดยอ้างว่า การรักษาเช่นนี้เป็นวิธีดีที่สุดที่จะช่วยยืดชีวิตให้เด็ก และหากครอบครัวนี้ไม่
ส่งเด็กไปรับการรักษา ทางโรงพยาบาลจะต้องติดตามนำตัวมารักษาให้ได้ เพราะเป็นหน้าที่ที่
โรงพยาบาลของรัฐพึงกระทำ ทางโรงพยาบาลจะใช้ทุกวิถีทางหลอกล่อให้เด็กมารับการรักษา
และก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
แต่โรคมะเร็งร้ายไม่มีทีท่าว่า จะดีขึ้น เด็กน้อยทำท่าว่าจะแย่ลงซะด้วยซ้ำ โดย
เฉพาะในแง่จิตใจที่ต้องมาผจญกับความทุกข์ทรมานจากการรักษาเป็นเวลาหลายปี
ทางครอบครัวได้รับการยืนยันว่า หากเด็กไม่ได้รับการรักษาเช่นนี้แล้ว เขาจะต้อง
ตายในเวลาไม่เกิน 6 เดือน หลังจากหยุดการรักษา
อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลจะไม่ยินยอมให้ทางครอบครัวหาข้ออ้างมาเพื่อล้มเลิก
แผนการรักษาโดยเด็ดขาด ตราบใดที่ยังมีความหวัง
พ่อ แม่ ลูก นั่งปรึกษากันในห้องนั่งเล่นว่า จะทำยังไงต่อไปกับชีวิตของเด็กน้อย เมื่อ
ปรึกษากันอยู่นานพอสมควร ทุกคนก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า \”จะใช้เวลาเท่าที่เหลืออยู่ หาความสุข
ให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นวันหนึ่งก็ดี หรือเท่าไรก็ได้\” เด็กน้อยจะไม่ยอมไปรับการรักษาอีกแล้ว
พ่อแม่ก็สนับสนุนความคิดของลูก \”ผมยอมตายในระยะเวลาอันสั้นอย่างมีความสุข ดีกว่า มีชีวิต
อยู่ยาวไปอีกนิดหนึ่ง แต่ทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ\”
ดังนั้น เด็กน้อยพร้อมกับครอบครัวจึงไปฟ้องร้องต่อศาลแห่งรัฐ เพื่อขอเป็นเจ้าของ
ชีวิตตัวเอง ลิขิตทิศทางแห่งความตายให้กับตัวเอง
ศาลรับฟ้อง และอนุญาตให้เป็นไปตามความต้องการของเด็กน้อยคนนี้
พ่อแม่ได้ตกลงขายบ้านและทรัพย์สินทั้งหมด รวบรวมเงินก้อนสุดท้าย พาลูกท่องเที่ยว
หาความสุขไปเรื่อย ๆ ยังสถานที่ต่าง ๆ ที่อยากไป อยากได้อะไร อยากกินอะไร ไม่มีใครมา
ขัดขวางอีกต่อไป อยากไปที่ไหน ขอให้บอก พ่อแม่จะพาไป
พ่อแม่คู่นี้ ทำหน้าที่อย่างน่ายกย่อง เพื่อให้ความสุขกับลูกจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
น้อย ๆ ของเขา
คนเราเมื่อมี \”ลูก\” ก็สมควรที่จะรักและทนุถนอมให้เหมือนกับพ่อแม่คู่นี้ แต่…..
เรื่องที่ 3
ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดคดีประหลาดอีกคดีหนึ่ง ซึ่งมีเด็กเล็ก ๆ 2 คนพี่น้อง
เป็นโจทย์ฟ้องพ่อแม่ ขอให้พิจารณาสถานะของพ่อแม่ที่แท้จริงเป็นโมฆะ ไม่มีสิทธิในการดูแล
ปกครองเด็กทั้งสอง
ประชาชนต่างทะยอยกันมาฟังการพิพากษาครั้งนี้ว่า จะจบลงอย่างไร
ใคร ๆ ต่างอยากรู้เหตุผลว่า เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีศาลที่ไหนจะยอม
รับคำฟ้องร้องของเด็กน้อยที่อายุเพียง 12 ขวบ และ 10 ขวบ โดยเฉพาะฟ้องร้องต่อพ่อแม่ของ
ตน
หรือว่า จะมีคนคอยเสี้ยมสอนให้พ่อแม่ลูกครอบครัวนี้แตกแยกกัน
ใครหรือได้ผลประโยชน์จากการฟ้องร้องครั้งนี้
หรือว่า พ่อแม่ของเด็กสองคนนี้แย่จริง ๆ จนลูกในไส้ยอมรับไม่ได้
เรื่องมีอยู่ว่า
มีคนพบเด็กน้อยสองคนนี้ หนีออกจากบ้าน และเดินทางมาอาศัยยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่
ไกลจากบ้านเดิม 10 กว่าไมล์ ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็ให้ความรักความเอ็นดูต่อหนูน้อยทั้งสอง และ
มีอยู่ครอบครัวหนึ่งยอมรับเด็กทั้งสองอยู่เป็นสมาชิกของครอบครัว เรียกเป็น \”ลูก\” เพราะเจ้า
ของบ้านไม่มีบุตรเป็นของตนเอง
เหตุการณ์ต่อมา คือ พ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กมาตามหาและพาเด็กน้อยสองคนกลับไป
เมื่อกลับไปยังบ้านที่ไม่เหมือนบ้าน เด็กน้อยทั้งสองจะถูกทำโทษอย่างรุนแรง บาดเจ็บตามร่างกาย
และจิตใจเป็นอย่างยิ่ง
พ่อแม่ไม่เคยให้ความรักความอบอุ่นเช่นพ่อแม่คนอื่น ๆ เลี้ยงลูกเหมือนคนใช้หรือ
ยิ่งกว่า เพราะฐานะทางบ้านไม่ร่ำรวย แต่มีการสังสรรค์เพื่อนฝูงบ่อย ๆ โดยมีเด็กทั้งสอง เป็น
คนรับใช้คอยเสริฟน้ำ,เตรียมอาหาร,ล้างภาชนะหลังใช้แล้ว,ปัดกวาดเช็ดถูบ้าน และทำงานบ้าน
อื่น ๆ อีกจิปาถะ
ครอบครัวสุดท้ายที่ให้ความอนุเคราะห์หนูน้อยทั้งสอง ก่อนที่พ่อแม่ที่แท้จริงจะมารับกลับ
ไป ได้รับทราบความเลวร้ายของพ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กจนแทบไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม
ครอบครัวนี้ ได้ส่งนักสืบไปติดตามความประพฤติของพ่อแม่ของเด็กที่แท้จริงและความเป็นอยู่ของ
เด็กทั้งสองด้วย เมื่อทราบความเป็นไปแล้ว จึงตัดสินใจที่จะช่วยเหลือเด็กน้องทั้งสอง เพราะ
พ่อแม่ของเด็กทั้งสองเป็นพวกจิตวิปริต มักถูกไล่ออกจากสถานที่ทำงานบ่อย ๆ ฐานะ
ทางบ้านจึงไม่ค่อยดี นอกจากนี้ยังชอบมีพฤติกรรมทางเพศในลักษณะที่เรียกว่า \”เซ็กส์หมู่\” โดย
เชื้อเชิญบรรดาคนประเภทเดียวกันมาสังสรรค์และทำกิจกรรมที่บ้าน
ไม่เคยเลย ที่จะให้ความรักความอบอุ่นกับลูก ๆ ใช้งานเด็กราวกับคนใช้ และให้
เด็กหยุดเรียนบ่อย ๆ เพื่อมาทำงานบ้าน
เด็กทั้งสองคนนี้หนีออกจากบ้านบ่อย ๆ แต่จะถูกพ่อแม่ที่แท้จริงรับกลับไปจากครอบครัว
ที่ให้การอนุเคราะห์ทุกครั้ง
จนในที่สุด สวรรค์ยังเมตตาให้มีครอบครัวหนึ่ง ที่มีจิตกุศลยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือหา
หลักฐานและพยานสิ่งแวดล้อมมากมายมาประกอบ
เมื่อเด็กน้อยทั้งสองหนีออกมาอีกครั้ง ก็เป็นอันสิ้นสุดเสียทีสำหรับ \”ครอบครัวชั่วร้าย\”
ที่ไม่เคยให้ความรักความอบอุ่นกับลูก เพราะลูกทั้งสองกลายเป็นโจทย์ฟ้องร้องพ่อแม่ที่แท้จริงของ
ตน ขอให้พ้นจากสถานะการเป็นผู้ปกครอง
ทุกคนคงเดาไว้ว่า คำตัดสินของศาลจะออกมาเช่นไร
เดี๋ยวนี้ เด็กทั้งสองอยู่ในความดูแลของพ่อแม่บุญธรรม ที่ให้ความรักความอบอุ่นอย่าง
เต็มที่ ไม่มีฝันร้ายให้ผวาตอนตื่นนอนอีกแล้ว
พ่อแม่ มีความหมายมากกว่า การให้กำเนิดลูก
เรื่องที่ 4
เรื่องชีวิตจริงเรื่องหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้รับรู้ ก็เป็นเรื่องสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย เคราะห์
กรรมเช่นนี้เกิดขึ้นในครอบครัวสกุลเฉิน มิสเฉิน ได้แต่งงานกับพ่อม่ายลูกติดคนหนึ่ง ทำให้เธอ
ต้องรับอุปการะลูกชายของพ่อม่ายคนนี้
ชื่อของลูกติดคนนี้ คือ อิ๋วเอิน แปลว่า \”ขอบคุณสายฝน\” พ่อของเขาเป็นคนเจ้าชู้
หลอกลวงและไม่รับผิดชอบต่อครอบครัว ภายหลังที่ให้กำเนิดเขาและน้องชายแล้ว แม่ของ
อิ๋วเอิน ก็ทนต่อความเจ้าชู้ของพ่อไม่ได้ หนีตามผู้ชายคนอื่นไป อิ๋วเอิน จึงอยู่ในสภาพบ้านแตก
สาแหรกขาดแต่นั้นมา
เขาและน้องชายถูกนำมาให้ครอบครัวของพี่สาวคุณพ่อเลี้ยงดู เพราะพ่อของเขายัง
คงเจ้าชู้ต่อไปโดยแต่งงานใหม่อีกหลายครั้ง มีลูกอีกหลายคน แต่ไม่ได้นำมาเลี้ยงดู และปล่อยให้
เป็นหน้าที่ของผู้เป็นแม่แต่ละคนไป
อิ๋วเอิน เป็น \”เด็กเหลือขอ\” ก่อเรื่องเลว ๆ ไม่เว้นแต่ละวัน และถูกไล่ออกจาก
โรงเรียนขณะอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หลังจากนั้นก็เตร็ดเตร่ร่อนเร่สูบกัญชา ยาเสพติดกับเพื่อน
ฝูง จะกลับบ้านหรือไม่กลับบ้านก็ไม่มีคนสนใจ ใคร ๆ ในบ้านรู้สึกเอือมระอาต่อพฤติกรรมของ
อิ๋วเอิน เด็กเจ้าปัญหาคนนี้ และพยายามผลักดันให้ออกจากบ้าน
เมื่อพ่อของเขาแต่งงานกับมิสเฉิน มิสเฉินก็รู้สึกสงสารอิ๋วเอินมาก ขอรับอุปการะ
เลี้ยงดูที่เมืองไทยในฐานะ ลูกคนหนึ่ง
อิ๋วเอิน ไม่เคยเรียกใครว่า \”แม่\” พอมีคนมาให้ความรักความอบอุ่นทำตนเป็น \”แม่\”
ก็รู้สึกสะเทือนใจ อยากเปลี่ยนตนเป็นคนดี
เริ่มต้นด้วยการเข้าเรียนในโรงเรียนอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้กลับเป็นการเรียนหนังสือ
ภาษาไทย ซึ่งยากแก่การเข้าใจอย่างมาก
นอกจากนี้ยังทำงานบ้านสารพัด เชื่อฟังคำสั่งของ \”มารดา\” อย่างเคร่งครัด ไม่เคย
ทำเรื่องเสียหายให้ \”มารดา\” ต้องเสียใจ
ยามทำผิดและถูกลงโทษ เช่น ให้ยืนสำนึกผิด 2 ชั่วโมง อิ๋วเอิน จะกุลีกุจอรีบไป
ยืนรับโทษอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสและดีใจ เพราะแต่ก่อนไม่ว่าจะทำผิดหรือถูก ก็ไม่มีใครสนใจ ทำ
ผิดไม่ถูกลงโทษ ทำถูกไม่ได้รับการชมเชย แต่ตอนนี้ มี \”แม่\” คอยเอาใจใส่แก้ไขข้อผิดพลาดให้
เมื่อทำผิดและถูกลงโทษ อิ๋วเอิน จึงไม่เคยโกรธหรือแก้ตัว \”แม่\” บอกว่า \”เขาเป็นเด็กดี
ที่ว่านอนสอนง่าย\”
ยามใดที่พ่อทะเลาะกับ \”แม่\” อิ๋วเอิน จะเข้าข้าง \”แม่\” เสมอ เขายอม
สูญเสียพ่อแท้ ๆ ได้ทันที โดยไม่มีความอาลัย แต่ห่างจาก \”แม่\” เพียงไม่นานก็รู้สึกคิดถึงและเป็น
ห่วง
อิ๋วเอิน รู้สึกไม่พอใจพ่อของตัวเองอย่างมากที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เขา
ตำหนิพ่อโดยไม่รู้สึกว่า เสียมารยาทหรือเป็นการไม่ให้ความเคารพ
ยิ่งพอทราบว่า \”แม่\” ตั้งครรภ์ขึ้นมา เขายิ่งตำหนิพ่อมากใหญ่เลย
\”พ่อปล่อยให้แม่มีลูกทำไม พ่อมีลูกมากี่คนแล้ว เคยเลี้ยงดูบ้างไหม เคยมีความคิดติด
อยู่ในสมองบ้างหรือเปล่าว่า มีลูกอยู่ในโลกนี้ ทำกรรมไว้แบบนี้มาก ๆ เถอะ สักวันกรรมต้องตาม
สนอง\”
มีหรือที่ผู้เป็นพ่อจะไม่โต้ตอบทะเลาะกับลูกนอกคอกคนนี้ ด้วยถ้อยคำรุนแรงหยาบคาย
ยังดีที่ไม่ถึงกับลงไม้ลงมือ
การทะเลาะระหว่างพ่อลูกคู่นี้เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะยุติ
ครั้งหนึ่ง พ่อของ อิ๋วเอิน กลับจากการทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งและตะพาบน้ำ ที่จังหวัด
ปราจีน มิสเฉิน ทำอาหารอย่างดีพิเศษมาต้อนรับ สามีกลับนั่งกินหน้าตาเฉยไม่พูดไม่จาไม่มีการ
ทักทายหรือขอบคุณ
\”พ่อนะ นาน ๆ ราว 2-3 สัปดาห์จะกลับบ้านสักทีหนึ่ง แม่ทำอาหารดี ๆ ให้กิน
ทำไมไม่รู้จักขอบคุณ คุณแม่บ้าง\” อิ๋วเอินกล่าวตำหนิ
\”ฉันเป็นคนทำงานข้างนอกหาเลี้ยงครอบครัว เหนื่อยแสนเหนื่อย กลับมา แม่เธอทำ
อาหารดี ๆ ให้กิน ก็สมควรแล้ว\” พ่อของ อิ๋วเอิน ตอบ \”ทำไมต้องขอบคุณด้วย\”
ในช่วงที่มิสเฉินแพ้ท้องคลื่นไส้อาเจียนอย่างมากอยู่บนบ้าน ซึ่งสามีอยู่ข้างล่าง สามี
จะทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงอาเจียนนั้น และจะยังคงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ราวกับว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อิ๋วเอิน ทนไม่ไหว จึงด่าออกไป \”คนอะไรไม่มีน้ำใจสักนิด มีตามองไม่เห็นคนแพ้ท้องหรือไง\”
\”ฉันไม่ใช่หมอ ฉันจะช่วยอะไรได้\” พ่อของ อิ๋วเอิน ตอบ แล้วจากนั้นก็โต้ตอบ
ทะเลาะกันยกใหญ่
ระหว่างที่มิสเฉินตั้งครรภ์อยู่นั้น สามีได้แอบไปมีชู้ลับ ๆ ไว้คนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนของ
ภรรยานั่นเอง มิสเฉินพยายามสืบเสาะจนทราบว่า เป็นความจริง รู้สึกเจ็บใจมาก แต่ข่มใจเพื่อ
ให้เวลาสามีปรับปรุงตัว ขณะเดียวกันก็ไม่แน่ใจว่า ชีวิตคู่ต่อไปจะราบรื่นหรือไม่ จึงไปปรึกษา
หารือกับพ่อแม่เพื่อนฝูงในเรื่องการทำแท้งลูกในท้อง แต่ไม่มีใครสนับสนุนในเรื่องนี้
วันที่เธอคลอด ตอนเช้าเกิดอาการน้ำเดินขึ้นมาก่อน เธอได้โทรศัพท์ติดต่อขอความ
ช่วยเหลือจากภรรยาข้าพเจ้าให้นำส่งโรงพยาบาลที่ฝากครรภ์อยู่ ระหว่างทาง เธอได้สาธยาย
ความร้ายกาจของสามีให้ฟังโดยไม่ปิดบัง พร้อมกับยืนยันว่า จะหย่าขาดจากสามีคนนี้แน่นอน
หลังจากคลอดลูกออกมาแล้ว
เชื่อแน่ว่า ตอนนี้สามีเธอคงอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เพราะไม่ได้กลับบ้านมาหลายวัน และ
ติดต่อที่ทำงานก็ไม่มีใครรู้ พยายามติดต่อทางโทรศัพท์มือถือ ก็ติดต่อไม่ได้
หลังคลอดบุตรได้สองวัน สามีมาเยี่ยมโดยไม่รู้ว่า ทราบข่าวมาจากไหน ซึ่งผิดกับ
อิ๋วเอิน ที่มานอนเฝ้าแม่ทุกคืน
พอพบหน้ากัน สองสามีภรรยาก็บรรเลงเพลงทะเลาะกันอย่างมากมาย โดยมี
อิ๋วเอิน เป็นตัวสอดแทรกเข้าข้าง\”มารดา\” ด่าพ่อ
วันรุ่งขึ้น เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้สองสามีภรรยาแยกทางกันตลอดกาล ขณะที่สามี
เข้าห้องน้ำ เผอิญมีเสียงเรียกผ่านมาทางวิทยุติดตามตัวที่เผลอวางไว้บนโต๊ะ มิสเฉินมือไวคว้า
วิทยุติดตามตัวอันนั้นมาดูหมายเลขโทรศัพท์ที่จะให้ติดต่อกลับ จากนั้นก็วางกลับไว้ที่เดิม สามีผลุน
ผลันออกมาจากห้องน้ำ เพื่อรีบไปดูหมายเลขโทรศัพท์ที่เรียกให้โทรกลับ แต่ไม่ทันเสียแล้ว
มิสเฉินกำลังคุยกับชู้รักของสามีอย่างถึงพริกถึงขิง จนถึงตอนสำคัญที่จะต้องพูดจากันให้รู้เรื่อง
\”ฉันรู้ว่า ต้องเป็นเธอที่อยู่กับสามีฉัน\” มิสเฉินเอ่ยขึ้นก่อน
\”เออ!… ฉัน…\” ยังไม่ทันที่จะตั้งตัวจะตอบ มิสเฉินก็พูดต่อไปว่า
\”ฉันไม่ได้จะต่อว่าเธอหรอก ตั้งใจจะขอบคุณเธอซะด้วยซ้ำ เพราะทำให้ฉันขอเลิก
กับเขาได้ง่ายขึ้น โดยไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น ฉันยินดีกับเธอด้วยที่ต่อไปนี้เธอจะได้อยู่กินกับ
เขาอย่างเปิดเผยซะที แต่อยากจะเตือนด้วยความหวังดีว่า เขาทำกับฉันได้ ย่อมทำกับเธอได้
และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขานอกใจเมียที่แต่งงานถูกต้องตามประเพณี เธอจำไว้ให้ดี เมื่อไหร่
เงินของเธอไม่พอให้เขาใช้ เขาก็จะจากเธอไป ราวกับว่า ไม่เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน\”
จากนั้น มิสเฉินก็หันมาเอาเรื่องกับสามีของเธอ ทั้งสองคนทะเลาะกันอย่างรุนแรง
และคำพูดประโยคสุดท้ายที่ออกจากปากมิสเฉิน คือ \”คุณจัดแจงเก็บข้าวของและเสื้อผ้าทั้งหมดออก
จากบ้านของฉันไป ก่อนที่ฉันจะออกจากโรงพยาบาล\” โชคดีนะ ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส
สามีของเธอถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ ย่อมไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่ก่อนจะจากไป
ยังทิ้งคำพูดไว้อย่างเคืองแค้นว่า \”ฉันจะไปเที่ยวโพนทะนากับคนไต้หวันให้รู้โดยทั่วกันว่า เธอเป็น
ผู้หญิงร่าน ไม่รู้จักพอ อยากจะมีผัวใหม่ จึงหาทางเลิกกับฉัน จำไว้นะ เธอไม่มีทางจะอยู่อย่าง
ปกติสุขได้ ถ้าเธอแต่งงานกับใคร ฉันจะตามไปฆ่าคนคนนั้น\”
เมื่อสามีกลับไปเก็บเสื้อผ้าที่บ้าน มิสเฉินจึงกล่าวกับ อิ๋วเอิน ว่า
\”แม่กับพ่อเธอแยกทางกันแล้ว ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รัก แต่แม่ก็มีลูกของตัวเองต้องดูแล
เพราะฉะนั้นเธอจำเป็นต้องกลับไปอยู่กับพ่อของเธอ ขอให้โชคดี มีอะไรให้ช่วยเหลือก็ค่อยบอก
แล้วกัน\”
\”ทำไมครอบครัวเราต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ผมไม่โทษแม่หรอก ผมเข้าใจแม่\”
อิ๋วเอิน กล่าวอย่างเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากนั้นก็กลับบ้านไปเก็บข้าวของ
ส่วนตัวออกจากบ้านของมิสเฉินไปกับพ่อ
ในระหว่างทาง อิ๋วเอิน ได้กล่าวความในใจกับพ่อว่า
\”ผมเป็นคนเลว เป็นเด็กเหลือขอ ที่ใคร ๆ รังเกียจ ผมยังเปลี่ยนเป็นคนดีได้
เพราะมีคนให้ความรัก \”แม่\” ให้ความรัก ความอบอุ่น ให้ความจริงใจ ไม่เคยทอดทิ้งผม ทั้ง ๆ
ที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน ขนาดคนอย่างผมยังเปลี่ยนเป็นคนดีได้ ทำไมพ่อถึงไม่ยอมเปลี่ยนตนเป็นคนดี
กับเขาบ้าง\”
\”เขาสอนให้แกมาด่าฉันอย่างนั้นหรือ แกควรจะเอาเวลาไปสอนตัวเองจะดีกว่า\” พ่อ
ของ อิ๋วเอิน โต้ตอบอย่างไม่ลดละ
พ่อลูกคู่นี้ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความรักใคร่ผูกพันเอื้ออาทรกันมาก่อน พอมาเกิดเรื่องนี้
ก็ยิ่งทำตัวเป็นศัตรูกันมากขึ้น
เมื่อไปอยู่กับพ่อที่ฟาร์มกุ้งจังหวัดปราจีน ได้ 2-3 วัน อิ๋วเอิน ก็หลอกพ่อว่า จะ
กลับมาติดต่อเรื่องเรียนที่กรุงเทพฯ พ่อของเขาไม่เคยสนใจอยู่แล้ว จึงมอบเงินค่าเดินทางให้
ไป พร้อมกับคำพูดว่า \”จะไปไหนก็ไป ไม่ต้องกลับมายิ่งดี\”
อิ๋วเอิน กลับมาหา \”แม่\” ไม่ได้มาเพื่อรบกวนขออยู่ต่อ แต่มาขอให้ \”แม่\” ช่วยส่ง
เขากลับไปประเทศไต้หวัน เพื่อไปอยู่กับครอบครัวพี่สาวของพ่อ อย่างไร ก็ดีกว่าอยู่กับพ่อของตน
ที่นี่อย่างแน่นอน
ก่อนออกเดินทางไปประเทศไต้หวัน อิ๋วเอิน ได้โทรศัพท์ไปหาพ่อ แล้วกล่าวเตือนว่า
\”ผมเตือนพ่อก่อนนะว่า อย่ามารบกวนหรือทำร้าย \”แม่\” ให้ได้รับความเดือดร้อน ไม่เช่นนั้นน่าดู\”
พ่อของ อิ๋วเอิน โมโหมาก ตะโกนกลับไปว่า \”เอ็งมีสิทธิอะไรมาขู่ข้า ข้าประกาศไป
แล้วว่า ข้าจะไม่ยอมให้ \”แม่\” ของเอ็งอยู่อย่างมีความสุข ข้าย่อมจะต้องทำอย่างแน่นอน\”
อิ๋วเอิน โต้กลับไปว่า \”ผมเป็นเด็กเหลือเดน ไม่มีค่าอะไร อย่ามาท้าทายผมนะอย่า
มายุ่งกับ \”แม่\” ไม่อย่างนั้น จะหาว่าไม่เตือน\”
พ่อของอิ๋วเอิน พูด \”มึงจะฆ่ากูหรือไง กูจะฆ่ามึงเมื่อไรก็ได้ ถึงมึงจะกลับไปไต้หวัน
กูยังตามไปฆ่ามึงได้เลย\”
อิ๋วเอิน พูด \”อย่ามาขู่เลย ฆ่าผมต้องฆ่าให้ตายนะ ถ้าไม่ตาย พ่อเองนั่นแหละที่จะ
ต้องตาย\”
พ่อของ อิ๋วเอิน พูด \”ไอ้ลูกทรพี\” อิ๋วเอิน ตอบ \”พ่อก็ไม่ดีไปกว่าผมสักเท่าไหร่
หรอก\” แล้วก็วางหู
อิ๋วเอิน กลับไปไต้หวันอยู่กับครอบครัวของพี่สาวพ่อ ประพฤติตนเป็นคนดี เรียนหนังสือ
และหางานทำ มีเวลาว่างก็ไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ของมิสเฉิน และมักพูดเสียดสีพ่อของเขาบ่อย ๆ
ว่า \”พ่อเป็นแต่ปล่อยเชื้อ ไม่เคยเลี้ยงลูก ไม่เคยรักลูก และคงไม่รู้ว่า ลูกมีค่าหรือความหมาย
อย่างไร คนอย่างนี้ไม่สมควรเป็นพ่อคน พูดให้ถูกต้อง คือ ไม่สมควรเกิดมาเป็นคนเลย\”
หลังจากนั้นมา ก็ไม่มีข่าวคราวของพ่อ อิ๋วเอิน อีกเลย แต่ก่อนพ่อของ อิ๋วเอินมัก
คุยโวโอ้อวดว่า เป็นหุ้นส่วนในการทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งกุลาดำและตะพาบน้ำ ความจริงเขาเป็น
เพียงหุ้นส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น และเงินที่นำมาลงทุนก็เป็นเงินที่หลอกเอามาจากบรรดาภรรยา
ทั้งหลายทั้งที่ลับและเปิดเผย มิสเฉินเองก็ได้ช่วยเหลือไปเป็นเงินหลายแสนบาท แต่ไม่เคยพูด
ให้ใครฟัง เพราะกลัวขายหน้าที่สามียากจน และไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง ปีนี้น้ำท่วมฟาร์มเสีย
หาย ขาดทุนย่อยยับ จนไม่สามารถที่จะหาเลี้ยงชีพด้วยการทำฟาร์มกุ้งต่อไป เขาคงต้องกลับไป
ยึดอาชีพเดิม คือ ใช้คารมลวงล่อขอแต่งงานอยู่กินกับสตรีที่ไร้เดียงสา เพื่อหลอกใช้เงินของเธอ
เหล่านั้น ใครหนอจะหยุดยั้งผู้ชายที่ขยันสร้างครอบครัวคนนี้ได้
ส่วนชีวิตข้างหน้าของอิ๋วเอิน คิดว่าคงจะดี เพราะม่านหมอกแห่งความทุกข์ระทมจาง
หายไปแล้ว ชีวิตที่ผ่านมาเหมือนถูกบดบังด้วยเมฆหมอกแห่งความผิดหวัง สิ้นหวัง บัดนี้ เมฆหมอก
เหล่านั้นได้กลายเป็นฝนตกลงมาสู่พื้นดินแล้ว ทำให้ท้องฟ้าแห่งชีวิตดูสดใสขึ้นอย่างมีความหวังต้อง
ขอขอบคุณสายฝนที่ทำให้เมฆหมอกฝันร้ายของเขาหมดไป \”แม่\” คือ สายฝนที่ช่วยชะโลมใจให้
เขามีความสุข
อิ๋วเอิน มักยืนอยู่กลางแจ้งมองท้องฟ้าอยู่บ่อย ๆ เขามักพูดเบา ๆ กับตัวเองว่า \”ฉัน
มี แม่ แล้วจริง ๆ ฉันจะไม่ทำให้แม่ของฉันผิดหวัง….\”
ครอบครัวทุกครอบครัว อยากมีลูก เพื่อเป็นความหวัง พลังใจ ในการดำเนินชีวิต
อย่างมีความหมาย แต่มีพ่อแม่คนใดที่ทำหน้าที่สมกับการเป็นพ่อเป็นแม่คนบ้าง
เรื่องราวและคดีตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น คงพอบอกได้ว่า พ่อแม่ไม่ใช่บุคคลที่ดีหรือ
ถูกต้องเสมอไปและบ่อยครั้งด้วยที่พ่อแม่กระทำผิดต่อลูก
ท่านเคยกล่าวคำ \”ขอโทษ\” ต่อหน้าลูกบ้างไหม ถ้าไม่เคย ก็ต้องพยายามอย่าทำผิด
ต่อลูก แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ไม่เคยมีพ่อแม่คนใดไม่เคยกระทำผิดต่อลูกของตน เพราะฉะนั้น จง
เริ่มต้นที่จะให้เกียรติลูกได้แล้ว ด้วยการกล่าวคำ \”ขอโทษ\” ดังเรื่องราวของ
เรื่องที่ 5
แม่บ้านสตรีนางหนึ่งชาวไต้หวัน ลืมที่จะเซ็นต์ชื่อลงในสมุดการบ้านของลูกสาว วัย 5
ขวบ ที่ส่งคืนกลับไปให้คุณครูที่โรงเรียน
ครูจึงต่อว่าลูกสาวของเธอในเรื่องนี้ ซึ่งความจริงไม่ใช่ความผิดของลูกสาว
เมื่อกลับถึงบ้าน ลูกสาวจึงเข้าไปหามารดาแล้วพูดว่า \”แม่..แม่ คุณแม่ต้องขอโทษ
หนู\”
แม่บ้าน จึงถามว่า \”เรื่องอะไรกันจ๊ะ\”
ลูกตอบว่า \”ก็เรื่องที่แม่ลืมเซ็นต์ชื่อลงในสมุดการบ้านของหนูนั่นแหละ คุณครูต่อว่าหนู
หาว่าบกพร่อง แต่ความจริงไม่ใช่ความผิดของหนู\”
แม่บ้าน รู้สึกกระอักกระอ่วนต่อคำพูดของลูก พยายามอ้างโน่น อ้างนี่ เพื่อที่จะไม่ต้อง
\”ขอโทษ\” แต่ลูกก็ยังเซ้าซี้ยืนกรานให้ขอโทษ
แม่บ้านทนไม่ไหว จึงคว้าไม้เรียวมาตีลูก โทษฐานที่งอแงพูดจาไม่รู้เรื่อง
ตีเสร็จแล้ว ลูกสาวกลับไม่ร้องไห้ และยังไม่ลืมเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจ ลูกสาวพูดว่า
\”หนูไม่ได้ทำผิด แม่เป็นคนทำผิดแล้วยังมาตีหนูอีก แม่ต้องขอโทษหนู\”
แม่บ้าน พูดตอบว่า \”ฉันเป็นแม่นะ เธอไม่เคยเรียนหรือว่า แต่โบราณมา ใคร ๆ ก็รู้
ว่า พ่อแม่ทำอะไรผิดต่อลูก แม้ว่าจะผิดจริง ก็ถือว่าไม่มีความผิด\”
ลูกสาวยังคงยืนกราน \”ไม่รู้แหละ แม่ต้องขอโทษ เพราะแม่เป็นคนทำผิด\”
ผู้เป็นแม่ รู้สึกว่า เรื่องนี้ไม่มีทีท่าจะสงบแน่ ถ้าไม่ยอม ดังนั้นเธอจึงขอโทษลูก อย่าง
ชนิดขอไปทีว่า \”เออ…แม่ขอโทษนะ ไปนอนซะ\”
ลูกสาวของเธอรู้สึกพอใจในคำตอบ และยอมไปนอนแต่โดยดี คืนนั้น แม่บ้านได้เห็น
ภาพที่ประทับใจ คือ ภาพลูกสาวนอนหลับพร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีความสุข
แม่บ้านจึงรู้แจ้งขึ้นมาใจดวงใจว่า
\”คำว่า \”ขอโทษ\” แค่นี้ ทำไมจึงติดอยู่ที่ริมฝีปากกล่าวออกมายากนักยากหนา ไม่กล้า
พูดออกมา แม้ว่าจะพูดกับเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ตาม\”
หลังจากนั้น ถ้าแม่บ้านทำอะไรผิดต่อลูกสาว เช่น ไปรับลูกที่โรงเรียนสายไปหน่อย
เธอจะไม่รีรอที่จะกล่าวคำ \”ขอโทษ\” ต่อหน้าลูกในทันทีที่พบหน้ากัน
คำตอบที่เธอได้รับกลับจะเป็น \”ไม่เป็นไรหรอกแม่ รถคงติดมาก แม่จึงมาสาย\”
ตั้งแต่นั้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกจึงดีเสมอ เธอมีความสุขมาก
คำ \”ขอโทษ\” นั้น เป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติประการแรกเลย ที่พ่อแม่พึงมี
ต่อลูกของตน
พ่อแม่ ไม่ใช่ว่าจะทำถูกต้องเสมอไป ทำผิดจึงควรขอโทษ เด็ก ๆ ซะอีก มักจะทำ
ความผิดโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว แต่พ่อแม่กลับสอนแกมบังคับ ให้กล่าวคำ \”ขอโทษ\”
สำหรับข้าพเจ้า ไม่มีสิ่งใดมีค่าเท่า \”ครอบครัว\”
\”ครอบครัว\” คือ ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดสำหรับทุกคน และ \”ลูก\” เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุด
ของ \”ครอบครัว\”
ข้อเสนอแนะในการเป็นพ่อแม่ที่ดี
1. อบรมเลี้ยงดูให้ลูกเป็นคนดี หน้าที่นี้ส่วนใหญ่ \”แม่\” เป็นผู้มีหน้าที่โดยตรง เพราะ
\”แม่\” มีเวลาอยู่กับ \”ลูก\” มากกว่า \”พ่อ\” และสัญชาติญาณความเป็นแม่ จะทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่า
พ่อแม่เป็นบูรพาจารย์ ครูคนแรกของลูก \”ลูก\” เปรียบไปก็คล้าย \”ต้นไม้\” หรือ
\”ลูกไม้\” ที่พ่อแม่บ่มเพาะไว้ในกระถาง \”ลูกไม้\” นั้นบอบบาง จำเป็นต้องปลูกฝังนิสัยที่ดีให้ และ
หาทางทำลายนิสัยชั่วร้ายที่ลูกแสดงออกโดยไม่รู้ตัว จึงจะเติบโตอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม อัน
ไม้อ่อนย่อมดัดง่ายฉันใด ลูกขณะยังเล็กอยู่ย่อมสอนให้เป็นคนดีได้ง่ายฉันนั้น มีเรื่องเล่าว่า
เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ลูกมหาเศรษฐี มีความผิดร้ายแรงจนถูกจองจำอยู่ในคุกและกำลัง
รอการประหารชีวิต ก่อนตายนักโทษผู้นี้ได้ร้องขอสิ่งหนึ่งจากผู้คุม ผู้คุมถามว่า \”อยากจะได้อะไร
หรือ\”
นักโทษประหารตอบ \”อยากพบแม่\”
เมื่อแม่มาเยี่ยมที่คุก ผู้คุมอนุญาตให้แม่เข้าไปในกรงขังนักโทษได้
แม่ถามลูกว่า \”ทำไมลูกถึงกล้าท้าทายกฎหมายอย่างนี้ ไม่รู้หรือว่า ความผิด
อุกฉกรรจ์เช่นนี้ มีโทษเพียงสถานเดียว คือ ความตาย ก่อนจะตาย เจ้าอยากจะได้อะไร ถ้า
ไม่เหลือบ่ากว่าแรงแม่จะหามาให้\”
ลูกตอบว่า \”ผมไม่ต้องการอะไรหรอก ต้องการดูดนมของแม่เป็นครั้งสุดท้าย
เท่านั้น\”
แม่ของชายหนุ่ม ไม่ได้ถามถึงเหตุผลและไม่อยากทราบถึงเหตุผลด้วย อีกไม่นาน
มัจจุราชก็จะมาคร่าชีวิตลูกรักไปแล้ว จึงอยากตามใจเป็นครั้งสุดท้าย นางนั่งลง ถอดเสื้อในออก
และอนุญาตให้ลูกดูดนมจากอก หนุ่มน้อยคนนี้ ก้มลงเอาปากอมหัวนม ทำท่าจะดูด ในวินาทีนั้นเอง
สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เขากัดจนหัวนมหลุดออกจากเต้านม เลือดไหลริน ๆ ออกจากอกแม่ แม่
ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและถามว่า \”ทำไม เจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย\”
นักโทษประหารตอบว่า \”ทำไมหรือ….ก็เพื่อตอบคำถามของแม่ที่ว่า ไม่รู้หรือว่า
ความผิดเช่นนี้มีโทษถึงตาย ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่ตามใจลูกมาตลอด ต้องการสิ่งใดแม่ไม่เคยขัด
ทำผิดสิ่งใดแม่ไม่เคยห้าม ความผิดที่ลูกทำจึงร้ายแรงมากขึ้นตามลำดับ แม่รักลูก แต่ไม่เคยอบรม
ให้ลูกเป็นคนดี การตามใจโดยไม่ลงโทษนั้น ไม่ได้ช่วยให้ลูกเป็นคนดี ตรงกันข้าม กลับเป็นสาเหตุ
ให้ต้องมารับโทษติดคุกและกำลังรอการประหารอยู่ในเวลานี้ นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมลูกจึงกัด
หัวนมของแม่จนขาด\”
2. อย่าลงโทษโดยไม่มีเหตุผล พ่อแม่ย่อมลงโทษลูกได้ เมื่อลูกกระทำผิด แต่ต้อง
บอกเหตุผลด้วยว่า ลงโทษเพราะอะไร เนื่องจากบางครั้งเด็กเล็ก ๆ ไม่รู้ว่า สิ่งที่กระทำนั้นเป็น
ความผิด
เป็นเวลากว่า 30 ปีที่ภรรยาข้าพเจ้าจำภาพเหตุการณ์ถูกแม่ตีอย่างไม่มีเหตุผลได้
อย่างแม่นยำ เหตุเนื่องจากแม่ปลูกผักไว้ในสวนหลังบ้าน แล้วไก่มาจิกกินใบผักจนเสียหาย แม่
ของภรรยามาพบเข้าจึงโมโหและหยิบไม้เรียวมาหวดลูก ๆ ที่เล่นอยู่บริเวณนั้นโดยไม่ไต่ถามสักคำ
ทุกวันนี้ ภาพนั้นยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ และมีคำถามก้องอยู่ในใจว่า ทำไมต้องลงโทษอย่าง
รุนแรงเช่นนั้นด้วย ในเมื่อลูกไม่ได้กระทำผิด ขณะนั้น ภรรยาข้าพเจ้าอายุเพียง 5 ขวบ แต่จำ
เรื่องราวนี้ได้ไม่ลืมเลือน เหมือนกับจะเป็นการย้ำเตือนไม่ให้ลงโทษลูกของตนเองเช่นนั้น
เมื่อเธอเติบโตขึ้นมา ได้ลองสอบถามมารดาถึงเหตุการณ์ครั้งเก่าว่า \”แม่มี
เหตุผลอะไรในการลงโทษ\” มารดาภรรยาตอบว่า \”จำไม่ได้หรอก เรื่องมันนานมาแล้ว\”
พ่อแม่ไม่ควรลงโทษลูกโดยไร้เหตุผล เพราะการกระทำเช่นนั้น ไม่ได้ช่วยให้ลูก
เป็นคนดี แต่จะทำให้ลูกสับสนว่า \”ทำไมจึงถูกลงโทษ การลงโทษ ไม่ใช่มีไว้สำหรับคนที่กระทำ
ผิดหรือ?\”
3. \”ขอบคุณ\” & \”ขอโทษ\” เป็นคำพูดที่พ่อแม่ไม่ควรลืม ลูก ๆ มักทำประโยชน์หรือ
ช่วยเหลือพ่อแม่เสมอด้วยความเต็มใจ โดยไม่หวังสิ่งใด แต่พ่อแม่มักจะลืมแสดงความขอบคุณต่อลูก
เป็นการตอบแทนเสมอเช่นกัน เพราะคิดว่า เป็นสิ่งสมควรที่ลูกควรปฏิบัติอยู่แล้ว ความจริง คำ
\”ขอบคุณ\” เป็นคำพูดที่ง่าย และไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่จะได้ความรักและศรัทธาจากลูกมากขึ้น
พ่อแม่จึงไม่ควรลืมคำนี้
นอกจากนั้น ยังไม่ใช่สิ่งน่าอายที่จะขอโทษลูก หากพ่อแม่กระทำผิดต่อลูก กลับถือว่า
เป็นการให้เกียรติลูกที่ดียิ่งอีกด้วย ดังเรื่องที่เล่ามาข้างต้น
4.เลี้ยงลูกดุจเป็นเพื่อน นั่นหมายถึง เป็นการให้เกียรติและความสำคัญต่อคำพูด,
การกระทำและความคิดของลูก
พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่ในใจลูกตลอดเวลาเสมอไป การทำตัวเป็นเพื่อน
จะช่วยให้ลูกเติบโตทางความคิดได้เร็วขึ้น ลูกจะมีความรู้สึกมั่นใจที่ได้แสดงความคิดเห็นออกมา
ความคิดของลูกจะมีค่า ไม่ใช่ \”อะไรก็เป็นเพียงแค่ความคิดของเด็ก\”
5. พ่อแม่มีปัญหา ลูก ๆ มีโอกาสด้อยปัญญาและอ่อนแอทางจิต
พ่อแม่ที่มีปัญหาไม่เข้าใจกัน แล้วใช้เวลาส่วนใหญ่ไปทะเลาะเบาะแว้ง จะเอา
เวลาที่ไหนมาดูแลและให้ความอบอุ่นกับลูก ลูก ๆ ย่อมว่าเหว่ จิตใจขาดที่ยึดเหนี่ยว อ่อนล้า
ไม่กล้าและขาดความมั่นใจ ไม่คิดที่จะศึกษาหาความรู้ หรือสร้างอนาคต ในที่สุดก็จะกลายเป็น
คนไร้ค่า สร้างปัญหาให้กับพ่อแม่และสังคม
ดังนั้น พ่อแม่ควรยึดมั่นสุภาษิต \”รักยาวให้บั่น\” เรื่องไม่สำคัญไม่ควรทะเลาะกัน
ให้ยืดยาว รวบรวมเวลาที่พอจะหาได้ มาทุ่มเทอบรมและให้ความอบอุ่นกับลูก
6. รักษาสัญญา อย่าโกหกลูก ลูกมักจะคาดหวังจากคำพูดของพ่อแม่มากกว่าที่เราคิด
แต่พ่อแม่จำนวนไม่น้อยเลยที่ชอบโกหกลูกว่า \”จะพาไปเที่ยว\” หรือ สัญญาอะไรสักอย่างให้พ้น ๆ
ไปก่อน เพื่อหลอกให้ลูกหยุดงอแงกวนใจ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำตามที่พูดไว้ การกระทำเช่นนี้
นอกจากจะไม่ให้เกียรติแล้ว ยังเป็นการทำร้ายจิตใจและทำลายความเชื่อถือของลูกโดยสิ้นเชิงอีก
ด้วย ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งได้สะท้อนความจริงบางอย่างจากการโกหกของพ่อแม่จนสร้างความ
สะเทือนใจไม่ใช่น้อย
มีเด็กน้อย 2 คน อาศัยอยู่กับแม่ซึ่งหย่าขาดจากพ่อแล้ว คนโตเป็นเด็กชาย อายุ
ประมาณ 8 ขวบ คนน้องเป็นเด็กหญิง อายุประมาณ 5 ขวบ ทุกวัน หนูน้อยทั้งสองคนจะถูกแม่
โกหกต่าง ๆ นานา ว่า \”ไปทำธุระข้างนอก\” ความจริง แม่ออกไปกับคนรักใหม่ และไม่อยาก
ให้ลูกรู้ต่างหาก ลูกทั้งสองรู้สึกเกลียดแม่อยู่ในใจ
ทุก ๆ อาทิตย์ พ่อมีสิทธิมาเยี่ยมลูกได้ 2 วัน พ่อมาทุกครั้งจะซื้อของเล่นและ
ตุ๊กตามาให้เสมอ แม้จะไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ใกล้กันเหมือนกับแม่ แต่รู้สึกว่า รักพ่อมากกว่า
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อนัดกับลูกทั้งสองว่า \”วันรุ่งขึ้น จะมารับลูกพาไปเที่ยวสวนสนุก
และดูหนังฟังเพลงด้วยกัน\” หนูน้อยแต่งตัวตั้งแต่เช้าไก่โห่ ตั้งตารอคอยพ่อมารับด้วยความใจจด
ใจจ่อ รอแล้วรอเล่า ความดีใจค่อย ๆ ลดลง ความกังวลสับสนค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น จนเวลา
ล่วงเลยจนถึงหนึ่งทุ่ม จึงได้รับโทรศัพท์จากพ่อว่า \”เสียใจด้วย วันนี้มาไม่ได้ พ่อติดธุระจริง ๆ\”
หลังจากนั้น ยังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้ หนูน้อยคนโตอดรนทนไม่ได้ กล่าวกับน้องสาวว่า \”พ่อและแม่ ทั้งสองคน
ไม่มีใครที่รักเราเลย ฉันไม่อยากเจอหน้าพ่อและแม่อีกแล้ว อยากจะไปหายาย เธอจะไปด้วยกัน
ไหม?\”
\”ไปสิ แต่จะไปทางไหน จะให้ใครไปส่ง\” หนูน้อยผู้น้องถาม
\”ไม่รู้เหมือนกัน เราเดินกันไปตามถนน โบกรถและถามไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ถึง\”
พี่ชายตอบน้องสาวตามประสาเด็ก ๆ
เมื่อเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง ขณะที่กำลังเดินทางด้วยเท้าอยู่บนถนน เกิดฝนตก
ลงมาอย่างหนัก หนูน้อยทั้งสองพากันไปหลบฝนใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พี่ชายรู้สึกหนาวสั่น น้องสาว
ช่วยดูแลอยู่ข้าง ๆ เวลาผ่านไป อาการไข้ยิ่งมากขึ้น เขามักจะเพ้อว่า \”ฉันอยากไปเที่ยวสวน
สนุกจังเลย พ่อบอกว่า จะมารับเราไปเที่ยวด้วยกันแล้วก็ไม่มา ทำไมต้องโกหกพวกเราด้วย\”
หนูน้อยผู้พี่เพ้ออยู่อย่างนี้จนเสียงเงียบหายไป เขาเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวม สร้างความเสียใจ
ให้กับผู้คนที่ได้รับรู้เรื่องราวเป็นอย่างยิ่ง
\”ชีวิตมนุษย์เกิดยาก แต่ตายง่ายเหลือเกิน และส่วนหนึ่งตายเพราะคำโกหก\”
7. อย่ากล่าวหาลูกอย่างเลื่อนลอย
พ่อแม่ไม่ควรกล่าวหาลูกว่า โกหก,ลักขโมย หรือกระทำผิดสิ่งใด โดยเลื่อนลอย
ไร้ข้อมูลชัดเจน เพราะธรรมชาติของเด็กย่อมไร้เดียงสา และไม่กล้าทำผิดคิดร้าย ดังนั้น ก่อนที่
จะกล่าวหาว่า \”ลูกทำผิด\” ต้องชั่งใจให้ดีว่า ควรจะพูดหรือไม่ เนื่องด้วย คำพูดเหล่านั้นจะ
ทำร้ายจิตใจลูกอย่างมากมายหากไม่เป็นความจริง
หนูน้อยคนหนึ่งอายุ 10 ขวบ ไปโรงเรียนแล้วถูกครูลงโทษ ให้ยืนบนโต๊ะคาบไม้
บรรทัด โทษฐานคุยกันเสียงดังในเวลาเรียน หนูน้อยพยายามบอกหลายครั้งว่า \”เขาไม่ได้พูด
ไม่ได้คุย\” แต่คุณครูไม่ยอมฟังใด ๆ ทั้งสิ้น และยืนกรานลงโทษเช่นนั้น
เมื่อแม่มารับลูกกลับบ้าน ยังด่าว่าซ้ำอีก หาว่า \”ไม่ตั้งใจเรียน เอาเวลาไปทำ
ในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์\” และอื่น ๆ อีกมากมาย
ตอนแรก หนูน้อยคิดว่า แม่น่าจะฟังเหตุผล แต่แม่ไม่รับฟังเหตุผลเอาเสียเลย
กลับซ้ำเติมด่าว่า ให้เสียใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อกลับถึงบ้าน หนูน้อยเก็บตัวเงียบในห้องนอนและผูกคอตาย แม่และครูรู้สึก
เสียใจกับการตายของหนูน้อยคนนี้ยิ่งนัก พยายามซักไซ้ไล่เลียงถึงเหตุผลจากน้องชายของหนูน้อย
คนนั้น เด็กน้อยบอกว่า \”หนูไม่รู้หรอก เพียงแต่พี่เขาบอกว่า เขาไม่ได้พูด ไม่ได้คุย แค่นั้น\” แม่
และครูได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้ทันที
เด็กสมัยนี้ มีพฤติกรรมต่อต้านมากกว่าเด็กสมัยก่อนมาก การกล่าวโทษลูก พ่อแม่
ต้องมีเหตุผลอธิบาย มิฉะนั้นอาจเกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าว
8. รู้จักลงโทษ รู้จักให้อภัย
พ่อแม่ไม่ควรลงโทษลูกรุนแรงเกินไป และควรให้อภัยอย่างมีหลักการ การลงโทษ
รุนแรงมากเกินควรหรือไม่ยอมลงโทษลูกเลย ย่อมเกิดผลเสียหายมากกว่าได้ประโยชน์
ผู้หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งจูงลูกสาว 2 คน ขึ้นมาบนรถโดยสารประจำทาง ลูก
สาวคนโตอายุ 12 ปี และคนรองอายุ 5 ปี ขณะนั้นที่นั่งโดยสารเต็ม ผู้ชายใจดีคนหนึ่งลุกขึ้นยืน
สละเก้าอี้ให้ หนูน้อยกล่าวพร้อมกันว่า \”ขอบคุณคะ\” คนโดยสารอื่น ๆ ต่างหันมามองด้วยความ
ชื่นชม ในความเรียบร้อยน่ารักของเด็กทั้งสอง
ผู้เป็นแม่นั่งลงยังที่ว่างนั้น และให้หนูน้อยทั้งสองยืนอยู่ข้าง ๆ เธอหยิบเอานาฬิกา
เรือนใหญ่เพื่อใช้สอนออกมา แล้วถาม \”เวลา\” กับลูกสาวทั้งสอง ลูกสาวคนโตตอบได้เร็วและ
ถูกต้อง แต่ลูกสาวคนรองตอบช้าและผิดเป็นส่วนใหญ่ ทุกครั้งที่ตอบผิด แม่จะตบหน้าอย่างแรงและ
ด่าว่า \”โง่เหลือเกิน\” ส่วนพี่สาวจะกอดน้องเป็นการปลอบโยนและร้องไห้ไปพร้อม ๆ กับน้อง
เมื่อการสอนสิ้นสุดลง หนูน้อยทั้งสองหันหน้ามองออกไปข้างนอกหน้าต่างรถตลอดเวลา เหมือนกับ
ว่า กำลังคิดหาคำตอบอะไรสักอย่างหนึ่ง
ภาพเหตุการณ์นี้ สร้างความสะเทือนใจแก่ทุกคนบนรถโดยสารคันนั้น การลงโทษ
ตบตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ มีประโยชน์อะไร
เด็กคนนั้น ต่อไปคงจะชินชา \”หน้าหนา\” ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะถูกตบตีต่อหน้า
สาธารณชนบ่อย ๆ เขาจะดูถูกตัวเองมากขึ้นและกลายเป็น \”คนไร้ค่า\” ในที่สุด
เด็กทุกคนอยากเป็นคนดีและไม่อยากทำความผิด เขาพร้อมเสมอที่จะต่อสู้ต่อไป
ในโลกกว้าง หากได้รับกำลังใจและการให้อภัยจากพ่อแม่ผู้ปกครองที่เขานับถือ แต่จะกลายเป็น
\”บุคคลที่ไร้ค่า\” ทันทีที่หมดกำลังใจ และไม่มีใครให้อภัยในความผิดของเขา
9. จงทำตัวเป็น \”แม่\” ที่แท้จริง
\”แม่\” มีหน้าที่เลี้ยงดูและอบรมลูก จึงไม่ควรปล่อยหน้าที่นี้ให้กับคนใช้หรือพี่เลี้ยง
ทั้งหมด
หากคุณพ่อมีอาชีพที่มั่นคง คุณแม่ควรลาออกจากทุกตำแหน่งในหน้าที่งานประจำเพื่อ
ทำหน้าที่ \”แม่\” ได้อย่างเต็มที่
\”พ่อ\” ส่วนใหญ่ทำตัวเหมือน \”ผู้ชมภาพยนตร์\” คือ \”เป็นคนดู\” มากกว่า \”เป็น
คนเลี้ยง\” เมื่อมีเวลาว่าง \”พ่อ\” ควรทำตัวเป็น \”แม่\” บ้างในบางครั้ง โดยอุ้มลูก ชงนม
อาบน้ำพาลูกไปนอน เป็นต้น
10. อย่าตามใจ แต่เน้นการสร้าง \”วินัย\” ให้ลูกจนติดเป็นนิสัย
การตามใจ ทำให้ลูกเสียนิสัย แต่การเข้มงวดเกินไป จะทำให้ลูกไม่เป็นตัวของ
ตัวเอง ไม่มีอิสระทางความคิด ขาดจินตนาการ ทำอะไรก็ไม่กล้า ต้องคอยพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา
เป็นปัญหาของสังคมและประสบความสำเร็จได้ยาก การแก้ไขทำได้ด้วยการสร้างระเบียบวินัยให้
ลูกตั้งแต่ยังเล็ก ๆ อยู่
ความเป็นระเบียบวินัยในสังคมไทยพบเห็นได้น้อยมาก เพราะคนไทยมีนิสัย
\”ตามใจ\” หรือ \”ตามสบาย\” เป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเราสามารถปลูกนิสัย \”มีวินัย\” แก่ลูกได้ ลูกจะ
เป็นคนที่มีเสน่ห์, เป็นที่ชื่นชอบของคนทุกระดับชั้น,ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ง่าย และไม่เป็น
ปัญหาของสังคม
11.อาศัย \”พรหมวิหาร 4\” เป็นหลักในการเลี้ยงลูก
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวว่า พ่อแม่ควรเลี้ยงลูกโดยอาศัย \”พรหม
วิหาร 4\” อันหมายถึง มีความปรารถนาให้ลูกประสบแต่สิ่งที่ดีและมีความสุข เรียกว่า มี เมตตา
คิดหาทางช่วยให้พ้นทุกข์ ด้วยการส่งเสริมให้ลูกทำความดี มีความขยันหมั่นเพียร เรียกว่า มีกรุณา
ยามที่ลูกประสบความสำเร็จเป็นขั้นเป็นตอน พ่อแม่พลอยยินดีแสดงความชื่นชมด้วยทุกครั้ง เรียกว่า
มีมุทิตา สุดท้าย พ่อแม่ควรมี \”อุเบกขา\” คือ วางเฉยไม่ลำเอียง มีความยุติธรรมในการให้
รางวัลและลงโทษ พ่อแม่ประพฤติได้ดังนี้ ลูกก็จะเติบโตเป็นคนดี ไม่เป็นภาระแต่จะเป็นที่พึ่งของ
สังคมต่อไป
12. คิดถึงลูก อย่าทำลายครอบครัวด้วยการนอกใจคู่สมรส ครอบครัวที่แตกสลาย
เปรียบเสมือน \”รังนก\” ที่แตกกระจาย \”ลูกนก\” ย่อมอยู่อาศัยไม่ได้ และจะตายในที่สุดหากไม่
ย้ายรังใหม่
\”พ่อ\” อย่าทำลายครอบครัวด้วยการมี \”เมียน้อย\” \”แม่\” อย่าทำลายครอบครัว
ด้วยการมี \”ชู้\”ลูก จะอยู่อย่างมีความสุขในครอบครัวที่พ่อแม่รักกันเท่านั้น
13. ให้ \”เวลา\” กับลูกความรักความอบอุ่นที่ลูกได้รับเกิดจากการได้อยู่ร่วมสังสรรค์
กับพ่อแม่นาน ๆ พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องใช้ \”เวลา\” อย่างเหลือเฟือเพื่อลูก เพียงแค่ทุกคนใน
ครอบครัวได้อยู่ร่วมเสวนาบนโต๊ะอาหารพร้อมหน้ากันวันละครั้งก็พอแล้ว
14.ของขวัญที่มีค่าสำหรับ \”ลูก\” คือการศึกษาและสุขภาพที่แข็งแรง อย่าให้ \”ความ
มั่งคั่งพรั่งพร้อม\” เป็นของขวัญแก่ลูก เพราะจะทำให้ลูกอ่อนแอ แต่จงปลูกฝังจิตใจที่รักการศึกษา
และส่งเสริมให้เล่นกีฬา จึงจะช่วยนำพาให้ \”ลูก\” มี \”เครื่องมือ\” ทำให้เขาประสบความ
สำเร็จได้รวดเร็วและมั่นคง
15. สร้างพื้นฐานความมั่นคงที่แข็งแกร่งให้กับลูก แต่จงปล่อยให้ปลูกบ้านบนพื้นฐานนั้น
เอง คนเรานั้น จะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ต้องใช้เวลา โดยเฉพาะในส่วนของการสร้างพื้นฐาน คน
ที่ไม่มีพื้นฐาน ย่อมสร้างตัวได้ช้าหรือไม่ได้เลย พ่อแม่มีหน้าที่จัดหา \”เงินทุน\” เพื่อเป็นพื้นฐานให้
ลูก และเพื่อเป็นหลักประกันว่า \”พื้นฐาน\” เหล่านี้จะไม่สูญสลายไป พ่อแม่ควรทำประกันชีวิตไว้
ด้วย
16. หาทางป้องกันอย่าให้เกิดอุบัติเหตุกับลูก มีข่าวบ่อย ๆ ที่พ่อแม่ปล่อยปละละเลย
จนลูกเกิดอุบัติเหตุ บ้างก็เสียชีวิต บ้างก็กลายเป็นคนพิการ อุบัติเหตุเกือบทั้งหมดที่เกิดขึ้นส่วน
มากเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ ขอเพียงแต่พ่อแม่ไม่ประมาทเท่านั้น
มีเรื่องเล่าว่า สามีภรรยาคู่หนึ่ง ทิ้งลูกน้อยวัยแบเบาะให้ยายเลี้ยงที่บ้านนอก
แล้วมาทำงานในเมืองหลวง นาน ๆ มีเวลาว่าง จึงกลับมาเยี่ยมลูกสักครั้งหนึ่ง
วันหนึ่ง ยายเกิดหัวใจวายตายไป ทำให้ทารกน้อยต้องอดอาหาร ถึงแม้จะร้องไห้
เสียงดัง แต่กว่าจะมีคนมาพบ ทารกน้อยได้เสียชีวิตไปแล้ว เพราะทนต่อการอดอาหารไม่ไหว
17. ฝึกหัดให้ลูกเป็นคนชอบเรียนรู้สู้สิ่งยาก ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
คนเราเกิดมาย่อมหลีกหนีไม่พ้นจากปัญหาอุปสรรค หากคิดให้ดีแล้ว \”ปัญหา\” หรือ
\”อุปสรรค\” จะเป็นตัวพัฒนา \”ปัญญา\” เพราะฉะนั้น อย่าได้สนับสนุนการหนีปัญหาของลูก
จงปลูกฝังความคิด \”ไม่กลัวความผิดหวัง\” ให้กับลูก เป็น \”กำลังใจ\” ให้ยาม
พ่ายแพ้และยกย่องเมื่อลูกเอาชนะอุปสรรคได้ ในที่สุด ลูกจะเป็นคนที่ชอบเรียนรู้สู้สิ่งยากและชอบ
เปลี่ยนแปลง \”ความหายนะ\” ให้เป็น \”การพัฒนา\”
18. ค้นหาความสามารถพิเศษของลูกให้พบ แล้วส่งเสริมจนถึงที่สุด
ในขณะที่ลูกยังเล็ก เขามักจะชอบทำอะไรแปลก ๆ หรือซ้ำ ๆ ตามความถนัดทาง
ธรรมชาติ เช่น เด็กบางคนชอบหยิบหนังสือมาอ่านทั้ง ๆ ที่อ่านไม่รู้เรื่อง หรือหยิบปากกาขึ้นมาขีด
เขียนทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักตัวหนังสือ หากเราส่งเสริมสอนหนังสือให้ ลูกก็จะเป็นคนที่อ่านหนังสือได้
เร็วและชอบศึกษาหนังสือ ในอนาคตอาจเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่มีชื่อเสียงก็เป็นได้
แต่ถ้าพ่อแม่คิดไม่ถึง กลัวลูกจะทำหนังสือเสียหายหรือขีดเขียนทำลายความสวยงาม
ของโต๊ะเก้าอี้ ก็จะห้ามไม่ให้ลูกทำอย่างนั้นอีก พรสวรรค์ของเขาจะสะดุดหยุดลงทันที
19. ช่วยเหลือลูกในการเลือกคู่ครอง
ธรรมชาติของคนทุกคนย่อมต้องการมี \”คู่ชีวิต\” ใครก็ลิขิตให้ไม่ได้นอกจากตัวเอง
พ่อแม่จะช่วยเหลือได้บ้าง ด้วยการให้ความรู้เรื่อง \”ชีวิตคู่\” โดยอาศัยประสบการณ์ในอดีตมา
สอนว่า คู่ชีวิตที่เหมาะสมเป็นอย่างไร หรือควรจะแต่งงานเมื่อใด \”ชีวิตคู่\” จึงจะไม่ค่อยมีปัญหา
จากนั้นควรปล่อยให้ลูกพิจารณาเองว่า คู่รักของตนเหมาะสมที่จะแต่งงานด้วยหรือ
ไม่
20. ให้เกียรติคู่ครองของลูกดุจเป็น \”ลูก\” คนหนึ่ง
ส่วนใหญ่ ผู้ชายแต่งงานไปอยู่บ้านภรรยามักไม่มีปัญหากับ พ่อตา-แม่ยาย แต่ผู้หญิง
ที่แต่งงานไปอยู่กับครอบครัวสามี มักมีปัญหากับ \”แม่ผัว\” เป็นประจำ
ทั้งนี้เพราะความที่ \”แม่ผัว\” ไม่เคยคิดว่าลูกสะใภ้ เป็นแขกคนสำคัญของบ้าน
แต่กลับคิดว่า เป็นบุคคลภายนอกที่มาคอยแย่งความรักจากลูกชายไป จึงทำให้เกิดความไม่พอใจ
ตลอดเวลา แม้ว่า \”ลูกสะใภ้\” จะทำดีเท่าไรก็ตาม
จริง ๆ แล้ว \”แม่ผัว\” ควรให้เกียรติต่อ \”ลูกสะใภ้\” มาก ๆ เพราะ \”ลูกสะใภ้\”
เท่านั้นที่จะคอยเคียงข้างเป็นกำลังใจและคอยดูแลลูกชายของเธอ(สามี)ตลอดไปชั่วชีวิต \”แม่ผัว\”
จึงเป็นหนี้บุญคุณ \”ลูกสะใภ้\” ไม่ใช่น้อยเลยในเรื่องนี้
21. ปล่อยให้ \”ลูก\” เป็นอิสระเมื่อถึงเวลาอันสมควร
คนเราเกิดมาย่อมช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และต้องพึ่งพาพ่อแม่ใน
ช่วงเวลานั้น แต่พ่อแม่ไม่สามารถอยู่กับลูกตลอดเวลาได้ ดังนั้น ต้องให้ \”ลูก\” รีบเรียนรู้ที่จะ
พึ่งพาตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร เหมือน \”ลูกนก\” ที่เติบโต
จนวันหนึ่ง \”ปีกกล้าขาแข็ง\” ก็จะเป็นอิสระบินไปหากินเองได้
มนุษย์เราเหนือกว่าสัตว์ทั้งหลาย ตรงที่ฝึกได้และฝึกได้ตามที่ต้องการด้วย อยาก
จะเป็นอะไร ก็อาศัยการเรียนรู้ ผึกหัด พัฒนา พ่อแม่มีหน้าที่ส่งเสริมให้ลูกได้เรียนรู้ ฝึกหัด
พัฒนา ไม่ใช่คอยห้ามหรือจำกัดการกระทำและความคิดของลูก พ่อแม่ต้องปล่อยให้ \”ลูก\” ได้ลอง
ผิดลองถูกเองบ้าง เมื่อลูกทำได้จงปล่อยให้เป็น \”อิสระ\” จินตนาการจึงจะกว้างไกล ความ
สามารถจึงจะหลากหลายและชำนาญ ตรงกันข้าม หากพ่อแม่คอยแต่จะดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา
ไม่ให้คลาดสายตา กลับจะเป็นการทำลายลูกทางอ้อม ทำให้ลูกกลายเป็นคนที่จะต้องพึ่งพาคนอื่น
อยู่ร่ำไป เป็นภาระต่อครอบครัว และสังคมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
22. สอนลูกอย่าให้คิดแต่จะเฝ้ารอทรัพย์สมบัติของพ่อแม่
มีคำกล่าวว่า ทรัพย์สมบัติของวงศ์ตระกูลมักจะคงอยู่ได้นานไม่เกิน 3 ชั่วคน
เพราะคนรุ่นแรกจะทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ อาบเหงื่อต่างน้ำ สร้างและสะสมทรัพย์สมบัติขึ้นมา
พอถึงคนรุ่นที่สอง ซึ่งยังมองเห็นความเหนื่อยยากของพ่อแม่ จะยังมีความสำนึกว่า สมบัติเหล่านี้
ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่าย ๆ จึงยังคงใช้จ่ายอย่างระมัดระวังและรักษาทรัพย์สมบัติไว้ได้ ส่วนคนรุ่นที่
สามไม่เคยรู้เลยว่า บรรพบุรุษสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างไร เกิดมาก็อยู่บนกองเงินกองทอง จึงรู้จัก
แต่ใช้เงิน ไม่ชอบหาเงิน ในที่สุด ทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะถูกผลาญมลายหายไปในรุ่นที่สามนี้เอง
ด้วยเหตุนี้ จงอย่าเลี้ยงลูกอย่างบำรุงบำเรอเหมือนคนรุ่นที่สาม แต่ควรเลี้ยงลูก
ให้รู้จักหาเงินแบบคนรุ่นหนึ่ง หรืออย่างน้อยรู้จักใช้เงินอย่างคนรุ่นที่สอง โดยไม่ปล่อยเวลาให้สูญ
ไปอย่างไร้ค่า เพื่อเฝ้ารอคอยว่า เมื่อไหร่พ่อแม่จะตายจากไป ทรัพย์สมบัติจะได้ตกมาถึงมือ
23. สอนให้ลูกหลีกเลี่ยงละเว้นจากความชั่ว โดยเฉพาะ \”มั่วการพนัน\”
ความชั่วมีมากมาย ควรสอนให้ลูกรู้ไว้เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงละเว้น วิธีการอย่าง
หนึ่งที่ข้าพเจ้าใช้ได้ผลดีในการเตือนสติตัวเองเพื่อไม่ให้หลงผิดก้าวไปในเส้นทางแห่งความชั่วร้าย
คือ เวลาไหว้พระ มักจะอธิษฐานว่า \”ขอให้ข้าพเจ้าเป็นคนดี\” อย่างไรก็ตาม คนเราทุกคนมีสิทธิ
ทำผิดพลาด หากเรามีเครื่องเตือนสติ เราจะสามารถกลับมาเดินบนเส้นทางแห่งความดีได้เช่น
เดิม
ความผิดพลาดที่น่ากลัวที่สุด คือ การหลงไหลในการพนัน
ทรัพย์สินเงินทองแม้จะน้อย หากรู้จักใช้ ย่อมจะมีเหลือ บ้านช่องถูกไฟไหม้ทำลาย
ทรัพย์สินเสียหาย แต่ยังมีเหลือที่ดินไว้ทำกินต่อไป แต่ถ้า \”การพนัน\” เข้าสิงจนติดเป็นนิสัย ย่อม
ส่งผลให้ทรัพย์สมบัติทั้งมวล รวมทั้งที่ดินของปู่ย่าตายายสูญสลายหายไปในเวลาอันรวดเร็ว และ
ไม่มีวันได้กลับคืนมาด้วย
หากพ่อแม่พบว่า ลูกเริ่มที่จะชอบ \”การพนันขันต่อ\” ก็ต้องทำลายอุปนิสัยเช่นนี้ ตั้ง
แต่ต้น แล้วปลูกฝังอุปนิสัย \”ท้าทาย\” ลงไปแทน จะทำการสิ่งใดให้ \”ท้าทาย\” ตนเอง หรือคู่แข่ง
เมื่อทำสำเร็จ ความสำเร็จนั่นแหละคือ\”รางวัล\” นอกจากนั้น พ่อแม่ควรจะแสดงความยินดี,
ยกย่องชมเชยและชื่นชมในความสำเร็จนั้นด้วย
24. อแม่เป็นตัวอย่างของลูกในทุกเรื่อง ลูกทุกคนจะถือพ่อแม่เป็นแบบอย่างเสมอ ดุจ
\”ลูกปูเลียนแบบแม่ปูเดิน\” ถ้าพ่อแม่ทำตัวไม่ดี คิดหรือว่าลูกจะเป็นคนดีได้เองในอนาคต
หากหวังให้ลูกเป็นคนดีมีชื่อเสียงในภายภาคหน้า พ่อแม่ควรทำตนเป็นตัวอย่าง ใน
การสร้างความดีทุกเวลา เปรียบเสมือนกับการสร้างทางเดินแห่งคุณธรรมเสียก่อน แล้วน้อมนำให้
ลูกเดินตามไปในทางนั้น ความสำเร็จข้างหน้าของลูกย่อมจะใสสว่างเป็นที่ยกย่องของคนทั่วไป
จากที่กล่าวมาข้างต้น ข้าพเจ้าคิดว่า สิ่งที่น่าจะสำคัญที่สุดในการนำพาความสุขมาสู่
ครอบครัว ก็คือ การที่ทุกคนมี \”เวลา\” ให้กันและกัน,วมทุกข์ร่วมสุขบนถนนชีวิตสายเดียวกัน จน
กว่าจะแยกจากกันไปเมื่อถึงเวลา อันควร
ขึ้นชื่อว่า \”เวลา\” ย่อมมีค่า \”เวลาสำหรับครอบครัว\” ยิ่งมีค่า เมื่อผ่านไปแล้วจะ
เรียกร้องให้กลับมา ย่อมเป็นไปไม่ได้
ดั่งบทเพลงหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อเตือนใจ สำหรับพ่อแม่ทั้งหลาย ที่มัวแต่หาเงินโดยไม่ปลีก
เวลามาดูแลลูกบ้าง โดยเฉพาะ คุณพ่อทั้งหลาย ที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็จจักเหนื่อยเพื่อลูกและ
ครอบครัว บทเพลงนี้กล่าวถึงชายชราคนหนึ่ง ที่กำลังว้าเหว่โดดเดี่ยว เรียกร้องขอความ
ใกล้ชิดจากลูก บทเพลงนี้มีว่า
เขาทำงานอย่างหนักทุกวันเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว เขาบอกว่า เขาสมควร
ต้องทำงานอย่างนั้น เพราะว่า ยังหนุ่มแน่นอยู่
@ เมื่อลูกของเขาเกิดมาลืมตาดูโลก
เขายังคงทำงานหนักทุกวัน และไม่มีเวลาไปดูแลลูก ทำให้ต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้
เห็นรอยยิ้มครั้งแรก,ย่างเท้าก้าวแรก และคำเอื้อนเอ่ยคำแรกของลูก
เขาบอกว่า ไม่เป็นไร เพราะว่ายังหนุ่มอยู่ และต้องทำงาน
@ เอาละ! เมื่อลูก เข้าโรงเรียนเพื่อการศึกษา
เขาไม่ได้ไปรับไปส่งลูก,ไม่ได้เห็นลูกข่งขันกีฬา,ไม่เคยได้ยินคุณครูชมว่า \”ลูกเก่ง\
ไม่ได้ไปดูลูกรับรางวัลเรียนดี…
เขาบอกว่า ไม่เป็นไร เพราะเขาต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูกเมีย เขา
ยังมีเวลา
@ เมื่อลูก ของเขาเข้ามหาวิทยาลัยฯ
เขาไม่ได้ไปแสดงความยินดีกับความสำเร็จของลูก จวบจนลูกจบการศึกษาระดับ
มหาวิทยาลัยฯ เขายังไม่มีเวลาไปดูลูกรับปริญญา เขาคิดว่า ลูกสมควรได้รับความสำเร็จเป็นขั้น
เป็นตอนอยู่แล้ว เขายังต้องการหาเงินให้ได้มากขึ้นไปอีกสักหน่อย
@ เมื่อ \”ลูก\” ทำงานหาเงินเองได้ ไม่ต้องการเงินจากเขา ตอนนี้เขาอยู่ในวัย
ชราแล้ว
เขารู้สึกว่า อยากอยู่ใกล้ชิดกับลูกเหลือเกิน และเหงาเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก ตอนนี้เขา
มีเวลาอย่างเหลือเฟือให้ \”ลูก\” แต่ \”ลูก\” กลับไม่มีเวลาที่จะให้กับเขา เพราะลูกมีครอบครัว
ของตัวเองแล้ว จึงต้องเอาเวลาส่วนใหญ่ไปดูแล\”ลูก\” ของตนเอง
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
พ.ต.อ.นพ.เสรี ธีรพงษ์