พุทธทำนาย กับความหมายทางสูติฯ

ในอดีตกาล พุทธสมัย พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงพระสุบิน สรุปเป็นปัญหา 16 ข้อ และสอบถามจากพระพุทธเจ้าว่า ‘ความฝันนั้นคือ อะไร? มีความหมายว่าอย่างไร?’ พระพุทธองค์ได้แจกแจงอธิบายว่า ‘สิ่งที่พระเจ้าปเสนทิโกศลฝันนั้น จะไม่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ แต่จะบังเกิดขึ้นในภายภาคหน้า หลายร้อย หลายพันปี’ นี่..เวลาก็ผ่านพ้นมาถึง 2500 ปีเศษ แล้ว เราน่าจะนำพุทธทำนาย มาลองศึกษาดูบ้าง บางที อาจจะช่วยเตือนสติตัวเราได้ ว่า ‘คุณความดี หรือ ผลบุญ เท่านั้น ที่จะนำพาเราให้พ้นจากมหันตภัยร้ายต่างๆรอบตัวได้’\r\nเมื่อไม่นานมานี้ ได้เกิดโศกนาฏกรรมเกี่ยวกับคนท้องรายหนึ่ง ที่โรงพยาบาลตำรวจ เรื่องมีอยู่ว่า คนไข้หลังคลอดรายหนึ่ง มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำแบบไม่ทราบสาเหตุหลังจากผ่าตัดคลอดได้ ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง ต่อมา คนไข้รายนั้นได้เกิดอาการช็อค สูติแพทย์เวรพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ด้วยข้อจำกัด ทำให้ไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้ไว้ได้ โชคดี!! ที่มีการชันสูตรทางนิติเวชวิทยา จึงทราบว่า ผลของการเสียชีวิตนั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของการผ่าตัดคลอด คุณหมอท่านใด ที่อยู่เวรในวันนั้น ถือว่า โชคร้าย จริงๆ\r\nข้าพเจ้าเอง ก็พานพบเหตุการณ์ร้ายๆ เกี่ยวกับคนไข้หลายครั้ง แต่..อาศัย ‘บุญ’ ช่วยเกื้อหนุนให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ทุกครั้ง ส่งผลให้คนไข้อยู่รอดปลอดภัย และยังส่งผลสะท้อนกลับมาสู่ตัวเรายามที่จำเป็นอีก ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงไม่เคยละเลย ทำบุญสร้างกุศล ให้ทานอย่าง สม่ำเสมอ ตามสภาพที่เอื้ออำนวย อาทิ คนไข้ที่มาโรงพยาบาลตำรวจ หากข้าพเจ้าพอช่วยเหลือได้ ข้าพเจ้าจะยินดียื่นมือเข้าช่วย ทันที เพราะคนเราทุกคน รวมทั้งญาติมิตรสนิทของเรา ย่อมต้องมีสักวันหนึ่ง ที่จะเป็น ‘คนไข้’ ด้วยบุญกุศลเหล่านี้ ข้าพเจ้าจึงมักได้รับการอำนวยความสะดวกจากเพื่อนแพทย์ในวิชาชีพเดียวกันเสมอ\r\nไม่กี่สัปดาห์ ก่อน ก็มีเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งร้ายแรง เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า หากมองย้อนกลับไป ข้าพเจ้าถือว่า เหตุการณ์นี้มีเทวดาเจ้าที่ มาช่วยเหลือ ให้ ผ่านพ้นได้ด้วยดี \r\nคุณกรรณิการ์ อายุ 35 ปี ตั้งครรภ์แรก มาฝากครรภ์กับข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) โดยมีความตั้งใจที่จะกลับไปคลอดที่บ้านเกิดทางภาคใต้ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อครรภ์ใกล้ครบกำหนด… ข้าพเจ้าได้ดูแลเธอเป็นอย่างดี พออายุครรภ์ 11 สัปดาห์ ก็ส่งคนไข้ไปที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อเจาะเลือดและตรวจอัลตราซาวนด์อย่างละเอียด โดยเฉพาะที่คอของทารก (Nuchal thickness) เพื่อตรวจหาภาวะปัญญาอ่อน ( Down’s Syndrome) ผลปรากฏว่า ทารกมีความเสี่ยงที่จะเป็นปัญญาอ่อนน้อยมาก พอคุณกรรณิการ์ มีอายุครรภ์ 26 สัปดาห์ ข้าพเจ้า ก็ขอให้สูติแพทย์ ผู้ชำนาญเรื่องการดูอัลตราซาวนด์ ช่วยตรวจดูความพิการของทารกให้อีก ซึ่งพบว่า ทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติ \r\nการที่ข้าพเจ้าดูแลคุณกรรณิการ์ เป็นอย่างดีนั้น ไม่ใช่เพราะ ต้องการให้เธอมาคลอดกับข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลเอกชน ข้าพเจ้าเพียงแค่ทำหน้าที่ของสูติแพทย์ธรรดาเท่านั้น ข้าพเจ้าบอกกับเธอเสมอว่า ‘ข้าพเจ้าอายุมากแล้ว ไม่มีเวลาจะไปรอคลอด แบบธรรมชาติหรอก ดังนั้น หากต้องการจะคลอดเอง ขอให้ไปคลอดกับแพทย์ท่านอื่น’ \r\nพอคุณกรรณิการ์ตั้งครรภ์ได้ 37 สัปดาห์ ข้าพเจ้าได้ตรวจดูอัลตราซาวนด์ให้กับเธอ และประเมินว่า ‘ลูกเธอ น่าจะมีน้ำหนักประมาณ 3,800 กรัม’ ข้าพเจ้าบอกกับคุณกรรณิการ์ว่า ‘ลูกของคุณตัวค่อนข้างใหญ่ น่าจะคลอดเองไม่ได้’ คุณกรรณิการ์บอกว่า ‘เธออยากจะลองดู คุณแม่และสามีอยากให้คลอดเอง’ หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ลืมเรื่องการประเมินน้ำหนักลูกของเธอครั้งนั้นไป คุณกรรณิการ์ยังคงมาฝากครรภ์กับข้าพเจ้าต่อจนถึงอายุครรภ์ 38 สัปดาห์ โดยกะว่า จะเดินทางกลับภูมิลำเนาในวันหยุดธนาคารกลางปี \r\nยังจำได้!! วันนั้น เป็นวันศุกร์ ฝนตกลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่ว ฝนตกตั้งแต่กลางดึกของคืนก่อนจนข้ามมาจนถึงรุ่งเช้าของวันศุกร์ คุณกรรณิการ์เริ่มมีอาการเจ็บครรภ์ในคืนนั้น เธอตัดสินใจไม่เดินทางในยามฝนตกหนัก เพราะกลัวอุบัติเหตุ และคลอดกลางทาง ตอนเช้าวันนั้น คุณกรรณิการ์ได้มาตรวจที่แผนกสูติที่โรงพยาบาลเอกชนเดิม สูติแพทย์ที่แผนกผู้ป่วยนอก ได้ตรวจภายในให้ ปรากฏว่า ปากมดลูกของเธอเปิด 2 เซนติเมตร มีความบาง 50% โดยมีระดับของส่วนนำอยู่ที่ -2 พยาบาลห้องคลอดได้โทรศัพท์รายงานข้าพเจ้าว่า “คนไข้ที่จะไปคลอดต่างจังหวัด เดินทางไปไม่ได้ เพราะติดฝน เธอจะขอกลับมาคลอดที่โรงพยาบาล แต่..อยากจะลองคลอดเองดูก่อน”\r\nข้าพเจ้ารีบเดินทางเข้าไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น เพื่อตรวจดูคนไข้ในเบื้องต้น ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงที่โรงพยาบาลเอกชนเวลาประมาณ 11 นาฬิกา.. พอคลำหน้าท้องของคุณกรรณิการ์ ข้าพเจ้าประเมินว่า ‘ลูกของคุณกรรณิการ์ น่าจะมีน้ำหนักราว 3400 กรัม ซึ่งอาจจะคลอดได้’ จากนั้น ข้าพเจ้าก็เจาะถุงน้ำคร่ำให้กับเธอ พร้อมกับเร่งคลอด ขณะนั้น ปากมดลูกเปิดเพียง 3 เซนติเมตร โดยคาดคะเนว่า ตอนบ่าย ราวๆ 15 นาฬิกา คนไข้น่าจะยังไม่คลอด และเจ็บปวดครรภ์มาก จนสามารถตัดสินผ่าตัดคลอดได้ เมื่อเจาะถุงน้ำคร่ำคนไข้เสร็จ ข้าพเจ้าก็รีบเดินทางกลับไปที่โรงพยาบาลตำรวจ \r\nเวลาผ่านไปเพียง 2 ชั่วโมง เท่านั้น คุณกรรณิการ์ก็มีอาการเจ็บครรภ์มาก จนต้องร้องขอให้วิสัญญีแพทย์ ช่วยใส่ยาชาเข้าที่ไขสันหลัง เพื่อยับยั้งความเจ็บปวด เวลาผ่านไปอีกไม่นานนัก คุณกรรณิการ์ได้ขอให้พยาบาลห้องคลอด โทรศัพท์ ติดต่อข้าพเจ้า เพื่อขอผ่าตัดคลอด ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ ที่คุณกรรณิการ์เปลี่ยนใจกระทันหันเช่นนั้น แต่..ข้าพเจ้ายังคงติดธุระบางประการที่โรงพยาบาลตำรวจ เวลาผ่านไปไม่ถึงอึดใจ คนไข้ ก็ขอให้พยาบาลห้องคลอดโทรศัพท์มาบอกย้ำกับข้าพเจ้าอีกครั้ง \r\nข้าพเจ้ารีบเดินทางออกจากโรงพยาบาลตำรวจทันที โดยอาศัยรถไฟลอยฟ้า (BTS) และต่อรถแทกซี่ไปยังที่หมาย ในใจคิดตลอดทางว่า ‘มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นหรือเปล่า?’ พอข้าพเจ้าไปถึงที่โรงพยาบาลเอกชน.. เผอิญ!! มีคนไข้ที่นัดหมายมาก่อนเวลา รออยู่ 3 ท่าน ที่แผนกสูติ ข้าพเจ้า จึงรีบไปตรวจดูคนไข้เหล่านี้ก่อน เมื่อตรวจเสร็จเรียบร้อย จึงรีบขึ้นไปที่ห้องผ่าตัด ระหว่างนั้น ข้าพเจ้าได้ให้เจ้าหน้าที่พยาบาลติดเครื่องตรวจสภาพเด็กให้กับคุณกรรณิการ์ด้วย ผลการตรวจ ไม่พบว่า ทารกน้อย มีปัญหาอะไร……\r\nพอขึ้นไปที่ห้องผ่าตัด ข้าพเจ้ารีบขอโทษคนไข้และวิสัญญีแพทย์ ที่ปล่อยให้ต้องรอนาน ข้าพเจ้าสังเกตว่า ‘คุณกรรณิการ์นอนยิ้มอย่างเริงร่า สบายใจ ไม่มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด’ ข้าพเจ้าบอกกับวิสัญญีแพทย์ว่า จะเริ่มเลย โดยใช้ คีมลักษณะเหมือนแหนบปลายแหลม (Forceps) จับที่ผิวหนังบริเวณที่ลงมีด ปรากฏว่า คนไข้ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด นั่นแสดงว่า ยาชาที่ใส่เข้าไปที่ไขสันหลัง ออกฤทธิ์เพียงบางส่วน (Partial block) ดังนั้น วิสัญญีแพทย์ จึงต้องปรับเปลี่ยนไปเป็นการดมยาโดยวิธีใส่ท่อช่วยหายใจ และให้คนไข้หลับลึกด้วยยาดมสลบ \r\nข้าพเจ้าลงมีดกรีดไปตามแนวขอบกางเกงใน (Pfannenstiel_incision) ของคนไข้ และผ่าตัดผ่านชั้นต่างๆของผนังหน้าท้อง จนถึงมดลูก แล้วกรีด ที่มดลูกส่วนล่างในแนวขวาง (Lower segment of the uterus) จากนั้น ก็ใช้นิ้วมือ ทั้งสองข้าง แหวกกล้ามเนื้อมดลูกให้แยกออกเป็นช่องพอคลอดส่วนหัวของทารก จากนั้น ก็ใช้คีมคีบศีรษะทารก (Simson’s forceps) ประกบเข้าที่หัวทารกขนาบด้านข้างของศีรษะ แล้วออกแรงดึงหัวของทารกออกมา พอเห็นศีรษะลูกคุณกรรณิการ์ ก็ต้องตกใจ เพราะว่า ศีรษะทารกใหญ่มาก ที่สำคัญ คือ มีสายสะดือ พันคอทารกน้อย 2 รอบ ค่อนข้างแน่น ข้าพเจ้าจินตนาการว่า ‘หากดึงศีรษะทารกคลอดทางช่องคลอด มีหวัง สายสะดือ 2 รอบนี้ คงรัดคอทารกจนย่ำแย่ เพราะขาดก๊าซออกซิเจน’ \r\nพอดึงทารกน้อยพ้นออกมาจากหน้าท้องของคนไข้ ก็ต้องตกใจอีกครั้ง และอุทานออกมาดังๆว่า “ตายแล้ว!! เด็กตัวใหญ่มากจริงๆ หากคลอดเอง มีหวังติดไหล่ (Shoulder dystocia) แน่!!!” พยาบาลที่ช่วยผ่าตัดบอกว่า ‘เมื่อเช้า เด็กตัวใหญ่สุดที่ผ่าตัดคลอด หนัก 3,900 กรัม ยังมีขนาดตัวเล็กกว่านี้เลย ’ ข้าพเจ้าถอนหายใจ เฮือกใหญ่ ด้วยความโล่งอก จากนั้น ก็ผ่าตัดและเย็บมดลูกต่อไปจนเสร็จ ทารกน้อยลูกคุณกรรณิการ์ เป็นเพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 4,025 กรัม มีคะแนนศักยภาพแรกคลอด 9 และ 10 ที่เวลา 1 และ 5 นาที ตามลำดับ (คะแนนเต็ม 10) \r\nตอนเย็นวันนั้น ข้าพเจ้าได้ไปรับประทานเลี้ยงร่วมกับสูติแพทย์ที่ปรึกษางานวิจัยของข้าพเจ้า ท่านได้ให้ความเห็นว่า ‘คนไข้รายนี้ หากปล่อยทิ้งไว้ให้คลอดเองแบบธรรมชาติ คนไข้มีโอกาสคลอดออกมาด้วยการใช้เครื่องดูดสุญญากาศ (Vacuum extraction) ซึ่งวิธีการดังกล่าว อาจทำให้ ทารกเสียชีวิต (Intrapartum death) จากการที่ศีรษะโผล่พ้นจากช่องคลอดและติดไหล่ เพราะทารกมีลำตัวใหญ่มาก คงไม่สามารถคลอดออกมาได้ ประกอบกับคนไข้เป็นครรภ์แรก ช่องคลอดไม่เคยขยายมาก่อน ข้าพเจ้าโชคดีมากที่ คนไข้เรียกร้องขอให้ผ่าตัดคลอด..ข้าพเจ้ายังคงพูดจาติดตลกว่า ‘นั่น!! คงเป็นเพราะบุญของข้าพเจ้าที่ วิสัญญีแพทย์ เจาะหลังและใส่ยาชา (Epiduaral block) แล้ว มันไม่ Work คนไข้จึงปวดครรภ์ จนทนไม่ไหว ต้องร้องขอให้ผ่าตัดคลอด หากการใส่ยาที่ไขสันหลังทำงานได้ดี ข้าพเจ้าคงแย่แน่!!!! \r\nพุทธทำนาย มีหลากหลาย สรุปรวมความว่า ในอนาคตข้างหน้า ศีลธรรมจะเสื่อมทรามลง ส่งผล ให้เกิดปัญหาข้าวยากหมากแพง ท้องฟ้า มีแต่ส่งเสียงร้องคำราม แต่จะไม่มีฝนตก ผู้คนจะเดือนร้อน เกือบทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะในเมืองหลวง แต่…ในชนบท จะยังมีความอบอุ่นอยู่ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า หลายปีมานี้ ฟ้าฝน ภูมิอากาศเริ่มวิปริต แปรปรวน!! หรือ..เรากำลังจะก้าวสู่ ยุคแห่งความเสื่อมที่ว่านั้น \r\nทุกวันนี้ สูติแพทย์ พากันหวาดผว่า กับการทำคลอด โดยเฉพาะในคนท้อง ที่มีปัญหา อาทิ เป็นครรภ์พิษ หรือ..แม้แต่ทารกตัวใหญ่ ซึ่งพบได้ทั่วไป แต่วินิจฉัยผิดพลาดเช่นเดียวกับข้าพเจ้า ซึ่งอาจส่งผลร้ายในภายหลัง ปัจจุบัน นักศึกษาไม่อยากเรียนเพื่อเป็นสูติแพทย์ จนถึงขั้นขาดแคลนแล้ว ส่วนสูติแพทย์ ที่เหลืออยู่ ก็คงต้องอาศัย บุญกุศล เท่านั้น ที่จะนำพาให้ผ่านพ้น เหตุการณ์ร้ายๆทางสูติฯ ไปได้…..\r\n&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&\r\nพ.ต.อ. นพ. เสรี ธีรพงษ์ ผู้เขียน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *