ตกเลือดหลังคลอด จากรกค้าง (Retained pieces of placenta)
เรื่องราวการตกเลือดหลังคลอดจากรกค้าง (Retained pieces of placenta) นั้น พบได้บ่อยในกรณีคนท้องตกเลือดหลังคลอดทันทีภายใน 24 ชั่วโมง (Immediate postpartum hemorrhage) แต่..กรณี คนไข้หลังคลอดที่กลับบ้านไปนานเป็นสัปดาห์ๆ แล้วต่อมาตกเลือดจากภาวะนี้ ในชีวิตข้าพเจ้า พบน้อยมาก ยิ่งเวลาห่างออกไปหลังคลอด เป็นเดือนอย่างกรณีคนไข้รายนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยพบเลย
ทุกคนคงรู้แล้วว่า การตกเลือดหลังคลอดนั้น เป็นสาเหตุการตายของสตรีตั้งครรภ์ ถึง 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตของทั้งหมด.. ดังนั้น การตกเลือดหลังคลอด จึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรระมัดระวังและใส่ใจยามตั้งครรภ์.. การตกเลือดหลังคลอด มี 2 อย่างด้วยกัน คือ ตกเลือดหลังคลอดทันที (Immediate postpartum hemorrhage) และการตกเลือดหลังคลอด ภายหลัง 24 ชั่วโมง (Late postpartum hemorrhage)
สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะเล่าให้ฟังครั้งนี้ เป็นเรื่องราวที่ข้าพเจ้าแทบไม่เคยเจอเลย ตลอดระยะเวลาในการเป็นสูติแพทย์กว่า 20 ปี ถึงแม้เรื่องราวที่เล่า จะเป็นเพียงเรื่องที่กล่าวในห้องประชุมวิชาการตอนเช้าของแผนกสูติฯ รพ.ตำรวจเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไปกับการรักษาแบบฉุกเฉิน แต่…เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพของสูติแพทย์เวรและอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
คุณศิริลักษณ์ คือคนไข้ที่ว่านั้น เธออายุ 25 ปี สามีเป็นคนต่างประเทศ เธอตั้งครรภ์ที่ 2.. บุตรคนแรก เธอคลอดเองเมื่อ 9 ปีก่อน การคลอดในครั้งแรกก็คลอดแบบฉุกเฉินเช่นกัน ตอนนั้น เธอก็ทราบว่า เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด แต่คงด้วยความอยากมีบุตร เธอจึงไม่ได้ฝากครรภ์ เพราะหากฝากครรภ์ คุณหมอคงแนะนำให้ทำแท้ง.. สำหรับการตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 คนไข้ไม่ได้ฝากครรภ์ที่ไหนเช่นกัน จากการซักประวัติพบว่า เธอเคยเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่ รพ. ยันฮี ด้วยเรื่องลิ้นหัวใจรั่ว เป็นเวลา 4 ปี และถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ศิริราช ด้วย เป็นระยะๆ…1 ปีก่อน คนไข้ ขาดการรักษาเกี่ยวกับภาวะหัวใจรั่วที่ รพ.ศิริราช แต่..ก็ได้ไปรักษาฉีดยาบางครั้งที่ รพ. รามคำแหง ยามที่เหนื่อยหอบ.. ต่อมา คุณศิริลักษณ์ ก็ขาดการรักษาแบบต่อเนื่อง อันเนื่องมาจาก เธอตั้งครรภ์…และไม่ต้องการทำแท้งบุตร
ระหว่างตั้งครรภ์ คุณศิริลักษณ์ไม่ได้ไปฝากครรภ์ที่ไหน อาจเนื่องจากเหตุผลข้างต้น…และสภาพทางเศรษฐกิจร่วมด้วย คนไข้ดำเนินการตั้งครรภ์ไปจนครบกำหนด ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจไปคลอดที่โรงเรียนแพทย์ คุณศิริลักษณ์ คลอดเอง (Vaginal delivery) ที่นั่นอย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา..จากการสอบถามของคุณแม่ เธอบอกว่า ทารกเป็นเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 2600 กรัม คลอดง่ายทั้งตัวลูกและรก คนไข้ไม่มีการตกเลือดหลังคลอดทันที (Immediate postpartum hemorrhage) ในช่วงระยะแรก เธออยู่โรงพยาบาล 48 ชั่วโมง ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน.. เธอสุขสบายดีมาโดยตลอด จนกระทั่ง…
6 ชั่วโมงก่อนมาที่ รพ.ตำรวจ คุณศิริลักษณ์มีเลือดออกจากช่องคลอดในลักษณะเป็นลิ่มๆ จำนวนมาก ประมาณ 1 ลิตร จากนั้น เธอก็ปวดท้องน้อยตลอดเวลา.. เลือดยังคงไหลออกมาจากช่องคลอดไม่หยุดหย่อน ผู้ป่วยไม่มีภาวะปัสสาวะแสบขัด แต่..มีอาการคลื่นใส้อาเจียน ..หลังจากตกเลือดไปสักพักหนึ่ง คนไข้ก็หมดสติ ญาตจึงนำส่งโรงพยาบาลตำรวจ….ราวๆเที่ยงคืน
แพทย์ประจำบ้านสูติฯ และอายุรกรรมได้มาตรวจคนไข้รายนี้พร้อมกัน เพราะคนไข้มี 2 โรคร้ายแรงในตัวเธอ.. จากการตรวจร่างกาย คุณศิริลักษณ์ เธอมีความดันโลหิต 90/60 มิลลิเมตรปรอท และลดลงเป็น 73/39 มิลลิเมตรปรอท (Shock) ชีพจรเต้นจาก 80 เพิ่มเป็น 130 ครั้งต่อนาที.. ในระหว่างที่รอเลือด ด้วยระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ใบหน้าของคนไข้ ก็ซีดเซียวลงอย่างรวดเร็ว.. ที่หัวใจ ปรากฏมีเสียงฟู่ ฟู่ ดังมาก….เมื่อเปรียบเทียบจากผลการเอกซเรย์ปอด..หัวใจของคุณศิริลักษณ์ มีขนาดเทียบเท่ากับคนไข้หัวใจวาย ซึ่งไม่นานนัก เธอก็เหนื่อยหอบจนตัวโยน จากการตรวจภายใน พบว่า ปากมดลูกของคุณศิริลักษณ์ เปิด 3 เซนติเมตร มีเลือดออกจากปากมดลูกตลอดเวลา จำนวนค่อนข้างมาก ประมาณ 1 ลิตร.. ตอนนั้น คนไข้เกือบจะหมดสติอีกครั้ง ซึ่งบรรดาคุณหมอก็พยายามดูแลอย่างใกล้ชิด มดลูกของคุณศิริลักษณ์ มีขนาดเท่ากับอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ ซึ่งหมายถึง มันยังไม่เข้าอู่ (Subinvolution ) ปกติ มดลูกจะเข้าอู่ประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอด ..แต่ในรายนี้ ไม่เป็นเช่นนั้น มดลูกมีขนาดเท่ากับคนท้อง 4 เดือนทีเดียว เราจึงจำเป็นต้องตรวจอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุให้ได้ ส่วนที่จะเป็นสาเหตุของการตกเลือดหลังคลอดมากกว่า 24 ชั่วโมงนั้น ที่พบบ่อย มีสาเหตุมาจาก 1. การติดเชื้อในโพรงมดลูก ซึ่งพบบ่อยกว่า… และ 2. รกค้าง (Retained pieces of placenta) ….คุณศิริลักษณ์ ส่งเสียงร้องปวดครวญครางอย่างน่าเวทนาขณะที่คุณหมอกำลังคลำบริเวณหน้าท้องของเธอ
จากการตรวจดูด้วยอัลตราซาวนด์ พบว่า มีก้อนชิ้นเนื้อสีเข้มอยู่ภายในโพรงมดลูกของคุณศิริลักษณ์ ขนาด 2×5 เซนติเมตร….. แต่ที่บริเวณปีกมดลูก ไม่พบมีปัญหาใดๆ…นั่นหมายถึง มีเศษรกค้างในโพรงมดลูกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการตกเลือด.. จากการเอกซเรย์ปอด พบว่า หัวใจของคุณศิริลักษณ์ค่อนข้างโต คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ก็มีผิดปกติ บางส่วน (inverted T in V1 – V6 ) สูติแพทย์เวรได้ปรึกษาเรื่องความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจของคุณศิริลักษณ์กับอายุรแพทย์ หน่วยหัวใจหลอดเลือดและวิสัญญีแพทย์ เพื่อขอนำคนไข้เข้ารับการขูดมดลูกในห้องผ่าตัด
สำหรับ ความเข้นข้นของเลือดคุณศิริลักษณ์ ตอนแรกรับ เท่ากับ 29% และ ลดลงเหลือ 25% ก่อนเข้าห้องผ่าตัด เพราะเสียเลือดไปในระหว่างรอเข้าห้องผ่าตัดไปไม่น้อย.. คุณศิริลักษณ์ ได้รับน้ำเกลือไป 2 ถุง รวมทั้ง ตัวเพิ่มขยายนำเลือด อีก 500 มิลลิลิตร ทั้งหมดนี้ ต้องให้อย่างระมัดระวัง เพราะมิฉะนั้น คนไข้จะเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวาย
ที่ห้องผ่าตัด สูติแพทย์เวร ได้ทำการขูดมดลูกส่วนที่ค้างอยู่ โดยดูอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้องควบคู่กันไปด้วย การขูดมดลูกกินเวลา ประมาณ 20 นาที ก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ จากนั้น คุณศิริลักษณ์ ก็ถูกส่งไปเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู.ศัลยกรรม อายุรแพทย์เวร เฝ้าดูคนไข้อย่างใกล้ชิด และคำนวณจำนวนน้ำเกลือ รวมถึงเลือดที่เข้าออกจากตัวคนไข้ อย่างระมัดระวัง โดยคนไข้ได้รับเลือดไปในระหว่างผ่าตัดจำนวน 2 ถุง เพราะก่อนเข้าห้องผ่าตัด คนไข้เสียเลือดไปประมาณ 2500 มิลลิลิตร (2.5 ลิตร) และได้รับสารน้ำเพิ่มเติมในจำนวนใกล้เคียงกัน แม้ถึงกระนั้น อายุรแพทย์ ยังเผลอบ่นออกมาดังๆว่า ‘ดูแลยากมาก.. คนไข้รอดจากตกเลือด ไม่รู้ว่า จะตายจากหัวใจวายหรือเปล่า??’ …คุณศิริลักษณ์พักอยู่ ห้อง ไอ.ซี.ยู. 2 วัน ก็ย้ายมาอยู่หอผู้ป่วยชั้น 5 ของกลุ่มงานสูติฯ อายุรแพทย์ หน่วยหัวใจ ยังติดตามมาดูแลอีก เพราะคนไข้มีโรคหัวใจผิดปกติแต่กำเนิดร่วมด้วย คุณหมอบอกว่า ‘น่าจะเป็นชนิดที่เรียกว่า Tetralogy of Fallot (TOF) ส่วนรอยรั่วที่ผนังหัวใจ มีโอกาสเป็นชนิด ASD (Atrial septal defect) ค่อนข้างมาก’ คุณหมอยังนัดคุณศิริลักษณ์เข้ามาตรวจ เผื่อว่าจะมีโอกาสเข้ารับการผ่าตัดหัวใจต่ออีก ถือว่า โชคดีมากๆเลย.. เธอพักอยู่โรงพยาบาลตำรวจ 5 วัน ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ นับว่า เป็นคนที่มีบุญวาสนารายหนึ่ง ซึ่ง..รอดพ้นจากมือของมัจจุราชมาได้อย่างหวุดหวิด
โลกเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าทางด้านวิทยาการทางการแพทย์ ทำให้ชีวิตมนุษย์ยืนยาวขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อว่า ไม่มีใครสามารถฝืนโชคชะตาแห่งชีวิตไปได้ ดังนั้น ขอให้ยึดมั่นในคุณความดี ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยเรา ทุกสิ่งทุกอย่างในด้านการรักษา ก็น่าจะผ่านพ้นวิกฤต..แต่ ภาวะแห่งทุนนิยมของโลก ที่ถาโถมเข้ามาในบ้านเมืองเรา ..อาจทำให้การรักษาของบ้านเรา ล้มละลายไปได้เช่นกัน เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาทุกอย่าง ใช้เงินมากขึ้นทุกที… จนในที่สุด.. ชีวิตมนุษย์ อาจมีค่าน้อยกว่า อวัยวะบางส่วนของตัวเรา ก็เป็นได้..
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
พ.ต.อ. นพ. เสรี ธีรพงษ์ ผู้เขียน