ลูกค้ารายใหญ่ (Dengue Hemorrhagic fever)

ลูกค้ารายใหญ่ (Dengue Hemorrhagic fever)

                ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เลวร้ายในสมัยปัจจุบัน ซึ่งข้าพเจ้าอยากจะเรียกมันว่าเป็น ‘ยุคข้าวยากหมากแพง’ จริงๆ เพราะข้าวของทุกสิ่งมีราคาสูง..แม้ไม่ใช่กลียุค ..แต่ก็วุ่นวายต่อทุกชนชั้น..คนจนแทบจะหาเงินมาซื้อข้าวกินไม่ครบทุกมื้อ ชนชั้นกลางต้องทำงานเช้ายันค่ำ เพื่อหาเงินมาใช้หนี้..แน่นอน!! แทบไม่ทันในแต่ละงวด….ส่วนคนรวยเล่า ก็เฝ้าแต่ระวังตัว กลัวถูกหลอก หรือถูกโกงจากผู้ไม่หวังดี..

วันหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าพเจ้าแวะซื้อของจุกจิก เกี่ยวกับปลั๊กไฟในราคา ประมาณ 2000 บาท ที่ห้างสรรพสินค้า ย่านถนนพระราม 9.. ข้าพเจ้าถามคนขายว่า ‘วันนี้ ขายของได้สักเท่าไหร่ สักหมื่นหนึ่งได้ไหม?’ เธอบอกว่า ‘ข้าพเจ้าคือลูกค้ารายใหญ่ วันหนึ่งๆ หนูขายของแทบไม่ได้เลย ถึงแม้ จะเพิ่งมาเปิดขายของ..และมีของดีเท่าใด ก็ขายได้น้อยมาก เพราะผู้คนไม่มีเงิน ทุกคนต้องการประหยัด’..ข้าพเจ้าฟังแล้ว ให้รู้สึกสะท้อนใจมาก กับคำกล่าวนี้..ถึงแม้ว่า มันจะเป็นความจริง    

ไม่กี่วันมานี้ ภรรยาข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhagic fever) ซึ่งกำลังระบาดขณะนี้ วันนั้น เป็นวันเสาร์….ยังจำได้..ข้าพเจ้านัดกับภรรยา จะไปกินหูฉลามที่ย่านเยาวราชในตอนค่ำ…. ราวๆเที่ยงของวันนั้น..ภรรยาข้าพเจ้าพลันรู้สึกเบื่ออาหาร..งวงหงาวหาวนอน อ่อนเปลี้ย เพลียแรงอย่างระโหย..เธอบอกว่า ‘คงไปไม่ไหว..รู้สึกครั่นเนื้อ..ครั่นตัว..และมีไข้สูง’ ข้าพเจ้าคลำที่ศีรษะของเธอ รู้สึกอุ่นๆ แต่ไม่แน่ใจว่ามีไข้หรือเปล่า..อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้เจียดยาลดไข้ และยาฆ่าเชื้ออย่างดีให้กับเธอ (Meiact) รับประทานทุกๆ 6 ชั่วโมง..ตอนเช้าวันถัดมา ข้าพเจ้ามีภารกิจ ต้องไปออกหน่วยตรวจชาวบ้านที่ย่านคลองเตย ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ..ราว 10 นาฬิกา ภรรยาข้าพเจ้าโทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าบอกว่า  ‘..รู้สึกไม่ไหวแล้ว..ช่วยพาเธอไปโรงพยาบาลหน่อย..’ ข้าพเจ้ารีบผละออกจากสถานที่นั้นทันที.. กลับมาบ้าน..และขับรถพาภรรยามาที่ โรงพยาบาลตำรวจ..ก่อนออกจากบ้าน ข้าพเจ้าได้ให้เธอกินยาฆ่าเชื้อและยาลดไข้อีกครั้ง..

ที่ห้องฉุกเฉิน..ของโรงพยาบาลตำรวจ..ข้าพเจ้าได้แจ้งให้คุณหมอเวรทราบถึงอาการป่วยของภรรยาคร่าวๆ..ซึ่งรุนแรงจนข้าพเจ้าคิดว่า ‘น่าจะป่วยเป็นไข้เลือดออก เพราะมันกำลังระบาดอยู่ในช่วงเวลานี้’….เวลาผ่านไปราว 1 ชั่วยาม ผลเลือดของภรรยาข้าพเจ้าก็ปรากฏออกมาว่า ‘เธอเป็นไข้เลือดออก เพราะ Dengue NS1 antigen1 ให้ผลบวก’ ตอนที่ภรรยาข้าพเจ้ามาถึงห้องฉุกเฉินใหม่ๆนั้น.. ลักษณะภายนอกของเธอดูดีขึ้นมาก เพราะไข้ลดลงหลังจากรับประทานยาลดไข้ไป 4 ชั่วโมง  ข้าพเจ้าเกือบทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ด้วยการชักชวนเธอกลับบ้านไปพักรักษาตัวเสียแล้ว เนื่องจากอาการภายนอกดูดีขึ้น แต่..พอผลเลือดออกมา  ภรรยาข้าพเจ้าก็ต้องเข้านอนในห้องพัก จากนั้น เธอก็มีไข้ขึ้นสูงลอย ถึง 40 องศาเซลเซียสเป็นช่วงๆ และลดลงตามยาลดไข้, เธอนอนอย่างสลบไสล ไม่สามารถโงหัวขึ้นจากหมอนได้.. รับประทานไม่ได้เลยตลอด 3 วัน 3 คืน..อาศัยก็แต่น้ำเกลือหล่อเลี้ยงชีวิต….ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนั้น ..

ที่ห้องพักชั้น 9 ของตึกเฉลิมพระเกียรติของ รพ.ตำรวจ..ภรรยาข้าพเจ้าที่ดูเหมือนจะดีขึ้นในตอนแรกตรวจ..เมื่อมาเข้าถึงห้องพัก เธอกลับมีอาการทรุดหนัก..ไม่ค่อยพูดจา ..นอนหลับใหล เหมือนถูกยาสลบ ผลความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit ชื่อย่อ คือ Hct) คือ 39% ซึ่งไม่สูงมาก ..ความเข้มข้นของเลือดที่สูงมากๆ อาทิ เกิน 60% จะทำให้เลือดหนืด จนเป็นเหตุให้เส้นเลือดอุดตันตามอวัยวะต่างๆ หากเกิดกับอวัยวะสำคัญ ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต..กรณีเกร็ดเลือดของภรรยาข้าพเจ้า ถือว่า ไม่ต่ำ คือ มีค่า 206,000 (ค่าปกติ  164,000- 414,000) หน่วย..เกร็ดเลือด (Platelets) นี่เอง หากค่าของมันลดลงต่ำกว่า 10,000 หน่วย  ก็จะทำให้เลือดออกตามอวัยวะต่างๆของคนไข้ได้เอง โดยไม่ต้องถูกกระทบกระแทก..

คำสั่งการรักษาสำหรับภรรยาข้าพเจ้าจากอายุรแพทย์ นอกจากให้น้ำเกลือ (5% dextrose saline) ผ่านทางเส้นเลือดดำ ในอัตรา 60 ซี.ซี. ต่อ ชั่วโมง  ยังมีการให้แมกนีเซียม (50%MgSo4 = 2 cc in NSS 100 cc drip every 6 hour) ด้วย, ส่วนยากิน ก็ประกอบด้วย พาราเซตามอล (Paracetamal), ยาลดการคลื่นไส้ (Motilium) , และเกลือแร่ผง (ORS) ชงกินแทนน้ำ.. ข้าพเจ้าได้อยู่นอนเฝ้าภรรยาตั้งแต่นั้นมา

ในตอนค่ำ ภรรยาข้าพเจ้ารู้สึกครั้งเนื้อครั้นตัว และหนาวมาก..ข้าพเจ้าจึงเอาผ้าห่ม ซึ่งมีอยู่ในห้อง 2 ผืนห่มให้เธอ..จากนั้น ข้าพเจ้าก็เดินไปขอผ้าห่มอีกผืนหนึ่งกับพยาบาลเวร..ภาพนั้นยังจำได้แม่นยำ..พยาบาล 2 คน และผู้ช่วย 1 คนกำลังนั่งโต๊ะทำงาน เขียนบันทึกอะไรอยู่ พยาบาลคนหนึ่งพูดตอบกับข้าพเจ้าว่า ‘ไม่มีหรอก เพราะเราได้มาแค่ 10 ใบ.. แจกจ่ายไป ก็หมดทุกที..ทะเลาะกับญาติคนไข้ เป็นประจำทุกวันเลยค่ะ’

‘ไม่เป็นไร..เดี๋ยว ผมจะไปเอาผ้าห่มที่ห้องหัวหน้ากลุ่มงานสูติฯ’ ข้าพเจ้าตอบพร้อมกับออกเดินไปที่ห้องทำงาน.. หยิบผ้าห่มหมอนมา 1 ใบ แล้วเดินกลับมาที่ห้องพักคนไข้.. ล้มตัวลงนอนที่เก้าอี้นวมโซฟา..สักพัก..พยาบาลคนหนึ่งก็เคาะประตู..แล้วเดินเข้ามาดูภรรยาข้าพเจ้า..พลางอุทานว่า ‘แย่แล้ว!! เลือดเปรอะเปื้อนผ้าห่มเต็มไปหมด’ rพยาบาลคนดังกล่าวรีบตะโกนเรียกเพื่อนพยาบาลอีกคนมาช่วย เปลี่ยนชุดสายน้ำเกลือใหม่ และเก็บผ้าห่มทั้งสองผืนออกไป..ข้าพเจ้าขอโทษขอโพยพยาบาลเหล่านั้นที่ไม่ได้ระแวดระวัง..ปล่อยให้สายน้ำเกลือหลุด โดยที่คนไข้หดมือเข้าไปซุกในผ้าห่ม จนเลือดออกเปรอะเลอะเทอะไปหมด

หลังจากนั้น ไม่นาน พยาบาลคนหนึ่ง ก็นำเอาผ้าห่มมาให้ 1 ผืน ตอนนั้น  ภรรยาผมมีอาการหนาวสั่นด้วยโรคไข้เลือดออก ข้าพเจ้าจึงเดินไปขอผ้าห่มอีกผืน แต่ผู้ช่วยพยาบาลกลับบอกว่า ‘ไม่มีหรอก เพราะผื่นที่ให้ไป ก็ไปยืมจากหอพักผู้ป่วยชั้นอื่นมา’ ข้าพเจ้างงกับคำพูดนี้ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้เดินไปเอาผ้าห่มหมอนอีกผืนมาจากห้องทำงาน เพื่อห่มตัวเอง..ข้าพเจ้ารู้สึกไม่สบายใจกับคำพูดของผู้ช่วยพยาบาลคนนั้นมาก ข้าพเจ้าจึงเดินไปถามเจ้าหน้าพยาบาลเหล่านั้นว่า ‘เรื่องผ้าห่มขาดแคลนเช่นนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย มันมีปัญหาที่ตรงไหน? พรุ่งนี้ ผมจะไปที่แหล่งจัดส่ง (Supply Unit) ว่า ทำไมถึงมีปัญหา.. ถ้าเป็นกรณีของชาวบ้าน  เขาจะมิลำบากแย่หรือ?’ พูดเสร็จ ข้าพเจ้าก็กลับเข้าไปนอน โดยใช้ผ้าห่มหมอนที่ข้าพเจ้านำมา.. สักพักหนึ่ง ก็มีพยาบาลนำผ้าห่มมาให้อีกผืนหนึ่ง พร้อมกับบอกว่า ‘ที่ช้าอยู่..นั่นเพราะให้แม่บ้านคนงานไปยืมตามหอพักต่างๆ และเพิ่งได้มา ’ ข้าพเจ้ารู้ทันทีว่า เป็นคำแก้ตัว แต่ก็ไม่ว่าอะไร วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเชิญหัวหน้าพยาบาลของหอผู้ป่วยนั้นมา และพูดคุยถึงปัญหาดังกล่าว โดยเน้นว่า สำหรับตัวข้าพเจ้านั้น ไม่เป็นไร แต่ชาวบ้านตาดำๆ  เขาจะเดือดร้อนแค่ไหนกับผ้าห่มสักผืน เพื่อกันหนาว..คำตอบที่ได้ นับว่าน่าพอใจพอสมควร คือ ‘ระบบการจัดส่งผ้าห่ม ไม่มีปัญหา แต่ผู้ปฏิบัติไม่ทราบเอง กล่าวคือ ทางหน่วยจ่ายของกลาง (Supply Unit)  จะจัดส่งมาให้ที่หอผู้ป่วยตอนเช้าวันละ ๑๐ ผืนในเบื้องต้น ..พอตกบ่าย พยาบาลประจำการจะต้องประเมินว่า ตอนค่ำและกลางคืน จะมีการใช้ผ้าห่มเพิ่มอีกกี่ผืน แล้วส่งคำสั่งขอไป ก็จะได้มาตามจำนวนที่ต้องการ..ขอยืนยันว่า  ผ้าห่มไม่มีขาดแคลน’ การที่ข้าพเจ้าต้องแก้ปัญหานี้ ก็เพื่อชาวบ้านตาดำๆ จะได้ ไม่เดือดร้อน จากความเข้าใจผิดของพยาบาลระดับปฏิบัติการและเจ้าหน้าที่ผู้น้อยต่างๆ

วันที่ 2 ของการรักษา ปรากฏว่า อาการทั่วไปของภรรยา ยังคงทรงๆ ไข้ยังคงสูงลอย เธอไม่สามารถกินข้าวได้ และนอนเกือบตลอดเวลา ยกเว้นเวลาเข้าห้องน้ำ..ความเข้มข้นของเลือด (Hct) เท่ากับ 41% , เกร็ดเลือด = 180,000 ..ตอนนั้น ภรรยาข้าพเจ้าเดินเข้าห้องน้ำลำบากมาก เพราะมีน้ำเกลือแขวนอยู่ 2 ถุง คือ ถุงน้ำเกลือธรรมดา กับถุงที่มีเครื่องนับหยด ในถุงที่บรรจุแมกนีเซียมซัลเฟต [MgSo4] (เครื่องนับหยด เป็นแบบมีแบตเตอรี่สำรองไฟ จึงสามารถถอดปลั๊กหิ้วได้) ข้าพเจ้าต้องแก้ไขสถานการณ์บางอย่าง เพื่อให้ภรรยาข้าพเจ้าหิ้วถุงน้ำเกลือเดินเข้าห้องน้ำสะดวก ยามที่ไม่มีคนช่วย ด้วยการเอาตัวตะขอเหล็กรูปตัว S มาแขวนถุงน้ำเกลือ..เพื่อให้เคลื่อนย้ายถุงน้ำเกลือสะดวก ซึ่ง..ก็เป็นจริงตามคาด วันนั้น ข้าพเจ้าให้คนใช้แม่บ้านไปเฝ้าภรรยา เพราะข้าพเจ้าเข้าเวรที่ รพ เอกชน แห่งหนึ่ง แต่..คนใช้แม่บ้านไม่ได้ช่วยเหลือภรรยาข้าพเจ้าในการเข้าห้องน้ำเลย..ภรรยาข้าพเจ้าก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

วันที่ 3 ของการรักษา  ภรรยายังคงมีไข้สูง แต่ลดลงเหลือ 38 องศาเซลเซียส และได้รับน้ำเกลือผ่านทางหลอดเลือดดำ เธอรับประทานอาหารไม่ได้เช่นเดิม..กินเพียงน้ำเกลือแร่ พอแก้กระหาย..ผลเลือดความเข้มข้น ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เกร็ดเลือดลดลงเหลือ 140,000 ..ตกกลางคืน ภรรยาข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกหิว ข้าพเจ้าบอกกับเธอว่า ’นี่คือ สัญญาณที่ดี คุณใกล้หายแล้ว ..จริงๆแล้ว ในวันที่ 3 หรือ 4 ของโรคไข้เลือดออก คนไข้ จะเข้าสู่ระยะช็อค (Shock stage) แต่กรณีของคุณ กลับอยู่ในระยะทรงตัว.. เกร็ดเลือด ลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ’ คืนนั้น แม้จะรับประทานอาหารไม่ได้ แต่ เธอสามารถกินนมร้อนได้ หมดถ้วย..

วันที่ 4 ของการรักษา..ตอนเช้า ภรรยา ข้าพเจ้าบอกว่า ‘หิว’ ข้าพเจ้าคิดว่า เธอหายแล้ว แต่ เธอยังไม่สามารถรับประทานข้าวต้มได้ รับประทานได้เพียงโจ๊กและข้าวโอ๊ต เท่านั้น..ความเข้มข้นของเลือด (Hct)  ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เกร็ดเลือด ลดลงเหลือ 120,000 หน่วย..ตอนนี้ ไข้ลดลงมาเหลือเพียง 37 องศาเซลเซียส เศษ.. เธอสามารถพูดคุยได้คล่องขึ้น แต่ยังเบื่ออาหารและอารมณ์หงุดหงิด เล็กน้อย สิ่งที่บ่งบอกว่า ใกล้จะหายจากโรคแล้ว  คือ เธอกลับมามีอาการนอนไม่ค่อยหลับ (Insomnia) อีก หลังจากนอนแบบสลบไสล มาถึง 3 วัน 3 คืน..  วันนี้ เธอมีอาการเป็นหวัด หูอื้อ เจ็บคอ ขึ้นมา.. พยาบาลได้พาเธอไปหาคุณหมอด้าน หูคอ จมูก (ENT physician) ข้าพเจ้าได้ไปเป็นเพื่อนเธอ.. คุณหมอตรวจแล้ว พบว่า เธอคออักเสบ จนท่อที่ติดต่อระหว่างจูมกกับหู (Eustachian tube) ตัน , คุณหมอสั่งยาแก้อักเสบอย่างดี (Augmentin) , ยาทำให้ของเหลวในโพรงจมูกและท่อติดต่อกับหู (Eustachian tube)  แห้ง (Psuedoephridine), ยาพ่อจมูกลดภาวะคั่ง (Decogestion), และยาลดไข้ให้เป็นเวลา 5 วัน..

วันที่ 5 อาการของภรรยาข้าพเจ้าดีขึ้นมาก จนเธอต้องการจะกลับบ้าน บัดนี้ เธอเริ่มรับประทานข้าวต้มและของว่างได้บ้างแล้ว แมัจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม  ผลเลือดที่ออกมา ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากวันก่อน กล่าวคือ ความเข้มข้นของเลือด (Hct) = 42.8% , เกร็ดเลือด (Platelets) = 121,000 …คุณหมอมาตรวจดูภรรยาข้าพเจ้าในตอนเช้า รู้สึกพอใจกับอาการที่คงที่ ดังนั้น คุณหมอจึงวางแผนจะให้คนไข้กลับบ้านในวันรุ่งขึ้น วันนั้น เพื่อนพ้องของภรรยาได้มาเยี่ยม และซื้อของกินมาฝากมากมาย..พวกเขาได้พูดคุยกันจนถึงค่ำ….วันถัดมา ภรรยาข้าพเจ้าก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านจริงๆ เพราะผลเลือดไม่แตกต่างจากวันวาน

นี่คือ เรื่องราวของโรคไข้เลือดออกของคนป่วยรายหนึ่ง..ซึ่งผลการรักษา ปรากฏออกมาดี ทั้งนี้ เพราะอะไรหรือ?? คำตอบ ก็คือ Early Diagnosis and treatment หมายถึง วินิจฉัยได้เร็ว และรักษาทันที โรคนี้ มีอาการไข้สูงเป็นวันเดียว ก็สามารถวินิจฉัยได้แล้ว.. ส่วนการรักษา ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ให้น้ำเกลือหล่อเลี้ยงเส้นเลือด.. แก้ปัญหาเลือดข้น, และเฝ้าระวังไม่ให้เกร็ดเลือดต่ำ.. เพื่อป้องกัน เลือดออกในสมอง,ไตวาย และภาวะช็อค..นี่คือ หลักการรักษา  

โรคไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhagic fever)..เป็นโรคที่น่ากลัวมาก และมีหลากหลายสายพันธุ์ คนที่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาแล้ว ก็สามารถเป็นซ้ำในกรณีติดเชื้อโรคต่างสายพันธุ์ได้อีก

โลกเรานี้ มีโรคลึกลับมากมาย..ไม่สุดสิ้น โชคดี!!  คนไข้ก็อยู่รอด ..หากโชคร้าย!! คนไข้ก็พิการร่างกายและเสียชีวิต …ค่ำคืนนี้ มีเสียงเพลงขลุย ดังก้องกังวาล พริ้วไหว ไพเราะ ด้วยอารมณ์ของผู้เป่า คละเคล้าในบรรยากาศ ที่ผู้ฟังต้องคล้อยตาม ข้าพเจ้าฟังแล้ว ให้รู้สึกว่า โชคชะตาของมนุษย์ ได้ถูกลิขิตไว้แล้ว ด้วยบุญกรรม ที่กระทำมาแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ….หากใครก็ตาม ป่วยเป็นไข้สูงลอย จนกินไม่ได้ นอนสลบไสล เหมือนคนไร้สติ จะลุกเข้าห้องน้ำ ก็แทบจะหมอบคลานไป….ขอให้นึกถึง โรคไข้เลือดออก ดังที่กล่าวมาข้างต้น (Dengue Hemorrhagic fever)..และจงรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์ เพื่อให้การวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว ส่วนการที่จะหายจากโรคหรือไม่นั้น ก็คงต้องแล้วแต่บุญกรรม ..ที่ลำนำชีวิตเรา…

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

พ.ต.อ. นพ.เสรี ธีรพงษ์  ผู้เขียน  

  

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *